บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 2 : ผู้มีพระคุณ

บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 2 : ผู้มีพระคุณ

โดย : เหย่หวา

Loading

บันทึกดาราเร้นฟ้า นวนิยายออนไลน์โดย เหย่หวา นวนิยายจีนโบราณที่เล่าถึงการเดินทางของเอ้อฉิงซวงเพื่อตามหาของวิเศษ และทำให้เธอได้พบกับชิวหยางจื้อ จอมยุทธ์ยาจกที่จะว่าเป็นวาสนาพานพบก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เธอกับเขาก็คงไม่ตีกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าหรอก นิยายสนุกๆ เรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอา

****************************

– 2 –

“ผู้เยาว์อุตส่าห์ฝืนคำสั่งอาจารย์เพื่อชีวิตธิดาท่าน นี่หรือการตอบแทนบุญคุณของขุนนางใหญ่ ช่างทำผู้เยาว์เปิดหูเปิดตานัก!”

เอ้อฉิงซวงตวาดกร้าว แม่ทัพจี๋เบือนสายตาหลบ ด้านภรรยาก็หน้าแดงฉาน ธิดาคนโตทนมองบุพการีโดนด่าสาดเสียเทเสียไม่ได้ จึงปรี่มาคุกเข่าต่อหน้านาง

“ขอแม่นางเอ้อโปรดเห็นใจ น้องสี่เป็นบุตรชายที่เหลือเพียงคนเดียว หากเขาเกิดอันตรายตระกูลจี๋คงสิ้นผู้สืบสกุล”

เชลยจำเป็นส่ายหน้า “ข้าเข้าใจคุณหนูใหญ่ นับเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากจริงๆ” ประคองดรุณีตรงหน้าขึ้นยืน จากนั้นล้วงเข้าไปในแขนเสื้อที่เก็บหยก “หยกเพลิงน้ำค้างช่างสำคัญกับพวกท่านนัก”

อีกฝ่ายเห็นเอ้อฉิงซวงโอนอ่อนจึงผ่อนคลายลง “ข้าสำนึกบุญคุณแม่นางเอ้อเหลือเกิน”

“ข้ากลับไม่หวังหนี้บุญคุณ แค่อยากให้พวกท่านเข้าใจ ข้าเองกระทำครั้งนี้…ก็ตัดสินใจอย่างยากลำบากเช่นกัน” สิ้นคำพลันตวัดร่างธิดาตระกูลจี๋มากอดแน่น ใช้มีดสั้นที่เพิ่งล้วงหยิบจากแขนเสื้อ จ่อยังลำคอนาง!

ทุกคนตื่นตระหนก บ่าวชายเห็นมีดสั้นเล่มนั้นแล้วลูบอกเสื้อตนเอง ก่อนร้องลั่น “นั่นมีดของข้า เจ้า…เจ้าขโมยไปตอนใด!”

เอ้อฉิงซวงยกยิ้มมุมปาก ยามที่นางทราบว่าตระกูลจี๋ยังมีบุตรคนสุดท้อง ก็แสร้งล้มปะทะบ่าวชายเพื่อแอบล้วงมีดสั้น วิชามือเบานางมีติดตัวตั้งแต่สมัยต้องเอาตัวรอดก่อนเข้าตำหนักเหนือเทวะ แต่ไม่เคยใช้มานับสิบปีแล้ว โชคดีมีดที่ลืมลับคมยังคงประกาย ฝีมือไม่มีตกแม้แต่น้อย

แม่ทัพจี๋หมายกระโจนเข้าช่วยบุตร เอ้อฉิงซวงตวาดก้อง “ไม่ห่วงชีวิตคุณหนูใหญ่แล้วหรือ เปิดทางแก่ข้าเดี๋ยวนี้!”

เมื่ออีกฝ่ายทำตัวดั่งอันธพาล นางก็ไร้ซึ่งความเกรงใจ คำพูดจึงแข็งกร้าวขึ้นหลายส่วน แม่ทัพจี๋ชะงัก ใบหน้าเขียวคล้ำ จี๋ฮูหยินต้องเป็นฝ่ายร้องสั่งบ่าวชาย

“มัวรออันใดเล่า รีบเปิดประตูเร็ว”

เอ้อฉิงซวงบังคับลากเชลยผ่านประตู แต่ต้องติดค้างกลางลานบ้านที่มีบ่าวนับสิบรุมล้อม อาวุธครบมือ บ้างก็ถือคบไฟด้วยเริ่มมืดแล้ว นางจึงพูดกับแม่ทัพจี๋ที่เร่งรุดตามมา

“ยังไม่สั่งพวกเขาปล่อยข้าไป”

แม่ทัพจี๋กำด้ามดาบแน่นจนข้อนิ้วปูดโปน มองธิดาคนโตด้วยสีหน้าอันยากบรรยาย เขาบาดเจ็บหนักจากสงครามครั้งล่าสุด แม้รักษาตัวหายแต่หมอแจ้งว่าไม่อาจมีบุตรได้อีก อาชางจึงกลายเป็นผู้สืบสกุลเพียงคนเดียว หากบุตรชายผู้นี้มีอันเป็นไป…

ขุนนางใหญ่กัดฟันกรอด ชักดาบชี้ไปทางเอ้อฉิงซวง “ข้าให้โอกาสครั้งสุดท้าย ยอมจำนนเสียโดยดี มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย!”

“ท่านพี่” จี๋ฮูหยินคร่ำครวญ “เหวยเอ๋อยังอยู่ในกำมือนาง โปรดอย่าหุนหัน”

“ท่านพ่อ” เหวยเอ๋อพยายามดิ้นรนจากเอ้อฉิงซวง “ข้าไม่กลัวตาย!”

“ดี! กล้าหาญสมเป็นธิดาข้า พวกเจ้า!” ร้องสั่งบริวาร “จับแม่นางเอ้อไว้ ถ้านางบาดเจ็บยิ่งดีจะได้ไม่คิดหนีอีก แต่อย่าให้ถึงตาย!”

เอ้อฉิงซวงเบิกตาโพลง นางมิอาจตัดใจลงมืออำมหิตเหมือนฝ่ายตรงข้าม จึงรีบผลักธิดาตระกูลจี๋พ้นทางดาบ พริบตานั้นบ่าวผู้หนึ่งเงื้ออาวุธฟันลงมา เอ้อฉิงซวงหดตัวหลับตาแน่น

แคร๊ง!

สิ้นเสียงฟาดฟันลั่นพสุธา นางกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้สักนิด ต้องรีบลืมตาขึ้น เบื้องหน้าพลันมีบุรุษผู้หนึ่งยืนขวางอยู่ ผ้าสีดำพันปิดใบหน้าครึ่งซีกล่าง บ่าวชายที่คิดจะฟันนางนอนเกลือกกลิ้งแทบเท้าเขา บ่าวคนอื่นต่างกรูเข้ามาไม่เว้นให้พักหายใจ บุรุษลึกลับคว้าดาบจากมือคนที่นอนพื้น จู่โจมต่อต้านว่องไว เอ้อฉิงซวงทั้งตกใจระคนยินดี ผู้มีพระคุณช่วยนางรอดพ้นหวุดหวิด

หนึ่งเดียวรับมือสิบคน บุรุษลึกลับกลับยังปลอดโปร่ง ท่าร่างพลิ้วไหวสุดคะเน แม่ทัพจี๋โกรธจนตาแดงฉาน

“มันเป็นใครกัน!”

เอ้อฉิงซวงเหลือกตามองฟ้า ท่านชี้หน้าถามข้า แล้วข้าควรถามใครเล่า

ทหารในคราบบ่าวรับใช้ลงมือหนักหน่วงยังไม่อาจสยบผู้บุกรุก ขุนนางใหญ่จึงแกว่งดาบต่อกรด้วยตนเอง ด้านบุรุษลึกลับปะทะกับพวกทหารมานาน ร่างกายย่อมอ่อนล้า เมื่อเจอแม่ทัพเจนศึกพร้อมอาวุธวิเศษ ต่อสู้ดุจพยัคฆ์ร้าย กระบวนท่าจึงเริ่มสะเปะสะปะ ต้องถอยร่นมาทางนาง บ่าวคนหนึ่งสบโอกาสจู่โจมทางด้านหลัง เอ้อฉิงซวงร้องลั่น

“ระวัง!”

ความตื่นตระหนกทะลักท่วมร่าง กระตุ้นให้นางพุ่งกระแทกบ่าวผู้นั้นเพื่อช่วยคน พวกนางล้มไปชนชั้นวางกระถางริมทางเดิน แล้วกลิ้งแยกกันคนละทาง ชั้นไม้เก่าคร่ำคร่าพังครืน กระถางใหญ่อันบนสุดหล่นใส่เอ้อฉิงซวงที่นอนหงายกับพื้น

โครม!

นางตัวแข็งทื่อ กระถางกระเบื้องตกเฉียดตัวไปนิดเดียว น้ำหนักกระถางและดินรวมกันหลายสิบชั่ง หากกระแทกอวัยวะสำคัญคงมีบาดเจ็บล้มตาย เอ้อฉิงซวงถอนใจโล่งอก จะขยับลุกแต่กระถางกดทับแขนเสื้อ ดึงก็ดึงไม่ออก บ่าวชายที่กลิ้งมาพร้อมกันเริ่มยันตัวขึ้น จ้องนางเคืองแค้น ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะเหงื่อแตกพลั่ก

พริบตานั้นเอง บุรุษลึกลับหมุนกายมาถีบเจ้านั่นสลบ ยกกระถางหนักอึ้งให้นางด้วยมือข้างเดียว อีกมือกุมดาบพัวพันแม่ทัพจี๋มิให้เข้าใกล้ เอ้อฉิงซวงตะโกนพูดกับเขา

“หนีก่อน! พวกนี้กลัวเรื่องถึงหูตำหนักเหนือเทวะ ไม่กล้าติดตามเราให้เอิกเกริกแน่”

แม่ทัพจี๋หน้ากระตุก ยิ่งลงมือรุนแรงไม่ให้เป็นตามแผนนาง บ่าวที่เหลือล้วนกลุ้มรุมเข้ามา บุรุษลึกลับแม้นมีสิบมือก็ยากต่อกร ยามคับขันเขาจึงแก้ไขด้วยการ…เขวี้ยงดาบในมือไปอีกทาง!

เอ้อฉิงซวงอ้าปากค้าง นางบอกให้หนีเขากลับทิ้งอาวุธชิ้นสุดท้าย กลัวจนบ้าหรืออย่างไร แต่แล้วบุรุษลึกลับพลันโดดไปยืนบนหัวบ่าวคนหนึ่ง ตามด้วยการโจนเหยียบไปทีละศีรษะ เหตุการณ์กะทันหันพวกทหารไม่ทันสกัดกั้น พริบตาบุรุษลึกลับบรรลุถึงตัวแม่ทัพจี๋ ร่ายรำกระบวนท่ารวดเร็ว ฝ่ามือทรงพลังพุ่งใส่ศัตรูดุจห่าฝน แม่ทัพจี๋ยกอาวุธต้านรับ แต่ถึงกระนั้นดาบก็มีเพียงเล่มเดียว ยามดาบกรีดไหล่อีกฝ่ายเรียกโลหิต ฝ่ามือที่เหลือก็ฟาดใส่หน้าอกเขาแล้ว

ที่แท้บุรุษลึกลับทิ้งอาวุธเพื่อใช้กระบวนท่าที่ถนัด อาศัยความว่องไวเสี่ยงเปิดทางรอด!

แม่ทัพจี๋กระเด็นไปชนบ่าวด้านหลัง กระอักโลหิตกองใหญ่ บุรุษลึกลับไม่นำพาแผลที่ไหล่ขวา เข้าช้อนร่างเอ้อฉิงซวง สะกิดปลายเท้าครั้งเดียวขึ้นไปยืนเหนือกำแพงแล้ว พวกทหารวิ่งมาออด้านล่าง บุรุษลึกลับฟาดฝ่ามือใส่อากาศพัดคบไฟดับวูบ เกิดเสียงเอะอะด้วยตกใจความมืด เขากลับคล้ายยังมองเห็นชัดเจน พุ่งตัวออกไปทันที ก้าวหนึ่งครั้งไกลสองสามจ้าง (1) วิชาตัวเบาช่างยอดเยี่ยม แต่เอ้อฉิงซวงไม่คุ้นชินเช่นเขาจึงเริ่มเวียนหัวกับความเร็ว ต้องหลับตาลง

เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่งศิษย์ตำหนักเหนือเทวะค่อยลืมตาขึ้น จึงพบว่าบุรุษลึกลับพานางมายังวัดร้างนอกเมือง ในอุโบสถผุพังมีพระพุทธรูปประดิษฐานบนแท่นด้านหลัง บานประตูข้างหนึ่งหลุดพับ บนพื้นเห็นแต่เศษหญ้าแห้งปนหินดินฝุ่น

บุรุษลึกลับวางนางลง เอ้อฉิงซวงกำหมัดคำนับ “ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ ข้า…”

กล่าวถึงตรงนี้พลันชะงักคล้ายเพิ่งนึกได้ นางลนลานหยิบห่อผ้าในแขนเสื้อ แกะห่อด้วยมือสั่นเทา หยกเพลิงน้ำค้างยังคงอยู่ในนั้น เพียงแต่แตกหักเป็นสองเสี่ยง!

เอ้อฉิงซวงหูอื้อตาลาย ช่วงชุลมุนกระถางต้นไม้ร่วงลงมา ตอนนั้นนางไม่บาดเจ็บจึงไม่ทันนึกว่าตำแหน่งที่กระถางหล่นทับจะใส่หยกเอาไว้พอดี รอยแตกเกิดขึ้นตรงกลางก้อน หน้าตัดเรียบแยกหยกออกเป็นสองชิ้นที่ขนาดใกล้เคียงกันมาก ลองประกบใหม่ก็แนบสนิทเหมือนเดิม แต่อย่างไรย่อมไม่มีวันเป็นเช่นเดิมได้จริงๆ แล้ว

จู่ๆ สองขาอ่อนแรงต้องล้มนั่ง โทษฐานขโมยของอาจารย์คงสั่งโบยสักสิบยี่สิบไม้ แต่ทำลายสมบัติที่มีเพียงชิ้นเดียวในหล้า…อาจถึงขั้นขับไล่จากตำหนัก!

ตลอดทั้งชีวิตเอ้อฉิงซวงต้องการแค่อยู่รับใช้อาจารย์ในตำหนักเหนือเทวะจวบสิ้นอายุขัย แต่ความหวังเรียบง่ายต้องพังทลายต่อหน้า ความยินดีที่รอดพ้นเงื้อมมือแม่ทัพจี๋มลายสิ้น นางน้ำตาปริ่ม บุรุษลึกลับคุกเข่าลงข้างนาง ชี้ไปที่หยกแตกหักพร้อมส่งสายตาไถ่ถาม เอ้อฉิงซวงกำลังว้าวุ่นจึงระบายหมดสิ้น

“แม่ทัพจี๋ขอยืมหยกเพลิงน้ำค้างมาช่วยชีวิตธิดา เมื่ออาจารย์ไม่ให้ข้าจึงแอบขโมยมาให้เขา แต่เขากลับจะเก็บหยกและลักพาข้าไปเพื่อรอเวลาช่วยบุตรชายอีกคน ข้าพยายามหนีและได้ท่านช่วยเหลือ”

“เป็นเช่นนี้เอง แม่ทัพจี๋ก็ไปขอร้องตำหนักเหนือเทวะเหมือนข้าหรอกหรือ”

เอ้อฉิงซวงฟังแล้วพลันขมวดคิ้ว กระชากผ้าที่ปิดหน้าอีกฝ่ายออกทันที ชิวหยางจื้อยิ้มเผล่อยู่หลังผ้า นางตกใจจนปากสั่นระริก “ท่าน…ท่าน!”

“คำขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของแม่นางช่างประหลาดยิ่ง ไม่ทราบเจ้าตำหนักเว่ยสั่งสอนศิษย์อย่างไร”

เอ้อฉิงซวงโกรธเสียหน้าแดงฉาน ในบ้านเช่านางมัวตกใจลืมสังเกตเสื้อผ้าของชิวหยางจื้อ ไม่เช่นนั้นคงรู้ตัวนานแล้ว ไฉนผู้ช่วยเหลือกลับกลายเป็นคนคนนี้เสียได้ เสมือนเสือคอยประตูหน้าหมาป่าดักประตูหลัง (2) โดยแท้

นางพร้อมติดหนี้บุญคุณคนทั้งโลก กลับมิอาจติดหนี้บุญคุณเขา!

ต้องย้อนความถึงเมื่อสามเดือนก่อน ชิวหยางจื้อปรากฎกายที่หน้าตำหนักเหนือเทวะ สร้างความแตกตื่นโกลาหล นั่นมิใช่เกิดจากฐานะเขา อันตำหนักเหนือเทวะเคยรับเสด็จแม้แต่องค์ฮ่องเต้ จอมยุทธ์ต่ำต้อยผู้หนึ่งนับว่ากระไร แต่ที่คนในตำหนักล้วนตระหนกตกใจ เนื่องจากต้นสังกัดของเขาต่างหาก

ชิวหยางจื้อเป็นศิษย์สำนักหนึ่งเลือดตัดตาย ชื่อย่อมบ่งแล้วว่ารวบรวมไว้แต่พวกนักสู้เลือดร้อน หยวนเทียนหลงผู้ก่อตั้งสำนักมีชื่อเสียงระบืออยู่สองเรื่อง หนึ่งคือฝีมือยุทธ์อันร้ายกาจ สองย่อมเป็นความบาดหมางอันร้ายแรง เขาโกรธเคืองเจ้าตำหนักเหนือเทวะชนิดไม่ขออยู่ร่วมโลก ไม่เหลือใครไม่ล่วงรู้ ความบาดหมางยาวนานหลายสิบปี แม้คนภายนอกไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ แต่ความแค้นยังเป็นที่เลื่องลือ

แล้วไฉนวันนี้ ศิษย์ของสำนักหนึ่งเลือดตัดตายจึงแวะเวียนมาตำหนักเหนือเทวะ

เอ้อฉิงซวงพกคำถามไว้เต็มอก ต้อนรับอาคันตุกะด้วยรอยยิ้ม สาวใช้นำน้ำชามาวางแต่เงอะงะจนเกือบชนแขก ยังดีชิวหยางจื้อรับถ้วยชาไว้ทัน สาวใช้ตกใจลนลาน เอ้อฉิงซวงต้องเดินมาแตะแขนนาง ส่งภาษามือจนสาวใช้ล่าถอยไป ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะค่อยหันมาเอ่ยกับเขา

“ขออภัยด้วย หลิงหลิงเป็นใบ้หูหนวก อาจเผลอทำงานพลาดพลั้ง”

เอ้อฉิงซวงพยายามพูดแก้ต่าง ด้วยความจริงสาวใช้ก้นครัวอย่างหลิงหลิง ถูกผลักไสมาแทนบ่าวไพร่ที่ต่างเกี่ยงงอนทำงานต้อนรับวันนี้ แม้กระทั่งพ่อบ้านเถายังหายหน้า เปิดทางให้นาง “ไล่คน” โดยสะดวก

ฟ้าดินเป็นพยาน หากมิใช่ตำหนักมีกฎ ใครมาเยือนเป็นคราแรกต้องต้อนรับขับสู้ด้วยมารยาท นางคงตะเพิดเขาพ้นหน้าไปนานแล้ว!

ต่างฝ่ายต่างนั่งลงอีกครั้ง นางจึงเริ่มเกริ่น “จอมยุทธ์นางแอ่นไร้รังชิวหยางจื้อ ได้ยินฉายาท่านมานาน วันนี้เพิ่งมีวาสนาพบพาน”

“ฉายารุงรังไม่ควรค่าเอ่ยถึง แม่นางเอ้อโปรดเรียกข้าจอมยุทธ์ชิวเถอะ” หลังสนทนาตามธรรมเนียมสามสี่ประโยค ชิวหยางจื้อจึงแจ้งเจตจำนง “ข้าอยากขอร้องเจ้าตำหนักเว่ย โปรดแต่งบทกวีสักบทให้แก่อาจารย์ข้าหลี่กันไฉ่”

รอยยิ้มนางคลายลง “จอมยุทธ์หลี่อาจารย์ท่านคือหนึ่งในสามศิษย์ของเจ้าสำนักหยวนเทียนหลงอาจารย์ปู่ท่านกระมัง  นับเป็นผู้มีชื่อเสียงน่านับถือ เสียดายตั้งแต่เคยแต่งบทกวีถวายองค์ฮ่องเต้ อาจารย์ของข้าก็ไม่คิดแต่งบทใหม่อีกเลย”

“ข้าทราบว่าเป็นคำขอที่เกินเอื้อม แต่กวีไร้พู่กันยามสงบประหนึ่งนักรบไร้ดาบยามสงคราม หรือคำขอร้องจากสำนักหนึ่งเลือดตัดตาย ยังไร้น้ำหนักกระทั่งให้เจ้าตำหนักเว่ยกดพู่กันลงบนกระดาษ”

เอ้อฉิงซวงยิ้มแย้มอีกครา ใต้รอยยิ้มย่อมแฝงความจนใจลึกล้ำ นางพูดความจริงทุกประการ ไม่ได้หาข้ออ้างดังที่เขาเข้าใจ แม้กระนั้นชื่อเสียงของอาจารย์หรือควรปล่อยคนหยามหมิ่นโดยง่าย

“ท่านว่ากวีควรถือพู่กันยามสงบ นักรบควรถือดาบยามสงคราม แล้วถ้าอยู่ต่อหน้าศัตรู…” ผายมือไปทางเขา “…กวีในยามสงครามสมควรถือสิ่งใดเล่า”

ชิวหยางจื้อคล้ายนิ่งอึ้งไป ก่อนฉีกยิ้มไม่ยี่หระสายหนึ่ง “ขออภัยที่เสียมารยาท และขอบคุณที่เตือนสติ เราสองฝ่ายต่างเป็นอริกัน ดังนั้นทางนี้ปล่อยข้าตากฝนรอเข้าพบ ข้าก็ไม่อาจถือโกรธ ไม่สมควรใช้โทสะกับแม่นาง”

เอ้อฉิงซวงเหลือบมองฟ้าสดใสนอกหน้าต่าง “เท่าที่ข้าทราบ ฝนตกเมื่อคืนไม่ใช่หรือ”

“ข้ามาเยือนตั้งแต่เมื่อวาน ได้แนะนำตัวกับบุรุษผู้หนึ่ง เขาให้ข้ารอนอกประตูตำหนักจนกว่าจะมาเรียก กำชับว่าหากเขามาแล้วไม่พบใครจะถือว่าข้าไม่ขอเข้าพบแล้ว ข้าจึงยืนรอทั้งคืน”

ฝีมือพ่อบ้านเถาแน่นอน! เขากลั่นแกล้งแขกไม่ได้รับเชิญจนหนำใจ แล้วส่งมาให้นางเสนอหน้าต้อนรับ เอ้อฉิงซวงข่มกลั้นอารมณ์ พูดด้วยน้ำเสียงปกติ “ขออภัยยิ่งนักที่ต้อนรับบกพร่อง”

“หามิได้ ข้าเองก็บากหน้ามาอย่างผิดมารยาทเช่นกัน แต่อยากขอร้องเจ้าตำหนักเว่ยให้ละวางความแค้นในอดีต เห็นใจพวกข้าสักครา หากเจ้าตำหนักต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน ข้ายินดีน้อมสนอง”

เอ้อฉิงซวงคิ้วกระตุก ในยุทธภพล้วนรู้ดี สองศิษย์อาจารย์ผู้นี้เอายาจกมาเปรียบยาจกยังกลายเป็นเศรษฐี อาจารย์จะเรียกร้องสิ่งใดจากผู้ยากไร้ที่เป็นทั้งศัตรูคู่แค้น นางทบทวนสามตลบก็นึกไม่ออก

“ไม่ทราบจอมยุทธ์หลี่อาจารย์ของท่านต้องการบทกวีเพื่อการใด” นางถามเรื่อยเปื่อยประวิงเวลา

“นำไปมอบเป็นของขวัญวันเกิดแก่อาจารย์ปู่ในปีหน้า”

เอ้อฉิงซวงเริ่มใคร่ครวญ  หยวนเทียนหลงอาจารย์ปู่ของชิวหยางจื้อนั้น ระยะนี้ชราภาพมาก กำลังเฟ้นหาเจ้าสำนักคนใหม่จากศิษย์ทั้งสาม คาดว่าคงตัดสินจากของขวัญที่ศิษย์แต่ละคนจะหามาในงานวันเกิดนี่เอง ดังนั้นหากเจ้าตำหนักเหนือเทวะยินดีแต่งบทกวีให้ ย่อมแสดงว่ายอมยุติความบาดหมางในอดีต อีกทั้งบทกวีที่เขียนด้วยลายมืออาจารย์มีราคาสูงมาก เทียบจากมูลค่าภายนอกและความหมายโดยนัยแล้ว นับเป็นของขวัญที่โดดเด่นจริงๆ

เพียงแต่บางอย่างแม้คิดได้…กลับกระทำมิได้!

เอ้อฉิงซวงใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะเชิญชิวหยางจื้อกลับไป ใช้เวลาอีกครึ่งค่อนเดือนบอกปัดการขอเข้าพบครั้งที่สอง และใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนปีคอยหลบหน้าเขายามออกจากตำหนัก แต่ไม่เคยเห็นวี่แววท้อถอยในดวงตาชิวหยางจื้อสักครา

นางพร้อมติดหนี้บุญคุณคนทั้งโลก กลับมิอาจติดหนี้บุญคุณเขา!

ภายในวัดร้างนอกเมือง สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านรูบนผนัง เยือกเย็นจนคนตายยังสะท้าน แต่ในใจเอ้อฉิงซวงกลับรุ่มร้อนแทบไม่รู้สึกหนาว เมื่อฝ่ายตรงข้ามกระทำการอุกอาจ นางก็ไม่คิดรักษามารยาทเช่นกัน จึงชี้หน้าคู่สนทนา

“ท่านแอบติดตามข้าโดยพลการ หาใช่วิสัยจอมยุทธ์คุณธรรมไม่”

“ไยข้าต้องกระทำเช่นนั้น ทุกวันข้าจะคอยเฝ้าอยู่หน้าตำหนัก วันนี้เห็นขบวนแม่ทัพจี๋เข้าไป เมื่อเขากลับออกมาไม่นานแม่นางเอ้อก็เริ่มเตร็ดเตร่ ทั้งไม่ได้ไปสำนักชีหรือบ้านสหายอย่างเคย กลับแวะเข้าร้านขายเครื่องประทินโฉมที่ปกติไม่เคยเหลือบแล หากบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพจี๋คงยากจะเชื่อ ข้าจึงสอบถามจนรู้ว่าแม่ทัพจี๋เช่าบ้านที่ไหนแล้วตามไปดู ครั้นเจอสถานการณ์คับขันจึงพรางตัวช่วยเหลือ เพราะไม่อยากขัดแย้งกับแม่ทัพจี๋ออกหน้าออกตา”

ช่างแก้ตัวอย่างไร้ยางอาย! นางอยากย้อนใส่ให้เจ็บแสบแต่ดันเห็นเลือดไหลจากแผลที่ไหล่เขา จึงกล้ำกลืนคำบริภาษลงคอ เพียงกล่าวกับผู้มีพระคุณว่า “ท่านสมควรทำแผลก่อน แต่ในวัดร้างจะหายาจากที่ใด”

“ข้าพำนักที่นี่อยู่แล้ว แม่นางไม่ต้องกังวล” เขาลุกขึ้น ขยับไหล่ขวาอย่างลำบาก นางยิ่งรู้สึกผิด

“แผลที่ไหล่จัดการยาก ให้ข้าช่วยเถอะ”

เขาไม่ปฏิเสธ เอ้อฉิงซวงจึงเดินตามไปถึงเรือนด้านข้างอุโบสถ แน่นอนว่าร้างเช่นกัน ในห้องพักขนาดเล็กนอกจากโต๊ะเก้าอี้หักพัง ยังเหลือเตียงหลังหนึ่งที่สภาพพอใช้ได้ ทั่วไปค่อนข้างสะอาด จีวรเก่าขาดคลุมหน้าต่างกันลมหนาว ชามและตะเกียบล้างคว่ำวางบนตู้ไม้ข้างเตียง ดูท่าเขาจะพำนักที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว นางขมวดคิ้ว

“ย้ายที่อยู่กันไม่ดีกว่าหรือ เกิดคนของแม่ทัพจี๋ตามมาถึง”

เขาเปิดตู้หยิบตลับยาในห่อผ้าออกมา “แม้ที่ข้าพำนักในวัดร้างจะไม่ใช่ความลับ แต่หามีใครรู้ไม่ว่าข้าเป็นคนช่วยเหลือเจ้า หรือจะมาตามหาถึงที่นี่”

นางจึงคลายกังวลลง อีกอย่างแม่ทัพจี๋ย่อมไม่กล้าเสาะหาพวกนางอย่างเอิกเกริกเพราะกลัวตำหนักเหนือเทวะเอะใจ แม้นภายหลังแม่ทัพจี๋จะตามหานางพบ ก็คงถูกตำหนักเหนือเทวะรับตัวกลับไปอยู่ดี ระดับแค่แม่ทัพจี๋ย่อมไม่สามารถต่อต้านอาจารย์ซึ่งหน้า จึงคิดวิธีลอบนำเอ้อฉิงซวงและหยกกลับไปขังไว้สองปี ยามนี้ทางนั้นคงกระจายทหารออกตามหาเป็นการลับ ไม่มีทางค้นมาถึงที่นี่

ชิวหยางจื้อนั่งลงขอบเตียง เริ่มถอดเสื้อออก สมัยที่เอ้อฉิงซวงยังเด็กอาศัยในวัดแม่ชี เคยช่วยโรงทานของวัดพยาบาลดูแลผู้ป่วยยากไร้ ปัจจุบันก็ยังทำอยู่เป็นบางครั้ง อีกทั้งตำหนักเหนือเทวะไม่เคร่งครัดธรรมเนียมระหว่างชายหญิง นางผู้ถูกเลี้ยงดูมาเยี่ยงนั้นจึงไม่รู้สึกผิดแปลกที่เห็นบุรุษเปลือยท่อนบนต่อหน้า เข้าไปช่วยเขาด้วยสีหน้าปกติ

โชคดีแผลยาวแต่ไม่ลึก เอ้อฉิงซวงเพิ่งเคยใกล้ชิดชิวหยางจื้อ จึงเห็นว่าตามตัวเขายังมีแผลเป็นเก่าอีกหลายรอย ลักษณะแตกต่างกันจากอาวุธหลากรูปแบบ จอมยุทธ์ผู้นี้คงใช้ชีวิตในยุทธภพอย่างโชกโชน นางทำแผลไปทำหน้าสงสัยไปจนอีกฝ่ายต้องออกปาก

“แม่นางข้องใจเรื่องใดกัน”

“ข้าประหลาดใจ ท่านบาดแผลเต็มตัวแต่บนใบหน้ากลับแทบไร้ริ้วรอย ไฉนเป็นเช่นนั้น”

ชิวหยางจื้อมีรูปหน้าและใบหูยาว ปลายคิ้วซ้ายแหว่งเล็กน้อยจากรอยแผลเป็นเสี้ยวหนึ่งพาดผ่าน ทว่าก็เพียงแห่งเดียวเท่านั้น องคาพยพที่เหลือบนใบหน้าล้วนไร้ตำหนิ ดวงตาเรียวได้รูปแฝงประกายเฉื่อยชาราวไม่ยี่หระต่อสิ่งใดในโลก ริมฝีปากหยักลึกซึ่งมักเผยรอยยิ้มกวนโทโส ทว่าหากมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปก็นับเป็นรูปหน้าที่คมคายหมดจด เขาฉีกชายเสื้อตัวเองส่งให้นางช่วยพันแผล เอ่ยตอบว่า

“เพราะยาสมานแผลคุณภาพดีราคาสูงลิบ ข้าจึงใช้รักษาแผลบนหน้าเท่านั้น ที่อื่นแค่พอกสมุนไพรที่หาตามป่า”

นางถอนใจปลงอนิจจัง “บางครา…สิ่งที่น่าจะใช้อย่างประหยัดสมควรเป็นความมัธยัสถ์เองโดยแท้ จอมยุทธ์เช่นท่านจะห่วงหน้าตาด้วยเหตุใด”

“เจ้าไม่เห็นหรือ พวกจอมยุทธ์รูปงามล้วนได้ฉายาเทพบุตรอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พวกหน้าอัปลักษณ์ถ้าไม่โดนเรียกหาเป็นปีศาจก็ไม่แคล้วเป็นยมทูต ใครเล่าจะทนทานไหว”

“เพิ่งทราบ ฉายานางแอ่นไร้รังของท่าน ช่างรักษาไม่ง่ายดายโดยแท้”

“ลองใคร่ครวญดู เป็นนางแอ่นแต่สิ้นรังว่าน่าสงสาร เกิดโดนเปลี่ยนฉายาเป็นอีกาไร้รัง ทั้งอัปลักษณ์ทั้งยากไร้ จากน่าสงสารกลายเป็นน่าสมเพชแล้ว”

นางเขย่าตลับยาตรงหน้าเขา “แต่แผลที่ไหล่ครั้งนี้ ท่านกลับยอมใช้ยาสมานชั้นดี”

“เพราะเจ้าติดหนี้บุญคุณข้าสมควรซื้อยาชดใช้ นับเป็นกำไรไม่มีขาดทุน”

เอ้อฉิงซวงอยากยิ้มก็ยิ้มไม่ออก “เอาเถอะ รุ่งเช้าข้าจะส่งยามาให้ แต่ยามนี้ทำแผลเสร็จแล้วคงต้องขอตัว”

“ประเดี๋ยวก่อน ข้ายังมีข้อข้องใจ เมื่อครู่เห็นหยกแตกเจ้าคร่ำครวญแทบบ้า แต่ตอนขโมยหยกเดินออกจากตำหนักกลับยิ้มระรื่น โทษทัณฑ์การขโมยกับการทำลายสมบัติของเจ้าตำหนักเว่ยคงแตกต่างราวฟ้ากับเหว”

โดนจี้ใจดำชนิดเลือดอาบ สีหน้าเอ้อฉิงซวงเย็นชาขึ้นหลายเท่า “ท่านประสงค์สิ่งใดกัน ข้าขอยืนยันที่ตรงนี้ บุญคุณช่วยชีวิตข้ายินดีตอบแทนด้วยชีวิต แต่หากต้องการให้ข้าช่วยพูดกับอาจารย์เรื่องแต่งบทกวี แม้นมีข้าอีกสิบคนก็ไม่อาจทำสำเร็จ ท่านตัดใจเสียเถอะ”

“ไฉนยอมแพ้ง่ายดายนัก อาจารย์ข้าสอนสั่งอยู่สองอย่าง หนึ่งหากตั้งมั่นสิ่งใดจงกระทำให้ถึงที่สุด ข้อสองหากจำเป็นขอได้เป็นขอ…แต่ห้ามขโมย”

นางทำหน้าปั้นยาก “ถ้าไม่มีข้อที่สอง คงฟังรื่นหูกว่าเดิมเยอะ”

“เฮอะ เพราะข้อที่สองนี่ต่างหากข้าถึงไม่บุกตำหนักเหนือเทวะ ขโมยตัวเจ้าตำหนักเว่ยมาพูดคุย”

“ตำหนักเหนือเทวะหาใช่คิดเข้าก็เข้าได้ไม่” นางเหนื่อยหน่ายยิ่ง หมุนตัวหมายจากไป ชิวหยางจื้อร้องขึ้น

“ไฉนใจน้อยเยี่ยงนี้ ข้าเพียงจะบอกว่ามีวิธีทำให้เจ้าตำหนักเว่ยอภัยเจ้าแม้หยกแตกหัก ไม่อยากฟังหรือ”

นางชะงักฝีเท้าทันที “หากท่านโป้ปด ข้าจะแค้นท่านไปชั่วชีวิต”

อากาศหนาวเย็นมากขึ้น เขาจึงรีบใส่เสื้อ “ไยมองข้าแง่ร้ายนัก ก่อนอื่นหยกนั่นมีดีอะไรถึงสามารถไปอยู่ในคลังสมบัติเหนือเทวะได้ เจ้าลองเล่ามาก่อน”

ท่าทางแววตาเขาดูจริงใจ และแม้แพร่งพรายความลับหยกเพลิงน้ำค้างก็ไม่ก่อผลเสียอันใด เอ้อฉิงซวงจึงอธิบายหมดเปลือก ชิวหยางจื้อพยักหน้ารับทราบ

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เพียงทำไม้ให้กลายเป็นเรือ”

นางชักสีหน้า ถอยเท้าห่างจากเตียง “ถูกต้อง ไม้ได้กลายเป็นเรือ (3) ไปแล้ว มิต้องให้ท่านตอกย้ำ!”

“อย่าเข้าใจผิด ข้าหาได้เยาะเย้ยเจ้า แค่อยากเสนอว่าท่อนไม้ก็สามารถขุดสร้างเป็นเรือได้ ฉะนั้นในเมื่อหยกแตกหักแล้ว มิสู้เอาแต่ละชิ้นแกะสลักให้สวยงาม การแกะสลักไม่ทำให้คุณสมบัติของหยกเพลิงน้ำค้างลดลง ทั้งยังเพิ่มมูลค่าแก่สมบัติวิเศษ เจ้าตำหนักเว่ยอาจคลายความโกรธา”

ความเห็นเขาน่าสนใจ เอ้อฉิงซวงชะงักคาดไม่ถึง นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนสั่นศีรษะ “หยกแกะสลักในคลังสมบัติเหนือเทวะมีมากเท่าดาวบนฟ้า แต่ละชิ้นงดงามประวัติยาวนาน นอกเหนือจากนี้คงไม่มีทางกระตุ้นความสนใจอาจารย์ได้”

“ถ้าเช่นนั้นในหมู่ดาวดาษดาของเจ้า มีหยกแกะสลักฝีมือช่างตาเดียวจ้าวถวนหรือไม่เล่า เจ้าคงรู้จักยอดฝีมือแกะสลักที่ร้อยปีจะมีสักคนผู้นี้”

นางหัวเราะออกมาทันที “ย่อมไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีทางจะมีได้ นั่นเพราะจ้าวถวนมีความแค้นลึกล้ำกับสำนักกระบี่ฉายอรุณ โดนตามล่าจนต้องซ่อนตัวไร้ข่าวคราวเกือบห้าปี อาจเสียชีวิตไปแล้วด้วยซ้ำ ข้อสำคัญที่สุด ก่อนเขาจะไปซ่อนตัวก็มีเรื่องบาดหมางกับอาจารย์ รุนแรงไม่แพ้ความแค้นของอาจารย์ปู่ท่าน ดังนั้นแม้หาตัวเขาเจอ ช่างตาเดียวก็ไม่มีทางช่วยเหลือข้า”

“แล้วถ้าข้ามีทางเล่า”

เอ้อฉิงซวงขมวดคิ้ว นางรู้ดีว่าอาจารย์อยากได้งานแกะสลักฝีมือช่างตาเดียวเพียงใด แต่ชั่วชีวิตช่างผู้นี้แกะสลักงานแค่สิบสองชิ้น คหบดีโหวสะสมอยู่แปดชิ้น ไม่มีวันยกให้ใคร สองชิ้นถูกทำลายแล้ว อันที่เหลือชิ้นแรกวังหลวงครอบครองอยู่ ชิ้นสุดท้ายเก็บไว้ที่วัดเส้าหลิน ดังนั้นถ้านางสามารถหาหยกแกะสลักชิ้นใหม่มากำนัลแก่อาจารย์ เอ้อฉิงซวงมั่นใจว่าปัญหาทุกอย่างย่อมคลี่คลายด้วยดี

“จอมยุทธ์ชิวมีอันใดว่ากล่าว ผู้ต่ำต้อยน้อมล้างหูรอฟัง”

ชิวหยางจื้อฉีกยิ้ม “ปัญหาของเจ้าแก้ไขง่ายดายมาก เพราะผู้ที่พาช่างตาเดียวหลบหนีการตามล่าของสำนักกระบี่ฉายอรุณคือข้านั่นเอง ย่อมทราบแหล่งพำนักของเขาดีกว่าใคร และด้วยเหตุนี้เขาจึงติดค้างบุญคุณขนานใหญ่ คำขอร้องของข้า เขาไม่อาจปฏิเสธ”

นางเพิ่งกระจ่าง มิน่าชิวหยางจื้อจึงกล้าเปิดเผยวิธีการโดยไม่กลัวนางนำไปใช้ลับหลัง นั่นเพราะแผนครั้งนี้…จะขาดเขาไม่ได้!

เอ้อฉิงซวงเหลือกตามองฟ้า “วิธีของท่านนับว่าไม่เลว แต่ค่าตอบแทนที่ท่านจะเรียกร้องนั้น ข้าคงมิอาจสนอง”

“แล้วหากคำขอของข้ามีเพียงแค่ รบกวนแม่นางเอ้อช่วยเหลือให้ข้าสามารถเข้าคารวะเจ้าตำหนักเว่ยเท่านั้น แม่นางจะเปลี่ยนใจหรือไม่”

เอ้อฉิงซวงจ้องเขาดุจไม่เชื่อสายตา “ข้าต้องกระทำแค่นั้นหรือ”

“ใช่แล้ว หลังพบหน้าข้าจะเป็นผู้เกลี้ยกล่อมเจ้าตำหนักเอง ผลเป็นอย่างไรแม่นางไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ”

ท่าทางเขาแฝงความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะเอะใจ รีบพูดดักคอ “หรือท่านหวังใช้กำลังบังคับขู่เข็ญอาจารย์ คิดหรือข้าจะยินยอม!”

“ข้าไยจะกล้าไร้มารยาทปานนั้น อีกทั้งฝีมือของเจ้าตำหนักเว่ยเลิศล้ำเหนือคณนา ข้าหรือสามารถทำร้ายท่านแม้ปลายเล็บ”

“เฮอะ! เมื่อครู่ท่านยังว่าหากไม่เพราะคำสอนอาจารย์ท่าน คงขโมยตัวอาจารย์ข้าไปแล้วมิใช่หรือ”

“ข้าหมายถึงหากต้องดวลกันซึ่งหน้าข้าย่อมสู้เจ้าตำหนักเว่ยไม่ได้ แต่การขโมยอาศัยกลเม็ดลูกไม้หลายประการ ย่อมแตกต่างกัน”

วาจาเขาสมเหตุสมผล นางจึงถามต่อ “แล้วท่านจะใช้วิธีใดเกลี้ยกล่อมอาจารย์”

“ขออภัย ข้าไม่อาจเปิดเผยแก่แม่นางได้ แต่ขอสาบานว่าเป็นเพียงข้อต่อรองแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง ที่จะไม่ทำความเดือดร้อนแก่ใครทั้งนั้น เจ้าตำหนักเว่ยสามารถยอมรับหรือปฏิเสธได้เสมอ ข้าย่อมไม่อาจบังคับขืนใจท่าน”

เขามีไม้ตายแอบซ่อนไว้นี่เอง ที่ผ่านมาจึงพยายามขอร้องเข้าพบอาจารย์ให้จงได้ เอ้อฉิงซวงเริ่มเข้าใจขึ้นครามครัน “ถึงกระนั้น ท่านเชื่อมั่นหรือข้าจะไม่หลอกลวง เสแสร้งรับปากเอาตัวรอดแต่ความจริงไม่คิดช่วย”

“สัจจะของคนตำหนักเหนือเทวะล้วนเป็นที่เลื่องลือ ข้าย่อมเชื่อมั่น ขึ้นอยู่กับคำตอบของแม่นางแล้ว”

เอ้อฉิงซวงใคร่ครวญอย่างหนัก การยอมเดินทางไกลไปกับบุรุษที่แทบเหมือนคนแปลกหน้าดูจะบ้าบิ่นอยู่บ้าง แต่ชิวหยางจื้อนับเป็นจอมยุทธ์คุณธรรม ไม่เคยมีชื่อเสียงด่างพร้อย เดินทางไปกับเขาจึงถือว่าค่อนข้างปลอดภัย อีกอย่างนางเสมือนขึ้นขี่หลังเสือแล้ว ถ้าสามารถแลกกับการไม่ถูกขับไล่จากตำหนัก โดนเสือกินแขนสักข้างก็ยินดี!

“ข้าพร้อมรับปาก หลังงานสำเร็จจะช่วยเหลือท่านสุดกำลัง แต่ยังขอเอ่ยเตือนครั้งสุดท้าย การคิดเปลี่ยนใจอาจารย์นั้นยากยิ่งกว่าปีนบันไดสวรรค์เสียอีก”

“อย่างน้อยได้ลองปีน แม้ร่วงหล่นกลางทางก็ไม่ถือว่าเสียชาติเกิด”

เอ้อฉิงซวงฝืนยิ้ม “ดังที่อาจารย์ท่านสอนสั่งกระมัง หากตั้งมั่นสิ่งใด…จงกระทำให้ถึงที่สุด”

“ถูกต้อง! หากตั้งมั่นสิ่งใด จงกระทำให้ถึงที่สุด!”

 

เชิงอรรถ :

(1) หนึ่งจ้างประมาณ 3.3 เมตร

(2) เสือคอยประตูหน้าหมาป่าดักประตูหลัง ความหมายคล้ายหนีเสือปะจระเข้

(3) ไม้ได้กลายเป็นเรือ หมายถึงเกิดเรื่องไปแล้ว แก้ไขไม่ได้

 



Don`t copy text!