พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.1  : ออกเดินทาง

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 10.1 : ออกเดินทาง

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

ทุกคนเห็นด้วยกับคำแนะนำของคินซา ตลอดช่วงบ่ายของวันนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนเตรียมความพร้อมออกเดินทาง

คินซาและเยชิเตรียมสัมภาระที่จำเป็นเรียบร้อยแล้ว และได้ลูกหาบที่จะร่วมทางไปด้วยอีกสี่คน เป็นชายสาม หญิงหนึ่ง ดวงหน้าของทุกคนคร้ามแดด ดวงตาใสกระจ่างเป็นมิตร

“เทนซิน คินเล และวังโม คินเล สองคนนี้เป็นพี่น้องกันครับ” เยชิแนะนำชายหนุ่มสองคนแรก ลิ่วลมประเมินดูด้วยสายตา คิดว่าทั้งสองคงมีอายุไล่เลี่ยกับเขา “ส่วนสองคนนี้…ผู้ชายชื่อนัมเก เชริง ส่วนผู้หญิงเป็นภรรยาของเขา ชื่อยูเยน เชริง”

“เราต้องใช้คนมากขนาดนี้เลยหรือคะ” อัญญาวีร์เลิกคิ้ว

“จำเป็นมากครับ” เยชิยืนกราน เมื่ออัญญาวีร์ถามว่าจะต้องมีคนร่วมเดินทางไปมากขนาดนี้เลยหรือ “เพราะครั้งนี้ไม่ได้ไปตามเส้นทางปกติ บางช่วงเป็นถนนเลียบไหล่เขา รถผ่านไม่ได้ ต้องเดินเท้าไป บางช่วงเดินไม่ได้ ต้องขี่ม้า ลำพังผมกับคินซาสองคนดูแลพวกคุณได้ไม่ทั่วถึง จำเป็นต้องมีคนช่วย ลูกหาบพวกนี้เป็นลูกน้องเก่าของผม ซื่อสัตย์ ชำนาญทางและไว้ใจได้”

“ใช้เวลานานเท่าไรครับ กว่าจะถึงซัมเซ” ลิ่วลมถาม

“ปกติขับรถใช้เวลาแค่วันเดียว ออกเดินทางเช้ามืด บ่ายแก่ๆ ก็ถึงละครับ แต่คราวนี้เราใช้เส้นทางอ้อม…จากทิมพู เราจะต้องเดินทางลงใต้ ผ่านแคว้นพาโร อ้อมขึ้นแคว้นชูคา ก็จะถึงแคว้นซัมเซ” คินซานับนิ้วมือ “ซัมเซมีสองแคว้นย่อยคือตาชิโชลิงและโดพูเชน…ฉันคิดว่าเราควรต้องเริ่มต้นที่เมืองหลวงของซัมเซ ฉันมีคนรู้จักที่พอจะช่วยเราได้ ถ้าเราเดินทางตามแผนนี้โดยไม่หยุดพักเลย จะใช้เวลาประมาณสามวัน”

“สามวัน” นารีญาร้องเสียงดัง เธอนับนิ้วตัวเองบ้าง

“นี่คือกรณีที่การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นนะคะ” คินซาว่า “ถ้าบังเอิญไปเจอฝนตกหนัก เจอดินถล่ม…หรือเหตุอื่นๆ เราอาจใช้เวลานานกว่านั้น”

“ไม่มีทางไหนเร็วกว่านี้แล้วจริงๆ ใช่ไหม” อัญญาวีร์ถามย้ำอย่างจะให้แน่ใจ ทั้งที่รู้ข้อมูลเหล่านี้มาก่อนแล้ว ขณะที่นารีญาเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อส่งไลน์ไปหาเพื่อนร่วมงาน บอกให้รู้ว่าเธออาจจะกลับช้ากว่ากำหนด

“วิธีนี้เร็วสุดแล้วค่ะ” คินซายังยืนยัน

“ถ้ารอให้ถนนสายหลักซ่อมเสร็จ นานกว่านี้ครับ” เยชิเสริม

“คุณเชื่อใจเราใช่ไหม” คินซาถามตรงๆ เธอรู้สึกว่าอัญญาวีร์กำลังไม่ไว้ใจพวกเธอ น้าสาวของนารีญาฟังคำถามนั้นแล้วถึงกับอึ้ง

“ฉัน…เอ้อ…” อัญญาวีร์ไม่รู้จะตอบอย่างไร

ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้ใจไกด์พื้นเมืองทั้งสอง อัญญาวีร์เพียงแต่รู้สึกถึงความดำมืดที่รออยู่เบื้องหน้า และนั่นสร้างความหนักใจให้กับอัญญาวีร์มากกว่าอะไรทั้งหมด

“การเดินทางไปด้วยกันครั้งนี้ ลำบากกว่าปกติหลายเท่า” เยชิเสริม ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาฉายประกายหนักแน่นจริงจัง “พวกเราจำเป็นต้องไว้ใจกันและกัน ถ้าคุณไม่เชื่อใจพวกผม…เราล้มเลิกการเดินทางตอนนี้ก็ยังไม่สาย”

“ที่ถามไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจพวกคุณหรอกนะคะ ฉันกำลังคิดว่า…ถ้าเราจะมีทางที่ปลอดภัยกว่านี้” อัญญาวีร์เอ่ยเสียงแผ่ว

“ก็อย่างที่บอกครับ” เยชิถอนใจ “เราต้องแข่งกับเวลา เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ไปถึงซัมเซเร็วที่สุดแล้ว เอาจริงๆ นะครับ…ถ้าผมกับคินเซเลือกได้ ก็ไม่อยากจะใช้เส้นทางนี้นักหรอก เพราะนอกจากทุรกันดารแล้ว ยังเต็มไปด้วยอันตราย แถมต้องผ่านเข้าไปใน…นยาลาลัม…ป่าลึกที่ไม่ค่อยมีใครเขาอยากผ่านกันอีกด้วย”

“งั้นเราเช่าเฮลิคอปเตอร์บินไปได้ไหมคะ” นารีญานึกขึ้นมาได้ เธอเคยเห็นสารคดีที่นักท่องเที่ยวเช่าเฮลิคอปเตอร์บินชมหิมาลัย

“ที่นี่เราไม่มีบริการเช่าเฮลิคอปเตอร์หรอกครับ” เยชิตอบ “ถึงจะมีก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงบินไปซัมเซในฤดูกาลที่สภาพอากาศแปรปรวนคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะแถวซัมเซมักจะเกิดพายุอยู่บ่อยๆ”

“น้าว่ารีญาไม่ต้องไปหรอก” อัญญาวีร์ตัดสินใจแทนนารีญา “นอนเล่นอยู่ที่ทิมพูนี่ละ เที่ยวแถวๆ นี้ แล้วกลับกรุงเทพไปตามกำหนดเดิม หรือถ้าเที่ยวจนเบื่อแล้ว…ก็เลื่อนตั๋วกลับก่อน”

“อ้าว” นารีญาเลิกคิ้ว “ได้ไงล่ะน้าอัญ”

“ได้สิ” อัญญาวีร์ถอนใจ “ดูทรงแล้ว ถ้าไปด้วยกัน กว่าจะไปถึง กว่าจะหาตัวล่องเมฆเจอ กว่าจะกลับมาที่เมืองหลวง…อาจไม่ทันเวลาที่รีญาลาพักร้อนแน่”

“หนูไลน์ไปบอกพี่หัวหน้าเรียบร้อยแล้วค่ะ” นารีญาโชว์ข้อความไลน์ในกลุ่มที่เธอคุยกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน “ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ และบอกว่าถ้าหนูกลับมาไม่ทันจริงๆ พวกเขาจะช่วยแลกเวรให้ แล้วหนูค่อยมาใช้เวรทีหลัง”

อาชีพนักอุตุนิยมวิทยาไม่เหมือนข้าราชการอื่นที่เลิกงานแล้วก็หมดภาระหน้าที่ แต่พวกเธอจะต้องอยู่เวรตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อคอยจับตาดูสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละชั่วโมง

บางครั้งอาจจะเกิดพายุฝนโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้านานนัก เกิดมีลูกเห็บ มีความเสี่ยงในการเกิดอุทกภัย สภาพอากาศอาจเกิดความแปรปรวนขึ้นเมื่อไรก็ได้ ยิ่งช่วงที่อุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบกับสภาวะอากาศให้แปรปรวนจนยากจะพยากรณ์

“หมายความว่า รีญาจะไปกับพวกเราด้วย” อัญญาวีร์นิ่วหน้า

“เอ๊า” นารีญาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ “พูดขนาดนี้แล้ว น้าอัญยังไม่เข้าใจอีกหรือ หนูก็จะไปด้วยนะสิ”

“จะช่วยอะไรได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” ลิ่วลมแกล้งว่า

“ฉันเก่งเรื่องพยากรณ์อากาศ” นารีญาอวด “รับรองว่าฉันสามารถช่วยเหลือนาย ได้มากกว่าที่นายจะนึกถึงก็แล้วกัน…นายลม”

“อย่างอแง ร้องจะกลับระหว่างทางก็แล้วกัน” ลิ่วลมแกล้งทำเสียงเข้ม

“ว่าใคร” นารีญาทำเสียงหาเรื่อง

“ก็ใครล่ะที่ทำตัวเป็นเด็ก” ลิ่วลมแกล้งว่ามากวก่าจะหมายความจริงจัง

“ฉันโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก” นารีญาเถียง

“หยุดเถียงกันได้แล้ว” อัญญาวีร์ส่ายหน้า “แล้วครูขอสั่งเลยนะลม…เธอด้วยรีญา น้าขอสั่ง…ห้ามเถียงกันตลอดการเดินทาง…เข้าใจไหม”

เงียบ ไม่มีคำตอบจากสองหนุ่มสาว

อัญญาวีร์แอบเหลือบสายตามอง เห็นลิ่วลมและนารีญาเมินหน้า หันมองกันไปคนละทาง…



Don`t copy text!