ปราการแสงจันทร์ บทที่ 2 : อยู่หรือไป
โดย : ภัสรสา
ปราการแสงจันทร์ โดย ภัสรสา เมื่อนิชฌานที่เปรียบเหมือนต้นไม้ใต้เงาจันทร์ที่ไม่เคยรู้ว่าโลกในยามกลางวันเป็นอย่างไรต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับจิลลาที่ดุจว่าวตัวน้อยที่เรียนรู้การลอยตัวท่ามกลางแรงลมทุกรูปแบบ ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันไปได้ตลอดชีวิตจริงหรือ โดยเฉพาะเมื่อนิชฌานเป็นคนฆ่าจิลลาด้วยมือตัวเอง นิยายออนไลน์ที่อ่านได้ในอ่านเอา
****************************
จิลลาไม่เคยรู้ว่าโลกหลังความตายเป็นอย่างไร… แต่ถ้ามีใครถามและเธอยังมีโอกาสได้ตอบก็จะตอบว่ามันเหมือน ‘เมา’ ไม่ใช่เมาเสียทีเดียวหรอก เหมือนเมาค้างมากกว่า เธอมึนงง ไม่รู้ทิศทาง หรือเพราะนรกไม่มีทิศก็ไม่รู้ เหมือนตัวเธอลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ บางครั้งได้ยินเสียงคนพูด บางครั้งได้ยินเสียงแหลมบาดหู บางครั้งเจ็บ บางครั้งไม่
“ไม่ตื่นเลยเหรอ นี่จะครบเดือนแล้วนะ”
นั่นเสียงคนแก่ที่จิลลาไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เธอรู้จัก ได้ยินบ่อยจนรู้สึกคุ้น แต่เพิ่งเริ่มจับใจความได้เอาเมื่อกี้นี้เอง ตื่นเหรอ… แล้วจะตื่นได้ยังไง ก็เธอตายแล้ว
“หมอต้องทำให้แคลร์หลับไว้ครับปู่ แคลร์เหนื่อยมาก แล้วก็ต้านเครื่องช่วยหายใจมากด้วย”
แคลร์… เหนื่อย… ต้านเครื่องช่วยหายใจ…
“แล้วแผลที่ตายังไม่หายเหรอ ทำไมยังไม่เอาออก”
“แผลหายแล้วครับ แต่ต้องปิดไว้เพราะไม่งั้นตาแคลร์จะแห้งมาก”
“อ้อ… แล้วผ่าตัดอีกเมื่อไร”
“อาทิตย์หน้าครับ ผมได้หมอศัลยกรรมที่เก่งที่สุดมาจากต่างประเทศแล้ว วันนี้ทางโรงพยาบาลจะให้ปู่เซ็นเอกสารเพื่อเดินเรื่อง”
ผ่าตัดอะไรกัน…
“ได้ อะไรก็ได้ขอแค่ให้แคลร์ได้หมอที่ดีที่สุด เก่งที่สุด… แล้วต้องผ่าอีกสักกี่ครั้ง นี่ก็สองครั้งไปแล้วนะ”
“ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายครับถ้าการผ่าตัดไม่มีปัญหา ผมอยากให้แคลร์ตื่นมาแล้วเหมือนเป็นคนเดิมที่สุด”
ตื่นมา… แปลว่าแขดรุณยังไม่ตาย แล้วเธอล่ะ เธอตายหรือยัง ถ้ายังไม่ตายก็ไม่ควรได้ยินเรื่องพวกนี้เพราะเธอไม่น่าอยู่ห้องผู้ป่วยเดียวกับแขดรุณได้ เธอตายแล้วแล้ววิญญาณตามติดกับแขดรุณหรือเปล่า
มีคนร้องไห้… จิลลาได้ยินเสียงคนสูดจมูก ตามด้วยคำพูด
“แล้ว… แคลร์จะเหมือนเดิมใช่ไหมชาร์ล”
“มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แน่นอนครับ แต่ปู่ก็รู้ว่าแคลร์แข็งแรงมาก ผมว่าให้เวลาแคลร์สักปี รับรองกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ๆ”
ยาว… นี่เป็นประโยคยาวๆ ที่จิลลาฟังรู้เรื่อง เธอไม่เคยได้ยินเสียงแล้วจับใจความได้ขนาดนี้มาก่อนเลย และใช่ พอรู้ตัวจิลลาก็แน่ใจ ความเจ็บปวดเกินพรรณนาจะตามมา ตามด้วยเสียงหวีดแหลมของเครื่องอะไรสักอย่าง จากนั้นก็จะเป็นเสียงความวุ่นวายรอบตัว ความเจ็บปวดจางหาย การรับรู้เริ่มเลือนราง วิญญาณเธอหลับใหลลงไปอีกครา…
วิญญาณเธอตื่นขึ้นอีกครั้งแล้ว… แต่คราวนี้แปลกไป คราวนี้จิลลาเหมือนเห็นแสงสว่าง…
แสบตา เธอแสบตาด้วย คือแสงในนรกมันจ้าไปใช่ไหม มันก็ต้องนรกแหละ เธอไม่คิดว่าเธอจะได้ขึ้นสวรรค์ จิลลาไม่ได้เป็นคนดี เธอไม่รักสัตว์ ไม่รักเด็ก รักแค่ครูบางคน ถ้าครูไม่น่ารักเธอก็ไม่รัก พ่อแม่ก็ไม่มีให้เธอรัก จะมีก็เพียงแค่นลินกับศรี ที่เหลือก็คงมีเพียงวรรณวลีอีกคนที่เธอรัก นอกนั้นเธอก็ไม่รักใครแล้ว เธอไม่ค่อยทำบุญด้วย ตักบาตรนี่ตั้งแต่นลินทำไม่ได้เธอก็ไม่ได้ตักบาตรอีก เธอต้องตกนรกแน่ๆ แต่จิลลาไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก จริงๆ ชีวิตเธอก็คงเป็นการซ้อมตกนรกอยู่แล้ว พรีเฮลล์ อะไรแบบนั้น
โอย…
เดี๋ยว… เธอร้องออกไปเหรอ ใช่หรือเปล่า จิลลารู้สึกเหมือนตัวเองครางออกไปแต่มันฟังไม่เหมือนเสียงเธอ หรือว่าตกนรกแล้วเสียงจะเปลี่ยน
“แคลร์… ตื่นแล้วเหรอ”
แคลร์… เสียงคนแก่คนนั้นอีกแล้ว เสียงที่เธอได้ยินบ่อยๆ ตอนวิญญาณเธอตื่น หรือเธอยังถูกผูกติดอยู่กับแขดรุณ ก็เอาสิ ถ้าเธอตายแล้วแขดรุณไม่ตาย เธอจะตามหลอกหลอนแขดรุณไปตลอดชีวิต ข้อหาเกิดมาชีวิตดีกว่าเธออยู่แล้ว บทจะเจออุบัติเหตุร้ายแรงเดียวกัน ยังโชคดีกว่าเธอที่รอดมาได้
แสงค่อยๆ จ้าน้อยลงแล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังเรียกได้ว่าว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงความว่างเปล่า เหมือนตาถูกปิดไว้ จิลลารู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาที่วางลงกลางศีรษะ… เธอจำได้ สัมผัสอ่อนโยนอย่างนี้นลินมีให้เธอเสมอแหละ แต่เดี๋ยว… ถ้าเธออยู่ในนรกจริงๆ นลินก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ หรือว่าเธอจะขึ้นสวรรค์เลยได้เจอกับนลิน ไม่สิ จะนรกหรือสวรรค์เธอก็ไม่ควรเจอนลิน แต่เดี๋ยวอีกที ถ้าเธอไม่อยู่แล้ว ถ้าเธอตายแล้ว ใครจะดูแลนลินล่ะ อาจเป็นการดีก็ได้ถ้านลินได้อยู่บนสวรรค์
“เป็นไงบ้างแคลร์”
แคลร์… เขาเรียกเธอว่าแคลร์เหรอ
“เดี๋ยวปู่เรียกหมอให้นะ”
แปลกดีที่จิลลาไม่อาจส่งเสียงใดได้นอกจากอืออา ซึ่งเธอยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองทำไหม เสียงมันฟังไม่คุ้นหูเลย ขนาดตอนมีใครสักคนหรืออาจหลายคนเข้ามายุ่มย่ามกับตัวเธอ เอาวัตถุอะไรสักอย่างมาแตะ จับแขนขาเธอยกไปยกมาจิลลาก็ยังร้องห้ามไม่ได้ บ้าจริง อย่ามาทำเหมือนเธอเป็นตุ๊กตาแบบนี้สิ ให้เกียรติสิทธิในร่างกายของเธอด้วย
“สัญญาณชีพทุกอย่างปกติแล้วนะคะ หัวใจ ปอด ความดัน ไม่มีปัญหาเลยค่ะ”
อ้อ คนนี้เป็นหมอหรอกหรือ ที่เอาอะไรมาจิ้มๆ บนตัวเธอก็คงเพราะวัดสัญญาณชีพสินะ
“แผลผ่าตัดเรียบร้อยดีค่ะ ไม่มีสัญญาณการติดเชื้อเลย ”
คนนี้ก็หมออีกคนเหรอ
“นอกจากตรงข้อมือแล้ว ไม่มีข้อตรงไหนติดเลยครับ ทำกายภาพต่อเนื่องสักพักก็หาย”
นี่ก็หมอเหรอ มีอีกไหม นี่แขดรุณต้องใช้หมอเยอะขนาดนี้เลยเหรอ… จิลลาไม่อิจฉาแล้วก็ได้ที่แขดรุณรอด
“เดี๋ยวหมอเปิดตาแล้วเช็กให้นะคะ”
หลังประโยคนั้น จิลลาก็ตัวเกร็งเพราะมีใครสักคนเข้ามาแตะศีรษะเธอ รู้สึกยุกยิกบริเวณผิวหน้าอีกพักความสว่างที่เคยจ้าก็กลับจ้ามากขึ้นอีกจนต้องหลับตาแน่น
“หลับตาไว้สักพักนะคะคุณแคลร์ แล้วค่อยๆ ลืมค่ะ”
เธอไม่ใช่คุณแคลร์ แต่ก็ทำตามนั้นแหละ เพราะให้ลืมตาตอนนี้ก็ไม่ไหวจริงๆ ครู่หนึ่งผ่านไป จิลลาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรตอนเห็นภาพที่ทำให้รู้ว่าเธอยังมองเห็น และเมื่อกี้นี้มันเป็นเพราะตาเธอถูกปิดไว้
จิลลายังขยับตัวไม่ได้ดังใจนัก เธออยากขยับหนีตอนมือนิ่มๆ ของคุณหมอวางลงแนบแก้มแล้วใช้นิ้วดึงขอบตาล่างเธอลงพร้อมส่องไฟเข้ามา ยังไม่ทันได้ทำอะไรหมอก็ขยับไปทำกับตาอีกข้าง แล้วบอกด้วยใบหน้าพราวรอยยิ้ม
“คุณแคลร์ลองมองใกล้ ไกลดูนะคะ ว่าเห็นปกติไหม”
อีกนั่นแหละ เธอไม่ใช่คุณแคลร์ แต่ก็ยังทำตามที่อีกฝ่ายบอกอยู่ดี
“ปกติไหมคะ”
จิลลาส่งเสียงตอบ แล้วก็ตกใจอยู่ดีเพราะนั่นไม่ใช่เสียงเธอเลย ดังนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายแน่ใจว่าเธอตอบแล้วจิลลาจึงพยักหน้าอีกที หลังจากนั้นบรรดาคนที่จิลลาเข้าใจว่าเป็นหมอก็พูดอะไรสักอย่างที่จิลลาเริ่มไม่เข้าใจเพราะความง่วงจัดที่เข้าครอบคลุม ก่อนทั้งหมดจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว จิลลากำลังจะหลับแล้วแต่ต้องหันไปอีกทางเพราะได้ยินเสียง เสียงเปิดประตู… นั่นนิชฌาน ตามมาด้วยตุลธร
“แคลร์ตื่นแล้วเหรอครับ”
นิชฌานว่าแบบนั้นแล้วมายืนข้าง… ข้างทิวา เธอจำได้แล้ว เสียงคนแก่ที่เธอได้ยินมาตลอดเป็นเสียงของทิวา ปู่ของแขดรุณนี่เอง
“ตื่นแล้ว หมอยืนยันว่าทุกอย่างปกติ ที่ชาร์ลเหนื่อยวิ่งดูแลแคลร์มาเป็นเดือน ไม่เหนื่อยฟรีแล้วนะ”
นิชฌานยิ้ม ก่อนหันมามองหน้าเธอที่กำลังมองเขาแบบ… มึนๆ
“ดูแคลร์ยังไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองนะครับ”
ทิวาพยักหน้า “หมอว่าอีกสักวันสองวันน่าจะเริ่มดีขึ้น แล้วเป็นไงบ้าง ป้าของเด็กคนนั้นโอเคไหม”
ป้าของเด็กคนนั้น… ป้า บางอย่างทำให้จิลลาคิดไปถึงป้าของเธอ บางอย่างทำให้เธอแน่ใจว่าทิวาพูดถึงนลิน จิลลาฝืนลืมตา พยายามจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าก็ทำได้แค่พยายาม เพราะพอนิชฌานเข้ามาจับแขนเธอแล้วออกแรงกดแค่เพียงเบาๆ จิลลาก็รู้ตัวว่าไม่มีแรงต้าน เหมือนๆ กับที่เธอขยับหลบมือคุณหมอที่ส่องไฟเข้าตาเธอไม่ได้นั่นแหละ
“นอนเถอะแคลร์ นอนเอาแรงก่อน ไว้ค่อยคุยกัน”
จิลลายังไม่ทันคิดว่าเธอเห็นด้วยกับประโยคนั้นหรือไม่ สติเธอก็หลุดลอยไปอีกครา…
จิลลาไม่พูดอะไรเลยนับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา… เธอนิ่งเงียบ ได้แต่กลอกตาไปมามองทุกอย่างรอบตัว มองทุกคนที่รายล้อม ตอนแรกที่ไม่อยากพูดเพราะรู้สึกยังไม่อยากพูด เธอยังเหนื่อย ยังรู้สึกเจ็บระคายลำคอ และ… ใช่ เธอยังไม่แน่ใจว่าเธอตายหรือยัง ต่อมาเมื่อแน่ใจว่าเธอยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ แต่ก็ยังไม่อยากพูดเพราะคนที่รายล้อมเธอต่างเรียกเธอว่า ‘คุณแคลร์’
ทั้งหมอและพยาบาลที่เข้ามาตรวจรอบสุดท้าย ทั้งนิชฌานที่กำลังเก็บข้าวของเธออยู่กับตุลธร และทิวาที่ยืนลูบผมเธออยู่นี่
“ปู่เตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้แคลร์เยอะเลย หรือถ้าแคลร์อยากกินอะไรก็บอกปู่นะ”
หรือจริงๆ แล้วเธอตาย นี่มันเป็นเพียงแค่มโนภาพหลังตายเท่านั้น ลึกๆ เธออาจอยากเป็นแขดรุณเลยทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็เป็นได้
“หมอบอกเหมือนกันว่าแคลร์อาจจะเจ็บคอ โดนรมควันด้วย แล้วไหนจะใส่ท่อช่วยหายใจอีก ถ้าไม่อยากพูดก็ยังไม่ต้องพูดนะ”
โดนรมควัน… จริงสินะ จิลลาเริ่มสับสนแล้วว่าภาพเหตุการณ์ไฟไหม้โหมกระหน่ำรอบตัวนั่นเป็นความจริงหรือความฝัน ตอนนี้จากที่งงว่าตายหรือยัง เธอเริ่มงงแล้วว่าเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกนั้นเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
“ดีใจไหมแคลร์ จะได้กลับบ้านกันแล้ว”
ถ้าเธอเป็นแขดรุณก็ต้องดีใจแน่ ขนาดบ้านเธอไม่ได้หรูหราน่าอยู่เท่าบ้านของแขดรุณ จิลลายังอยากกลับบ้านเลย… เธอคิดถึงป้า ถ้าทิวา นิชฌาน ตุลธรเป็นมโนภาพจริงๆ เธออยากมโนเห็นป้าบ้าง จิลลาชะงักเล็กน้อยเพราะนิชฌานเข้ามาโอบประคอง บอกเสียงอ่อนโยน
“ผมจะอุ้มแคลร์ไปที่วีลแชร์”
จิลลาขืนตัวเล็กน้อย ยังไม่ค่อยแน่ใจในสถานการณ์ ไม่คิดว่านั่นจะทำให้ทิวาพูด
“อยากลองเดินเองหรือเปล่า”
จิลลาหันไปมองทิวา ก่อนหันมองนิชฌาน แล้วหันกลับไปมองทิวาอีกทีเมื่อผู้อาวุโสพูดต่อ
“แคลร์ไม่ได้เดินเลยเป็นเดือน หมอว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการออกแรง ช่วงแรกคงต้องระวังหน่อย แต่ชาร์ลเขาก็บีบนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แคลร์ตลอดนะ”
บีบ… นวด… กระตุ้นกล้ามเนื้อ… เออ มันคงไม่ติดใจหรอกถ้าเธอเป็นแขดรุณผู้ซึ่งเป็นภรรยาเขาจริงๆ แต่พอจิลลาไม่ใช่ก็หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ไม่ชอบเลยที่มีคนมายุ่มย่ามกับเนื้อตัวโดยเธอไม่ได้อนุญาต จิลลาไม่รู้ตัวว่ามองนิชฌานตาขวาง แต่รู้ตัวว่าทำตอนเห็นตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย ท่าทางเหมือนรอตั้งรับเต็มที่ว่าเธอจะทำอะไรมากกว่าด่าเขาด้วยสายตาไหม จิลลาดันตัวเขาออกห่างเล็กน้อย พลันรู้ตัวว่าค่อนข้างไร้เรี่ยวแรงเพราะมันแค่ทำให้เสื้อนิชฌานแนบเนื้อเขามากขึ้น แต่นั่นก็มากพอจะเป็นสัญญาณให้นิชฌานถอยออกไปเล็กน้อย อยากผลักให้เขาห่างออกไปอีก ติดที่เขาพูดให้คิด
“ผมประคองไว้ก่อนดีกว่า”
ประโยคนี้เขาพูดเสียงปกติ แล้วตามด้วยการกระซิบ
“ล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมาเดี๋ยวจะไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลเอา”
จิลลามองหน้าเขาอีกที แต่ไม่ทันคิดอะไรมากกว่านั้นเพราะทิวาเองก็เข้ามาจับแขนอีกข้าง
“มา เดี๋ยวปู่ช่วยอีกคน ถ้าแคลร์ยังกลัว”
จิลลาผู้ซึ่งไม่ชอบให้ใครแตะตัวมากจึงรีบขยับ เกรงว่าหากยื้อยุดมากกว่านี้ ตุลธรที่ยืนมองอยู่ห่างๆ จะเข้ามาช่วยด้วยอีกคนจะยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ขาเธอค่อนข้างอ่อนแรง เหมือนลืมไปชั่วคราวว่าการเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อรับน้ำหนักตัวนั้นทำอย่างไร แต่ใช้เวลากระตุ้นความจำนิดหน่อยก็ทำได้ แค่ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงเท่าที่เคยเท่านั้น
ตกลงเธอตายหรือยัง
จิลลานั่งคิดหาคำตอบนั้นขณะมองทุกอย่างรอบตัวตอนเดินทางออกจากห้องพักคนป่วยไปยังรถโดยนั่งสบายอยู่บนวีลแชร์ แอบหยิกขาตัวเองแล้วพบว่าไม่เจ็บเลย… เธอตายแล้วแน่ๆ คงเป็นเพราะก่อนตายเธออยู่กับแขดรุณ เธอเลยยังติดอยู่กับบรรดาญาติๆ ของแขดรุณสินะ อีกไม่นานอาจถึงเวลาที่จิตเธอแข็งแรงพอจะไปหานลินหรือไม่ก็ศรี จิลลายืนขึ้นโดยมีนิชฌานจับแขนไว้เมื่อประตูรถเปิดออก มือเขาอีกข้างยกมาบังศีรษะเธอกับขอบประตูรถ
“ระวังด้วย”
ต้องระวังทำไม เธอไม่เจ็บ… จิลลานิ่งไป มองขอบประตูรถแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอะไร เธอโขกหัวตัวเองลงไป
“แคลร์!”
เกิดเสียงประสานดังลั่นเลยทีเดียว กระนั้นก็ยังไม่อาจห้ามความรู้สึกหนึ่งของจิลลาได้… เธอเจ็บ
บ้าจริง! เจ็บมากด้วย! ทำไมเธอไม่ลองเคาะเบาๆ ดูก่อน ทำไมไม่คิดได้ก่อนหน้านี้ว่าอาจเป็นเพราะไม่มีแรงเลยหยิกตัวเองไม่เจ็บ จิลลาไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมกอดใคร ไม่สนแล้วว่าใครกันแน่ที่รั้งเอวเธออยู่ ความเจ็บและความมึนทำให้เธอทิ้งตัวเลยไม่สนแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ไม่สนแล้วว่าที่นี่โลกมนุษย์ นรก หรือว่าสวรรค์
“แคลร์ ทำอะไรเนี่ยฮึ เอาหัวโขกประตูรถทำไม”
จิลลาส่ายหน้า ไม่สนใจตอบคำถามของทิวา ตอนนี้เธออยากบอกว่าเธอไม่ใช่แขดรุณ ทว่าเมื่ออยากส่งเสียงกลับตกใจยิ่งกว่า… แต่แรกมันออกมาเพียงลม แล้วพอมีเนื้อเสียงออกมาด้วยมันกลับไม่ใช่เสียงเธอ จิลลาจึงชะงัก เอามือจับคอตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น
“ผมว่ารีบพาแคลร์กลับบ้านดีกว่าครับ จะได้ไปนอนพักสบายๆ ในห้อง”
ทิวากลับเสนออีกหนึ่งทาง “หรือพาแคลร์กลับไปเช็กกับหมอก่อนไหม ให้อยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะแน่ใจว่าแคลร์หายจริงๆ อีกเดือนหรือสองเดือนก็ได้”
ไม่… จิลลาไม่อยากอยู่โรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเดือนสองเดือน วันเดียวเธอก็ไม่อยาก ดังนั้นที่ทำตอนนี้จึงเป็นการรวบรวมเรี่ยวแรง โผไปเกาะเบาะนั่งของรถยนต์แล้วพยายามตะกายตัวตามไป ติดแค่ทำไม่ได้ บ้าเอ๊ย ถ้าไม่มีแรงพอจะหยิกตัวเองให้เจ็บ แล้วมีเหตุผลใดที่จะทำสิ่งที่ยากกว่าการหยิกได้ จิลลาเลยต้องนิ่งไว้ตอนนิชฌานเข้ามารั้งเธอให้ลุกยืนตรงๆ ก่อน ไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรดีตอนเขารัดเธอไว้แน่นคล้ายกับกลัวว่าเธอจะเอาหัวโขกประตูอีก
ไม่แล้วแหละพ่อเอ๊ย ครั้งเดียวก็เจ็บเกินพอ
“อยากกลับบ้านมากเหรอแคลร์”
พอทิวาเอ่ยถาม จิลลาก็พยักหน้าหงึกหงัก ไม่สนแล้วว่าตัวเองจะใช่แขดรุณหรือไม่ ให้ออกจากโรงพยาบาลได้ก่อนเป็นพอ ถ้าฝันร้ายและความเจ็บปวดตลอดระยะเวลาที่เธอรู้สึกเหมือนหลับๆ ตื่นๆ เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล เธอก็อยากไปให้ไกลจากที่แห่งนี้ก่อน
“ถ้างั้นก็ค่อยๆ ขึ้นรถ ระวังอย่าเอาหัวโขกอีกล่ะ”
สิ้นคำทิวา จิลลาก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงไปนั่งโดยมีนิชฌานประคอง ทิวารีบเดินไปอีกฝั่งของรถแล้วขึ้นนั่งเพื่อรับหลานต่อจากนิชฌาน… พอปิดประตูรถ นิชฌานก็หันมาทางตุลธรที่ยืนนิ่งอยู่ ได้ยินอีกฝ่ายพูดเสียงเบา
“ไม่ได้โขกเบาๆ นะ เห็นเงื้อหัวด้วย งี้เลย”
ตุลธรพูดแล้วทำท่าผงะหัวไปทางด้านหลังให้ดู ซึ่งนิชฌานก็ถอนใจยาว ส่ายหน้าพลางบ่น “ไม่รู้เป็นบ้าอะไร”
แล้วรีบเดินอ้อมรถไปนั่งเบาะฝั่งด้านข้างคนขับ ตุลธรเองก็ขึ้นประจำตำแหน่ง บ่ายรถมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์กัญจน์ธรา ระหว่างนั้นก็มองไปยังผู้หญิงที่เพิ่งได้ออกจากโรงพยาบาลสภาพทรุดโทรมที่นั่งอยู่เบาะหลัง สายตายังล่อกแล่กแสดงความสับสนอย่างหนัก สลับกับมองนิชฌานที่นั่งหน้าเครียดกัดนิ้วโป้งตัวเองอยู่ข้างๆ เป็นระยะๆ
ดี นิชฌานเครียดแหละดี จะได้ตั้งตัวติดถ้าต้องรับมือกับแขดรุณคนนี้ ลองว่าขนาดป่วยๆ ยังเอาหัวตัวเองโขกโครงเหล็กได้ ถ้าหายดีแล้วก็ไม่รู้จะแสดงอภินิหารอะไรอีกบ้าง และสาบาน ตุลธรจะไม่แปลกใจแน่นอน
จิลลาเพิ่งได้อยู่คนเดียวในตอนนี้เอง ตอนที่เธอขอเข้าห้องน้ำ ซึ่ง… นิชฌานก็เฝ้าอยู่หน้าห้องนี่แหละ กระนั้นเธอก็ยังได้อยู่คนเดียว จิลลานั่งนิ่งอยู่บนโถชักโครก เธอไม่ได้ปวดท้องอะไรทั้งนั้นไม่ว่าหนักหรือเบา เธอแค่อยากมีเวลาอยู่ลำพัง หญิงสาวลูบเนื้อลูบตัวคล้ายกับไม่แน่ใจว่าเนื้อหนังที่ได้สัมผัสเป็นของมนุษย์จริงไหม มันเป็นของเธอจริงไหม
จิลลานึกบางอย่างออก จริงๆ มันควรเป็นสิ่งแรกที่เธอทำด้วย แต่เพราะความลนลานทำให้ตอนเข้ามาเธอไม่ทันคิดถึง หญิงสาวขยับตัวเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ไปยังหน้ากระจกบานใหญ่เหนืออ่างอาบน้ำหินอ่อนหรูหรา แล้วได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น… ใบหน้าของแขดรุณ เธอกำลังมองใบหน้าของแขดรุณ
คนในกระจกคือแขดรุณ
จิลลายกมือขึ้นแตะใบหน้าตนแผ่วเบา รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกที่รู้สึกถึงสัมผัสของตัวเอง เธอรู้ตัวว่ากำลังแตะแก้มตัวเอง แต่ใบหน้าที่แตะนั้นไม่ใช่หน้าเธอ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น…
จิลลาเข่าอ่อน หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สับสนอย่างที่สุด ทำไมเธอถึงกลายเป็นแขดรุณ หนักยิ่งกว่านั้น เธอยังสับสนว่านี่ความจริงหรือเป็นความฝันในโลกหลังความตาย
เธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ใช่ไหม…
เสียงเคาะประตูห้องน้ำทำจิลลาสะดุ้งเฮือก หญิงสาวหันไปมองแต่ยังไม่สามารถตอบรับได้ เธอไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวว่าเสียงซึ่งไม่ใช่เสียงเธอจะยิ่งตอกย้ำว่าได้เกิดเรื่องบ้าบอขึ้นกับตน ไม่กล้าขยับตัว ได้แต่จ้องมองประตูห้องน้ำอยู่อย่างนั้นกระทั่งเสียงเคาะถี่รัวขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“แคลร์… คุณโอเคไหม”
ไม่… เธอไม่ใช่แคลร์ และเธอไม่โอเคเลย
“ผมจะเข้าไปนะ”
จิลลายังเรียบเรียงประโยคนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ ประตูห้องน้ำก็ถูกคลายล็อกแล้วเปิดออก ใบหน้านิชฌานตอนเห็นว่าเธอนั่งกองอยู่กับพื้นดูตื่นตกใจ เขาเข้ามาประชิดตัวแล้วโอบประคองเธอทันที
“คุณ เป็นไงบ้าง ล้มเหรอ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
จิลลาขืนตัวออกแต่ก็เหมือนเดิม ไม่หลุด มือเขายังโอบไหล่เธอ แถมตอนนี้เขาออกแรงรั้งให้เธอลุกยืนได้แล้วด้วย
“ให้อุ้มไหม”
เจอคำถามนั้นเข้าไปจิลลาก็จำต้องจับแขนเขาไว้แน่น ทั้งเพื่อให้ตัวเองยืนได้มั่นคงและเพื่อป้องกันไม่ให้เขาอุ้มเธอได้ด้วย เลิกต่อต้านตอนเขาเพียงจับจูงเธอให้ออกมานั่งบนเตียง
“ปวดหัวหรือเปล่า กินยา หรือไปหาหมอไหม”
จิลลาส่ายหน้า ถ้าเป็นไปได้เธอขอไม่กลับเข้าโรงพยาบาลอีกอย่างน้อยสามปี หญิงสาวขยับตัวตอนนิชฌานนั่งลงข้างๆ โน้มตัวลงมามองหน้า ดูสายตาเขาแล้วรู้ว่าค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับอาการของเธอ
“ถ้ารู้สึกแย่ คุณต้องรีบบอกผม”
จิลลาจ้องหน้านิชฌาน แล้วค่อยๆ ไล่สายตามองไปรอบๆ ห้อง จนกลับมาหยุดที่ใบหน้าของนิชฌานอีกที ตัดสินใจจะเอ่ยถาม “ฉัน…”
จิลลาชะงัก เพราะเสียงที่ได้ยินทำเธอตกใจอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะตกใจเพราะไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งมันก็ไม่เคยเป็นเสียงเธอ พอเห็นนิชฌานยังตั้งใจฟัง จิลลาจึงตัดสินใจถามต่อให้จบ “ฉันยังไม่ตายจริงๆ เหรอ”
จิลลากังวลอยู่เหมือนกันว่านิชฌานจะขำหรืออาจถึงหัวเราะเยาะความสับสนของเธอ ทว่าเขากลับส่งยิ้มนิดๆ ให้ บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าหนักแน่น มั่นคง
“คุณยังไม่ตาย อุบัติเหตุที่เกิดมันร้ายแรงมาก คุณไม่รู้สึกตัวอยู่เป็นเดือนระหว่างรักษาตัว”
“เดือน…”
“ใช่ อาการคุณค่อนข้างหนัก ก้ำกึ่งมากว่าจะอยู่หรือไป… แต่คุณยังอยู่”
เธอยังอยู่… จิลลามองมือใหญ่ที่วางลงบนเข่าเธอ คล้ายกับนั่นจะช่วยยืนยันให้มั่นใจมากขึ้นว่าเขาพูดจริง
“คุณสู้มาก และคุณทำสำเร็จ คุณรอด”
เธอรอด… ถึงตรงนี้จิลลาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่านี่คือความจริง เธอรอดตามที่เขาบอก แต่ทำไมเธอถึงกลายเป็นแขดรุณเล่า จริงสิ เธอถามถึงคนอื่นได้นี่ “แล้วนักบินกับ…”
ให้ตายสิ จิลลาไม่กล้าพูดชื่อตัวเอง ก็เธอนั่งอยู่ตรงนี้ ทว่านิชฌานตอบกลับทันทีเพราะรู้อยู่แล้วว่ามีใครอยู่บนเฮลิคอปเตอร์บ้าง
“ทั้งคู่ไม่รอด”
เธอตาย… ไม่สิ เธอยังอยู่ จิลลายังอยู่ แสดงว่าที่ตายเป็นแขดรุณ แต่เธอกลับกลายเป็นแขดรุณอย่างนั้นเหรอ จิลลายังไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ได้แต่มองนิชฌานที่ลุกเดินไปยังตู้หัวเตียงแล้วนำบางอย่างกลับมายื่นส่งให้เธอ… แหวน เป็นแหวนเพชรที่เพชรเม็ดโตมาก เขาจับมือเธอทำท่าให้รู้ว่ากำลังจะสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้าย จิลลาดึงกลับทันที นั่นส่งผลให้นิชฌานชะงัก มองหน้า
“ผมจะไม่บังคับถ้าคุณไม่อยากใส่”
แน่นอนว่าจิลลาส่ายหน้า นิชฌานจึงเก็บแหวนเข้ากล่อง เล่าเรื่องให้ฟังต่อ
“ตอนเห็นฮอตกผมรีบขับรถออกไปหา…”
นิชฌานหยุดพูด จิลลามองหน้าเขา รู้สึกได้ว่าเขากำลังนึกถึงภาพที่เห็น ภาพอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิด
“อีกสักพักคุณอาจจะได้เห็นภาพข่าว ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้คุณเห็นเลย มัน… ค่อนข้างน่ากลัว”
“ฉันอยากเห็น” จิลลาบอกทันทีไม่ต้องคิด เธอต้องได้เห็น ไม่อย่างนั้นเธออาจสับสนไปจนกว่าจะเป็นบ้า เธอต้องแน่ใจที่สุดว่าอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นจริงแม้จะแน่ใจอยู่แล้วก็ตามที
“สักพักได้ไหม อย่างน้อยก็อยากให้คุณหาย…”
หาย… จิลลานิ่วหน้า ไม่เข้าใจการที่เขาผายมือแล้วขยับไปมาแถวๆ ใบหน้าเธอ เขาหมายถึงอะไร
“คุณยังดูมึนๆ งงๆ ผมกำลังคิดว่าคุณอาจจะมีอาการพีทีเอสดี… รู้จักใช่ไหม”
จิลลาพยักหน้า เธอเป็นคนเขียนคอนเทนต์ ในอีกแง่คือก็ต้องเป็นนักอ่านคอนเทนต์ตัวยงด้วย จิลลาคิดว่าตัวเองค่อนข้างรอบรู้พอสมควร
“อย่างน้อยอยากให้คุณรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ก่อน สักสองสามวันก็ได้”
โอเค เธอไม่อยากเถียงกับเขาเรื่องนั้นตอนนี้ เธอมีอีกเรื่องที่อยากรู้มากกว่า ถ้าเธอเป็นแขดรุณ… “แล้วแจ้วล่ะ”