บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 5 : หรือว่าพวกเจ้าหนีตามกัน !
โดย : เหย่หวา
บันทึกดาราเร้นฟ้า นวนิยายออนไลน์โดย เหย่หวา นวนิยายจีนโบราณที่เล่าถึงการเดินทางของเอ้อฉิงซวงเพื่อตามหาของวิเศษ และทำให้เธอได้พบกับชิวหยางจื้อ จอมยุทธ์ยาจกที่จะว่าเป็นวาสนาพานพบก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เธอกับเขาก็คงไม่ตีกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าหรอก นิยายสนุกๆ เรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอา
****************************
– 5 –
“ช้าก่อน! เจ้า…เจ้าจะวางยาสหายข้าหรือ!” จอมยุทธ์ยาจกลนลาน รีบฉกขวดยาบนโต๊ะไปถือไว้เอง เอ้อฉิงซวงมองตามด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะรู้สึกตัว
“ท่านคิดอะไรอยู่ แล้วขวดยาพิษอันตรายไฉนไม่รู้จักเก็บวางให้ดี”
คนฟังถอนใจโล่งอก “เป็นเจ้าวาจากำกวม ปล่อยเสี่ยวเยี่ยนไว้ไม่ได้อันใดกัน”
“นางทราบความลับข้าแล้ว หรือจะปล่อยนางไปโพนทะนา ถ้ารู้ถึงหูตำหนักจนอาจารย์เอะใจส่งคนมาตามข้ากลับ นั่นคงยิ่งย่ำแย่”
“ข้าสงสัยนัก เสี่ยวเยี่ยนทราบเรื่องเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าเก็บจี้เงินกระดองเต่าเกล็ดหกเหลี่ยม สัญลักษณ์ตำหนักเหนือเทวะไว้ในห่อสัมภาระ ป้องกันการเปิดเผยฐานะ แต่ตอนข้าอาบน้ำสหายท่านแอบค้นห่อผ้าข้า อย่างไรต้องเจอมันแน่”
“ข้ายิ่งฟังยิ่งสับสน เวลาอาบน้ำเจ้าชอบปีนจากอ่างมาแอบดูสหายร่วมห้องหรือไร จึงเห็นเสี่ยวเยี่ยนค้นห่อผ้า”
เอ้อฉิงซวงขึงตาใส่ “ตอนผูกห่อผ้าก่อนไปอาบน้ำ ข้าถอนผมตัวเองพันไว้กับปมด้วย เมื่อกลับมาแกะห่อผ้าเส้นผมหลุดหายไปแล้ว เห็นชัดว่ามีคนแอบแกะปม ระหว่างนั้นในห้องนอกจากข้าก็มีแค่นาง”
“ถึงกับวางกลเม็ดไว้ ควรชมว่าเจ้ารอบคอบหรือขี้ระแวงกันแน่”
“นางสงสัยข้ามาตั้งแต่ต้น มันก็แค่การระวังตัวเท่าที่จำเป็น”
“ถ้าระวังขนาดนั้น ไยไม่หยิบจี้เงินไปด้วยตอนอาบน้ำเล่า”
“เสี่ยวเยี่ยนคอยจ้องข้าอยู่ ใครจะกล้าหยิบหลักฐานมัดตัวต่อหน้านาง ข้าจึงลองเสี่ยงโดยหวังว่านางจะไม่มีนิสัยเหมือนสหายที่ค้นตัวโจรได้หน้าตาเฉย แต่…เฮ้อ จอมยุทธ์อย่างพวกท่าน ชมชอบค้นของผู้อื่นเป็นกิจวัตรหรือไรกัน”
ถ้าสถานการณ์ไม่น่าหงุดหงิดถึงเพียงนี้ เขาคงพอหัวเราะให้คำประชดได้บ้าง “เสี่ยวเยี่ยนเป็นผู้มีเหตุผล หากเราอธิบายแล้วขอนางร่วมมือ…”
“ไม่ได้” เอ้อฉิงซวงปฏิเสธทันควัน “สิ่งที่ข้าทำนับเป็นความอับอายของตำหนัก ต้องปิดความลับยิ่งชีพ ท่านเองก็ควรระวังด้วย หากแพร่งพรายความลับโดยข้าไม่อนุญาต สัญญาระหว่างเราขาดกัน”
อาหารฝืดคอขึ้นทันที ชิวหยางจื้อผลักชามข้าวออกอย่างเหนื่อยหน่าย “แล้วศิษย์ตำหนักเหนือเทวะมาคลุกคลีกับคนของสำนักคู่แค้น เราจะอธิบายกับเสี่ยวเยี่ยนอย่างไร”
“ถ้าข้าหาวิธีได้คงไม่รีบมาหาท่านแน่ มีแผนดีๆ บ้างหรือไม่”
“ข้า?” เขาอ้าปากค้าง “เจ้าอยากให้ข้าคิดแผนหลอกสหาย”
“ถูกต้อง และต้องทำให้นางเชื่อภายในคืนนี้ด้วย เพราะรุ่งขึ้นเราจะรีบเดินทาง ข้าไม่ยอมเสียเวลามากกว่านี้อีกแล้ว!”
ซุนหวังเยี่ยนเดินไปตามระเบียงชั้นสองในโรงเตี๊ยม จุดหมายคือห้องของชิวหยางจื้อ แต่ก้าวเท้าเชื่องช้าด้วยกำลังครุ่นคิด จี้เงินรูปกระดองเต่าเกล็ดหกเหลี่ยม มีเพียงคนในตำหนักเหนือเทวะจึงครอบครองได้ จากลักษณะและอายุของเสี่ยวซวง นางต้องเป็นเอ้อฉิงซวงศิษย์คนเดียวของเจ้าตำหนักเว่ยแน่นอน แต่คนเช่นนางไฉนร่วมทางกับชิวหยางจื้อได้เล่า ซุนหวังเยี่ยนกริ่งเกรงเอ้อฉิงซวงปลอมตัวหลอกลวงสหาย จอมยุทธ์หญิงใช้เวลาระหว่างอาบน้ำไตร่ตรองอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจมาพบพวกเขาทั้งสอง หวังเจรจากันให้กระจ่างต่อหน้าทุกคน
ภายในห้องของสหาย เขาและเอ้อฉิงซวงต่างนั่งคนละฟากของโต๊ะน้ำชา หันใบหน้าเคร่งเครียดออกจากกัน แฝงด้วยบรรยากาศอึมครึมสายหนึ่ง ซุนหวังเยี่ยนเปิดประตูเจอภาพนี้ งุนงงสุดคะเน ชิวหยางจื้อหันมาหานาง เผยท่าทางหนักใจ
“เสี่ยวเยี่ยนมาแล้วหรือ ข้ากำลังคิดจะไปตามเจ้าที่ห้องอยู่เชียว” พลางผายมือเชื้อเชิญสหายนั่งลง ซุนหวังเยี่ยนทำตามด้วยท่าทีสับสน เขาจึงกล่าวต่อ “ก่อนอื่น โจรภูเขามีรางวัลนำจับ เสี่ยวซวงเอามาให้แล้ว ข้าจึงแบ่งออกเป็นสามส่วนสำหรับทุกคน”
“ข้าไม่ต้องการส่วนแบ่งหรอก” เอ้อฉิงซวงเพิ่งทราบเรื่องนี้ “ไม่ได้ช่วยปราบโจรเลย กลับเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ”
“หาใช่ไม่” ซุนหวังเยี่ยนคัดค้าน “หากไม่ได้เจ้าตะโกนบอกหยางจื้อ เขาอาจตายไปนานแล้ว ทั้งยังใช้วิธีบางอย่างช่วยถอนพิษให้ข้าด้วยมิใช่หรือ” สายตานางจับจ้องยังสตรีอีกคน เอ้อฉิงซวงยิ่งเผยท่าทางอึดอัด ซุนหวังเยี่ยนจึงตรงเข้าประเด็น “พวกเจ้าต่างคล้ายมีความในใจ เกิดอันใดขึ้น”
เอ้อฉิงซวงก้มหน้าลง ส่วนชิวหยางจื้อคิ้วขมวดแน่น “ข้ามีความลับต้องบอกเจ้า เสี่ยวซวงนั้นแท้จริงมีนามว่าเอ้อฉิงซวง เป็นศิษย์ของเจ้าตำหนักเหนือเทวะเว่ยซือไฉ”
นี่คือกลยุทธ์ของเขา ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ และดูเหมือนจะส่งผลในทางที่ดี ด้วยจอมยุทธ์หญิงเผลอตกตะลึงเพราะไม่ทันตั้งตัว “เจ้าทราบฐานะนางด้วยหรือ”
“ข้าย่อมต้องทราบ แต่ไฉนเจ้าพูดเสมือนรู้อยู่แล้วเช่นกัน”
ซุนหวังเยี่ยนหน้าแดง “ข้าแอบค้นของส่วนตัวเสี่ยวซวงจนพบสัญลักษณ์ของตำหนักเหนือเทวะ แต่อย่าเข้าใจผิด ข้าทำไปเพราะ…”
“เสี่ยวเยี่ยนไม่ต้องพูดแล้ว” เอ้อฉิงซวงชิงกล่าวหลังแสร้งทำท่าตกใจ “ข้าเข้าใจ เจ้าคงกังวลพฤติกรรมผิดปกติของข้า หากเปลี่ยนเป็นข้าก็คงกระทำเช่นเดียวกัน”
“เห็นหรือไม่เล่า” ชิวหยางจื้อพูดกับเอ้อฉิงซวง “เสี่ยวเยี่ยนฉลาดรอบคอบจึงรู้เรื่องทุกอย่าง ที่เจ้าคัดค้านไม่ให้ข้าบอกความจริงนางหามีประโยชน์ไม่”
“แต่ความลับของพวกเราร้ายแรงนัก ควรหรือจะเปิดเผยโดยง่าย”
“ประเดี๋ยวก่อน” ซุนหวังเยี่ยนยกมือห้าม “พวกเจ้าโต้เถียงกันเรื่องใด ข้างุนงงยิ่งแล้ว”
ชิวหยางจื้อสบตาเอ้อฉิงซวงชั่ววูบ ก่อนลุกขึ้นวาดมือไพล่หลัง ปั้นใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าและเสี่ยวซวงต่างบังเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน แต่ด้วยฐานะของพวกเรามิอาจเป็นไปได้ จึงแอบหลบหนีมาร่วมเดินทางกันในครั้งนี้”
“พวกเจ้าหนีตามกันหรือ!” ซุนหวังเยี่ยนตกใจสุดระงับ
จอมยุทธ์ยาจกแสร้งหันหลังให้สหาย นางจะได้ไม่เห็นสีหน้าตอนพูดโกหก “ไม่ถึงขนาดนั้น เราแค่อยากใช้เวลาร่วมกันเพื่อหาทางตัดสินใจ ถ้าพร้อมรับชะตาก็จะไปด้วยกันจนสุดหล้า แต่หากไม่อาจทรยศสำนักก็จะสะบั้นสัมพันธ์…ต่างคนต่างไป”
เอ้อฉิงซวงลุกพรวดไปยืนเกาะหน้าต่างฝั่งตรงข้ามเขา ยกมือบังหน้าคล้ายจะซ่อนน้ำตา แต่ความจริงแล้วกำลังนวดขมับที่เริ่มปวดระบมขึ้นต่างหาก
มีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน! ข้ออ้างเหลือรับประทานเช่นนี้ ชิวหยางจื้อยังอุตส่าห์คิดออกมาได้!
จอมยุทธ์หญิงมองตามเอ้อฉิงซวง ก่อนหันกลับมาหาสหาย “ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่าเห็นใจนัก เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน”
เขาหมุนตัวกลับมา “ราวสามเดือนก่อนข้าไปเยือนตำหนักเหนือเทวะ เพื่อขอร้องเจ้าตำหนักเว่ยเขียนบทกวีให้เป็นของขวัญอาจารย์ปู่ในนามของอาจารย์ข้า”
ซุนหวังเยี่ยนพยักหน้า “ข้าพอทราบเรื่องภายในของสำนักหนึ่งเลือดตัดตายจึงเข้าใจเหตุผลของเจ้า แต่คงยากจะสำเร็จ”
“เจ้าคาดการณ์แม่นยำ เสี่ยวซวงเป็นตัวแทนเจ้าตำหนักเว่ยมาปฏิเสธข้าเอง”
เอ้อฉิงซวงแอบลูบแขนที่ขนลุกชัน ได้ยินเขาเรียกเสี่ยวซวงทีไรนางจะเกิดอาการทุกครา แต่ชิวหยางจื้ออ้างว่าต้องแสดงความสนิทสนมเพื่อให้การโป้ปดแลสมจริง ทั้งกำชับนางให้เรียกเขาว่าพี่หยางจื้อ เอ้อฉิงซวงขนลุกอีกรอบ
“แต่ข้าไม่อาจตัดใจ” เขาเอ่ยต่อ “จึงยังคอยป้วนเปี้ยนตอแยนางตลอดเวลาเกือบครึ่งปี จนเกิดเป็นความผูกพัน”
“ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างกัน ไฉนพวกท่านยังบังเกิดความรักขึ้นมาได้”
ทางด้านหลังซุนหวังเยี่ยน เอ้อฉิงซวงกำลังชักสีหน้าใส่ชิวหยางจื้อ เห็นหรือไม่เป็นดั่งที่ข้าเคยเตือน ใครจะเชื่อถือเรื่องโกหกอย่างหน้าไม่อายเช่นนี้กัน
แต่ชิวหยางจื้อหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้สักกระผีก ยังคงกล่าวอย่างลื่นไหล “ช่วงเวลานั้นข้าคือแขกไม่ได้รับเชิญ ผู้อื่นในตำหนักเหนือเทวะล้วนไม่อยากเสวนา แต่เสี่ยวซวงยังอุตส่าห์ออกมาต้อนรับ ข้าประทับใจมารยาทของนาง ต่อมานางเพิ่งรู้ว่าคนในตำหนักแอบกลั่นแกล้งข้า นางก็แสดงการขออภัยอย่างจริงจัง ข้านับถือน้ำใจนาง หลังจากนั้นข้ายังตามตอแยไม่เลิกรา ด้วยฐานะเจ้าถิ่น นางสามารถเลือกวิธีทั้งเหมาะสมหรือต่ำทรามกำจัดข้าได้ทั้งสิ้น แต่นางกลับปล่อยข้ากระทำตามใจ ข้าชื่นชมความเมตตาของนาง ในช่วงเวลานั้น ข้าเห็นนางมักแวะเวียนช่วยเหลือสำนักแม่ชีที่เคยเลี้ยงดูมา ข้าซาบซึ้งความกตัญญูของนาง” เขาเผยรอยยิ้มละมุนละไมสายหนึ่ง ”เชื่อเถิด ข้าสามารถพูดเช่นนี้ได้ทั้งวัน”
ไม่เพียงแค่ซุนหวังเยี่ยน กระทั่งเอ้อฉิงซวงยังสมองตื้อตาลายกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า โปรดอย่าเอ่ยวาจาโป้ปดด้วยท่าทางอ่อนหวานจริงจังเช่นนี้ได้หรือไม่!
“ช่างเป็นเรื่องเล่าที่น่าประทับใจเหลือเกิน” จอมยุทธ์หญิงกล่าว “ต่อจากนั้นเล่า”
ต่อจากนั้น? เอ้อฉิงซวงร้อนรน เมื่อเริ่มต้นด้วยคำโกหก ต่อจากนั้นยังจะมีสิ่งใดอีกนอกจากคำโกหก นางจึงถลาไปหาพวกเขา ปากก็พร่ำพูด “เสี่ยวเยี่ยน เพราะเรื่องดังกล่าวข้าจึงรู้สึกผิดมากแล้ว อย่าให้ข้าต้องอับอายไปกว่านี้เลย”
ครั้นเมื่อเผชิญหน้าซุนหวังเยี่ยนเข้าจริงๆ นางกลับเป็นฝ่ายที่ต้องตะลึงแทน
จอมยุทธ์หญิงไม่ได้มีท่าทางคาดคั้นเอาเป็นเอาตายอย่างที่คิด ตรงกันข้าม ในอิริยาบถเรียบเฉยกลับแฝงความรันทดหดหู่ ดวงตาเซื่องซึมคล้ายดั่งกึ่งตัดพ้อ มองตรงยังชิวหยางจื้อแค่เท่านั้น
เอ้อฉิงซวงเพิ่งกระจ่างอย่างเลือนราง หรือนางจะเผลอลงมีดคราหนึ่ง สะบั้นดอกท้อ (1) ที่เพิ่งแรกตูมทิ้งจนสิ้นซาก ความคิดนั้นทำนางหวั่นไหวจนอึดอัด หมายจะเอ่ยบางอย่างแต่ซุนหวังเยี่ยนพลันกล่าวตัดหน้า
“ข้าเสียมารยาทเหลือเกิน ไม่ระวังความรู้สึกเสี่ยวซวง สมควรหยุดซักไซ้เพียงแค่นี้” นางหลุบตาลง กระแสอึมครึมเมื่อครู่พลันจางหาย “แต่เส้นทางที่พวกท่านเลือกช่างหนักหนา ข้าคงได้เพียงเอาใจช่วย”
“ข้าไม่ต้องการอะไรหรอก” ชิวหยางจื้อรีบเอ่ย “ขอแค่เจ้าอย่าแพร่งพรายเรื่องที่พบพวกข้า”
“เจ้าไม่ต้องขอร้องข้าก็คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว” นางรับคำหนักแน่นพลางลุกยืน “ข้ายังอ่อนเพลียอยากพักผ่อน คงต้องขอตัวก่อน”
ครั้นประตูห้องปิดสนิทอีกครั้ง ชิวหยางจื้อค่อยระบายลมหายใจโล่งอก “เห็นหรือไม่วิธีข้าได้ผล เสี่ยวเยี่ยนเชื่อถืออย่างหมดใจจึงยินยอมวางมือจากพวกเรา หลังเสร็จธุระค่อยบอกนางว่าพวกเราต่างคนต่างไป เท่านี้ความลับก็จะเป็นความลับตลอดกาล เจ้าเลิกบ่นได้แล้ว”
นางปรายตามอง “ท่าน…ไม่รู้สึกอันใดบ้างเลยหรือ”
เขามีเพียงสายตางงงัน “ข้าต้องรู้สึกอะไรเล่า”
เอ้อฉิงซวงกลั้นเสียงถอนหายใจ ก้าวเท้าออกจากห้องไปอีกคน
ภายใต้นิทรารมณ์อันสุขสบาย เอ้อฉิงซวงพลันรู้สึกตัวตื่นอย่างปุบปับ ในห้องยังมืดสลัว ตะวันเพิ่งแตะขอบฟ้าส่องแสงผ่านหน้าต่างเลือนราง ราวตื่นขึ้นในห้วงฝัน
หางตาเห็นเงาตะคุ่ม เอ้อฉิงซวงสะดุ้งผวา ก่อนชัดเจนว่าเป็นซุนหวังเยี่ยนค่อยคลายใจ จอมยุทธ์หญิงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หันมาทางเตียงของนาง
“ขออภัย ข้าปลุกเจ้าหรือ กำลังคิดจะไปเงียบๆ อยู่เชียว”
บนโต๊ะมีห่อสัมภาระของจอมยุทธ์หญิงวางอยู่ เอ้อฉิงซวงเลิกคิ้ว “เพิ่งเช้าตรู่เท่านั้น น่าจะรอร่ำลาพี่หยางจื้อก่อน”
“ข้าและเขารู้จักกันมาแต่เด็ก พบพานจากลาแทบเป็นกิจวัตร ไม่ต้องมากพิธีรีตอง” นางเงียบไป “และข้าขออวยพรให้ความรักของพวกเจ้า หากเมื่อใดต้องการความช่วยเหลือก็อย่ารีรอ”
ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะผุดนั่ง ผ้าห่มเลื่อนกองที่ตัก “เสี่ยวเยี่ยน เรื่องของข้ากับพี่หยางจื้อนั่น…เอ้อ…”
เอ้อฉิงซวงอึดอัดใจ หากไม่เพราะต้องปิดบังก็อยากสารภาพเสียให้สิ้น แต่แล้วจะเป็นอย่างไรต่อเล่า ยิ้มระรื่นบอกซุนหวังเยี่ยนว่าแม้ชิวหยางจื้อไม่มีสตรีอื่นในดวงใจ เขาก็ไม่เคยมองนางในทางชู้สาวเช่นนั้นหรือ เลือกทางใดจึงทำร้ายจิตใจซุนหวังเยี่ยน้อยที่สุด ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะรู้สึกอับจนหนทาง
“เสี่ยวซวงไม่ต้องพูดหรอก ข้าเข้าใจ”
กลางความสลัว คล้ายสายตาซุนหวังเยี่ยนมองทะลุร่างนางไปไกลแสนไกล เอ้อฉิงซวงนึกประหม่าอย่างไร้สาเหตุ จึงชวนคุยกลบเกลื่อน
“ข้ากลับเพิ่งทราบ ที่แท้พวกท่านสนิทสนมกันมานาน”
“ก็จนเขาฝากตัวเป็นศิษย์สำนักหนึ่งเลือดตัดตาย หลังจากนั้นหยางจื้อแทบไม่กลับบ้าน จึงเจอกันน้อยลง”
“บ้านเขาและสำนักอยู่เมืองเดียวกัน ไม่ควรไปมาลำบากเช่นนั้นนี่”
“เขา…ค่อนข้างน้อยใจมารดา เจ้าคงทราบเรื่องที่มารดานำเขาออกเร่ขาย สมัยนั้นเขายังมีพี่ชายคนรองที่อายุไล่เลี่ยกัน แต่มารดากลับรักพี่มากกว่าจึงเลือกจะเก็บอีกฝ่ายไว้ แม้พอโตเขาจะเข้าใจมารดามากขึ้น ทว่าความหลังฝังใจย่อมไม่อาจลบเลือนง่ายดาย เขาจึงคอยช่วยเหลือครอบครัวเป็นอย่างดีแต่ไม่ใคร่กลับบ้านนัก” นางขบริมฝีปาก “เจ้ารู้ความหมายฉายา ‘นางแอ่นไร้รัง’ ของหยางจื้อหรือไม่”
อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ในความง่วงงุน เอ้อฉิงซวงยากจับต้นชนปลาย “เดาว่าคงเปรียบดั่งความอิสรเสรี ท่องไปทั่วหล้าโดยไม่ผูกมัดใดๆ”
“เจ้าเป็นคนดีย่อมแปลความในทางที่ดี แต่บางคน…โดยเฉพาะในสำนักหนึ่งเลือดตัดตายมักเอามาล้อเลียน ว่าสิ่งที่นางแอ่นมีประโยชน์คือรังของมัน ไร้รังย่อมไม่ต่างจากไร้ประโยชน์ ด้วยหยางจื้อยากจน ไม่นำพาชื่อเสียง ไม่เคยสร้างประโยชน์แก่พวกเขา”
“พวกต่ำช้า! คงกล้าเอ่ยลับหลังเท่านั้น”
“แต่หยางจื้อก็รับรู้ ข้าเคยถามเขาคิดอย่างไรกับฉายานี้ เขาหัวเราะบอกว่าก็แค่นกตัวหนึ่งกำลังหาที่ทำรังของตน มีอะไรน่าสนใจ ถึงกระนั้น…กลับไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกด้วยฉายานี้” เสียงถอนใจดังแผ่ว “เขาไม่อาจใช้ชีวิตกับครอบครัว ไม่สามารถอยู่ร่วมในสำนัก เพียงเที่ยวหารังของตัวเรื่อยไป”
เอ้อฉิงซวงอับจนถ้อยคำ มิรู้สมควรโต้ตอบอย่างไร ทันใดนั้นซุนหวังเยี่ยนก็โน้มหน้ามากระซิบ “ข้าเพียงหวัง…ภาวนาจากใจจริง สักวันเขาจะสร้างรังของตนได้เสียที”
พวกนางปล่อยให้ประโยคนั้นลอยอวลในอากาศ คล้ายความว่างเปล่าตรงหน้าพลุ่งด้วยอารมณ์เข้มข้นจนลมหายใจก็พลอยหนักอึ้ง ในที่สุดจอมยุทธ์หญิงพลันคว้าห่อผ้า
“ข้าพูดมากไปแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ หากมีวาสนาคงได้พบกันใหม่”
ซุนหวังเยี่ยนจากไปราวสายลม ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศเลื่อนลอย กึ่งจริงกึ่งฝัน เอ้อฉิงซวงล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง ความง่วงงุนยังเกาะติดไม่สร่างซา
แต่จนแล้วจนรอด…กลับไม่อาจข่มตาหลับได้เลย
หลังเหตุการณ์ปะทะกับโจรภูเขา การเดินทางในช่วงถัดมาล้วนราบรื่นดี ไม่น่าเชื่อว่าช่างตาเดียวจ้าวถวน บุคคลหลบหนีซึ่งเป็นที่ต้องการตัวในยุทธภพ กลับเลือกซ่อนกายในเมืองใหญ่โตพลุกพล่านโดยไม่มีใครระแคะระคาย
“ผู้คนล้วนเข้าใจผิด” ชิวหยางจื้ออธิบายระหว่างนั่งพักในร้านน้ำชา “ชนบทคนน้อยทั้งยังรู้จักกันหมด มีคนแปลกหน้ามาใหม่ย่อมผิดสังเกต อาจเกิดข่าวลือแพร่สะพัด แต่เมืองใหญ่ชาวบ้านโยกย้ายกันเป็นกิจวัตร และนิสัยช่างตาเดียวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร โอกาสถูกพบเจอน้อยมาก เมืองนี้จึงนับว่าปลอดภัย”
นางพยักหน้าเห็นด้วยระหว่างหยิบขนมโก๋ไส้ถั่วใส่ปาก “ร้านนี้ขนมอร่อยมาก”
เขารีบเลื่อนจานขนมไปใกล้นาง “กินเยอะๆ เถอะ เพิ่งเห็นเจ้าอารมณ์ดี ตั้งแต่เจอโจรภูเขาเจ้าก็หน้าตาบึ้งตึงไม่ยอมพูดจาเอาเสียเลย”
ขนมพลันฝืดคอ เอ้อฉิงซวงรีบจิบชา “ขอร้องท่าน อย่าพูดถึงเรื่องวันวานได้หรือไม่”
ชิวหยางจื้อนึกว่านางคงยังหวาดกลัวเหตุการณ์นองเลือด จึงรับคำ “เจ้าอย่าลืม แม้เสี่ยวเยี่ยนจากไปแล้วแต่เรายังควรเรียกหากันอย่างสนิทสนม จะได้ดูเป็นธรรมชาติหากบังเอิญเจอกันอีกครั้ง”
นางพยักหน้าคล้ายเสียไม่ได้ เขาแจกแจงต่อ “ข้าฝากรถม้าไว้ที่โรงเตี๊ยมเรียบร้อย หากเจ้ากินอิ่มแล้วเราก็ไปหาช่างตาเดียวกันเถอะ”
ที่อาศัยของช่างตาเดียวเป็นบ้านขนาดกลางในตรอกที่มีอยู่ทั่วไป แถวหน้าบ้าน สตรีอายุมากกว่าเอ้อฉิงซวงหลายปีกำลังยืนคุยกับหญิงวัยกลางคนอยู่ เมื่อนางเห็นชิวหยางจื้อจึงทักอย่างดีใจ
“น้องหยางจื้อ” หันไปพูดกับคู่สนทนา “บ้านข้ามีแขก ขอตัวก่อนนะป้าฝู”
“ได้ๆ เจ้าเองกำลังท้อง อย่าหักโหมนัก” ป้าฝูเตือนก่อนกลับเข้าบ้านข้างๆ ชิวหยางจื้อค่อยเอ่ยขึ้น
“พี่เพ่ยจี ท่านแต่งงานตั้งแต่เมื่อใด ข้าตกใจหมดแล้ว”
จ้าวเพ่ยจีลูบท้องนูนเด่นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “แต่งกับบุตรชายร้านขายธูปที่อยู่ถัดไปสองตรอกนี่เอง ตั้งแต่เจ้าช่วยพาพวกเรามาอาศัยที่นี่ก็จากไปเสียหลายปี วันนี้มาหาพ่อหรือ”
“ข้าพาสหายมาขอพบช่างตาเดียว”
จ้าวเพ่ยจีทักทายเอ้อฉิงซวงด้วยท่าทางเป็นกันเอง ก่อนสีหน้าห่อเหี่ยวลง “หยางจื้อมาก็ดีแล้ว ปกติพ่ออาจขี้โมโหบ้าง แต่ช่วงหลังยิ่งอารมณ์แปรปรวน เก็บตัวทำงานแกะสลักทั้งวันคืน กระทั่งข้ายังเข้าหน้าไม่ติด ท่านมาอาจทำให้พ่ออารมณ์ดีขึ้นบ้าง” นางพาเหล่าอาคันตุกะผ่านตัวบ้านทะลุถึงด้านหลัง “พ่อใช้เรือนเก็บของดัดแปลงเป็นที่ทำงาน วันๆ ขลุกอยู่แต่ในนั้น”
ภายในเรือนเก็บของกว้างขวาง ไม่ใช่เพราะขนาดใหญ่โตแต่เนื่องจากแทบไม่มีอะไรเลย แค่โต๊ะและม้านั่งสี่ตัวกับชั้นวางของเล็กๆ ที่ว่างเปล่าเท่านั้น จ้าวเพ่ยจีเชิญพวกนางนั่งที่โต๊ะไม้ไผ่กลางเรือน ร้องเรียกบิดาให้ออกมาจากห้องเล็กๆ ทางด้านในอีกที จ้าวถวนอายุประมาณห้าสิบปี ลักษณะธรรมดา ที่โดดเด่นคงมีแค่ตาข้างซ้ายที่เปลือกตาปิดลงมาสนิท ราวกำลังหลับตาข้างลืมตาข้างตลอดเวลา จ้าวเพ่ยจีเมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยจึงขอตัวด้วยบ้านสามีกำชับไม่ให้กลับช้า
จ้าวถวนมีท่าทางแปลกใจเมื่อพบหน้าชิวหยางจื้อ แต่หลังรินน้ำชาต้อนรับก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มบทสนทนา “ช่างตาเดียว ท่านอยู่ที่นี่สุขสบายหรือไม่”
“ตามอัตภาพ” เขาใช้ตาข้างดีจับจ้องเอ้อฉิงซวง นางจึงน้อมคำนับ
“ผู้เยาว์เอ้อฉิงซวงเป็นศิษย์ตำหนักเหนือเทวะ เลื่อมใสช่างตาเดียวมานานแล้ว”
จ้าวถวนชะงักคล้ายไม่เชื่อหู ก่อนทุบโต๊ะปัง! “พาคนของตำหนักเหนือเทวะมาหา จอมยุทธ์ชิวฟั่นเฟือนแล้วหรือไร!”
“ท่านอย่าเพิ่งโมโห ฟังข้าอธิบายก่อน” จอมยุทธ์ยาจกเล่าเรื่องราวทั้งหมด แล้วสรุป “ท่านช่วยเหลือเสี่ยวซวงก็เสมือนช่วยเหลือข้าทางอ้อมเช่นกัน โปรดพิจารณา”
จ้าวถวนมีท่าทีอ่อนลง “ข้าซ่อนตัวมานาน ไม่รู้เลยสำนักหนึ่งเลือดตัดตายจะเกิดเหตุวุ่นวายเช่นนี้”
“อาจารย์ปู่ไม่ต้องการเห็นความขัดแย้ง ในใจท่านจึงเอนเอียงมาทางอาจารย์ของข้า แต่ปกติอาจารย์นิสัยสมถะไม่เคยสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ ถ้าจู่ๆ อาจารย์ปู่ยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้คงไม่มีใครยินยอม อาจารย์ปู่จึงเสนอเรื่องการประชันของขวัญวันเกิดขึ้นมา ผู้ใดสามารถสรรหาของขวัญโดดเด่นที่ทุกคนยอมรับก็จะได้ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่อาจารย์กลับเพิกเฉยบอกไม่คิดแก่งแย่ง อาจารย์ปู่จนใจจึงแอบปรึกษาข้า”
ชิวหยางจื้อจิบน้ำชาก่อนเล่าต่อ “พวกเรายังคงคิดว่าการตัดสินจากของขวัญเป็นวิธีที่ดี แต่ฝ่ายข้าไม่เหมือนอาจารย์ลุงและอาจารย์อา ด้วยไร้ทุนทรัพย์หรืออำนาจบารมีที่จะสรรหาของขวัญอันเหมาะสม จนในที่สุดข้าก็นึกถึงตำหนักเหนือเทวะขึ้นมา”
“ข้าเข้าใจ” จ้าวถวนเอ่ย “เจ้าตำหนักเว่ยนิสัยแปลกประหลาด เขาพร้อมแลกเปลี่ยนของที่มีกับข้อเสนออะไรก็ได้ที่พึงพอใจ บางครายินดีมอบให้เปล่าๆ เสียด้วยซ้ำ เดาใจเขาไม่ได้เลย แต่สำนักท่านมีความแค้นยาวนานกับเขา หรือจะเจรจาง่ายดาย”
“ข้าพอมีวิธี แต่หากปราศจากความช่วยเหลือจากท่าน ประสงค์ของอาจารย์ปู่ก็คงแค่ฝันเลื่อนลอย”
“ท่านแจกแจงยืดยาว เพื่อบอกข้าทางอ้อมว่าทั้งหมดล้วนเป็นความต้องการของจอมยุทธ์หยวน”
“ถูกต้อง และหวังว่าท่านคงไม่ลืมเลือน ที่ข้ากับอาจารย์เสี่ยงตายช่วยเหลือท่านมาซ่อนตัวที่นี่ ก็เพราะคำสั่งของอาจารย์ปู่เช่นกัน”
จ้าวถวนกอดอก เขม้นมองเอ้อฉิงซวง นางจึงค้อมศีรษะนอบน้อม “ผู้เยาว์มีโทษที่ล่วงเกินผู้อาวุโส แต่อยากขอร้องท่านลองฟังคำอธิบาย เผื่อสามารถลบล้างความขัดแย้งที่ตำหนักเหนือเทวะก่อขึ้นกับท่าน”
“เฮอะ! เพิ่งรู้สึกผิดยามต้องกราบกรานขอความช่วยเหลือ แต่เห็นแก่หน้าจอมยุทธ์ชิวจะยอมอ่อนข้อสักครั้ง เจ้ามีลมอันใดจงผายออกมา!”
ถ้อยคำหยาบคายประสาชาวยุทธ์ เอ้อฉิงซวงรับฟังโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ผู้เยาว์ยังจำได้ดี สมัยนั้นท่านขัดแย้งกับสำนักกระบี่ฉายอรุณจนโดนตามล่า แต่กลับยอมฝ่าอันตราย ดั้นด้นนำรูปสลักฝีมือตนเองมาแลกเปลี่ยนสมบัติกับอาจารย์ ถึงกระนั้นอาจารย์ยังปฏิเสธไม่ไยดี ท่านโมโหมาก ตั้งตัวเป็นอริกับตำหนักเหนือเทวะ แล้วแบกรูปสลักชิ้นนั้นไปถวายวัดเส้าหลิน”
ชิวหยางจื้อสงสัย “สมบัติวิเศษอะไร ทำให้ช่างตาเดียวยอมเสี่ยงตายถึงเพียงนั้น”
“เป็นงานแกะสลักหินทรายรูปเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์เย่ว์เฟย (2) แม้ไม่ทราบนามของช่างที่สรรค์สร้างแต่ฝีมือก็ประณีตเอกอุ ตัวรูปสลักทำจากหินทรายทั้งก้อน มือถือกระบี่โลหะสีเงิน ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสิบรูปสลักเย่ว์เฟยที่งดงามที่สุดในยุคปัจจุบัน ถูกเรียกว่ารูปสลักเย่ว์เฟยออกศึก”
“เฮอะ! ตำหนักเหนือเทวะคงเห็นข้าแค่ช่างแกะสลักต่ำต้อย จึงบอกปัดไม่ไยดี”
นางฝืนยิ้ม “ผู้เยาว์เข้าใจความผิดหวังของท่าน แต่เหตุการณ์ครานั้นมีนัยซับซ้อนกว่าที่เห็น ช่างตาเดียวอาจไม่ทราบ อาจารย์ชื่นชมฝีมือท่านมานาน เมื่อมีโอกาสได้ครอบครองงานของท่าน หากไม่จำเป็นสาหัสหรือจะยินยอมปล่อยหลุดมือ ดังนั้นหาใช่ไม่ต้องการมอบรูปสลักเย่ว์เฟยออกศึกแก่ท่าน ทว่าด้วยไม่อาจทำได้ต่างหาก”
“ทำไมกันเล่า” ชิวหยางจื้อหลุดปากถาม
“เพราะอาจารย์ได้มอบมันให้กับเศรษฐีชางไปก่อนหน้านั้นเกือบปีแล้ว”
“เหลวไหล!” จ้าวถวนตวาด “เหตุผลแค่นั้นทำไมไม่บอกข้าแต่ต้น ข้าจะได้ไปขอรูปสลักจากเศรษฐีชางอีกที”
“ทำไม่ได้” เอ้อฉิงซวงยืนกราน “เศรษฐีชางชื่นชอบสะสมสิ่งของที่เกี่ยวกับท่านเย่ว์เฟยมานาน แต่รูปสลักชิ้นนี้มูลค่ามหาศาล เขาเจรจาต่อรองกับอาจารย์จนกัดฟันแลกเปลี่ยนด้วยสมบัติประจำตระกูล สมัยนั้นเขายังมีฐานะแค่บุตรชายคนโตของเศรษฐีชางผู้เป็นบิดา ย่อมไม่กล้าให้บิดาทราบความอัปยศ จึงคาดคั้นอาจารย์รับปากว่าหากบิดาเขายังไม่เสีย ห้ามแพร่งพรายการแลกเปลี่ยนครั้งนี้แก่ผู้ใด ไม่เช่นนั้นอาจารย์ต้องมอบสมบัติประจำตระกูลคืนเขา”
ชิวหยางจื้อถูจมูก “มิน่า หากเปิดเผยไปเจ้าตำหนักเว่ยจะสูญทั้งรูปสลักและสมบัติที่แลกเปลี่ยนมา ว่าแต่สถานการณ์ตอนนี้เล่า”
“บิดาเศรษฐีชางเสียไปสามปีแล้ว ปัจจุบันเขาขึ้นเป็นเจ้าบ้าน เลิกปิดบังความลับของรูปสลักเย่ว์เฟยออกศึก แต่ก็คงไม่ยินยอมมอบมันแก่ใครเช่นกัน”
จ้าวถวนรับฟังด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่เอ่ยแม้ครึ่งคำ เอ้อฉิงซวงพินิจเขาอย่างลังเล พูดต่อเสียงเบา
“ช่างตาเดียว ผู้เยาว์มีข้อสงสัยอยากขอสอบถาม” เขายังไม่ยอมตอบ นางจึงถือเป็นคำอนุญาต “รูปสลักเย่ว์เฟยออกศึกงดงามจริงๆ ตอนท่านมาขอรูปสลักจากอาจารย์ ผู้เยาว์เคยคิดว่าไม่แปลกที่ช่างแกะสลักอย่างท่านจะอยากได้ไว้เพื่อศึกษา พัฒนาฝีมือตนเอง แต่เมื่อเห็นรูปสลักฝีมือท่านที่จะเอามาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ ผู้เยาว์กลับเปลี่ยนความคิด ด้วยฝีมือของท่านนั้นเหนือล้ำกว่าช่างที่แกะรูปสลักเย่ว์เฟยออกศึกตั้งหลายเท่า ยังจะต้องการมันไปทำไม ตอนนั้นผู้เยาว์ไม่เข้าใจเลย”
ชิวหยางจื้อรีบเสนอความคิด “หรือช่างตาเดียวจะไม่เคยเห็นรูปสลักนั่นมาก่อน แค่ได้ยินข่าวลือในความงดงามจึงอยากครอบครองไว้เพื่อศึกษา แต่เสี่ยวซวงก็ยืนยันแล้วว่าฝีมือท่านยังเหนือล้ำกว่า รูปสลักเย่ว์เฟยออกศึกย่อมไม่จำเป็นอีกแล้ว”
จอมยุทธ์ยาจกคาดหวังว่าเรื่องราวควรจบลงด้วยรูปการณ์เช่นนี้ เพราะจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก แต่เอ้อฉิงซวงกลับดับฝันเขาในพริบตา
“ข้าได้ยินช่างตาเดียวคุยกับอาจารย์ว่าเคยเห็นรูปสลักนั่นเมื่อนานมาแล้ว ก่อนที่มันจะถูกเก็บเข้าคลังสมบัติเหนือเทวะด้วยซ้ำ ข้อสันนิษฐานของพี่หยางจื้อจึงตกไป”
ชิวหยางจื้อส่งเสียงจึกจัก อุตส่าห์คิดว่าคาดเดาแม่นยำแล้วเชียว “ช่างตาเดียวโปรดไขความกระจ่างด้วยเถิด ท่านต้องการรูปสลักเพราะเหตุใด”
เอ้อฉิงซวงพยายามปรามด้วยสายตา ใครเขาถามความลับผู้อื่นหน้าตาเฉยเช่นท่านบ้าง แต่สุดท้ายตัดใจเลิกกระทำ ยอมรับว่านางเองก็สงสัยใคร่รู้เหมือนกัน ส่วนจ้าวถวนกลับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รูปสลักนั่นเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่อาจารย์ของข้าทำขึ้น”
สองหนุ่มสาวแลกเปลี่ยนสายตากัน หรือจ้าวถวนกำลังเฉลยความสำคัญของรูปสลักเย่ว์เฟยที่มีต่อเขา ถึงกระนั้นคล้ายบางอย่างไม่ถูกต้อง ชิวหยางจื้อจึงเกริ่นว่า “ที่แท้รูปสลักมีความเป็นมาเช่นนี้ ข้าเองนึกเสียใจแทนท่านนัก แต่เจ้าตำหนักเว่ยก็มีเหตุผลที่มิอาจเลี่ยง”
“ในฐานะคนของตำหนักเหนือเทวะ ผู้เยาว์ต้องกล่าวขออภัยกับท่านจริงๆ” นางรับลูกต่ออย่างลื่นไหล
“ในเมื่อเรื่องก็ดำเนินมาเยี่ยงนี้ ขอช่างตาเดียวโปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์พวกเรา ละวางความแค้นสักครั้ง ช่วยแกะสลักหยกเพลิงน้ำค้างให้ด้วยเถอะ”
เปรี้ยง!
จ้าวถวนทุบโต๊ะปัง นัยน์ตาที่มีเพียงข้างเดียวเบิ่งค้างจนแดงฉาน สองหนุ่มสาวต่างเลิ่กลั่กลนลาน ทันใดนั้นเอง จ้าวถวนพลันแหงนหน้าระเบิดหัวร่อสนั่นหวั่นไหว เป็นเสียงหัวเราะที่ช่างหดหู่เสียกระไร เอ้อฉิงซวงสงสัยเหลือจะกล่าว แล้วจู่ๆ เสียงหัวเราะก็หยุดลงปุบปับ จ้าวถวนชี้หน้าพวกเขา เค้นเสียงกระท่อนกระแท่น
“ขอให้ข้าสลักหยกเช่นนั้นรึ พวกเจ้านี่มัน…ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด!”
เชิงอรรถ :
(1) ดอกท้อเปรียบแทนโชคในความรัก
(2) เย่ว์เฟยหรืองักฮุย แม่ทัพที่มีชื่อเสียงมากในประวัติศาสตร์จีนสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ ถูกยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์