อรุณแสงรัก บทที่ 1 : ฝันร้าย

อรุณแสงรัก บทที่ 1 : ฝันร้าย

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

“แม่หญิงฟื้นแล้วรึ เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงที่ได้ยินข้างหูทำให้นวลเริ่มฟื้นคืนสติ เมื่อลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าตนอยู่ในกุฏิแม่ชีวัยกลางคน พายุสงบลงแล้วแต่ฟ้ายังไม่สว่าง แม่ชีที่นั่งอยู่ข้างกายกำลังส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร “รีบเปลี่ยนผ้าผ่อนก่อนเถิด…เปียกไปทั้งกายเช่นนี้ประเดี๋ยวจักเป็นไข้ขึ้นมาได้”

“ขอบน้ำใจเจ้าค่ะ” นวลพนมมือไหว้พลางเอ่ยเสียงสั่น มือบางรับเอาผ้าจากแม่ชีมาถือไว้ทั้งน้ำตา “ข้า…ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“พ่อกล้าพาเจ้ามาฝากไว้” แม่ชีกล่าวตอบเสียงเบา “เมื่อช่วงหัวค่ำเกิดพายุหนักจนเรือล่ม พ่อกล้าคือชายที่ช่วยเจ้าขึ้นจากน้ำ แต่ก็น่าเสียดายนักที่ช่วยชีวิตได้เพียงเจ้า”

ได้ยินเช่นนั้นนวลก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก “หมายความว่า…”

“เจ้าจงตั้งสติให้ดีเถิดหนา เมื่อคืนเกิดพายุรุนแรงจึงทำให้ชาวบ้านช่วยคนในเรือแทบมิได้ บางคนก็ลอยไปตามกระแสน้ำ แต่บางคนก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณเท่านั้น”

“แล้วพ่อข้าเล่าเจ้าคะ! พ่อข้าอยู่ไหน” นวลเอ่ยถามเสียงสั่น เธอกลัวเหลือเกิน…กลัวว่าร่างไร้วิญญาณที่แม่ชีกล่าวนั้นจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้า

“ข้ามิรู้ดอกว่าพ่อเจ้าคือใคร เช่นนั้นรีบไปดูศพเถิด”

แม่ชีช่วยประคองนวลให้ลุกขึ้นแล้วเดินนำทางไปทันที ทั้งสองเดินเลียบกำแพงวัดมาท่ามกลางความมืดโดยมีเพียงแสงตะเกียงนำทางเท่านั้น จนกระทั่งถึงศาลาใหญ่ท้ายวัดนวลจึงรีบเข้าไปหา ด้านในเป็นศพที่ชาวบ้านนำขึ้นจากน้ำมาวางเรียงไว้เป็นแถว

เท้าเล็กก้าวเข้าไปด้านในอย่างเชื่องช้า เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น แม้เธอจะภาวนาให้ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แต่สุดท้ายแล้วโชคชะตาก็ไม่ได้เข้าข้าง ทันทีที่เห็นร่างไร้วิญญาณนอนเรียงราย…หญิงสาวก็ทรุดตัวลงกรีดร้องราวคนวิปลาส

“พ่อ! พ่อจ๋า…”

นวลเข้าไปกอดร่างเย็นยะเยือกของบิดาพลางร่ำไห้ทุรนทุราย เป็นที่น่าเวทนาของผู้ได้พบเห็นนัก ศพที่นำมาวางบนศาลานอกจากจะมีศพของนายกล่ำแล้ว ยังมีพวกโจรป่า และศพของชาวบ้านคนอื่นๆ ที่นำสินค้าลงเรือมาขายพร้อมกันด้วย

“พ่อจ๋า…อย่าทิ้งข้าไป…อย่าทิ้งข้าไป!”

นวลยังกอดศพพ่อไว้แน่น เสียงกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานของเธอทำให้ผู้พบเห็นต่างนึกสงสาร แม่ชีและหญิงชาวบ้านจึงเข้าไปประคองเธอไว้

“แม่หญิงตั้งสติก่อนเถิด”

“ไม่จริง! ไม่จริงใช่ไหมเจ้าคะ!” นวลร้องไห้ฟูมฟายจนฟังไม่ได้ศัพท์ ร่างเล็กคลานเข้าไปกอดขาแม่ชีแล้วกล่าวถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกราวกับภาพเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงความฝัน และอยากให้มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น

ทุกอย่างในชีวิตของเธอได้พังทลายลงแล้ว เมื่อไม่มีพ่อคอยเคียงข้าง…หลังจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร ตั้งแต่จำความได้จนถึงบัดนี้เธอก็มีเพียงพ่อที่คอยเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขตามประสาพ่อลูกเรื่อยมา สำหรับนวลแล้วพ่อคือทุกอย่างในชีวิต

“พานางไปนั่งพักก่อนเถิด…”

แม่ชีกล่าวกับหญิงชาวบ้านที่มาช่วย ก่อนทั้งสองจะช่วยพยุงนวลไปนั่งพักใต้ต้นไม้ริมศาลา และคอยปลอบโยนให้คลายความเศร้า รอจนกระทั่งเธอเริ่มตั้งสติได้แล้วหลวงตาเจ้าอาวาสจึงเดินเข้ามาหา

“ศพนั่นคือพ่อของเอ็งรึ”

“เจ้าค่ะ…” นวลกล่าวตอบทั้งน้ำตา

“แล้วเหตุใดจึงถูกทำร้ายจนตายเช่นนี้เล่า” หลวงตากล่าวถามอีกครั้งด้วยความสงสัย

“ชายผู้นี้มิได้จมน้ำตายดอก แต่เมื่อชาวบ้านพาขึ้นจากน้ำได้จึงเห็นว่าบาดเจ็บหนัก มีแผลถูกมีดฟันแทงไปทั่วร่างกาย แต่ถามอย่างไรก็มิยอมบอกว่าใครทำ ข้าเข้าไปถามก็ยังมิยอมบอก…มัวแต่กราบขอร้องให้ชาวบ้านไปช่วยลูกสาวขึ้นจากน้ำ แต่พูดกันยังมิทันรู้เรื่องก็สิ้นใจไปเสียแล้ว”

นวลได้ฟังก็ยิ่งกรีดร้องทุรนทุรายด้วยความทุกข์ พ่อคงคิดว่าเธอจมน้ำอยู่กระมังจึงขอให้ชาวบ้านลงไปช่วย แต่เพราะถูกโจรป่าทำร้ายจนสาหัสจึงไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไหว เธอกับพ่อจึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย…เหตุใดหนอโชคชะตาจึงใจร้ายกับเธอเหลือเกิน

 

เหตุเรือล่มเมื่อคืนถูกเล่าลือกันไปทั่วคุ้งน้ำ เมื่อถึงยามฟ้าสางจึงมีชาวบ้านตามมาช่วยจัดการศพที่ป่าช้าท้ายวัด ต่างช่วยกันขุดหลุมฝังให้เร็วที่สุดเพราะศพจมน้ำเหล่านี้หากทิ้งไว้จะทำให้ส่งกลิ่นรุนแรงได้และเหตุที่ชาวบ้านไม่ทำพิธีเผา เพราะความเชื่อของคนกรุงศรีจะไม่เผาศพคนจมน้ำเป็นอันขาด เขาถือกันว่าการจมน้ำตายนั้นเป็นบาปเคราะห์ของผู้ประพฤติไม่ชอบ จึงไม่ได้รับเกียรติให้ทำพิธีปลงศพ ยกเว้นเพียงนายกล่ำคนเดียวที่นวลขอร้องเจ้าอาวาสไว้…อีกทั้งนายกล่ำยังตายจากการถูกทำร้ายด้วย

ช่วงสายของวันนั้นจึงมีหนุ่มชาวบ้านไปช่วยเตรียมฟืนบนเชิงตะกอน เพราะต้องเตรียมทำพิธีศพให้นายกล่ำ และนวลเองก็กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวไปแล้ว พิธีส่งวิญญาณของพ่อจึงต้องอาศัยแรงจากชาวบ้านผู้ใจบุญเท่านั้น

โดยพิธีศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องมีโลงไม้ ไม่ต้องมีพิธีแห่ศพ มีเพียงกองฟืนที่จัดเรียงไว้เตรียมทำพิธีเผาเท่านั้น ชาวบ้านช่วยกันนำร่างนายกล่ำวางบนเชิงตะกอน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงนิมนต์พระทำพิธีกรรมทางศาสนา…เวลาเที่ยงวันจึงเริ่มจุดไฟเผา

ความสูญเสียที่เพิ่งเกิดขึ้นทำให้นวลร้องไห้ฟูมฟายจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด สายตาเฝ้ามองเปลวเพลิงเผาร่างไร้วิญญาณของบิดาอยู่อย่างนั้น เปลวไฟลุกโชนต่อเนื่องตั้งแต่เที่ยงวัน…จนกระทั่งตะวันเริ่มลับแสงนวลก็ยังนั่งร่ำไห้อยู่ตรงที่เก่า แม้แม่ชีและหญิงชาวบ้านจะพยายามปลอบโยนเท่าใดก็ไม่เป็นผล

ร่างเล็กนั่งสะอื้นไห้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่เที่ยงวันจนกระทั่งตะวันเริ่มลับแสง ชาวบ้านทยอยกลับไปหมดแล้วรอบป่าช้าจึงเงียบสงบขึ้นมาบ้าง มีเพียงสายลมเย็นพัดผ่านพร้อมเสียงใบไม้ปลิวไหว…ยิ่งมืดลงเท่าใดก็ยิ่งวังเวงมากเท่านั้น หญิงสาวนั่งกอดเข่าเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี ภาพที่มองผ่านม่านน้ำตานั้นเลือนรางเสียจนแทบมองไม่เห็น และเพราะไม่ได้แตะต้องข้าวน้ำมาทั้งวัน…ร่างกายจึงยิ่งทวีความอ่อนล้า

“แม่หญิง เอ็งกลับกุฏิแม่ชีไปพักก่อนเถิด”

สัปเหร่อเดินเข้ามาหาหญิงสาว ก่อนจะหยิบท่อนฟืนขึ้นมาแบกไว้บนบ่า “มิต้องห่วงศพพ่อเอ็งดอก…ข้าจักจัดการให้ วันพรุ่งค่อยมาเอาเถ้ากระดูกพ่อก็แล้วกัน”

กล่าวเพียงเท่านั้นสัปเหร่อก็แบกท่อนฟืนลับหายไป ปล่อยให้นวลนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ท่ามกลางความมืด หญิงสาวจึงยกมือปาดน้ำตาตนเองก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

เธอเหนื่อยเหลือเกิน…

ขอกลับไปหาแม่ชีสักครู่…แล้วจะกลับมาหาพ่ออีกครั้ง…

 

นวลเดินฝ่าความมืดไปยังกุฏิแม่ชีคนเก่า ร่างเล็กเดินเลียบตามเส้นทางไปอย่างเชื่องช้า น้ำตายังไหลอาบดวงหน้าด้วยความโศกเศร้า แต่เดินยังมิถึงเขตกำแพงวัดก็ได้ยินเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกเสียก่อน

“แม่นวล…นั่นแม่นวลรึ…”

นวลพลันสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง ร่างเล็กหันขวับไปหาต้นเสียงจึงเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ในเงามืด และเมื่อชายผู้นั้นก้าวออกมาให้เห็นหน้า…หญิงสาวก็พลันอุทานด้วยความตื่นตระหนก

“พี่ขวัญ!”

ภาพที่เห็นทำเธอเสียขวัญจนก้าวขาต่อไปไม่ได้ เขาคือพ่อขวัญ…ชายคู่หมายที่เดินทางมาพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มร่างสูงพยายามเดินเข้ามาหา ใบหน้าคมมีรอยเลือดแห้งเกรอะกรัง กลางลำตัวมีแผลฉกรรจ์ชวนสยดสยอง…ร่างสูงยืนตัวสั่นสะท้านราวกับทรงตัวแทบไม่ได้

ยิ่งเขาก้าวเข้ามาหา…นวลก็ยิ่งกลัวจนเสียสติ

“แม่นวล…นี่พี่เอง…”

“กรี๊ดดดด!”

นวลเซไปด้านหลังจนล้มหงาย ร่างเล็กกระเสือกกระสนคลานถอยหลังพลางร้องตะโกนดั่งคนวิปลาส ทันทีที่พ่อขวัญเข้ามาใกล้แล้วเอื้อมมือแตะบนหัวไหล่บาง…นวลก็ยิ่งกรีดร้องด้วยความกลัวสุดชีวิต

ก่อนจะเป็นลมหมดสติไปอีกครั้ง…

“เฮ้ย! นั่นใครวะ!”

สัปเหร่อรีบวิ่งกลับมาเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาว จนกระทั่งได้เห็นชายปริศนากำลังนั่งประคองร่างเล็กของเธอไว้ในอ้อมอก นวลหมดสติไปแล้ว…คงเป็นเพราะความหวาดกลัวเมื่อครู่บวกกับร่างกายที่อ่อนล้ามาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

แม้ชายตรงหน้านั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดและแผลฉกรรจ์ แต่สัปเหร่อก็มองออกว่าเป็นคนจึงไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายกท่อนฟืนชี้หน้าพลางตวาดดังลั่น

“เอ็งเป็นใคร! ปล่อยนางประเดี๋ยวนี้!”

“ข้ามิได้คิดทำร้ายนางดอกจ้ะ” ชายปริศนาเงยหน้าตอบสัปเหร่อด้วยท่าทางอ่อนล้า ก่อนจะวางร่างของนวลลงอย่างเบามือ “ข้าเดินทางมาพร้อมกับนาง แต่ถูกพวกโจรมันทำร้ายจนเกือบตาย แต่เหตุเรือล่มเมื่อคืนก็มิได้มีเพียงเราสองคนที่รอดชีวิต แต่พวกคนร้ายบางคน…มันก็รอดมาได้เช่นกัน”

ร่างสูงเงยหน้าสบตาสัปเหร่ออยู่นานโข ก่อนจะพนมมือขอร้อง

“ได้โปรด…ลุงช่วยข้าทีเถิดหนา”

 

เมื่อชายหนุ่มบอกเล่าเรื่องราว สัปเหร่อจึงปล่อยศพนายกล่ำทิ้งไว้แล้วพาเขาไปซ่อนตัวในกระท่อมท้ายป่าช้า ก่อนจะวิ่งไปบอกหญิงชาวบ้านให้พานวลกลับกุฏิแม่ชีโดยเร็ว ร่างสูงของชายหนุ่มนั่งพิงประตูกระท่อมพลางหายใจเหนื่อยหอบ รอยแผลฉกรรจ์กลางลำตัวยังมีเลือดซึมออกเป็นระยะ สัปเหร่อจึงหาผ้าสะอาดมาช่วยกดไว้เพื่อห้ามเลือด

“แล้วเอ็งเป็นใครมาจากไหนรึ เหตุใดถูกทำร้ายปางตายเช่นนี้เล่า”

“พวกข้ามาจากสวรรคโลกจ้ะ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงแหบแห้ง ความเจ็บปวดบนบาดแผลทำให้เจ็บจนแทบทรงตัวไม่ไหว “ข้าชื่อขวัญ…เป็นช่างปั้นเครื่องสังคโลกที่นำสินค้าลงเรือมาขาย เรือของพวกข้ามิได้ล่มเพราะพายุดอก แต่เพราะถูกดักปล้นมาตลอดทางด้วย ข้าเห็นหน้าพวกมัน…สู้กับพวกมัน…จนกระทั่งเห็นว่าพวกมันเป็นใคร พวกมันจึงตามฆ่าปิดปาก”

“อย่างนั้นดอกรึ! มิน่าเล่า…ข้าจึงเห็นศพมีรอยแผลเต็มไปหมด”

สัปเหร่อออกความเห็นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “หากเป็นอย่างเอ็งว่า ศพที่ข้าฝังไปแล้วก็คงมีพวกโจรด้วย แต่ก็แปลกนักที่พวกมันกล้าปล้นในเขตพระนครเช่นนี้ ข้าว่าพวกโจรมิใช่คนแถวนี้แน่”

“มิใช่คนกรุงศรีดอก” พ่อขวัญเม้มปากแน่นพยายามอดกลั้นความเจ็บปวด นัยน์ตาคมยังเต็มไปด้วยความแค้น “โจรพวกนี้มันมาจากสวรรคโลกพร้อมกัน ข้ารู้ว่ามันเป็นใคร…แลจนถึงตอนนี้มันก็ยังซ่อนตัวอยู่ในกรุงศรี”

“แล้วเอ็งจักทำอย่างไรต่อไปเล่า ให้ข้าไปบอกแม่หญิงหรือไม่ว่าเอ็งยังมิตาย”

พ่อขวัญฟังคำถามก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที แม้อยากให้นวลรู้สักเพียงใดก็ไม่อาจทำได้ เพราะหากพวกคนร้ายรู้ว่าเขายังไม่ตายคงบุกมาทำร้ายซ้ำสอง

เขาคือชายคู่หมายของนวล มีฤกษ์มงคลสมรสในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่น่าเสียดายนักที่มาเกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน แม้อยากกลับไปหาเธอสักเพียงใด…แต่ก็รู้ว่าคงไม่เป็นผลดีสักเท่าใดนัก

ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญอยู่นานโข ก่อนจะกล่าวตอบเสียงเบา “ข้าขอซ่อนตัวที่นี่ก่อนเถิดหนา…อย่าเพิ่งให้ใครรู้ว่าข้ายังมิตาย ไว้ดีขึ้นกว่านี้ข้าจักกลับไปหานางเอง”

 

ยามราตรี ณ ชายป่านอกเมืองก็ดูวังเวงไม่แตกต่างกันนัก ในป่านั้นมีกลุ่มโจรเกือบสิบคนกำลังนั่งสนทนา ต่างคนต่างแต่งกายมิดชิดมีผ้าโพกศีรษะปิดบังใบหน้า นอกจากชายฉกรรจ์เหล่านี้แล้ว…ยังมีแม่วาดอยู่ในกลุ่มพวกมันด้วย หญิงสาวนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ถูกมัดสองมือไว้ไม่ให้หลบหนี

“พวกเอ็งเห็นศพมันหรือไม่…” มีเสียงกล่าวถามเมื่อชายหนุ่มอีกสองคนตามมาสมทบ

“ไม่เห็น ไม่รู้ไอ้ขวัญมันไปตายที่ใด”

ชายทั้งสองเอ่ยตอบแล้วนั่งล้อมวงด้วย “ข้าแอบไปดูศพก่อนชาวบ้านจักช่วยกันฝัง ขาดศพไอ้ขวัญเพียงคนเดียวเท่านั้น หรือบางครามันอาจยังมิตาย…แต่มันถูกฟันแผลเหวอะหวะถึงเพียงนั้น ต่อให้หนีไปได้ก็คงมิรอดดอก”

“เช่นนั้นพวกเรากลับสวรรคโลกกันดีหรือไม่”

“ยังกลับมิได้…” นายสินผู้เป็นหัวหน้าโจรกล่าวตอบทันที “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเห็นศพมันเสียก่อน มันเห็นหน้าข้า…มันรู้ว่าข้าคือใคร ข้าต้องมั่นใจว่ามันจักมิตามมาแว้งกัดภายหลัง”

“กังวลเรื่องนั้นไปไยเล่า…ต่อให้มันรอดตายไปแจ้งทางการก็คงไม่มีใครเชื่อเพราะไร้หลักฐาน สุดท้ายมันก็เอาผิดพวกเรามิได้”

“ข้ามิเป็นห่วงเรื่องมันจักไปแจ้งทางการดอก” นายสินผู้เป็นหัวหน้าโจรกล่าวตอบอีกครั้ง “พวกเอ็งลืมไปแล้วรึว่าไอ้ขวัญมันมีพรรคพวกที่สวรรคโลกอยู่มากโข ข้าทำมันเจ็บจนเอาชีวิตแทบมิรอดเช่นนี้…หากมันกลับไปได้มีหรือจักมิตามมาล้างแค้น”

“แล้วแม่นวลลูกไอ้กล่ำเล่า…จักเอาอย่างไร”

นายสินได้ยินคำถามก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกสุราขึ้นมาดื่มอีกครั้ง “ก็ช่างมันปะไร…หรือหากพวกมึงเสียดายก็ไปฉุดมาบำเรอสักคืน”

“ชาติชั่ว…” แม่วาดทนฟังอยู่นานโขจึงเอ่ยลอดไรฟันด้วยความโกรธ แม้ตนจะถูกมัดมือเท้าทั้งสองข้าง แต่เธอก็ไม่ได้เกรงกลัวพวกโจรเลยสักนิด เพราะรู้ดีว่านายสินหัวหน้าโจรนั้นมีใจรักเธอมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงอย่างไรพวกมันก็ไม่กล้าทำร้าย “คนกระไรใจหยาบดังสัตว์เดรัจฉาน ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องร่วมสายเลือด อีกทั้งหลานแท้ๆ ของตนยังกล้า…”

“หุบปาก!”

“ทำไม ทนฟังมิได้รึ” แม่วาดเหยียดยิ้มหยัน “ยิ่งทำเช่นนี้ข้ายิ่งเกลียดนัก ยิ่งเห็นธาตุแท้ของพี่ข้ายิ่งรังเกียจเต็มทน แล้วคิดรึว่าหากฆ่าพี่กล่ำได้แล้วข้าจักยอมเป็นเมียพี่ หากข้าคิดจักเลือกพี่…ข้าคงเลือกเสียตั้งนานแล้ว!”

นายสินได้ฟังคำจึงผุดลุกจากวงเหล้าแล้วเดินปรี่เข้ามาหาด้วยแรงโทสะ มือหนึ่งเชยคางเธอขึ้นสบตาพลางตวาดเสียงกร้าว “กูกับไอ้กล่ำตัดขาดความเป็นพี่น้องกันเสียนานแล้ว อีนวลย่อมมิใช่หลานของกูอีกต่อไป เหตุที่ชีวิตกูต้องฉิบหาย ต้องกลายเป็นโจรป่าเช่นนี้ก็เพราะพ่อมันทั้งสิ้น! อีนวลจักเป็นตายร้ายดีก็ช่างมันประไร! มิใช่กงการกระไรของกู!”

 



Don`t copy text!