บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 1 : ตำหนักเหนือเทวะ

บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 1 : ตำหนักเหนือเทวะ

โดย : เหย่หวา

Loading

บันทึกดาราเร้นฟ้า นวนิยายออนไลน์โดย เหย่หวา นวนิยายจีนโบราณที่เล่าถึงการเดินทางของเอ้อฉิงซวงเพื่อตามหาของวิเศษ และทำให้เธอได้พบกับชิวหยางจื้อ จอมยุทธ์ยาจกที่จะว่าเป็นวาสนาพานพบก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เธอกับเขาก็คงไม่ตีกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าหรอก นิยายสนุกๆ เรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอา

****************************

– 1 –

“ชีวิตธิดาข้าอยู่ในเงื้อมมือแม่นางเอ้อแล้ว ขอท่านโปรดเมตตา”

สิ้นเสียงครวญคร่ำราวสัตว์บาดเจ็บ สตรีวัยกลางคนพลันทิ้งตัวกับพื้น โขกศีรษะแก่หญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เอ้อฉิงซวงตกใจยิ่ง รีบคุกเข่าข้างกายนาง

“จี๋ฮูหยินโปรดอย่ากระทำเช่นนี้ ผู้เยาว์มิอาจรับ”

“หากท่านไม่รับปาก ข้าจะไม่ขอลุกขึ้นอีก!”

บุรุษผู้ยืนเยื้องหลังจี๋ฮูหยินแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาแต่งกายชุดรัดกุมเนื้อผ้าชั้นดี แขวนดาบข้างเอว ผมแถวขมับและหนวดเคราเริ่มหงอกขาว ดูแก่วัยกว่าภรรยาตนเองนัก

“ฮูหยิน เจ้าลุกขึ้นเถิด อย่าทำให้ศิษย์ของเจ้าตำหนักเว่ยลำบากใจ”

หญิงวัยกลางคนหันไปคว้าชายเสื้อสามีในท่าคุกเข่า “ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ บารมีมากล้น กลับมิอาจคุ้มครองชีวิตธิดาตนได้”

“ไฉนกล่าวเช่นนั้น! ข้าล้วนห่วงใยซูเอ๋อมิแพ้เจ้า ข้า…” คล้ายมีก้อนจุกลำคอ มิอาจเปล่งวาจาแม้ครึ่งคำ

สองสามีภรรยาทำให้เอ้อฉิงซวงถอนใจหน่วงหนัก เงยหน้ามองป้ายไม้ที่แขวนบนขื่อในห้องโถง ตัวอักษรคมกล้ากระแทกสายตาโดยพลัน

ตำหนักเหนือเทวะ

ตำหนักเหนือเทวะเป็นที่พำนักของเว่ยซือไฉอาจารย์นาง ผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าของตำหนักซึ่งขึ้นชื่อว่ารวบรวมของวิเศษทั่วหล้าไว้มากที่สุด จึงเป็นสถานที่ดึงดูดผู้คนอยากแวะเยี่ยมเยือนมากที่สุดเช่นกัน บ้างมาเพื่อขอชมดูสมบัติซึ่งสร้างไว้เพียงชิ้นเดียวในโลก บ้างมาเพื่อขอหยิบยืมของวิเศษใช้สอย บ้างมาเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สิน ล้วนแล้วมีเหตุผลต่างๆ นานา

เจ้าตำหนักเหนือเทวะคนปัจจุบันยังมากความสามารถ ครั้งหนึ่งฮ่องเต้ทรงเคยเชื้อเชิญถึงสามรอบกว่าเว่ยซือไฉจะยอมเดินทางเข้าวังหลวง สนทนาแลกเปลี่ยนบทกวีกับพระองค์หนึ่งวันเต็ม ข่าวลือว่าทรงโสมนัสล้นเหลือ ถึงกับทรงตวัดพู่กันเขียนป้ายชื่อตำหนักเหนือเทวะให้ด้วยพระองค์เอง ปัจจุบันป้ายนั้นถูกแขวนไว้เหนือประตูทางเข้าตำหนัก ส่วนป้ายเดิมได้ย้ายมาเก็บที่ห้องโถงแห่งนี้

คนในตำหนักล้วนภาคภูมิต่อรางวัลพระราชทาน เมียงมองชื่นชมเป็นประจำ เอ้อฉิงซวงเองมักคอยพิจารณาป้ายนั่นเช่นกัน แต่ทุกครั้งเป็นต้องแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากเผามันเสียวันละหลายครา

ด้วยชีวิตนางเคยราบรื่นดุจธารใสไหลเอื่อยชั่วนาตาปี จู่ๆ ฮ่องเต้ก็พระราชทานเขาไท่ซานตูมกลางลำน้ำ เอ้อฉิงซวงแม้ไม่ถูกทับร่างแหลกก็ยังเกือบจมน้ำตาย

ป้ายนั่นกระทำการใดหรือ เรียบง่ายมาก มันทำให้อาจารย์นางเผยธาตุแท้อย่างเต็มอกเต็มใจยิ่ง

เว่ยซือไฉมีนิสัยโดดเด่นคือขี้รำคาญ การต้องคอยต้อนรับอาคันตุกะที่ผลัดกันแวะเวียนตำหนักทุกวี่วัน ทรมานยิ่งกว่ากลืนเข็มพันเล่มเสียอีก แต่เมื่อป้ายพระราชทานยกฐานะตำหนักขึ้นสูงลิบ เว่ยซือไฉเผยรอยยิ้มชั่วร้ายสายหนึ่ง ออกคำสั่งปฏิเสธทุกคำขอเยี่ยมเยือน วันๆ ใช้ชีวิตแต่ในห้อง เสพสำราญกับสมบัติวิเศษ

ยิ่งเว่ยซือไฉรื่นเริงเท่าใด เหล่าอาคันตุกะล้วนร้าวรานเท่านั้น หลายคนมากล้นทั้งสมบัติบารมี จึงก่นด่าบ่าวไพร่ในตำหนักรุนแรง ผู้รับใช้น้ำตานองหน้า รุมล้อมอ้อนวอนนายท่านโปรดเปลี่ยนใจ เจ้าตำหนักเว่ยทนรำคาญไม่ได้เช่นเคย หันรีหันขวางสองสามตลบ พลันเลื่อนขั้นสาวใช้หน้าห้องเช่นนางขึ้นเป็นศิษย์คนแรก เอ้อฉิงซวงเพิ่งอ้าปากค้างยังไม่ทันจะหุบ นายท่านที่เปลี่ยนฐานะเป็นอาจารย์เรียบร้อย ก็ไล่นางบากหน้ารับรองแขกแทนตน

เว่ยซือไฉไร้ภรรยาลูกหลาน บิดามารดาสิ้นหมดแล้ว ด้วยฐานะศิษย์เพียงคนเดียวของเขา นางจึงเหมาะสมทำหน้าที่ต้อนรับบรรดาอาคันตุกะ เอ้อฉิงซวงต้องกลายเป็นสะพานเชื่อมสองฝั่งเพราะเหตุนี้เอง

“แม่นางเอ้อ” จี๋ฮูหยินส่งเสียงรันทด “ธิดาข้าป่วยด้วยโรคประหลาด แม้นมิได้หยกเพลิงน้ำค้างจากเจ้าตำหนักเว่ยคงเหลือเวลาไม่ถึงเดือน บุตรชายคนโตข้าสิ้นด้วยโรคเดียวกันไปแล้ว หากต้องสูญเสียอีกคง…” น้ำตาไหลอาบแก้ม “เมตตาผู้ต่ำต้อยด้วยเถิด”

นางยื่นหน้าเข้าหาเอ้อฉิงซวง เอื้อมดึงมืออีกฝ่ายมาบีบแน่น หยาดน้ำจากดวงตาจึงร่วงหล่นกระทบหลังมือเอ้อฉิงซวง ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะสะดุ้งคิดชักมือกลับ จนใจที่น้ำตาเบาดุจขนนก…กลับคล้ายดังหินถ่วงพันชั่ง (1) ยากขยับกายแม้เพียงเสี้ยว

เอ้อฉิงซวงเป็นกำพร้า ไม่เคยสัมผัสความรักจากบุพการี ไฉนเลยจะทราบว่าน้ำตาหนึ่งหยดของมารดานั้น ไยจึงหนักหนาสาหัสปานนี้

“ท่านคือฮูหยินของแม่ทัพจี๋ที่ชื่อเสียงเกรียงไกร โปรดอย่าเอ่ยคำผู้ต่ำต้อยให้ผู้เยาว์ลำบากใจเลย” เอ้อฉิงซวงเบือนหน้าหนี “แต่เมื่ออาจารย์ไม่ยินยอมมอบหยกแก่ใคร ผู้เยาว์ย่อมจนปัญญา”

แม่ทัพจี๋กัดฟันกรอด ทว่าฝ่ายภรรยายังมิยอมแพ้ “มีชีวิตเด็กคนหนึ่งเป็นเดิมพันไยเจ้าตำหนักนิ่งดูดาย ขอแม่นางเมตตาช่วยอธิบายให้ท่านผู้เฒ่าฟังอีกครั้งด้วย”

เอ้อฉิงซวงถอนใจหนักหน่วง แน่นอนว่าระดับเว่ยซือไฉย่อมมิใช่จะยินยอมตามความต้องการของแขกทุกคน คำปฏิเสธล้วนเป็นสิ่งปกติ ทว่าสมัยที่เขายังคงรับรองแขกด้วยตนเอง หากเอ่ยปัดต่อหน้าย่อมสร้างความกระอักกระอ่วน จึงกระทำอย่างโยกโย้มากมารยาท บางครั้งโดนอ้อนวอนหนักอาจยอมเปลี่ยนใจบ้าง แต่ครั้นภาระตกอยู่กับสองบ่าลูกศิษย์ เว่ยซือไฉสามารถเอ่ยปฏิเสธด้วยสีหน้าเกียจคร้าน พูดจบค่อยตลบผ้าห่มคลุมร่างหลับต่อ ไม่สนใจไยดีนางสักนิด

แม่ทัพจี๋กล่าวเสียงล้า “หมอเคยวินิจฉัยว่าบุตรทั้งสองเป็นโรคที่ถ่ายทอดจากข้าและภรรยา แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดกับบุตรทุกคน ลูกสาวคนโตข้ารอดพ้น เติบใหญ่อย่างแข็งแรง แต่ลูกชายคนโตอาการกำเริบเมื่ออายุครบสิบขวบ อยู่ไม่ถึงปีก็สิ้น ยามนี้ลูกสาวคนรองตามรอยพี่ชายมาติดๆ เพิ่งสิบขวบกลับต้องทรมานรอความตาย บิดาเช่นข้าเฝ้าดูลูกเป็นเช่นนั้นเพราะตนเอง ช้ำใจยิ่งกว่าตกนรก”

จี๋ฮูหยินปาดน้ำตาเล่าบ้าง “ตอนลูกชายคนโตป่วยพวกเรายังไม่ทราบสาเหตุ จนถึงลูกสาวคนรองจึงพบหมอเก่งฉกาจ ท่านหมอปรุงยาไว้ตำรับหนึ่ง ทว่าตัวยามีพิษ ต้องอาศัยหยกเพลิงน้ำค้างที่มีเพียงชิ้นเดียวในหล้า ใส่ลงไปในยาดูดซับพิษก่อนจึงป้อนคนป่วยได้ พวกเราขอหยิบยืมหยกแค่ชั่วคราว แม้นเจ้าตำหนักต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนเราพร้อมสนองทุกอย่าง แม่นางเอ้อเมตตาด้วย”

พบกันไม่ถึงชั่วยาม (2) จี๋ฮูหยินใช้คำ “เมตตา” นับสิบเที่ยว แต่คราวนี้เอ้อฉิงซวงอยากเอ่ยว่า “ไม่” เพิ่มสักหน…กลับทดท้อจนปัญญา

“เอาเถิด จี๋ฮูหยินโปรดลุกขึ้นก่อน ผู้เยาว์จะลองพูดกับอาจารย์อีกสักครั้ง”

สองสามีภรรยาหน้าเบิกบาน เอ้อฉิงซวงหมุนตัวเดินเข้าด้านในคฤหาสน์ จี้เงินประดับเอวรูปกระดองเต่าเกล็ดหกเหลี่ยม สัญลักษณ์ตำหนักเหนือเทวะแกว่งไกวตามจังหวะก้าว พ่อบ้านเถาหัวหน้าผู้ดูแลเรือนคอยตามหลัง แล้วเร่งฝีเท้ามาเดินเคียงข้างนาง กล่าวเสียงเบา

“ไฉนรับปากพวกเขา”

นางปรายตามองพ่อบ้านวัยกลางคน ร่างผอมราวตะเกียบแต่คอเชิดตรงตลอดเวลา หากนับเฉพาะอำนาจภายในตำหนัก เขาผู้นี้คงเป็นรองแค่เว่ยซือไฉเท่านั้น

“อาจารย์มิใช่ไม่เคยเปลี่ยนใจมาก่อน”

“ทว่าตั้งแต่นายท่านรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้ายังไม่เคยเห็นท่านเปลี่ยนใจแม้สักหน”

“นั่นมิได้แสดงว่าจะไม่มีหนแรก” ปากกล่าวหนักแน่น ใจกลับสั่นคลอนลังเล คนในตำหนักล้วนทราบดี ช่วงหนึ่งปีหลังนี้อาจารย์มักปฏิเสธคำขอของอาคันตุกะทุกคน นั่นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มิหนำซ้ำอารมณ์ท่านผู้เฒ่ายังแปรปรวนสุดคะเน เริ่มหลงลืมพูดจาวกวน หมอที่เชิญมารักษาชี้แจงว่าเป็นตามวิสัยคนอายุมาก วงจรเลือดและลมปราณเริ่มติดขัด ให้ยาเพียงทุเลาไม่เน้นหายขาด

“สุขภาพของนายท่านสมควรพักผ่อน คิดหรือข้าจะยอมปล่อยเจ้ารบกวนท่านด้วยเรื่องไร้สาระ”

เอ้อฉิงซวงฝืนยิ้ม ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับพ่อบ้านเถากระทบกระทั่งดั่งคลื่นใต้น้ำ ด้วยเอ้อฉิงซวงถูกเลื่อนฐานะข้ามหัวเขา พ่อบ้านมิอาจทำใจยอมรับ นางพยายามอ่อนข้อแล้วอีกฝ่ายกลับเพิกเฉย จึงขัดแย้งกันเสมอมา

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะกลอกตาเที่ยวหนึ่งค่อยเอ่ยแช่มช้า “เมื่อวานแม่ครัวบ่นว่าข้าวสารสำหรับหุงให้บ่าวคุณภาพแย่กว่าเดือนก่อนมาก พ่อบ้านเถาเปลี่ยนพ่อค้าเจ้าที่ติดต่อซื้อข้าวอีกแล้วหรือ”

คนฟังคิ้วกระตุก “เจ้านี้ราคาถูกกว่า”

“แตกต่างแค่ไม่กี่อีแปะ ด้วยราคานี้เจ้าอื่นคุณภาพข้าวยังสูงกว่ามาก” นางย้อนเสียงเรียบ “ท่านจะนำญาติพี่น้องมาผูกขาดการส่งของเข้าตำหนักย่อมแล้วแต่ท่าน ทว่าก็สมควรดูแลสินค้าให้ดี ข้าขอเพียงแค่นี้”

พ่อบ้านทำท่าฮึดฮัด เชิดหน้าเดินหนีไป เอ้อฉิงซวงลอบส่ายศีรษะ นางเคยลองเกริ่นถึงพฤติกรรมของพ่อบ้านเถากับอาจารย์ แต่ท่านไม่ใส่ใจเลย ตัดบทว่าหากไม่กระทำอย่างน่าเกลียดนักก็ปล่อยไป นางพอเข้าใจความคิดท่าน อาจารย์รังเกียจเรื่องหยุมหยิมประเภทนี้ ทั้งเงินทองท่านมากมายจนสิ่งที่พ่อบ้านเถากระทำก็เสมือนขโมยน้ำจากมหาสมุทร ข้อสำคัญ…พ่อบ้านเถาดูแลอาจารย์มายาวนาน รับมือนิสัยแปลกประหลาดของท่านได้เป็นอย่างดี อาจจะดีกว่าทุกคนในตำหนักเสียด้วยซ้ำ อาจารย์จึงยอมเปิดตาข้างปิดตาข้างให้เสมอมา

แต่ก็ใช่ว่านางจะใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้ เอ้อฉิงซวงคิดอย่างกระหยิ่ม ก่อนชะงักฝีเท้าที่หน้าห้องอาจารย์ ท่าทางเชื่อมั่นยามอยู่ต่อหน้าพ่อบ้านเถาละลายหาย ดวงตากลมโตหรี่แคบ นึกถึงสมัยเด็กที่อาจารย์เรียกนางไปพบอย่างเป็นทางการครั้งแรก

 

เว่ยซือไฉช้อนคางกลมป้อมขึ้นพินิจ วิจารณ์เสียงดัง “นางหนูหน้าตาจิ้มลิ้มพอใช้ โชคดีมีดวงตางดงามเป็นจุดเด่น ข้าเคยออกล่าสัตว์หลายปีมาแล้ว พอเจอกวางจึงรีบโก่งธนู เจ้ากวางหนุ่มแทนที่จะหนีดันหันมาจ้องข้าดุจไม่กลัวตาย เขาบนหัวสูงแหลมแผ่กว้างสวยงามจับใจยิ่ง แต่ข้ากลับสะดุดเข้าที่ดวงตากลมโตของมัน ช่างเหมือนนัยน์ตาเจ้าไม่มีผิด พราวระยับดุจราตรีประดับดาว ยามกะพริบขนตางอนโบกสะบัดราวปีกผีเสื้อ ข้าชื่นชมจนสุดพรรณนา คิดเพียงหากเจ้าของดวงตาต้องสิ้นชีพในเวลาอันสั้น คงเป็นที่เสียดายแก่โลกหล้า”

กล่าวจบเว่ยซือไฉพลันเงียบไปนาน เอ้อฉิงซวงเริ่มลังเล ยามนั้นนางเป็นเด็กไร้ที่พึ่ง หวังเพียงเอาใจใครสักคนเพื่อเลี้ยงชีวิต จึงรีบกล่าวประจบ

“และด้วยท่านเจ้าตำหนักมากเมตตา จึงปล่อยกวางหนุ่มมีชีวิตสืบไปใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เว่ยซือไฉหัวเราะลั่น “ข้าปล่อยลูกศรเสียบอกมัน เจ้ากวางพ่นเลือดสองสามทีก็ขาดใจตาย”

 

เวลานี้ที่หน้าห้องของอาจารย์ เอ้อฉิงซวงระบายลมหายใจยาว ร้องขออนุญาตก่อนเปิดประตู

เว่ยซือไฉกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่ตั่งกว้าง พนักสามด้านแกะสลักรูปเถาวัลย์พันเลื้อย อ่อนช้อยเหมือนจริงดั่งพร้อมจะเติบโตงอกยอด ผ้าม่านกางโอบรอบตั่ง แหวกด้านหน้าเป็นช่อง ม่านโปร่งทอด้ายเลื่อมระยับแฝงในผืนผ้า มองทะลุเสมือนแลผ่านหมอกกระทบแดดยามเช้า บรรยากาศเพริศพรายดั่งวิมานสวรรค์

ท่านผู้เฒ่าสวมชุดไหมดำปักดิ้นทองลายประแจจีนเมฆาเขียว คิ้วหนาจมูกเป็นสันแฝงความคมคายแม้วัยชรา เคราขาวยาวถึงกลางอก เขาหลับตาเอียงหูยังตุ๊กตากลที่ตั้งวางข้างกัน หุ่นไม้ไร้ชีวิตรูปร่างเลียนแบบเด็กสาวนั่งพับขา บรรเลงผีผา (3)  รวดเร็วแพรวพราว หากไม่มองคงนึกว่าผู้เล่นเป็นนักดนตรีช่ำชอง

เอ้อฉิงซวงก้มศีรษะลง แลเห็นคิ้วโก่งดำขลับ ริมฝีปากแดงระเรื่อ แก้มนวลปัดแป้งประทินโฉมไว้อย่างดี เด็กน้อยจิ้มลิ้มในวันนั้น…เติบโตงดงามยิ่งแล้วในวันนี้ แต่ความรู้สึกยามเมื่อนางมองอาจารย์ แทบไม่เคยแปรเปลี่ยนจากเด็กน้อยผู้เงยหน้าตามนิ้วที่ช้อนคางขึ้น มิกล้าจับจ้องเทพยดาผู้นั้นให้เต็มตา

นางทราบว่าเพลงใกล้จบแล้ว จึงเตรียมคุกเข่ารอหน้าตั่ง ยามสะบัดกระโปรงย่อกาย เสื้อคลุมบางเบาราวปีกจักจั่นพลันพลิ้วไหวแผ่เป็นวงบนพื้นรอบตัว ชุดสีฟ้าอ่อนริมชายปักลายดอกบัว คล้ายนางประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องตั้งกลางสระบัวชูช่อ วิจิตรเพริศแพร้วราวเทพเซียนบรรจงปั้น ทุกสิ่งรอบกายเว่ยซือไฉล้วนต้องเป็นเช่นนี้ งดงามเลิศเลอไร้ตำหนิ ห้ามผิดพลาดแม้สักเศษเสี้ยว

เมื่อทำนองบรรเลงสิ้นสุด เว่ยซือไฉค่อยลืมตา “บทเพลงแสนไพเราะ เจ้าดันทำหน้าเหมือนได้ยินเสียงเคาะมู่อวี๋  (4) ไร้สุนทรียภาพนัก”

“บทเพลงลึกซึ้งยิ่ง จนใจด้วยศิษย์ด้อยปัญญา ไม่อาจเข้าถึงได้เหมือนอัจฉริยบุรุษเช่นอาจารย์ จึงทำหน้าเสียดาย”

“สงสัยนัก ใครสอนเจ้าประจบเอาใจ”

“อาจารย์สั่งสอนศิษย์มากมาย เรื่องเดียวที่ไม่เคยสอนคือการโกหก แม้นศิษย์รู้จักประจบเอาใจ…แต่ย่อมมิใช่คำโป้ปด”

ผู้อาวุโสเผยอยิ้ม “มีอันใดก็ว่ามา”

เอ้อฉิงซวงมองรอบห้องที่ทึมทึบเล็กน้อย “เข้าฤดูสารทแล้ว ใบไม้เปลี่ยนสีในสวนงดงามสุดพรรณนา อาจารย์น่าจะลองเดินเล่นดูสักครู่”

“ข้าเมื่อยขบขี้เกียจขยับตัว เจ้าอุตส่าห์มารบกวนข้าด้วยเรื่องเท่านี้รึ”

นางรีบก้มหน้า “เรียนอาจารย์ แม่ทัพจี๋ยอมลดศักดิ์ศรีคำนับอ้อนวอน เพราะต้องการหยกเพลิงน้ำค้างไปดูดซับพิษช่วยชีวิตธิดา เด็กน้อยไร้เดียงสานัก ขออาจารย์โปรดเมตตาสักครั้ง”

เจ้าตำหนักหันศีรษะมา นางสบดวงตาฝ้าฟางของคนตรงหน้าแล้วใจหาย อาจารย์แก่ชราลงมาก ทั้งไร้ผู้สืบสกุล ตำหนักเหนือเทวะเริ่มก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงทีละน้อย เพียงหวังอย่าให้รวดเร็วเกินไปนัก

เว่ยซือไฉยกมือเขี่ยจมูก เอ้อฉิงซวงรีบลุกไปจุดกำยานในกระถางสำริด ควันสีเทาลอยอวลก่อนจางหาย ทิ้งแค่กลิ่นหอมที่ผสมไว้โดยเฉพาะ เว่ยซือไฉพยักหน้าพอใจ

“เด็กนั่นอายุกี่ปี”

“ย่างสิบขวบเท่านั้น”

“สิบขวบ” นิ้วเหี่ยวย่นเคาะกับตั่งเป็นจังหวะ “เจ้ารู้หรือไม่ ความพิเศษของหยกเพลิงน้ำค้าง”

“ยามกุมหยกไว้คราแรกสัมผัสความร้อน ชั่วครู่แปรเป็นความเย็น เดี๋ยวอุ่นเดี๋ยวหนาวสองด้านตรงข้ามสลับไปมาด้วยเวลาเท่ากันอย่างน่าอัศจรรย์ เปรียบหยกเสมือนตัวแทนแห่งหยินหยาง”

“ใช่ หยกมีอายุนับร้อยปี คุณสมบัตินี้กลับมิเคยเปลี่ยนแปลง แต่หากใช้หยกดูดพิษ สมดุลแห่งหยินหยางจะโดนขัดขวางแปรผัน ต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะคืนสภาพเดิม น่าเสียดายนัก”

เอ้อฉิงซวงทิ้งตัวคุกเข่า คำนับอ้อนวอน “แต่แลกกับชีวิตเด็กคนหนึ่ง นับว่าเหมาะสม”

“เหมาะสมหรือ เฮอะ!” ชายชราแค่นเสียง นัยน์ตาฝ้าฟางผุดเส้นเลือดแดงก่ำ “เด็กนั่นรอดตายครั้งนี้จะอายุยืนยาวสักกี่ปี สุดท้ายก็ยังคงต้องตาย เทียบแล้วหยกเพลิงน้ำค้างอีกร้อยปีพันปีย่อมคงอยู่ด้วยคุณสมบัติเช่นเดิม หาเทียบเทียมกันได้ไม่ เจ้ากลับไปบอกแม่ทัพจี๋เถอะ ธิดาเขามีวาสนาเพียงเท่านี้แล้ว”

“อาจารย์…”

“ข้าไม่ตะเพิดเจ้าพ้นหน้าตั้งแต่เอ่ยขอร้องคำแรก ก็ถือว่ายกย่องแม่ทัพใหญ่มากแล้ว หรืออยากให้ข้าอารมณ์เสีย!”

นางก้มหน้ากัดฟัน พักใหญ่ค่อยลุกยืน “ศิษย์จะชี้แจงแม่ทัพจี๋ตามคำสั่ง ว่าแต่เมื่อครู่จุดกำยานเหมยหิมะพบเห็นกำยานเหลือน้อยแล้ว จะไปนำมาเพิ่มเตรียมไว้แก่อาจารย์”

กำยานเหมยหิมะเป็นเว่ยซือไฉคิดสูตรขึ้นมาเองด้วยวัตถุดิบล้ำค่าหายาก กลิ่นหอมเฉพาะตัว ถ้าหลุดไปในท้องตลาดจำนวนแค่ครึ่งชั่งก็ราคาหลายร้อยตำลึงแล้ว จึงต้องเก็บรักษาในคลังสมบัติเหนือเทวะ เว่ยซือไฉล้วงหยิบป้ายหินอนุญาตผ่านเข้าคลังสมบัติ มอบให้แก่ศิษย์

 

คลังสมบัติของตำหนักเหนือเทวะเป็นถ้ำตรงตีนเขาสูง อยู่ทางด้านหลังของหมู่ตึก บรรพบุรุษเว่ยซือไฉสร้างกำแพงล้อมรอบปากถ้ำไว้แน่นหนา มีกลไกและยามรักษาการณ์หลายสิบคนคอยปกป้อง หากปราศจากป้ายหินประจำตัวเว่ยซือไฉ แม้ยุงสักตัวก็ยากบินผ่าน แต่เมื่อล่วงพ้นประตูเข้ามาภายในถ้ำกลับไร้ยามรักษาการณ์ ทั้งยังแบ่งเป็นหลายห้อง แต่ละห้องฝังกลไกการเปิดเฉพาะตัว ในตำหนักมีผู้ล่วงรู้กลไกแค่ไม่กี่คน และในบรรดาคนเหล่านั้น มีเพียงนางกับอาจารย์จึงสามารถเปิดประตูได้ครบทุกห้อง

เอ้อฉิงซวงหยิบกำยานเหมยหิมะเรียบร้อยแต่ยังไม่ยอมจากไป กลับจงใจเปิดห้องอีกแห่งหนึ่ง เดินไปถึงที่ตั้งของรัตนชาติขาวขุ่นทรงกลม มีจุดละเอียดสีดำปนจางๆ ทั่วทั้งก้อน ขนาดประมาณหัวแม่โป้ง ลองวางบนฝ่ามือให้สัมผัสไหลลื่นจนกลิ้งไปมาได้ นั่นย่อมเป็นหยกเพลิงน้ำค้าง

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะหลับตาลง ยากระบุว่าหากจี๋ฮูหยินมิได้หลั่งน้ำตาใส่มือนาง เหตุการณ์จะผิดแผกไปจากนี้หรือไม่ ที่ทราบชัดมีเพียงในความทรงจำ ยังคงประทับแน่นด้วยรอยยิ้มของอาจารย์ยามรับเด็กกำพร้าคนหนึ่งมาดูแล แต่ท่านผู้เฒ่าที่เกรี้ยวกราดหวงสมบัติราวคนบ้า…นางเสมือนไม่รู้จักแม้แต่น้อย

เอ้อฉิงซวงสอดหยกใส่กระเป๋าในชายแขนเสื้อยาว หมุนตัวไปทางทิศที่ตรงกับห้องของเว่ยซือไฉ หมอบคำนับโขกศีรษะเต็มพิธีการ

“อาจารย์ ศิษย์เป็นกำพร้าแต่ได้ท่านดูแลประดุจบิดาคนหนึ่ง จึงพอกระจ่างถึงสายใยระหว่างครอบครัว ครานี้ถูกน้ำตาหนึ่งหยดของมารดาล่อลวงจนฝืนขัดคำสั่งท่าน หลังจากนำหยกมาคืนที่แล้ว ยินดีรับโทษไม่เกี่ยงงอน”

นางหมอบคำนับอยู่อย่างนั้น เนิ่นนานจนไหล่ที่สั่นสะท้านเริ่มไม่ไหวติง จึงยอมลุกขึ้นอีกครา

ยามกลับไปที่ห้องเว่ยซือไฉ สาวใช้แจ้งว่าพ่อบ้านเพิ่งนำยามาให้ เจ้าตำหนักดื่มเสร็จก็เอนหลังพักผ่อนแล้ว เอ้อฉิงซวงพยักหน้ารับทราบ เนื่องจากพ่อบ้านเถามีมารดาเป็นโรคเดียวกับเว่ยซือไฉ ดังนั้นคุ้นชินและรู้จักแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ จึงรับหน้าที่ดูแลการรักษาเว่ยซือไฉมาตลอด เท่าที่เห็น เขาเอาใจใส่เจ้าตำหนักยิ่งกว่ามารดาตนเองเสียอีก

เมื่ออาจารย์พักผ่อนนางย่อมไม่กล้ารบกวน เพียงฝากกำยานให้สาวใช้ดูแลต่อ กำชับว่า “ตอนเปิดกระถางกำยาน ข้าเห็นรอยขี้เถ้าติดด้านในฝา บอกคนที่ทำหน้าที่ต้องระมัดระวังกว่านี้ อาจารย์รังเกียจสิ่งสกปรกยิ่งนัก หากผิดพลาดพวกเจ้าถูกทำโทษข้าคงช่วยไม่ได้”

ปกติใต้ฝากระถางกำยานจะมีใครมาใส่ใจ แต่เว่ยซือไฉย่อมมิใช่คนทั่วไป ทั้งโทษทัณฑ์ของตำหนักเหนือเทวะก็แปรปรวนตามอารมณ์เขา มิอาจคาดคะเนความหนักเบา ดังนั้นสาวใช้ถึงกับหน้าถอดสี

“ขอบคุณพี่ฉิงซวงที่ตักเตือน”

เอ้อฉิงซวงแยกตัวไปจัดการธุระอีกเล็กน้อยค่อยกลับห้องโถง แม่ทัพจี๋และภรรยาผุดลุกจากเก้าอี้ไท่ซือ (5) ที่นั่งรออย่างกระวนกระวาย รุดมาหาภายใต้สายตาเฝ้ามองของพ่อบ้านเถา นางฝืนยิ้ม

“ขออภัยทุกท่าน แต่อาจารย์ยังคงยืนกรานเช่นเดิม มิอาจแปรเปลี่ยนปณิธานของท่านได้”

จี๋ฮูหยินครวญคราง หมายจะเอ่ยขอร้องแต่สามีห้ามปรามไว้ “เจ้าอย่าเสียมารยาทมากกว่านี้ เมื่อตำหนักเหนือเทวะไม่ต้อนรับ เราก็กลับเถิด!”

“ประเดี๋ยวก่อนแม่ทัพจี๋ ผู้เยาว์สนใจดาบของท่านมาแต่แรกแล้ว อยากขอชื่นชมสักครั้งได้หรือไม่”

แม่ทัพใหญ่ขมวดคิ้ว แต่ยังยินยอมปลดอาวุธส่งให้ นางรับมาพินิจเนื้อโลหะถ้วนถี่ “ของชั้นดีจริงๆ วิธีการตีดาบเช่นนี้ต้องอาศัยความอดทนและสูตรลับเฉพาะ ช่างทั่วไปหมดปัญญาเลียนแบบ”

“เป็นของตกทอดในตระกูลข้า เคยดื่มเลือดหัวหน้าเผ่านอกด่านมาแล้วถึงสามคน ข้ายินดีแลกมันกับการหยิบยืมหยกแค่ชั่วคราว แต่คงมิอาจเทียบเคียงปณิธานของเจ้าตำหนักเหนือเทวะได้”

นางทำท่าคล้ายไม่ทันฟังคำประชด ค้อมตัวยื่นสองมือส่งอาวุธคืน เจ้าของดาบรับไปแล้วชะงักเล็กน้อย เอ้อฉิงซวงรีบประสานมือคำนับ นางมีชีวิตในแวดวงชาวยุทธ์ วิธีคำนับจึงไม่ใช้การย่อกายดั่งเช่นสตรีในห้องหอทั่วไป

“แม่ทัพจี๋มีธุระมากมายมิควรเสียเวลากับผู้เยาว์ ขอน้อมส่งเพียงเท่านี้”

แววตาขุนนางใหญ่ปรากฏความแปลกใจชั่วพริบตาก่อนวูบหาย สอดดาบเก็บใส่เข็มขัดอย่างแช่มช้า ฉุดรั้งภรรยาที่แสดงท่าไม่ยินยอมจากไป เอ้อฉิงซวงเหม่อมองตามหลังพวกเขา

“ไฉนเจ้าเอาแต่กำแขนเสื้อ”

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะสะดุ้ง เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอไผลจับหยกที่แอบซ่อนอยู่ จึงคลี่ยิ้มให้พ่อบ้านเถาที่เอ่ยทัก “ข้าก็กำลังจะรายงานท่านพอดี วันนี้ข้าขอไปเยี่ยมและค้างคืนที่สำนักชี ไม่ได้ไปนานแล้ว จึงเตรียมเงินไว้ซื้อข้าวสารให้ที่นั่นด้วย”

นางล้วงหยิบเงินจากกระเป๋าในแขนเสื้อแสดงให้ดู ตำหนักเหนือเทวะมั่งคั่งร่ำรวย นางซึ่งเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของเจ้าตำหนักย่อมรับเบี้ยหวัดสูงลิ่ว จึงมีเงินเก็บของตนจำนวนหนึ่ง ส่วนสำนักแม่ชีเคยมีบุญคุณช่วยดูแลเด็กกำพร้าเช่นเอ้อฉิงซวงสมัยก่อนจะเข้าตำหนักเหนือเทวะ พ่อบ้านทราบดีว่านางมักแวะเยี่ยมเพื่อช่วยเหลือตามกำลัง ดังนั้นจำต้องพยักหน้าอนุญาต หมุนตัวหนีเข้าด้านใน

เอ้อฉิงซวงลูบปลายแขนเสื้ออีกคราหนึ่ง เผยรอยยิ้มจนใจออกมา

แดดรอนยามสายันต์ไม่ร้อนจัด เอ้อฉิงซวงก้าวไปตามถนนในเมือง นางเปลี่ยนมาสวมเสื้อแบบธรรมดาแล้ว ตัวเดิมเป็นเสื้อคลุมบางราวปีกจักจั่น แทบไร้น้ำหนัก แต่ครั้นปลดเปลื้องพ้นกายคล้ายสองไหล่จะเบาหวิวขึ้นหลายเท่า ชวนให้หายใจคล่องอย่างประหลาด

แม่ทัพจี๋เดินทางมาเยือนตำหนักเหนือเทวะครานี้ไม่ได้พักที่โรงเตี๊ยม เนื่องจากพาคนมามากรวมทั้งธิดาที่กำลังป่วย จึงตัดสินใจเช่าบ้านหลังหนึ่ง ขณะที่นางกำลังประเมินทิศทางไปบ้านหลังนั้น ดันมีเสียงร้องลั่นขึ้นก่อน

“แม่นาง ระวัง!”

ม้าลากรถขนผักห้อตะบึงมาทางนาง มีพ่อค้าวิ่งตามหลังพลางตะโกนเตือน เอ้อฉิงซวงตกใจจนตัวแข็งทื่อ กลายเป็นเป้านิ่งเบื้องหน้าม้าที่กำลังคลุ้มคลั่ง!

ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งวูบขึ้นหลังม้า กระชากบังเหียนจนม้าวิ่งแฉลบผ่านตัวนางไป พลางปลอบให้มันสงบในที่สุด เจ้าของม้าดีใจเป็นล้นพ้น ปรี่เข้าหาม้าของตัว เอ้อฉิงซวงเพิ่งหายตกใจก็หมายจะไปขอบคุณผู้ช่วยชีวิตเช่นกัน แต่เมื่อเขาลงจากหลังม้ามาให้เห็นหน้านางกลับหยุดฝีเท้า เผยรอยยิ้มเย็นชา

“ที่แท้เป็นจอมยุทธ์ชิวที่ช่วยเหลือ ข้าสำนึกขอบคุณ”

ชิวหยางจื้อฉีกยิ้มตอบคำขอบคุณจากพ่อค้า อีกมือรับผักที่เขามอบให้แทนน้ำใจ ก่อนเดินมาหานาง เวลานี้เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วแต่เขายังสวมเสื้อผ้าเนื้อบาง ผู้อื่นอาจนึกชื่นชมจอมยุทธ์ร่างกายแข็งแรงไม่ใส่ใจลมหนาว ทว่านางทราบแก่ใจ เขาไม่มีเงินซื้อเสื้อต่างหากเล่า!

“พ่อค้าใจดีมากที่ให้ผักข้า จริงหรือไม่แม่นางเอ้อ”

“ช่วยคนเพื่อร้องขอสิ่งตอบแทน น่าอาลัยชื่อเสียงจอมยุทธ์คุณธรรม”

เขากัดหัวไชเท้ากร้วม เอ่ยหน้าตาเฉย “ชื่อเสียงมิอาจทำให้อิ่มท้องฉันใด คำแดกดันก็มิอาจทดแทนบุญคุณฉันนั้น”

มุมปากนางบิดเบ้ มิใช่เอ้อฉิงซวงไม่อยากตอบแทน ทว่าที่มาของชิวหยางจื้อช่างน่าระแวง เขาเป็นหนึ่งในผู้มาขอร้องตำหนักเหนือเทวะและได้รับคำปฏิเสธกลับไป แต่ยังดื้อด้านพัวพันไม่เลิกรา ตลอดกว่าห้าเดือนนางออกจากตำหนักเป็นต้องพบเขาเก้าในสิบครั้ง เพียรร้องขอพบอาจารย์ให้ได้ เอ้อฉิงซวงหรือจะกล้าเปิดช่องให้เขา

“พ่อค้า” นางร้องเรียกคนที่กำลังจะจูงม้าไป หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา “เท่านี้คงพอเหมาผักทั้งรถนั่น ช่วยนำไปส่งที่พักของจอมยุทธ์ชิวด้วย”

พ่อค้ารับเงินอย่างงุนงง ชิวหยางจื้อแหกปาก “ข้าไม่ต้องการผักมากมายปานนั้น!”

“ตอนท่านสยบม้าพยศ…ได้ถามข้าก่อนหรือไม่ว่าอยากให้ท่านช่วย ข้าเองตอบแทนบุญคุณ…หรือต้องเอ่ยถามท่านก่อนว่าต้องการอะไร”

กล่าวจบสะบัดหน้าจากไปทันที แต่พอถึงตลาดเริ่มระแวงชิวหยางจื้ออาจแอบติดตามมา จึงเดินเข้าร้านขายเครื่องประทินโฉมที่มีแต่ผู้หญิง ขออนุญาตเจ้าของร้านออกทางด้านหลัง ทำซ้ำโดยเปลี่ยนร้านอีกหลายรอบก็ทะลุถึงซอยเปลี่ยว บ้านเรือนเรียงรายหลายหลัง เหนือกำแพงสองข้างว่างโล่ง หากมีผู้ติดตามมานางต้องเห็น เมื่อสังเกตจนพอใจค่อยเคาะประตูหลังของบ้านเช่าแม่ทัพจี๋ ประตูเปิดกว้างแทบทันที นางผลุบเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ขุนนางใหญ่ยืนอยู่พร้อมชายสี่คน แต่งชุดราวคนรับใช้ทว่ารูปร่างกำยำ ในเสื้อเหนือเข็มขัดมีรอยนูนคล้ายมีดสั้นพกติดตัว คงเป็นทหารในสังกัดแม่ทัพจี๋ที่ติดตามเจ้านายมา

เอ้อฉิงซวงน้อมคารวะ “แม่ทัพจี๋อุตส่าห์รอต้อนรับด้วยตนเอง ผู้เยาว์ละอายนัก”

“แม่นางเอ้ออย่ากังวล ตามจดหมายที่ท่านแอบซ่อนไว้ใต้ดาบ แจ้งว่าท่านจะมาหาพร้อมหยกเพลิงน้ำค้าง ทั้งกำหนดเวลานัดมั่นเหมาะ ข้าร้อนใจจึงต้องมารอคอยที่นี่”

บ่าวชะโงกหน้าสำรวจนอกประตู เอ้อฉิงซวงกล่าวว่า “ข้าระมัดระวังตัวยิ่ง ไม่มีผู้ใดพบเห็นแน่”

แม่ทัพจี๋ประสานมือคำนับ “แม่นางเอ้อยินยอมช่วยเหลือธิดาข้าแม้ยากลำบาก โปรดรับการคารวะจากข้า และยังเตรียมของขวัญกำนัลไว้แล้ว”

“ผู้เยาว์ฝ่าฝืนคำสั่งอาจารย์ด้วยสงสารเด็กไร้ความผิด เป็นการตัดสินใจของผู้เยาว์เองไม่หมายปองสินบนรางวัล การคารวะจากท่านยิ่งสูงส่งเกินเอื้อม โปรดอย่าให้ผู้เยาว์ลำบากใจเลย”

“แม่นางเอ้อเปี่ยมคุณธรรมน่านับถือ” เขาผายมือเชื้อเชิญ นำทางนางถึงลานกลางบ้าน ต้นจื่อหลอหลัน (6) ไร้ดอกใบห่อเหี่ยวปลูกในกระถางลายครามลวดลายดาษดื่น ตามกำแพงมีร่องรอยกะเทาะแตกร้าว ระดับขุนนางใหญ่เช่นแม่ทัพจี๋คงต้องกล้ำกลืนพอควรกับบ้านหลังนี้ แต่สำหรับเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง หาบ้านเช่าเช่นนี้ได้ก็นับว่าดีมากแล้ว

จี๋ฮูหยินยืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้องนอนบุตรสาว ครั้นเห็นศิษย์ตำหนักเหนือเทวะจึงเอ่ยร้อนรน “แม่นางเอ้อ ข้ารอท่านจนแทบทนไม่ไหวแล้ว”

เอ้อฉิงซวงเข้าใจความหวาดหวั่นของสองสามีภรรยาดี จึงล้วงในแขนเสื้อหยิบห่อผ้าเล็กๆ ห่อหนึ่ง คลี่ออกเผยหยกเพลิงน้ำค้าง จี๋ฮูหยินชะโงกมอง

“นี่หรือหยกวิเศษ ดูแล้วสามัญธรรมดา”

“ท่านสามารถลองสัมผัส แต่โปรดระวังด้วย เนื้อหยกมันวาวไหลลื่น หากเผลออาจพลัดจากมือได้”

ภรรยาแม่ทัพประคองหยกไว้ในมือ ชั่วครู่จึงอุทาน “ความร้อนสลับเย็นนี่ช่างอัศจรรย์ คือหยกเพลิงน้ำค้างจริงแท้”

พลางหมุนตัวจะรีบนำหยกเข้าห้องบุตรสาว เอ้อฉิงซวงต้องปราดไปขวางไว้ “ผู้เยาว์ขออภัยที่เสียมารยาท แต่ตามกฎของตำหนักเหนือเทวะ ของที่หยิบยืมต้องมีคนจากตำหนักคอยเฝ้าตลอดเวลา”

คนฟังหน้าเจื่อน มอบหยกคืนให้ “ต้องขออภัย ข้ามัวดีใจเกินเหตุ”

เพื่อไม่ให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนมากขึ้น ขุนนางใหญ่จึงรีบเชื้อเชิญทุกคนเข้าห้อง ทางด้านใน หน้าต่างปิดม่านกั้นลมไว้หมดจึงดูทึมทึบ ข้างเตียงคนป่วยมีดรุณีนางหนึ่งนั่งเฝ้า ครั้นเห็นอาคันตุกะจึงย่อกายคารวะ จี๋ฮูหยินแนะนำว่า

“นางเป็นบุตรสาวคนโตของข้า ห่วงใยน้องสาวมากจึงขอติดตามมาดูแลด้วย”

ดรุณีวัยแรกแย้มก้มหน้าไม่พูดจา ทันใดนั้นทางประตูห้อง มีเด็กผู้ชายวิ่งผ่านเข้ามาเกาะชายเสื้อจี๋ฮูหยิน เอ่ยเสียงสดใส “ท่านแม่ ข้าอยู่ห้องคนเดียวเหงามาก ท่านไปเล่นกับข้าเถอะ”

“อาชาง!” แม่ทัพจี๋ตวาด “บิดากำลังต้อนรับแขก อย่าเสียมารยาท”

ที่แท้ก็บุตรชายคนเล็กของตระกูลจี๋นี่เอง พริบตานั้นเอ้อฉิงซวงบังเกิดสังหรณ์พิกล จึงใจลอยไม่ทันมองทาง สะดุดกระแทกบ่าวชายแถวนั้น  นางรีบผละออก สีหน้าจืดเจื่อน แม่ทัพจี๋รีบพูดว่า

“บ้านเก่าพื้นกระเบื้องบางแผ่นจึงหลุดร่อน ขออภัยแม่นางด้วย”

“โปรดอย่ากังวล ข้าไม่ทันระวังเอง”

จี๋ฮูหยินจูงบุตรชายไปฝากคนรับใช้พาออกจากห้อง แล้วพูดกับบุตรสาวคนโตว่า “แม่นางเอ้อมาช่วยเรารักษาน้องสาม ท่านหมอกำลังต้มยาในครัว ไปตามท่านมาที”

ขณะเดียวกันเอ้อฉิงซวงก็รุดถึงเตียงเพื่อพินิจผู้ป่วย เด็กน้อยตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับอายุ ใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายพี่สาวอยู่หลายส่วน เพียงแต่ค่อนข้างซีดเซียว ริมฝีปากแห้งแตก แม้นอนหลับแต่ใบหน้าเหยเกอย่างไม่รู้ตัว ประหนึ่งแค่การหายใจก็เจ็บปวดแสนสาหัสแล้ว

จี๋ฮูหยินทรุดนั่งข้างเตียง กุมมือบุตรสาวไว้ น้ำตาคลอเบ้า เอ้อฉิงซวงยืนรออย่างสงบจนธิดาคนโตตระกูลจี๋เดินนำหมอชราเข้าห้อง พร้อมสาวใช้ที่ประคองถ้วยยาในถาดส่งกลิ่นฉุนเฉียวมาแต่ไกล นางวางถาดยังโต๊ะเล็กใกล้หัวเตียง เอ้อฉิงซวงยื่นหยกให้หมอ เขาหย่อนมันใส่ถ้วยยา ทันใดนั้นของเหลวสีดำก็ค่อยๆ จางลงจนใสกระจ่าง หากไม่เพราะยังได้กลิ่นยาอยู่คงนึกว่าในถ้วยคือน้ำเปล่า ทุกคนมองอย่างอัศจรรย์ใจ หมอใช้ตะเกียบคีบหยกขึ้นมา ล้างจนสะอาดแล้วส่งคืน เอ้อฉิงซวงพินิจสมบัติในมือ เห็นจุดดำละเอียดที่ปะปนในเนื้อหยกกระจายตัวมากขึ้นจนหยกดูหม่นหมองลง ต้องลอบถอนใจ สอดหยกเก็บในแขนเสื้อเช่นเดิม

จี๋ฮูหยินรับถ้วยยาจากหมอมาป้อนธิดาคนรอง ไม่นานสีหน้าคนป่วยเริ่มมีเลือดฝาด หมอจับชีพจรแล้วกล่าวว่า “ยินดีด้วยท่านแม่ทัพ คุณหนูปลอดภัยแล้ว”

จี๋ฮูหยินโผเข้าสวมกอดบุตรีบนเตียง ร้องไห้ทั้งเสียงหัวเราะ ฝ่ายขุนนางใหญ่ก็หน้าตาเบิกบาน เอ้อฉิงซวงคิดว่าถึงยามกล่าวอำลาแล้ว ตามแผนนางต้องรีบกลับตำหนัก แอบใช้ป้ายคำสั่งที่ยังไม่ได้คืนอาจารย์นำหยกเก็บดังเดิม แล้วค่อยหลบไปสำนักแม่ชี จะได้ไม่มีใครทราบว่าหยกเพลิงน้ำค้างเคยหายไป จากนั้นรอเวลาที่อาจารย์อารมณ์ดีกว่านี้ค่อยสารภาพ เผื่อท่านจะไม่ลงโทษรุนแรงนัก

“แม่ทัพจี๋ เสร็จธุระแล้วผู้เยาว์ต้องขอตัวก่อน หวังท่านจะเก็บสิ่งที่ผู้เยาว์กระทำเป็นความลับ และไม่ข้องแวะตำหนักเหนือเทวะสักระยะ”

สิ้นประโยค สองบ่าวชายที่ยืนรอรับใช้พลันปิดประตูลั่นดาลทันที นางชะงัก สังหรณ์ร้ายหวนกลับมา แม่ทัพจี๋เผยสีหน้าอึมครึม

“ขออภัยแม่นางเอ้อ แต่ข้าไม่อาจปล่อยท่านกับหยกไปได้”

คนฟังระบายลมหายใจ “เพราะบุตรชายคนสุดท้องของท่านกระมัง หากเขาอายุครบสิบปีก็อาจเป็นดังเช่นพี่สาว แต่ถ้าเวลานั้นมาถึงผู้เยาว์ย่อมช่วยเหลือพวกท่านอีกครั้ง ไยต้องกระทำดุจคนพาล”

“ถ้าเจ้าตำหนักทราบพฤติกรรมของแม่นางแล้ว ยังจะปล่อยให้หยกโดนขโมยง่ายดายเช่นเดิมหรือ”

“แต่กักขังผู้เยาว์ไว้อาจารย์ย่อมรู้ตัว ไฉนท่านกล้าเป็นปรปักษ์กับตำหนักเหนือเทวะ”

แม้นจะมีหรือไม่มีป้ายพระราชทาน ตำหนักเหนือเทวะก็ยังเป็นที่น่าเกรงขาม ด้วยสั่งสมบารมีชื่อเสียงมาหลายยุคสมัย มั่งมีเงินทองเลี้ยงดูกองกำลังยอดฝีมือของตนเอง เจ้าตำหนักเว่ยซือไฉจึงสามารถวางเฉยไม่เคยเห็นแก่หน้าผู้ใด

“แม่นางเอ้อมาที่นี่โดยไร้ผู้ล่วงรู้ แล้วไยข้าต้องรับผิดชอบการหายไปของท่านกับหยกด้วยเล่า”

เอ้อฉิงซวงพลันเม้มริมฝีปาก ขอเพียงกักขังนางไว้อาจารย์ย่อมไม่สามารถสืบทราบความใด แม้สงสัยแม่ทัพจี๋อาจเป็นสาเหตุ แต่ไร้หลักฐานเอาผิด ที่น่าสังเวชคือนางถึงกับเต็มใจกระโดดลงหลุมพรางด้วยตนเอง หากทราบแต่แรกว่าพวกเขายังมีบุตรอายุไม่ครบสิบขวบอีกคน นางคงไม่ประมาทเลินเล่อเช่นนี้

จี๋ฮูหยินหันหานาง “อาชางอายุแปดขวบแล้ว ขอแม่นางเอ้ออดทนอีกสองปีเท่านั้น แล้วข้ากับท่านแม่ทัพจะส่งตัวท่านกลับตำหนักเหนือเทวะ ทั้งไปขอขมาเจ้าตำหนักด้วยตนเอง”

คนฟังปั้นหน้ายาก ขโมยสมบัติวิเศษแล้วยังโดนกักตัวไว้สองปี ความพิโรธของอาจารย์คงไม่ต้องคาดคำนวณ หยกเพลิงน้ำค้างในแขนเสื้อคล้ายจะร้อนลวกขึ้นทันใด

นับว่าคราวนี้…ทำคุณบูชาโทษโดยแท้!

 

เชิงอรรถ : 

(1) หนึ่งชั่งประมาณห้าร้อยกรัม

(2) หนึ่งชั่วยามประมาณสองชั่วโมง

(3) ผีผา คือเครื่องดนตรีจีนชนิดหนึ่ง รูปร่างเหมือนลูกแพร์ เป็นเครื่องสาย

(4) มู่อวี๋หรือปลาไม้ คือไม้เคาะตอนสวดมนต์ของหลวงจีน

(5) เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้แบบโบราณของจีน มีพนักพิงและเท้าแขน เป็นเครื่องเรือนแบบหรูหรา

(6) จื่อหลอหลัน  คือไวโอเล็ต

 



Don`t copy text!