ปางปอบ บทที่ 2 : ข่อยมักอ้าย

ปางปอบ บทที่ 2 : ข่อยมักอ้าย

โดย : ทศพล

Loading

ปางปอบ นิยายออนไลน์มีให้อ่านที่อ่านเอา โดย ทศพล เรื่องราวของ ปอบ ภูตผีที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงที่มาพร้อมกับความตายอันลึกลับ เมื่อใครสักคนในหมู่บ้านถูกสงสัยว่าเป็นปอบ ผู้คนเริ่มหวาดกลัวพร้อมกับความรังเกียจ แต่ระหว่างมนุษย์ที่กระทำการโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันหรือปอบที่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ใครจะน่าหวาดกลัวมากกว่ากัน

แม้ว่าแท่นจะเดินพามาส่ง แต่ก็ไม่อาจที่จะเดินไปส่งถึงหน้าบ้านของคำหล้าได้ สองคนยืนหันหน้ากลับมามองกันราวกับว่าจะไม่ได้พบกันอีกนั้นแหละ

“อ้ายมาส่งท้อนี้เด้อ” แท่นพูดขึ้นก่อน

คำหล้าเอาแต่ยืนยิ้มและมองดูแท่นอย่างมีความสุขมากก่อนพยักหน้าตอบรับคำ “จ๊ะ ย่างเบิ่งทางดี ๆ เด้ออ้าย”

ในขณะที่แท่นและคำหล้ากำลังจะเดินหันหลังให้กัน พวกเขากลับมีความรู้สึกนึกคิดที่แสนจะตรงกันมาก คือ การหันหน้ากลับมามาสวมกอดกันอีกครั้ง นานพอที่จะต้องตัดใจกลับบ้านใครบ้านมันได้สักทีเถอะนะคู่รักอันแสนหวาน

 

บ้านของคำหล้าเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ทั้งหลังสร้างขึ้นมาจากไม้ทั้งหมด บริเวณหน้าบ้านมีศาลาโล่ง ๆ ยกสูงจากพื้นไม่มาก ภายในศาลามีแคร่ที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และรอบ ๆ รั้วบ้านยังเต็มไปด้วยแปลงผักที่ปลูกไว้กิน

คำหล้าก้าวเท้าขึ้นบ้าน

แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเปล่งประกายในครัว เห็นแม่ใหญ่กาไสกำลังเด็ดดอกแคนาออกจากก้านอยู่คนเดียวก่อนเหลือบไปเห็นลูกสาวตัวเองเดินขึ้นมาพอดี “ไปไสมา คือกลับมาค่ำแท้ล่ะ”

คำหล้าถอนหายใจเบา ๆ ก่อนรีบกรูเข้าไปนั่งใกล้ ๆ ถาดดอกแคนาก่อนช่วยผู้เป็นแม่เด็ดไปด้วยพูดไปด้วย “แม่ ข่อยใหญ่แล้วเด้อ”

“คอบใหญ่แล้วนั่นแล้ว กลับเฮือนกลับชานค่ำแบบนี้ เดี่ยวไทบ้านสิเว้าใส่ แฮงเป็นแม่ย่าแม่หญิง”

“กะซ่างไทบ้านเพิ่นดอก อย่าไปสนใจคำเว้าซุมปากปลาแดกนั่นหลายเด้อแม่”

“แล้วมื้อนี้ไปอยู่ไสมา แม่ให้บัวศรีไปตามหา แล้วมันกลับมาบอกว่าลูกบ่ได้เป็นหยังแล้ว”

“เดี่ยวนี้หัดเป็นห่วงข่อยแล้วติแม่”

“ฟ้าวแล่นลงศาลาไปแบบนั้น แม่กะตกใจเนาะ” แม่ใหญ่กาไสวางดอกแคนาลงก่อนหันไปจ้องลูกสาว “แม่ขอถามแหน่เด้อ บักพร้าวมันบ่ดีหม่องได๋ คือบ่มักมันจักเทื่อ หรือว่ามีคนที่มักอยู่แล้ว”

คำหล้าหันไปมองดูแววตาผู้เป็นแม่ที่ส่งมาด้วยความเป็นห่วง แต่ก็แอบตกใจนิดหน่อยที่จู่ ๆ ถามสองคำถามพร้อมกัน “ต่อให้ข่อยยังบ่มีไผตอนนี้ ข่อยกะแต่งงานกับอ้ายพร้าวบ่ได้อีหลีดอกแม่” สีหน้าของแม่ใหญ่กาไสเหมือนต้องการเหตุผลที่ดีกว่านี้ “อ้ายพร้าวเป็นนายฮ้อย ข่อยแค่บ่อยากทนนอนอยู่ผู้เดียว บัดยามไปค้าวัวค้าควายกะไปหลายเดือนหลาย เจ้าสิให้ข่อยถ่าอยู่เฮือนผู้เดียวติ ข่อยบ่เอานำเด้อ”

“บักพร้าวมันกะมักลูกมาตั้งแต่น้อย ๆ แล้ว” แม่ใหญ่กาไสคว้ามือทั้งสองของคำหล้ามากุมไว้ “ฟังแม่เด้อคำหล้า คันสิมักไผสักคนกะให้มักคนที่เขามักเฮา มันจั่งบ่โศกบ่เศร้า”

คำหล้าพยักหน้ารับคำของแม่และแอบยิ้มกรุ้มกริ่ม “ข่อยสิฟังคำแม่ แต่บ่แม้นอ้ายพร้าวดอก”

“สิว่าไปแล้ว บักพร้าวกะเฮ็ดบ่ถูก หัดขี้ตั๊วสร้างเรื่องขึ้นมาจังซั่น แม่กะบ่มักแล้วล่ะ แถมยังหักหน้าพ่อแม่เจ้าของต่อหน้าหลวงตาอีก”

คำหล้าหาทางเปลี่ยนเรื่องคุย “อีพ่อไปไส อย่าบอกเด้อว่าไปตามหาข่อยอีก”

“พ่อมึงนั่นเบาะสิไปตาม ตอนนี้ไปประชุมเรื่องลงปลามื้ออื่นกับไทบ้านที่ศาลากลางบ้านพุ่นแล้ว”

“อ้อ จังซั่นข่อยไปอาบน้ำนอนก่อนเด้อ มื้อนี้คือจั่งเป็นเมื่อย ๆ” คำหล้าลุกขึ้นยืน “มื้ออื่นเช้าข่อยจั่งสิแกงดอกแคใส่ปลาข่อให้กิน เจ้ากะไปนอนได้แล้วเด้อแม่”

“บ่เป็นหยัง แม่สิฟ้าวเด็ดให้แล้ว และถ่าพ่อมึงนำ”

“จ๊ะแม่” คำหล้าพยักหน้ารับคำก่อนหันตัวเดินเข้าห้องนอนตัวเองไปเตรียมตัวอาบน้ำ เธอเองยังไม่กล้าบอกความจริงกับแม่ไปตรง ๆ ว่ากำลังคบหากับแท่นอยู่ แม้ว่าความรักระหว่างคำหล้ากับแท่นนั้น ค่อย ๆ เบ่งบานมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น และคนที่รุกหนักกระโจนเข้าหาก่อนก็คือตัวคำหล้าเอง เพราะแท่นเองไม่คิดจะเข้าหาใครก่อนอยู่แล้ว เขาเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด รู้ว่าสิ่งใดเหมาะสมกับตนหรือไม่เหมาะสม แต่ทว่าความรักนี้ห้ามกันไม่ได้จริง ๆ หากไฟไม่มีเชื้อจะจุดติดได้อย่างไร

 

…ย้อนเวลาไปในอดีตเมื่อพวกเขาเหล่านี้อายุกันราว ๙-๑๐ ขวบ คำหล้าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ชอบเล่นสนุกสนานไปกับบัวศรีในวัยคราวเดียวกัน ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลาะไปตามทางเดินอยู่นั้นได้เห็นต้นหมากไฟลูกดกมาก

“บัวศรี ข่อยคืออยากกินหมากไฟแฮง ๆ” คำหล้าพูดขึ้นขณะที่สายตาจับจ้องไปยังผล (1) หมากไฟ

บัวศรีแอบกลืนน้ำลาย “ข่อยกะอยากคือกัน แต่ว่ามันเป็นของผู้อื่นแหมะคำหล้า พ่อข่อยสอนว่า บ่ให้ลักของไผกิน คั่นถ้าอยากหลายให้ขอเพิ่นกินเอา”

เนื่องจากต้นหมากไฟมันอยู่ในเขตรั้วของชาวบ้าน มีเจ้าของชัดเจน เด็กทั้งสองจึงไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปบิดกินมากนัก หากเจ้าของต้นมาเห็นเข้า จะทำให้โดนดุด่าเอาได้ว่าเป็นเด็กขี้ขโมย

“จังชั่นฟ้าวหนีป่ะ เดี๋ยวสิอดใจบ่ไหว” เสียงกลืนน้ำลายของคำหล้าดังก้องในลำคอ

 

คำหล้ากับบัวศรีกำลังจะเดินทางกลับบ้านอยู่นั้น พวกเขาเห็นเด็กชายร่างอ้วนท้วมนั่นคือพร้าวกับเด็กชายร่างผอมนั่นคือหินสมัยเด็ก ซึ่งทั้งสองชายพากันถือหนังสติ๊กและสะพายถุงผ้าขนาดเล็กที่ใส่หินก้อนเล็ก ๆ ไว้เพื่อไปยิงกะปอม (กิ้งก่า)

“น้องคำหล้า สิไปไส” พร้าวถามขึ้นด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม

“ข่อยกำลังสิเมือบ้านแล้ว” คำหล้าตอบด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ

“จังชั่นอ้ายไปส่งเด้อ นะ นะ” พร้าวส่งเสียงออดอ้อนเต็มที่

บัวศรีค้ำสะเอวพูดขึ้นแทรก “นี่อ้ายพร้าว ซุ่มข่อยใหญ่แล้ว บ่ได้ตาบอดนำ อย่ามาเฮ็ดคือว่าเจ้าเป็นผู้บ่าวคำหล้าเดะ”

“กะอ้ายมักคำหล้า” พร้าวพูดออกมาอย่างคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะเขินอายอะไร และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบอกรักคำหล้า

“ข่อยบ่ได้มักเจ้า อ้ายพร้าว” คำหล้าแผดเสียงสูงขึ้น

“อ้ายบ่ดีตรงได๋” พร้าวเกิดอาการน้อยใจ “เป็นหยังคำหล้าคือบ่มักอ้ายจักเทื่อ”

“ช่างกล้าถามอีก อ้วนกะอ้วน เฮียนกะโง่ ขี้คร้านกะขี้คร้าน เฮ็ดเหวียกเฮ็ดงานหยังกะบ่เป็น แต่ละมื้อยิงแต่กะปอมทิ่มซื่อ ๆ บาปคักหลาย” บัวศรีพูดลอย ๆ ออกมา โดยไม่แคร์ความรู้สึกคนฟัง

“บัวศรีไปกันเถอะ” คำหล้าคว้ามือบัวศรีวิ่งหนีจากสถานการณ์นี้ไปให้เร็วที่สุด

สองมือของพร้าวกำปั้นแน่น สองฟันขบกันเป็นเสียงกรอด ๆ “บักหิน”

“แม้นหยังอีก กูล่ะอุกอั่งนำมึงหลายเด้อ” หินส่ายหน้าไปมา

“คำหล้าต้องมักกู กูต้องเฮ็ดให้ได้”

“เฮ็ดหยังอีก” หินเปล่งคำท้ายเสียงสูงมาก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาชักเอือมระอากับพร้าวในเรื่องนี้

“ลดความอ้วนโว้ย” พร้าวตะคอกเสียงออกมา “ไป”

“ไปลดความอ้วนติ?” หินแทบจะกลั้นขำไม่ไหว

มือของพร้าวตบไปที่หัวของหินหนึ่งทีจนหินร้องเออะออกมา “ไปยิงกะปอม” แล้วเดินนำล่วงหน้าไปอย่างคนที่มีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ที่สูงส่ง จะทำได้หรือไม่นั้นต้องคอยจับตาดูกันอีกที

ขณะที่หินเดินตามไปอยู่นั้น เขาสับสนกับความคิดของเพื่อนคนนี้เสียจริง แปรปรวนเก่งเหมือนสภาพอากาศ แต่ก็ยังเล่นด้วยกันอยู่ดี แม้จะเห็นพร้าวเป็นแบบนี้ แต่ก็มีมุมดี ๆ อยู่มากเช่นกัน ไม่งั้นคงไม่ทนเป็นเพื่อนสนิทขนาดนี้หรอก

เด็กชายทั้งสองพากันเดินลาดตระเวนหายิงกิ้งก่า ในมือถือยางสติ๊กไม้ ซึ่งตัวไม้จะมีง่ามสองง่ามและขาไม้ที่เหลาเป็นด้ามกลม ๆ เพื่อให้มือจับถนัดขึ้น จากนั้นนำยางสติ๊กเป็นเส้น ๆ มาหมัดติดกับปลายง่ามของไม้แล้วลองยืดดูว่ามีความยืดหยุ่นในการยิงหรือไม่

พร้าวล้วงไปหยิบเอาก้อนหินเล็ก ๆ ที่เตรียมไว้ในกระเป๋าสะพายย่ามก้อนหนึ่งไปใส่กับหนังยางสติ๊กไม้ก่อนดึงสายให้ยืดเข้าหาตัวเอง สายตาของเขาข้างหนึ่งหรี่ตาลงเพื่อเล็งไปยังกิ่งก่าตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ขณะที่ยิงก้อนหินออกไปนั้นดันมีเสียงกวาดใบไม้ดังขึ้นใกล้ ๆ มันทำให้ตัวกิ่งก่าตกใจแล้ววิ่งหนีไปยังจุดอื่นของต้นไม้

“โถ่เว้ย” พร้าวยิงพลาดจนได้ เขาเกิดอาการหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด “ไผมันมากวาดใบไม้ตอนนี้วะ”

“นั่นสิวะ” หินลุ้นกับการยิงของพร้าวแทบแย่ แต่ต้องพลอยหัวเสียไปด้วยก่อนที่จะเหลือบตาไปเห็นเด็กชายร่างผอมทั้งสองคนกำลังขะมักเขม้นกับการกวาดใบไม้ด้วยคราดอยู่ “นั่นมันบักแท่นบักสิน”

พร้าวหันไปมอง “พวกมันมากวาดหยังตอนนี้วะ” ในหัวของเขากำลังคิดอะไรเลว ๆ ออก “เอาจั่งซี่กะแล้วกัน” เขาหยิบก้อนหินออกมาจากย่ามอีกครั้ง แล้วยิงไปยังเด็กชายทั้งสองคนแทน ขณะที่กำลังเล็งเป้าหมายไปอยู่นั้น

หินรีบทักท้วงขึ้น “มึงสิเฮ็ดหยังวะบักพร้าว”

“กูกำลังสิกำจัดคนที่มันคอยมาขวางทางกูสิวะ” พร้าวพูดไปพร้อมกับปล่อยก้อนหินออกไปทันที

ก้อนหินพุ่งตัวมาอย่างแรงไปโดนหน้าผากของเด็กชายแท่นเข้า เขาร้องโอ้ยออกมาก่อนล้มไปนั่งกับพื้นดินเข้า “ไผยิงกูวะ”

สินตกใจที่แท่นโดนยิงก่อนรีบหันไปหาคนยิงทันที เหลือบไปเห็นพร้าวกับหินที่พากันวิ่งหนีกันไปแล้ว “ที่แท้กะบักพร้าวบักหินนี้เอง”

แท่นดันตัวเองลุกขึ้นยืน หน้าผากของเขาบวมแดงมาก “ซุมมันไปไสกันแล้ววะ”

“แล่นหนีไปแล้ว เอาไงดี” สินเห็นหน้าผากของเพื่อนแดงมาก “ให้กูไปจัดการพวกมันเลยบ่ ในวัดในวายังสิมาหายิงกะปอม ซุมห่าหนิ”

“ช่างเถอะ พากูไปหาหมอธรรมหวางก่อน โคตรเจ็บหน้าผากวะ”

แท่นกับสินเอาคราดไปเก็บไว้ก่อนพากันเดินไปบ้านของหมอธรรมหวางที่ไม่ห่างจากตัววัดมากนัก

 

หมอธรรมหวางเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มีความสามารถในการรักษาผู้คนที่เจ็บป่วยมาจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยยาสมุนไพรและยังเป็นผู้สื่อกลางในการติดต่อกับดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วให้กับชาวบ้าน แถมยังรักษาโรคอาการจากการกระทำของผีได้ด้วย พำนักที่อยู่ของปราชญ์ชาวบ้านผู้นี้เป็นบ้านไม้หลังเล็กใต้ถุนสูงที่มีระเบียงบ้านยื่นออกมากว้างมากพอที่รองรับผู้คนที่แวะเวียนมาเรื่อย ๆ ภายในตัวบ้านมีอยู่สองห้องใหญ่ ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนและอีกห้องเป็นห้องพระที่มีโต๊ะหมู่บูชาพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปที่แกะสลักขึ้นจากไม้เป็นองค์ปางสมาธิ มี*ขันหมากเบ็ง (2) หรือขันหมากเบญจ์ ๒ คู่ กระถางธูปขนาดใหญ่ตั้งตรงกลางโต๊ะหมู่บูชา หมอนใบเล็กใช้วางมือกราบและเบาะรองนั่งสี่เหลี่ยมจัตุรัส หากมองรอบ ๆ ตัวเบาะรองนั่งแล้วจะเต็มไปด้วย*ขันกะหย่อง (3) ที่สานขึ้นจากตอกไม้ไผ่คล้ายพานที่มีเชิงสูง บนขันกะหย่องนั่นมีดอกไม้ขาวห้าคู่พร้อมกับเทียนขาวห้าคู่ที่ทำขึ้นมาจากขี้ผึ้งวางเรียงกันไว้พร้อม ๆ กับก้อนข้าวเหนียว บางขันก็จะมีเหรียญสตางค์ที่มีรูตรงกลางประมาณ ๒-๓ เหรียญหรือผ้าไหมแพรวาวางทับ เป็นการเสียค่าคายหรือค่าครูบูชาเครื่องเซ่นไหว้รักษานั่นเอง ดังนั้น ในทุกวันพระใหญ่ ชาวบ้านที่เคยมารักษากับหมอธรรมหวางจนหายดี จะต้องพากันนำขันกะหย่องดอกไม้ขาวมาบูชาของรักษาตลอดชีวิต

 

แท่นกับสินมาถึงบ้านของหมอธรรมหวางก็รีบตะโกนเรียกหาทันที ในยามบ่ายแบบนี้ไม่มีผู้คนแล้ว ตัวบ้านเลยดูเงียบเหงาวังเวงยังไงไม่รู้

“หมอธรรมหวางอยู่บ่” แท่นตะโกนซ้ำอีกที

“มีหยังบักแท่น” หมอธรรมหวางตะโกนออกมาจากบนบ้านก่อนเดินออกมาดู “เอ้าซุมมึงมีหยัง”

“หน้าผากบักแท่นถูกยิงครับ” สินพูดแทน

“ไปถ่ากูอยู่สะแนน เดี๋ยวกูสิตามลงไป” หมอธรรมหวางรีบเดินไปหยิบขวดยาเล็ก ๆ ในห้องพระก่อนรีบเดินลงไปหาเด็กชายทั้งสองที่นั่งรออยู่บนแคร่ “ไสมากูเบิ่งแหน่ ไปเฮ็ดหยังมาล่ะคือถูกยิงได้”

“บักพร้าวบักสินมันมาหายิงกะปอมในวัดจ้ะ แต่มันน่าสิตั้งใจยิงใส่ซุมข่อยมากกว่า” สินพูดไปอย่างคนคับแค้นใจ “ข่วงอีหลีบักห่าอันหนิ อย่าให้เจอเทื่อหน้าเด้อ” เสียงฟันกระทบกันดังผูกใจเจ็บ

“ทายาแล้วกะหาย บ่ตายดอกเด้อ อย่าไปหามีเรื่องกับลูกนายฮ้อยค่ำเลยเด้อสู” หมอธรรมหวางพูดไปพร้อมกับทายาลงไปที่หน้าผากของแท่นเบา ๆ ก่อนที่จะร่ายคาถาขมิบปากช้า ๆ เป่าลงไปที่หน้าผากอีกที “เอ้าหายแล้ว”

แท่นยกมือขึ้นไหว้ “ขอบคุณจ้ะพ่อ”

“ไหน ๆ กะมาแล้ว แคนของซุมสูสองคนเสร็จแล้ว มื้อนี้เอาลองเป่าได้”

“แม้นติจ้ะพ่อ” สินทำตาโตมาก หลังจากที่รอมาเนิ่นนาน “อยู่ไสล่ะ ฟ้าวเอามาเลย”

“แต่ข่อยอยากร้องหมอลำเป็นมากกว่าเด้อ ป่านได๋จังสิสอนผม เป่าแคนมาหลายปีแล้ว” แท่นพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันแสนจะน้อยใจ

“ใจเย็น ๆ บักแท่น ใจฮ้อนอีหลีบักอันหนิ” หมอธรรมหวางลุกขึ้นยืน “ถ่าจักหน่อย ลุงขึ้นไปเอาแคนให้ก่อน” พูดเสร็จก็รีบเดินขึ้นไปบนบ้าน

เด็กชายสองคนตื่นเต้นมากที่จะได้แคนอันใหม่กับเขาสักที แท่นดูท่าจะตื่นเต้นมากจนลืมความเจ็บไปเสียแล้ว หรือยาของหมอธรรมหวางนั้นวิเศษนัก ทาปุ๊บหายปั๊บทันที

หมอธรรมหวางเดินถือแคนขนาดเล็กที่เหมาะกับขนาดมือ เด็กทั้งสองดวงตาลุกวาวเป็นประกายเมื่อได้เห็นแคนสีเหลืองทองที่ขัดเงาวับแวมแล้วเรียบร้อย

“นี่ของบักแท่น” หมอธรรมหวางยื่นแคนให้กับแท่นก่อนหันไปยื่นอีกอันให้สิน “ของมึงบักสิน”

แท่นกับสินยกมือไหว้รับแคนมาไว้ในมือ แล้วทั้งสองคนไม่รีรอที่จะจับมันขึ้นมาลองเป่าดูเพื่อทดสอบเสียงอันไพเราะ อาการของสินเหมือนถูกสวมวิญญาณของหมอแคนเข้าแล้ว บั้นเอวของเขาเริ่มไม่อยู่นิ่งก่อนลุกขึ้นยืนหมุนเอวไปมาอย่างพริ้วไหวพร้อมกับจังหวะเสียงของแคน

หมอธรรมหวางนั่งยิ้มไม่หุบปาก มองดูลูกศิษย์ทั้งสองกำลังลองเป่าแคนกันอย่างสนุกสนาน ไม่เสียแรงที่ได้สั่งสอนกันมานาน บรมครูคนนี้ก็ได้แต่คาดหวังว่าความรู้ที่มอบให้ศิษย์จะเป็นอาชีพไว้ทำมาหากินได้เมื่อเติบใหญ่

โชคชะตาชีวิตของหมอธรรมหวางนั้น เมื่อก่อนเขาเคยมีภรรยาและยังเคยเป็นอดีตหมอลำกลอน แต่พอภรรยาได้หนีตามชายอื่นไป จึงทำให้เขาหันหลังให้กับความรักตลอดกาล โดยใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังและหันเหเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่ชอบนุ่งขาวห่มขาวทุกวันเพื่อช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวบ้าน ส่วนงานหมอลำก็ห่างหายไป ไม่ออกไปขับกล่อมที่ไหนอีกเลย

 

หลังจากพูดคุยกับหมอธรรมหวางเสร็จ แท่นกับสินก็เดินถือแคนลัดเลาะไปตามคันนาข้าว ปีนี้นาข้าวได้น้ำท่าบริบูรณ์ดีนัก ต้นข้าวแตกกอใหญ่และเขียวชอุ่มกันสุดลูกหูลูกตา เพลาสายลมพัดอ่อน ๆ โชยมาทีไร กลิ่นหอมของท้องทุ่งนั้นช่างละมุนจมูกดีนักแล

คำหล้ากับบัวศรีกำลังหอบสายบัว ทั้งสองคนเพิ่งไปเก็บมาจากหนองน้ำใกล้ ๆ นี่เอง

“เอ๊ะ นั่นมันอ้ายแท่นอ้ายสิน แม้นบ่” บัวศรีพยายามเพ่งสายตามองไปดูเด็กชายทั้งสองกำลังเป่าแคนม้วน ๆ อยู่กลางทุ่งนา

คำหล้าชายตาตามไปมอง “แม้นอีหลี อ้ายแท่น” เธอเผลอยิ้มออกมา “เฮาย่างไปทางนั่นกันเถาะ”

บัวศรียิ้มออกมาเหมือนรู้ใจเพื่อนคนนี้ “บ่แม่นทางเมือบ้าน แต่กะ…ไปติล่ะ”

คำหล้าเดินนำหน้าไปก่อน แล้วบัวศรีก็เดินตามไปติด ๆ เด็กหญิงทั้งสองกำลังมุ่งตรงไปหาชายทั้งสองที่กำลังเมามันส์หัวม้วนไปกับการเป่าแคน

สายตาของคำหล้าจ้องไปที่แท่นนั้นช่างเป็นสายตาที่แสนพิเศษให้กับคนพิเศษเท่านั้น เหมือนหัวใจของเด็กหญิงกำลังมอบใจให้กับเด็กชายที่อยู่ตรงหน้ามานานแล้ว

“อ้ายแท่นจ๊ะ” คำหล้าเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึง “ม้วนหลาย”

แท่นกับสินหยุดเป่าแคน

“คำหล้าสิไปไส” แท่นทักขึ้นด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าหวานที่สุด

คำหล้าเหลือบไปเห็นหน้าผากของแท่นมีแผลแดงก่ำ “หน้าผากอ้ายไปโดนหยังมา เจ็บหลายบ่” เธอถามขึ้นทันทีด้วยความเป็นห่วงและดูจะเป็นห่วงมาก

“กะบักพร้าวบักหินนั่นแล้ว อยู่ ๆ กะมายิงใส่หน้าผากมัน” สินตอบแทน “ดีแต่บ่ถูกตา บ่ซั่นตาคือสิบอดแล้วล่ะป่านนี้”

“จังซั่นติอ้ายสิน ข่อยสิไปสั่งสอนอ้ายพร้าวก่อนเด้อ” คำหล้าเปลี่ยนโหมดกลายเป็นคนอารมณ์ร้าย

“ป๊าด บักอ้วนนั่นอีกแล้วติ” บัวศรีเกิดอารมณ์โมโหแทนอีกคน

“ใจเย็น ๆ กันก่อนเด้อ” แท่นรีบห้ามก่อนที่ทั้งสองคนนี้จะบุกไปบ้านพร้าว “อ้ายทายาแล้ว บ่เป็นหยังแล้ว บ่เจ็บแล้ว”

“อีหลีเบาะ” คำหล้าพูดด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “คั่นมันเฮ็ดใส่อ้ายอีก บอกข่อยเลย สิฟ้าวไปจัดการ”

“จ้ะ” แท่นตอบออกไปด้วยความซาบซึ้งใจ

“จังซั่นอ้ายแท่นเป่าแคนอีก ข่อยอยากฟ้อนใส่ลองเบิ่ง” คำหล้ารีบวางสายบัวลงก่อนหันไปขยิบตาขวาให้บัวศรีว่าต้องทำด้วยกัน

บัวศรีทำหน้าบึ้งตึงเพื่อสื่อความหมายว่า สิเอาจั่งซั่นติคำหล้า ก็ได้ เพื่อเพื่อนแล้วย่อมทำได้ทุกอย่างก่อนรีบวางสายบัวที่หอบมาลงไว้ข้าง ๆ คันนา

“สิรำอีหลีติคำหล้า” สินพูดขึ้น

“เสียงแคนของอ้ายทั้งสองม้วนแฮง เป่าเลยจ้ะ” คำหล้าเอามือตั้งวงเตรียมฟ้อนแล้ว

บัวศรีก็พร้อมจะฟ้อนแล้วเช่นกัน แม้ว่าหน้าของจะบูดนิดหน่อย กะมันอยากสิอาย ๆ แหน่จักหน่อยเนาะ จู่ ๆ กะมาฟ้อนแบบบ่มีปี่มีขลุ่ยจั่งซี้ อยากอายแหมะ

เสียงแคนเอื้อนขึ้นม้วน ๆ ลากเสียงยาวก่อนจะเปลี่ยนเป็นจังหวะแคนหย่าวใส่แบบโจ๊ะ ๆ ให้คำหล้าและบัวศรีได้ฟ้อนใส่เสียงแคนกันอย่างสนุกสนานด้วยท้วงท่าทางอันอ่อนช้อยงดงาม มือไม้อ่อนโกร่งสวยงาม เพราะผ่านการฝึกรำมาอย่างดีตั้งแต่น้อย ๆ  

ความงดงามของเสียงแคนที่บรรเลงอยู่นั้น ประกอบกับท่วงท่าร่ายรำอันอ่อนช้อย เป็นพรสวรรค์ที่ผ่านการฝึกฝนมานาน ซึ่งเริ่มจากการชื่นชอบและหลงใหลไปกับศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน จึงก่อให้เกิดการสานต่อสืบกันมา จากรุ่นสู่รุ่นกันมาเรื่อย ๆ ดังนั้น หมู่เฮาต้องฮักษาไว้เพื่อให้คงอยู่กับวิถีชีวิตถิ่นนี้ต่อไป

 

วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก เมื่อเด็กชายเด็กหญิงก้าวผ่านช่วงชีวิตในวัยเด็กไปสู่วัยหนุ่มสาว แท่นและคำหล้าเติบโตมาด้วยกัน ทั้งสองคนกำลังวิ่งเล่นกันบนคันนาผ่านทุ่งนาข้าวเหลืองทองอร่ามทั่วท้องทุ่ง สายลมอ่อน ๆ พัดกลิ่นหอมของรวงข้าวที่เหลืองสุกเต็มที่และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวแล้ว

แท่นกำลังยืนมองนาข้าวแปลงหนึ่งอย่างภาคภูมิใจ

“นาอ้ายงามหลาย” คำหล้ายืนมองทุ่งนาแปลงนั่นข้าง ๆ แท่น “อีกบ่กี่มื้อกะสิได้เก็บเกี่ยวแล้ว”

“แม้นจ้ะ” แท่นยิ้มไม่หุบปาก “ฮวงข้าวงาม ๆ จั่งซี้ อ้ายมีความสุขหลาย”

คำหล้าพยายามยืนให้ชิดแท่นมากที่สุด มือซ้ายของเธอค่อย ๆ ขยับไปสัมผัสมือขวาของแท่นทีละนิดจนแตะเนื้อกันแล้ว แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้สบตากัน แต่ภายในใจของทั้งสองนั้นล่วงรู้ความรู้สึกนี้ดี แท่นสอดนิ้วมือไปประกบมือของคำหล้าทันที จนทั้งสองก็แอบอมยิ้มให้กันและกลั้นอาการเขินแทบไม่ไหว

“ข่อยมักอ้าย” คำหล้าเก็บคำนี้มานานแสนนานตั้งแต่วัยเด็กแล้ว “ข่อยมักอ้ายมานานแล้ว”

แท่นหันหน้ามามองคำหล้านานมากด้วยความประหวาดใจ เขาเป็นผู้ชายควรพูดคำว่ารักก่อนสิ แต่กว่าเขาจะขยับปากพูดความในใจออกมาก็ทำเอาคำหล้าเริ่มทำหน้าเศร้า “อ้ายกะมักคำหล้าคือกัน”

“อีหลีติ” คำหล้ากลับมายิ้มอย่างโล่งใจอีกครั้ง หัวใจได้รับการตอบรับแล้ว

สายตาของทั้งสองกำลังจ้องกันและกัน อารมณ์แห่งความสุขมันท้วมท้นมากจนไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนตัวได้ เอาแต่ยืนจับมือกันและมองดูทุ่งนาไปอมยิ้มไปด้วยความเขินอาย แม้แต่เสียงของสายลมที่พัดรวงข้าวเสียดสีกัน ฟังแล้วแสนไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก

“เออ” แท่นกำลังรวบรวมความคิดอะไรบางอย่าง ไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีไหม แต่ยังไงก็ต้องพูดออกไปน่าจะดีที่สุด

“อ้ายมีหยังสิเว้า” คำหล้าแอบสงสัยในท่าทีของแท่น

“เออ…อ้ายกำลังคึดว่า”

“ว่า…” คำหล้าหัวเราะสั่นที่ลำคอและรอคำพูดอยู่นาน “เว้ามาเลย บ่เป็นหยัง ข่อยสิรับฟังอ้าย”

“อ้ายคึดว่า เรื่องมื้อนี้มีแค่เฮาสองคนถ่อนั้นได้บ่ที่ฮู้ อ้ายบ่อยากให้คนอื่นฮู้ว่า ตอนนี้เฮามักกัน” แท่นพูดออกมาจนได้ ใบหน้าของเขาซีดเซียวมาก กลัวว่าคำหล้าจะรู้สึกไม่พอใจ

คำหล้ายื่นมือขวาขึ้นไปจับแก้มของแท่น เธอจ้องไปที่แววตาของคนรัก “ความฮักของเฮา บ่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นฮับฮู้ แค่เฮาสองคน เฮาสองคนกะเพียงพอแล้ว”

แท่นยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่คำหล้าเข้าใจถึงเหตุผลที่เขาเองยังไม่ได้อธิบายให้ฟังด้วยซ้ำ “ขอบใจเด้อคำหล้าของอ้าย” เขาโน้มตัวเข้าไปสวมกอดแม่หญิงเพื่อแสดงสัญลักษณ์แห่งความเป็นเจ้าของทันที

ตั้งแต่วันที่ทั้งสองตัดสินใจคบกันมา มีเพียงสินและบัวศรีเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าทั้งสองคนนี้นั้นแอบคบกันด้วยจิตที่อาจสัมผัสถึงความรักของพวกเขาได้เอง นอกจากสองคนนี้แล้ว คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็ยังไม่มีใครรู้เลย เพราะวันไหนที่คำหล้าและแท่นได้พบปะกันในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้คนอื่นอยู่ด้วยมาก ๆ ทั้งสองคนก็ไม่มีท่าทีแสดงว่าเป็นคนรักกัน ทำตัวปกติราวกับคนไม่ได้สนิทกันมาโดยตลอด…

 

กลับมาดูความรู้สึกของพร้าวที่ได้ล่วงรู้ความจริงแล้วว่า สาเหตุที่คำหล้าไม่ยอมรักตนนั้นเป็นเพราะแท่นนั่นเองที่คอยเป็นมารขวางใจ หลังจากแอบเห็นแท่นกับคำหล้าเดินจับมือกัน เขาก็แสดงอาการหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหินนั้นได้ขอตัวแยกตัวขอกลับบ้านตัวเองไปก่อน ปล่อยให้เขาเดินหน้าบึ้งตึงอยู่คนเดียวบนถนนที่มืดมิดที่ไม่มีผู้คนแล้ว

พร้าวเหมือนคนไม่มีสติ ไม่ว่าอะไรมาขวางทางเดินเป็นต้องเตะและปัดออกด้วยแรงที่เต็มไปด้วยพลังของความโกรธ ใบหน้าของลูกผู้ชายที่พ่ายแพ้ในความรักที่มีให้เพียงคำหล้ามาตั้งแต่เด็ก กำลังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างพรั่งพรูอาบแก้ม จนรอบขอบตานั้นแดงกล่ำอย่างเห็นได้ชัด

“โธ่เว้ย”

เสียงตะโกนอันทรงพลังตะโกนออกมาจนสุดเสียง จนหมูกี้สองตัวที่กำลังเดินต้วมเตี้ยมผ่านมา เกิดอาการตกใจกลัว จึงรีบเดินหลีกหนีไปอีกทาง ราวกับพวกมันรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ปลอดภัยแล้ว รีบเดินเร็ว ๆ เจ้าหมูอ้วนที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า

พร้าวเดินมาถึงบันไดหน้าบ้านตัวเอง สองเท้าที่แทบจะไม่มีแรงก้าวเท่าไหร่นัก จึงใช้สองมือจับราวบันไดบ้านไว้แล้วค่อย ๆ ดันตัวเองขึ้นไป

บ้านไม้ใต้ถุนสูงที่มีขนาดกว้างใหญ่ ซึ่งบ้านหลังนี้ทำจากไม้ทั้งหลัง แม้แต่เสาบ้านยังเป็นลำไม้ทุกต้น ใช่ว่าทุกคนในหมู่บ้านจะมีบ้านแบบนี้กันทุกครัวเรือน  คนที่มีบ้านใหญ่โตได้ขนาดนี้จะแสดงถึงว่าต้องเป็นคนที่ขยันทำมาหากินจนร่ำรวยเงินทองและยังสามารถบ่งบอกถึงฐานะทางครอบครัวได้ด้วยว่าเป็นคนมีอันจะกิน  และตอนนี้ทุกมุมบ้านนั้นเต็มไปด้วยตะเกียงน้ำมันที่ถูกจุดให้มีแสงประกายส่องสว่างทั่วบ้าน

แม่ใหญ่อึ่งกำลังนั่งคอยลูกชายอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้องรับแขก พอเห็นลูกชายตัวดีกำลังตะเกียกตะกายร่างขึ้นมาบนบ้าน  ความเป็นแม่ก็ไม่รีรออะไรที่จะวิ่งเข้าไปประคับคองลูกชายตัวเองทันที

“พร้าวลูก ไปอยู่ไสมาน้อ เป็นหยังคือกลับมาในสภาพนี้” แม่ใหญ่อึ่งพูดไปพรางตรวจสอบร่างกายของพร้าวว่ามีบาดแผลอะไรหรือไม่

เสียงเท้ากระทบพื้นไม้ดังตึ้งเป็นช่วง ๆ “มึงมานี่” นายฮ้อยค่ำเดินถือแส้หวายที่ใช้เฆี่ยนวัวควายมาตวัดหวายลงไปที่ร่างของลูกชายด้วยอารมณ์โมโห “ไผสั่งไผสอนให้มึงหัดขี้ตั๋วแบบนี้ ขายหน้าขายตากูเบิด”

พร้าวนอนขดตัวและเจ็บปวดไปทั้งตัว เสียงร้องไห้แสนโอดครวญดังขึ้นสุดพลังเสียง เขาทรมานไปทั้งกายและใจในเวลาพร้อม ๆ กัน

“อย่าเฮ็ดลูก” แม่ใหญ่อึ่งสงสารลูกจับใจพยายามเอาตัวเองไปรับแรงแส้หวายแทนลูกชาย แต่ก็โดนนายฮ้อยค่ำกระชากแขนสะบัดตัวออกให้ห่าง

“ออกไป มื้อนี้กูสิตีมันให้ฮู้ว่า เฮ็ดพ่อแม่อับอาย มันต้องถูกสั่งสอนแบบนี้” นายฮ้อยค่ำพูดไปพร้อมกับเพิ่มแรงเหวี่ยงตีไปทุกจุดอย่างคนกำลังโมโหขั้นสุด โดยไม่สนเลยว่าตอนนี้ร่างของพร้าวกำลังมีรอยแผลและเลือดไหลออกมา

แม่ใหญ่อึ่งร้องไห้ออกมาหนักมาก ก่อนตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน “อย่าเฮ็ดลูกกู” เธอไปผลักสามีออกด้วยแรงที่มี “ลูกข่อย ข่อยสิสอนมันเอง” ตะคอกเสียงดังก้องบ้าน “ลูกมันเป็นจั่งซี่มันคือไผ คิดเบิ่งเอา ลูกไม้มันหล่นบ่ไกลต้นดอก”

นายฮ้อยค่ำโยนแส้หวายทิ้งลงพื้นบ้าน หลังจากแม่ใหญ่อึ่งพูดแทงใจดำเข้า “เจ้ากะเบิ่งมันต่อกะแล้วกัน” พูดจบก็เดินหลบไปที่ห้องนอนทันที และไม่มีทีท่าว่าจะไปดูลูกเลยแม้แต่นิด เพราะยังคงโมโหมาก

การกระทำของพร้าวในครั้งนี้ต้องยอมรับว่าเป็นการหักหน้าพ่อแม่ตัวเองอย่างมาก เล่นไปโกหกว่าคำหล้านั้นได้ตกลงว่าจะแต่งงานด้วย ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต้องรีบไปหาฤกษ์ยามกับหลวงตาที่วัด พอความแตกว่าเป็นการกรุเรื่องขึ้นมาเอง ฝ่ายนายฮ้อยค่ำจึงรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก

ความรักที่บังตาของพร้าว ทำให้เขาเป็นคนคิดน้อย จึงนำมาซึ่งปัญหาที่ยากต่อการที่จะให้อภัยไม่ได้จริง ๆ แต่จะว่าไปแล้วนิสัยชอบโกหกก็คงหล่นไม่ไกลต้นอย่างที่แม่ใหญ่อึ่งตะคอกไปใส่นายฮ้อยค่ำนั่นแหละ

พร้าวนอนถอดเสื้อคว่ำหน้าลงไปบนเสื่อต้นกก แผ่นหลังเต็มไปด้วยรอยแส้หวายและคราบเลือดแดงลายเป็นเส้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นแข้งขาก็ไม่ต่างกัน แม้ว่าจะนอนหลับตานิ่ง แต่ความเจ็บปวดก็ยังทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะร้องโอดครวญออกมาเบา ๆ ใต้ลำคอ สุดแสนที่จะประเมินความเจ็บไม่ได้จริง ๆ

แม่ใหญ่อึ่งเดินถือตะกร้าไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยขวดยาสมุนไพรที่ผ่านกระบวนกรรมวิธีแล้ว ซึ่งมีทั้งแบบทา นวด และกิน เมื่อมองดูแผลของพร้าวครั้งใด ก็เกิดความรู้สึกหดหู่และสลดใจมาก นี่แหละคือหัวใจของผู้เป็นแม่คน ตอนยังเล็ก ๆ ยุงยังไม่ให้ไต่แมลงยังไม่ให้ตอม แล้วบาดแผลหนักขนาดนี้จะให้รู้สึกนิ่งเฉยได้อย่างไร

“ตัดใจได้อยู่บ่ลูก” มือขวาของแม่ใหญ่อึ่งกำลังป้ายยาลงไปรอบ ๆ แผลบนแผ่นหลังของพร้าว “แม่ฮู้เด้อว่าลูกมักคำหล้ามาตั้งแต่น้อยแล้ว คั่นเขาบ่มักเฮากะตัดใจเสีย ก่อนที่สิเจ็บไปมากกว่านี้”

พร้าวได้สติกลับมาและได้ยินทุกคำพูดของแม่ เขาส่ายหัวช้า ๆ ไปมาเพื่อเป็นการปฏิเสธว่ายังทำไม่ได้ตามที่ผู้เป็นแม่ขอร้อง

“บ่แม้นคำหล้ามีคนมักแล้วซั่นเบาะลูก”

พร้าวพยักหัว

แม่ใหญ่อึ่งเห็นลูกพยักหัวว่าใช่ จึงรับรู้ความหมายของความรู้สึกของลูกตัวเองทันที เธอถึงกับปล่อยน้ำตาและกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ ไม่คาดคิดเลยว่าลูกชายจะเจ็บปวดที่หัวใจมาก มือซ้ายลืบหัวของลูกลงช้า ๆ ด้วยความสงสารอย่างจับใจ

การถูกเฆี่ยนตีในครั้งนี้ทำให้พร้าวไม่สามารถออกจากบ้านไปไหนมาไหนหลายอาทิตย์ เขาต้องซมซานอยู่ภายในบ้านเพื่อรักษาแผลนั้นให้หายดีเสียก่อน นี่เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำไว้ว่า อย่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ชอบโกหกเพียงเพราะว่าตัวเองนั้นรู้สึกเหงา

 

เชิงอรรถ : 

(1) หมากไฟเป็นผลไม้ป่าที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ มีลำต้นสูง ลูกของมันคล้ายกับพวงองุ่น หากสุกเต็มที่แล้วจะมีสีเหลืองทองห้อยเป็นพวงตามลำต้น รสชาติของมันมีทั้งหวานและเปรี้ยวปะปนกันไป ส่วนข้างในผลมีเมล็ด หากได้กินต้องบ้วนเมล็ดทิ้ง ถ้าหลงเคี้ยวเข้าไปจะรับรู้ถึงความฝาดและทำให้กินเนื้อหมากไฟไม่อร่อย

(2) ขันหมากเบ็ง คือ พานพุ่มดอกไม้ที่ใช้เป็นพานพุ่มบูชาพระรัตนตรัย หรือใช้เป็นเครื่องสักการะอยู่ในเครื่องพลีกรรม ไหว้ครูและบอกผี โดยนำใบตองทำเป็นซวย (กรวย) แล้วบายศรีใช้ใบตองพับรีดซ้อนกันให้เป็นรูปคล้ายเจดีย์ทำเป็นสี่มุมรวมทั้งตรงกลางเป็นห้า เรียงลดหลั่นลงมาตามลำดับเพื่อความสวยงาม ดอกไม้ที่นิยมมาประดับ คือ ดอกดาวเรือง สื่อถึงความเจริญรุ่งเรือง ดอกสามปีบ่อเหนี่ยว (ดอกบานไม่รู้โรย) สื่อถึงอายุมั่นขวัญยืน และปัจจุบันยังนิยมเอาดอกรักที่สื่อถึงความรัก

(3) ขันกะหย่อง เป็นหนึ่งในเครื่องสักการะ เวลาไปทำบุญที่วัดจะมีขันกะหย่องตั้งไว้ด้านข้างพระประธาน โดยจะนำดอกไม้ ธูปเทียนและก้อนข้าวเหนียววางบนขันกะหย่องเป็นเครื่องบูชา



Don`t copy text!