ปราการแสงจันทร์ บทนำ : อีกหนึ่งงาน

ปราการแสงจันทร์ บทนำ : อีกหนึ่งงาน

โดย : ภัสรสา

Loading

ปราการแสงจันทร์ โดย ภัสรสา เมื่อนิชฌานที่เปรียบเหมือนต้นไม้ใต้เงาจันทร์ที่ไม่เคยรู้ว่าโลกในยามกลางวันเป็นอย่างไรต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับจิลลาที่ดุจว่าวตัวน้อยที่เรียนรู้การลอยตัวท่ามกลางแรงลมทุกรูปแบบ ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันไปได้ตลอดชีวิตจริงหรือ โดยเฉพาะเมื่อนิชฌานเป็นคนฆ่าจิลลาด้วยมือตัวเอง นิยายออนไลน์ที่อ่านได้ในอ่านเอา

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

จิลลาแปลกใจ… เธอคิดว่าเพื่อนสนิทของแขดรุณที่เลือกมาอยู่ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้จะเป็นเพื่อนสมัยเรียน ประถม มัธยม หรือมหาวิทยาลัย อีกนัยหนึ่งคือเป็นเพื่อนที่ไม่เคยออกสื่อมาก่อน ทว่าคนที่อยู่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพื่อนที่ออกข่าวออกงานสังคมด้วยกันประจำ เป็นกลุ่มเซเลบริตี้ที่ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว

คล้ายกับแขดรุณจะรู้ความคิดของเธอ เพราะหลังจากเพื่อนเซเลบริตี้ขอตัวกลับไปในเวลาประมาณสี่โมงเย็น แขดรุณก็หันมาคุยด้วย

“เหมือนคุณแจ้วเซอร์ไพรส์ตอนเห็นว่าเพื่อนสนิทของแคลร์เป็นเพื่อนกลุ่มนี้”

จิลลานิ่งคิด ก่อนบอกไปตามตรง “ค่ะ แจ้วนึกว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนของคุณแคลร์”

แขดรุณส่ายหน้า “แคลร์เรียนเมืองไทยแค่มอปลายค่ะ พอกลับมาก็เอาแต่ศึกษางานของบริษัทจนไม่ค่อยได้เจอเพื่อนๆ เลยห่างๆ กันไป ตอนนี้ที่สนิทที่สุด รู้จักกันดีที่สุดก็กลุ่มนี้แหละ”

จิลลาส่งเสียงอยู่ในลำคอเป็นการบอกว่าเข้าใจที่พูด อดขำไม่ได้เมื่อแขดรุณเอ่ยถาม

“คงไม่รำคาญใช่ไหม เวลาแคลร์กับเพื่อนๆ เจอกันก็เม้าท์กันกระจาย ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนฟัง”

“ไม่หรอกค่ะ ดีออก ได้ข้อมูลเยอะดีค่ะ” อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าแขดรุณกับเพื่อนๆ ชอบเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้ายี่ห้ออะไร ครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางเจ้าไหน กีฬาหรืองานอดิเรกที่ชอบ สถานที่ที่ชอบไปเที่ยว ไปพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ชายในฝันตรงกับผู้ชายในความเป็นจริงไหม… จริงสิ ถึงตรงนี้จิลลาก็อดเหลือบไปมองนิชฌานที่นั่งอยู่อีกทางไม่ได้

จิลลาทึ่งตั้งแต่เขายกอาหารเช้ามาให้และเป็นคนขอโทษเธอที่ขัดจังหวะ แต่ต้องทำเพราะเป็นห่วงแขดรุณที่มัวแต่คุยงานแถมกลัวจิลลารอนานเลยไม่ได้กินข้าวเช้า หลังแขดรุณกินข้าวเสร็จเขาก็เอาถาดอาหารไปเก็บ จิลลานึกว่าเขาคงไปแล้วไปลับแต่ที่ไหนได้… เขากลับมา แล้วเฝ้าภรรยาทั้งวันเลยทีเดียว ระหว่างสัมภาษณ์เธอสังเกตว่านิชฌานตั้งใจฟังแขดรุณเสมอ หันไปมองทีไรก็เห็นเขายิ้มน้อยๆ สัมผัสได้ว่ารักและภูมิใจในตัวแขดรุณแค่ไหน เผลอๆ เธอก็เห็นแขดรุณหันไปมองนิชฌานแล้วส่งยิ้มให้ ทางนั้นก็จะส่งยิ้มพร้อมสายตาหวานๆ กลับมา จิลลาคิดว่าเธอได้ภาพคู่ของสองคนนี้เยอะประมาณหนึ่งขนาดว่าหัวข้อที่คุยในวันนี้แทบไม่ได้พูดถึงนิชฌานเลย

“พรุ่งนี้คุณแจ้วค้างกับแคลร์ดีไหม”

คำถามนั้นทำเอาจิลลาเบิกตากว้าง มีสีหน้าไม่แน่ใจและค่อนข้างงุนงง แขดรุณเห็นดังนั้นจึงอธิบาย

“วันมะรืนแคลร์นัดนักบินแต่เช้าเลยค่ะ ถ้านอนกับแคลร์คุณแจ้วจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก”

เพราะเฮลิคอปเตอร์จะมารับแขดรุณที่ลานจอดซึ่งใกล้กับที่นี่มากชนิดขับรถไม่เกินสิบนาที ในขณะที่จากบ้านเธอต้องใช้เวลาสองชั่วโมงแบบเผื่อรถติดด้วย… การได้นอนเยอะขึ้นน่าสนใจสำหรับจิลลามากเพราะมันหมายถึงทำให้มีสมาธิในการทำงานมากกว่า แถมยังเป็นงานที่ต้องทำในที่สูงมากแถมเคลื่อนที่ตลอดเวลาอย่างบนเฮลิคอปเตอร์ แต่ไม่ว่าอย่างไรจิลลาก็ยังให้คำตอบตอนนี้เลยไม่ได้ เลือกบอกเหตุผลของตนไปตามตรง “แจ้วยังไม่แน่ใจว่าค้างได้ไหมค่ะ ต้องโทรถามคนที่ช่วยแจ้วดูแลป้าก่อนว่าว่างไหม”

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายสงสัย จิลลาอธิบายความจำเป็นของตนต่อทันทีเพราะไม่ต้องการให้แขดรุณเข้าใจว่าเธอไม่มืออาชีพ แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้ “ป้าของแจ้วเป็นอัลไซเมอร์ค่ะ แล้วแจ้วก็อยู่กับป้าสองคน ถ้าแจ้วไม่อยู่บ้านต้องหาคนมาดูแลป้า”

แขดรุณพยักหน้า มีสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษนะคะ แคลร์ก็ไม่น่าชวนปุบปับแบบนี้… ยังไงคุณแจ้วลองดูนะคะว่าจะมาค้างได้ไหม แคลร์มีอะไรหลายอย่างยังอยากเล่าให้คุณแจ้วฟัง”

ประโยคหลังนั้นกระตุ้นจิลลาได้อย่างดีในฐานะคนที่กำลังจะเขียนบทความเกี่ยวกับแขดรุณ ยิ่งได้คุยกันมากเธอยิ่งมีข้อมูลในการเขียนมาก

“ตั้งแต่แต่งงานแคลร์ก็ไม่มีโมเมนต์นอนคุยกับเพื่อนสาวยันเช้าอีกเลยค่ะ ชักคิดถึง”

จิลลาเห็นแขดรุณหันไปยิ้มล้อๆ กับนิชฌาน ซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบออกตัว

“ผมไม่ได้ห้ามแคลร์ แคลร์จะไปค้างกับเพื่อนๆ ก็ได้ถ้าอยากไป”

แขดรุณต่อประโยคด้วยท่าทางรู้ทัน “แค่ขอโทรเช็กทุกสามชั่วโมง”

ซึ่งนิชฌานตอบกลับทันที “สอง”

นั่นทำเอาแขดรุณส่ายหน้าด้วยความขำ จิลลาเองก็ขำไปด้วย ก่อนขำไม่ออกเมื่อแขดรุณหันมาพูด

“พรุ่งนี้ถ้าคุณแจ้วมานอนกับแคลร์ที่นี่ก็อย่าตกใจนะคะ ถ้าชาร์ลจะขอนอนด้วย”

จะไม่ให้ตกใจยังไง ปกติแค่ร่วมห้องกับคนอื่นเธอก็นอนไม่ค่อยหลับแล้วเพราะชินกับการนอนคนเดียวมาตั้งแต่ยังไม่สิบขวบ แล้วนี่คนร่วมห้องจะเป็นผู้ชายด้วย ถึงภรรยาเขาจะอยู่ในห้องเดียวกันก็เถอะ

จิลลามารู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินนิชฌานหัวเราะ หันไปพูดกับแขดรุณ

“บอกคุณแจ้วด้วยว่าแคลร์ล้อเล่น”

ซึ่งพอแขดรุณหันมาเห็นสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของจิลลาแล้วหัวเราะ รีบบอก “แคลร์ล้อเล่นค่ะ ถ้าพรุ่งนี้คุณแจ้วมานอนกับแคลร์ได้ แคลร์จะอัปเปหิชาร์ลไปนอนห้องอื่น หรือไม่… เดี๋ยวพอฟังเราเม้าท์กันสักพักชาร์ลก็รำคาญหนีไปห้องอื่นเองแหละค่ะ”

จิลลาค่อยยิ้มออก แล้วพูดกึ่งแซวออกไปเมื่อนึกบางอย่างได้ อ้อ และไม่ลืมด้วยว่าชื่อ ‘ชาร์ล’ มีแค่สองคนเท่านั้นที่ใช้เรียกนิชฌาน คนอื่นเรียกเขาว่า ‘ฌาน’ กันหมด นิชฌานเป็นชื่อใหม่ที่ทิวาเป็นคนตั้งให้ตอนรับเด็กชายชาร์ลวัยเจ็ดขวบมาดูแลเอง และใช่ ทิวาตั้งใจให้ชื่อไทยมีเสียงที่พ้องกับชื่ออังกฤษของเขาด้วย “แต่วันนี้คุณฌานก็ฟังคุณแคลร์เม้าท์กับเพื่อนๆ ได้ทั้งวันเลยนะคะ”

จิลลายิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นแขดรุณยิ้มอย่างเขินๆ นั่งมองสองสามีภรรยาส่งยิ้มให้กันอีกพัก จิลลาก็เอ่ยขอตัว “งั้นแจ้วกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้ถ้าค้างได้หรือไม่ได้ แจ้วจะรีบส่งข่าวค่ะ”

แขดรุณกับนิชฌานเดินควงแขนกันออกมาส่งจิลลาถึงรถ จิลลายกมือสวัสดีทั้งคู่แล้วออกเดินทางกลับบ้านตน ในใจยังครุ่นคิดว่าจะค้างคืนกับแขดรุณดีไหม ถ้าถามวรรณวลี ทางนั้นคงบอกให้ค้างแน่ๆ เพราะมันอาจเป็นโอกาสทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์กับเนื้องาน ใจหนึ่งก็อยากค้าง แต่อีกใจก็ลังเลเพราะจิลลาไม่เคยไปค้างที่อื่นนานมากแล้วนับตั้งแต่ป้าเธอเริ่มป่วย จริงอยู่ว่าขอร้องให้ศรีช่วยอยู่เป็นเพื่อนได้ทว่าจิลลาไม่เคยคิดทำเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความจำเป็น มีแต่ความอยากส่วนตัว เธออาจอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่บ้าง แต่ก็ตัดใจตลอดเพราะเกรงใจศรีด้วยส่วนหนึ่งแต่ที่สำคัญคือเธอห่วงป้า

ป้าเคยหายออกจากบ้านครั้งหนึ่งเพียงเธอกลับถึงบ้านช้าไปไม่กี่ชั่วโมงและศรีจำเป็นต้องกลับบ้านก่อน ความประมาทว่าแค่ไม่นานคงไม่เป็นไรทำให้เกิดเรื่องขึ้น หลังจากการตระเวนหาป้าข้ามคืนไปจนถึงตอนเย็นอีกวันจึงเจอ ความเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ ความหวาดหวั่นตกใจที่คงอยู่ต่อไปหลายชั่วโมงแม้จะเจอป้าแล้วทำให้จิลลาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นอีก เธอแทบไม่เคยปล่อยให้ป้าอยู่บ้านคนเดียวอีกเลย ขนาดว่ามีกล้องวงจรปิดแล้วก็ยังหวาดระแวงอยู่ดี

เสียงโทรศัพท์แจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า พอจอดรถติดไฟแดงจิลลาจึงหยิบมาเปิดดู เป็นข้อความจากแขดรุณ

‘มาค้างให้ได้นะคะ แคลร์อยากคุยกับคุณแจ้วหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่เหตุผลที่แคลร์เลือกคุณแจ้วให้ทำงานนี้เลย’

ซึ่งนั่นตรงกับที่เธออยากรู้แต่ไม่กล้าถามพอดี… จิลลาปิดหน้าจอ ครุ่นคิดอยู่พักกระทั่งไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าจะกลับไปถามศรีตอนถึงบ้านว่าจะอยู่ดูป้าให้เธอถึงสองวันหนึ่งคืนได้ไหม ถ้าศรีอยู่ได้ เธอก็จะค้างกับแขดรุณ…

 

“ไปเถอะแจ้ว ข้าค้างเป็นเพื่อนยัยลินได้”

จิลลาถึงกับนิ่งไป ก่อนถามย้อน “ไม่คิดหน่อยเหรอป้า ตอบซะเร็ว”

ศรีโบกมือด้วยท่าทางรำคาญใจ “จะต้องไปคิดอาไร้ ตั้งแต่ยัยลินป่วยเอ็งไม่เคยไปค้างที่อื่นเลยนะ ข้าก็รอว่าเอ็งจะขอให้ข้าเฝ้ายัยลินข้ามคืนเมื่อไร”

จิลลาหัวเราะ ช่วยศรีตักกับข้าวใส่กล่องเก็บเพื่อให้เอากลับไปกินที่บ้าน เอ่ยถาม “ทำไมล่ะ จะมายกเค้าบ้านแจ้วเหรอ”

ศรีถึงกับเอื้อมมือที่ถือทัพพีตักข้าวไปผลักกะโหลกเล็กๆ ของคนช่างถาม “บ้านเอ็งมีอะไร ข้าเดินเก็บผักแถวนี้ขายยังได้เงินคุ้มกว่า”

เท่านั้นจิลลาก็ร้องโหดังลั่น “ป้าศรีดูถูก แจ้วอาจจะมีทองซ่อนอยู่ในบ้านก็ได้”

“เฮอะ ถ้ามีป่านนี้เอ็งก็เอาไปขายหาเงินมาจ้างพยาบาลดูยัยลินแล้ว ไม่ปล่อยให้มาถึงมือข้าหรอก”

จิลลาหน้าหุบ จะเถียงก็เถียงไม่ออก ศรีรู้จักเธอดีจริงๆ นั่นแหละ ถ้ามีทองเธอก็จะเปลี่ยนเป็นเงินมาดูแลป้าอย่างที่เคยทำ และใช่… ตอนนี้เธอไม่มีแล้ว บ๋อแบ๋

“ข้าอยากให้เอ็งไปค้างที่อื่นบ้าง ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาหน่อย ตอนยัยลินยังไม่หลงเอ็งเที่ยวออกบ่อย”

ซึ่งก็คือช่วงที่เธอยังเรียนมหาวิทยาลัยและช่วงจบใหม่ๆ เพราะหลังจากนั้นไม่นานป้าก็เริ่มป่วย เธอไปเที่ยวที่ที่อยากไปได้ทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น… จิลลานิ่งไปครู่ เก็บทั้งข้าวและกับข้าวลงถุงผ้า เดินออกไปส่งศรีที่หน้าบ้าน ส่งถุงของให้ก่อนพึมพำเสียงอ่อย “แจ้วจะไปได้ยังไง”

ศรีทำหน้ารำคาญ เสียงที่ใช้ตอบก็รำคาญเต็มที่เช่นกัน “ไปได้ ข้าก็อยู่ ข้าช่วยเอ็งดูแลยัยลินมาห้าปีนี่ เอ็งยังไม่ไว้ใจข้าอีกเหรอ”

จิลลาส่ายหน้า โน้มตัวไปกอดเอวคนที่ทำหน้าแง่งอน บอกเสียงอ่อน “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แจ้วเกรงใจหรอก คนที่บ้านป้าศรีจะว่าแจ้วแย่งป้าศรีมาไว้คนเดียว”

ศรีถอนใจเฮือก จ้องหน้าจิลลา เอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง “ปีนี้เอ็งอายุเท่าไรแล้วนะ”

“ยี่สิบหก”

“เอ็งยี่สิบหกได้ปีเดียวนะไอ้แจ้ว ยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปดก็ด้วย อย่าปล่อยให้มันเสียเปล่า แก่แบบข้าเมื่อไรเอ็งจะมานึกเสียดาย”

จิลลานิ่งเงียบ ส่งยิ้มให้ศรีที่เอื้อมมือมาขยี้ผมเธอเบาๆ แล้วเดินจากไป รอจนศรีลับสายตาแล้วจึงกลับเข้าบ้าน ส่งข้อความบอกแขดรุณว่าเธอสามารถค้างคืนได้แล้ว…

ผิดไหมที่เธอตื่นเต้น แค่คิดว่านี่จะเป็นการไปค้างคืนนอกบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี!

 

นิชฌานออกจากห้องน้ำในสภาพพร้อมนอนเหมือนเคย เห็นว่าแขดรุณนั่งอ่านเอกสารอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่างท่าทางยังใจจดใจจ่อเหมือนไม่รู้ว่าเขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงส่งเสียงบอก “ห้องน้ำว่างแล้ว”

ฝ่ายนั้นเพียงเหลือบมามอง ส่วนนิชฌานไม่ได้สนใจ เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อทาครีมบำรุงผิวหน้าของตนซึ่งมีวางอยู่ขวดเดียวท่ามกลางกระปุกและขวดอีกนับสิบของแขดรุณ ก่อนได้ยินเสียง

“พรุ่งนี้คุณแจ้วจะมาค้างกับแคลร์ เธอไปนอนห้องอื่นแล้วกัน”

นิชฌานส่งเสียงตอบรับอยู่ในลำคอ แม้จะสงสัยว่าทำไมไม่ให้จิลลาไปนอนห้องรับแขกแต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะจริงๆ เขาก็ไม่มีปัญหาถ้าต้องไปนอนห้องอื่นบ้าง ตั้งใจฟังเมื่อแขดรุณพูดต่อ

“พรุ่งนี้แคลร์เข้าออฟฟิศ จะพาคุณแจ้วไปดูที่ทำงาน จะให้ดูว่าตั้งแต่แคลร์เข้ามาทำงานแคลร์ทำอะไรกับทีจีแอลไปแล้วบ้าง คงพูดถึงโพรเจ็กต์ที่เราร่วมทุนกับบริษัทต่างประเทศทำอาคารสำนักงาน อะพาร์ตเมนต์ ทาวน์เฮ้าส์ จะบอกว่าเธอเป็นคนจุดประกายไอเดียให้แคลร์”

นิชฌานนิ่วหน้า บอกเสียงเบา “ไม่ต้องก็ได้”

เหมือนแขดรุณจะไม่สนใจคำบอกนั้น พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดต่อ “คุณแจ้วนี่เก่ง”

นิชฌานถึงกับหันไปมองหน้าแขดรุณเลยทีเดียว ไม่บ่อยนักหรอกที่เจ้าหล่อนจะชมใคร ซึ่งแขดรุณก็ดูจะรู้ จึงหัวเราะเบาๆ ยืนยันคำของตน

“จริง เก่งจริง เขียนบทความหาเงินได้ตั้งแต่เรียนปีสอง ดูแลป้าที่เป็นอัลไซเมอร์คนเดียว”

“ญาติๆ เขาล่ะ” นิชฌานถามเหมือนเพื่อต่อบทสนทนามากกว่าอยากรู้

“ไม่มี เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติคนอื่นๆ อยู่กับป้าแก่ๆ ที่จำอะไรไม่ได้แค่สองคน”

นิชฌานชะงักกับข้อเท็จจริงที่ได้รู้ ในอกวูบไหวอยู่นิดๆ ด้วยความสงสารค่อนไปทางเข้าอกเข้าใจ ก่อนสะดุดเมื่อสงสัยบางอย่าง… “ทำไมคุณรู้ขนาดนี้”

แขดรุณลุกยืน ชูแฟ้มในมือตนขึ้นเป็นคำตอบ แต่นั่นกลับทำให้เกิดคำถามอีก

“คุณสืบประวัติคุณแจ้วเลยเหรอ”

“ใช่”

“เพิ่งรู้ว่าคุณจริงจังกับเรื่องสัมภาษณ์ขนาดนี้”

แขดรุณหัวเราะ ไม่ตอบคำใด วางแฟ้มไว้บนโต๊ะ ถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป… ถ้าเรื่องบทสัมภาษณ์ในวาระครบหกสิบปีทีจีแอลเรียลเอสเตตเธอไม่จริงจังขนาดสืบประวัติจิลลาหรอก

เธอสืบเพราะมีเรื่องอื่นให้จิลลาทำต่างหาก!

 

จิลลามาถึงทีจีแอลบิลดิ้งก่อนเวลานัดเล็กน้อย แขดรุณบอกไว้แล้วว่าเมื่อมาถึงไม่ต้องวนรถขึ้นไปจอดบนตึก แต่ให้จอดลานด้านหน้า และไปรอที่สวนด้านข้างได้เลย จิลลาแจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยตรงด้านหน้าทางเข้าตึก พบว่าแขดรุณประสานงานไว้ดีมาก เพราะพี่ รปภ. หน้าตึกยิ้มกว้างเป็นเชิงบอกว่ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว พร้อมกับวิ่งนำไปด้วยท่าทางกระตือรือนร้นจนถึงลานจอด ช่วยโบกให้จนจิลลาจอดรถได้ตรงเป๊ะ พอลงจากรถฝ่ายนั้นก็ตะเบ๊ะ แล้วชี้ไปอีกทาง บอกด้วยรอยยิ้ม

“สวนอยู่ด้านนั้นครับ”

จิลลาเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มเช่นกัน แล้วเริ่มออกเดิน สังเกตได้ว่าสวนตรงนี้มีคนเดินผ่านอยู่บ้าง เดาได้ว่าอาจจะเป็นทางเดินเพื่อนำไปสู่ทางเข้าอาคารได้อีกนอกเหนือจากประตูอันใหญ่โตโอ่โถงด้านหน้า สวนด้านข้างนี้เป็นสวนแบบอังกฤษสะอาดสบายตา มีน้ำพุเล็กๆ ตามมุมต่างๆ และมีน้ำพุใหญ่โตเพียงหนึ่งเดียวอยู่ตรงกลาง จิลลาเดินไปจนถึงน้ำพุใหญ่ เงยหน้าพินิจพิจารณาความละเอียดงดงามของรูปปั้นนางฟ้า ก้มลงดูน้ำในอ่างก็เห็นว่าใสแจ๋ว ตัวอ่างไร้รอยเปื้อน ไม่มีตะไคร่น้ำเกาะแบบที่ทำให้แน่ใจว่าต้องทำความสะอาดเกือบทุกวันแน่ๆ

“สวัสดีค่ะคุณแคลร์”

จิลลาหันไปมองต้นเสียงเพราะมันดังอยู่ข้างหลังเธอ แวบหนึ่งเข้าใจไปว่าแขดรุณน่าจะมาแล้ว แต่อีกแวบก็ชักไม่แน่ใจเพราะพอหันไปก็เห็นคนคนหนึ่งทำหน้าตกใจ จ้องมองเธออีกพักค่อยบอกมา

“ขอโทษค่ะ ทักคนผิด”

จิลลายิ้มให้ เอ่ยถามอย่างสงสัย “คิดว่าเป็นคุณแคลร์เหรอคะ”

“ค่ะ”

อีกฝ่ายตอบแล้วทำท่าจะจากไป แต่จิลลายังอยากได้ความแน่ใจ รีบถามย้ำ “คุณแคลร์ แขดรุณใช่ไหมคะ”

ครั้งนี้คนถูกซักไซ้ชักมีสีหน้าไม่เป็นมิตร พยักหน้าเร็วๆ หนึ่งครั้งแล้วออกเดินไปเลยอย่างที่จิลลาแน่ใจว่าถ้าเธอวิ่งไปดักหน้าตอนนี้มีหวังถูกผลักออกให้พ้นทางแน่ หญิงสาวถอนใจแล้วอดขำไม่ได้ ก่อนหันกลับไปพิจารณาน้ำพุต่อ ดูนานเข้ามือก็ขยับด้วยอยากสัมผัสน้ำใสที่กระเพื่อมไม่หยุดสักหน่อย อีกนิดเดียวก็จะได้แตะน้ำอยู่แล้ว ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“คุณแคลร์ สวัสดีครับ”

จิลลาชะงัก หันไปมองต้นเสียง ไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้วตอนเห็นหน้าคนทักเหวอไป ไม่ถาม ไม่พูดอะไรตอนอีกฝ่ายผงกหัวเป็นเชิงขอโทษแล้วเดินห่างไป เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย… ด้านหลังเธอเหมือนแขดรุณขนาดนั้นเลยหรือ แต่ก็ช่างเถอะ จิลลาละจากความสงสัยนั้น เอื้อมมือไปตั้งใจจะเขี่ยน้ำเล่น ทว่า…

“ระวังไฟดูดนะ”

จิลลาชักมือกลับ หันขวับกลับไปมองคนเตือน เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ อดแปลกใจไม่ได้ที่เขาไม่ได้ทำหน้าแปลกใจใส่ราวกับรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่แขดรุณ

“น้องแจ้วใช่ไหม”

อ้อ รู้อยู่แล้วจริงๆ แถมรู้ไปถึงขนาดว่าเธอคือใคร จิลลาพยักหน้า ก่อนตอบ “ค่ะ แจ้วค่ะ แล้วคุณ…”

“พี่ตุลครับ ตุลธร ทำงานกับคุณแคลร์ คุณฌาน”

“อ้อ…”

“คุณแคลร์มาถึงแล้วแหละ แต่มีงานด่วนแทรกมา บอกให้พี่ลงมารับหน้าน้องแจ้วก่อน”

จิลลายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วบอกไป “ยังไม่ถึงเวลานัดเลยค่ะ ไม่ต้องมารับหน้าก็ได้”

ตุลธรเอียงหน้ามองจิลลา สักพักก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ บอกเสียงเบา “เรามาอยู่ตรงนี้เพราะเงินเหมือนกันทั้งคู่แหละน้องแจ้ว”

เป็นจิลลาที่เอียงหน้าบ้าง มองเขาอยู่พักใหญ่กว่าจะทำความเข้าใจได้… เธอมาอยู่ตรงนี้ก็เพราะมาทำงานแลกเงิน เขาเองที่มาอยู่ตรงนี้ก็เพราะคำสั่ง ถือเป็นงานเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าเธอจะบอกว่าเขาไม่ต้องมารับหน้า หรือต่อให้เธอออกปากไล่ก็ไม่ได้มีความสำคัญ เพราะคนจ่ายเงินเขาไม่ใช่เธอ พอเข้าใจแล้วจิลลาก็อดใจไม่ได้ ถึงกับหัวเราะขณะอีกคนยังเก็บอาการอยู่จึงทำเพียงอมยิ้มเท่านั้น พอสงบสติอารมณ์ได้ จิลลาจึงถามไป “พี่ทำงานอะไรที่นี่เหรอคะ”

ตุลธรส่ายหน้า “พี่ไม่ได้ทำงานที่นี่ พี่ทำงานกับคุณแคลร์ คุณฌาน”

จิลลานิ่งไปเพื่อคาดเดาหน้าที่การงานของตุลธร พอแน่ใจว่าเดาไม่ได้แน่จึงเอ่ยถาม “ยังไงเหรอคะ”

ตุลธรยิ้ม ถามย้อนไปกลั้วหัวเราะ “วันนี้สัมภาษณ์คุณแคลร์ไม่ใช่เหรอ”

จิลลายักไหล่ บอกไปง่ายๆ “ปกติแจ้วก็สัมภาษณ์คนใกล้ตัวด้วยค่ะ ตกลงพี่ทำงานอะไรกับคุณแคลร์เหรอคะ”

“เป็นคนขับรถ”

จิลลาเบิกตากว้าง มีสีหน้าไม่เชื่อถืออย่างมาก จนตุลธรต้องย้ำ

“พี่เป็นคนขับรถ”

จิลลาไม่ได้ดูหมิ่นอาชีพคนขับรถ เพียงแต่รู้สึกว่าท่าทางของตุลธรดูจะมีความรู้ความสามารถมากกว่าตำแหน่งนั้น แต่ว่าไป… เธอก็เคยเจอคนขับรถผู้บริหารที่พูดได้สามภาษา มีรายรับต่อเดือนร่วมหกหมื่นบาท เดือนไหนทำงานล่วงเวลาเยอะได้เฉียดแสนก็มี สิ่งที่ต้องแลกกับเงินจำนวนมากนี้คือเวลาส่วนตัวที่เสียไป

“ดูจากความเป๊ะของคุณแคลร์แล้ว พี่ตุลต้องเก่งมากค่ะ”

ตุลธรหัวเราะ ตอบกลับทันที “ครับ พี่เป็นคนเก่งมาก”

แหม… จิลลาขำ เป็นคนยอมรับความจริงและไม่ถ่อมตัวเอาเสียเลย ก่อนจะทันได้ถามอะไรต่อ ตุลธรก็ผายมือไปอีกทาง

“ตรงโน้นมีร้านกาแฟ เราไปกินกาแฟรอคุณแคลร์กันดีกว่า”

จิลลาออกเดินเคียงไปกับเขา พอถึงประตูร้านกาแฟเขาก็โน้มไปเปิดประตูให้ด้วยท่าทีสุภาพ ไม่รู้ว่านี่เป็นผลที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับแขดรุณ หรือว่าเขาเป็นของเขาแบบนี้อยู่แล้วจึงได้ทำงานกับแขดรุณ ไว้ค่อยถามอีกทีแล้วกัน

“น้องแจ้วกินอะไรดี”

จิลลาตอบทันที “เดี๋ยวขอแจ้วดูเมนูก่อนค่ะ พี่ตุลสั่งก่อนเลย”

จิลลาบอกแล้วเดินเข้าไปยืนในตำแหน่งที่จะเห็นเมนูต่างๆ ที่ติดอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ได้สะดวก พอเลือกได้แล้วจึงไปเข้าแถว สั่งเครื่องดื่มของตนเมื่อถึงคิว ทว่าจังหวะที่เธอจะจ่ายเงิน ตุลธรที่มาจากไหนไม่รู้ก็เข้ามาใช้บัตร… เดาว่าน่าจะเป็นบัตรพนักงานเพราะเห็นโลโก้ของทีจีแอลแวบๆ บนบัตร เขาแตะบัตรลงไปที่เครื่องสแกน พอจิลลาหันไปมองหน้าก็โบกบัตรในมือไปมาพลางบอก

“บัตรคุณแคลร์ นี่พี่ว่าจะสั่งอีกสี่ห้าแก้วเอาเก็บไว้กินวันต่อๆ ไป”

จิลลาขำอีกแล้ว ขณะมายืนรอเครื่องดื่มอีกทางก็พูดไปอย่างที่ใจคิด “คุณแคลร์คงชอบให้พี่ตุลมารับหน้าแขกนะคะ”

ตุลธรพยักหน้า “ใช่ พี่คุยสนุก”

เขาเป็นคนไม่ถ่อมตัวจริงๆ…

“แล้วก็มีเสน่ห์”

อีกนิดน่าจะเข้าข่ายหลงตัวเองแล้ว…

“เหมาะจะเป็นทูตนะ เสียดายไม่เก่งภาษา ไม่งั้นเราคงไม่ได้เจอกันหรอก”

จิลลายิ้มขำ ถ้าสนิทกับตุลธรมากกว่านี้เธอจะแซวเขาไปว่าเลยกลายเป็นโชคร้ายของเธอที่ต้องมาเจอกัน แต่พอไม่สนิทเธอเลยทำได้แค่ยิ้ม ทว่าตุลธรชี้หน้า ทำหน้ารู้ทัน

“คิดอะไร… หน้าร้ายแบบนี้คิดไม่ดีแน่”

จิลลาเลิกคิ้ว เธออุตส่าห์มีกำแพงว่าไม่สนิทกับเขา แต่ดูเขาไม่มีกำแพงกับเธอเลย อยู่ๆ มาหาว่าเธอหน้าร้าย

“นอกจากคุยสนุก มีเสน่ห์แล้ว พี่อ่านคนเก่งมากด้วย บอกมาว่าตะกี้คิดอะไรในใจ”

เอาเถอะ ถ้าอยากรู้ก็จะบอก “แจ้วแค่เสียดายที่พี่ตุลไม่ได้เป็นทูตค่ะ”

ตุลธรทำหน้านิ่ว ครุ่นคิดอยู่ครู่จึงพูดออกมา “เราเลยได้เจอกันสินะ”

คราวนี้จิลลาตอบทันทีไม่มีกั๊ก “ค่ะ แจ้วคงโชคร้ายไปหน่อย”

ขนาดจิลลาพูดด้วยหน้าตาจริงจัง ทว่าตุลธรก็ยังหัวเราะร่วน เป็นคนเอื้อมมือไปหยิบเครื่องดื่มของเธอให้แล้วออกเดินนำไปนั่งโต๊ะตรงมุมหนึ่ง จนเธอนั่งเรียบร้อยแล้วจึงค่อยวางแก้วเครื่องดื่มลงตรงหน้า พึมพำเบาๆ พอให้เธอได้ยิน

“ร้ายจริงๆ”

จิลลาไม่ตอบคำใด ได้แต่งับหลอดดูดเครื่องดื่มเข้าปากพร้อมกับยิ้ม จิลลาโตมากับป้าที่ออกจะเรียบร้อยอยู่มากต่อให้เทียบกับคนยุคเดียวกัน แต่เธอมีป้าศรีอีกคน และเรื่อง ‘ร้าย’ นี่ ศรีฝึกสกิลให้เธอไว้ไม่ใช่น้อยเลย

 

แขดรุณมาแล้ว… เดินมาพร้อมนิชฌาน เห็นท่าทางการเดินแล้วจิลลารู้สึกดี เพราะการก้าวฉับๆ ท่าทางบอกชัดว่าเร่งรีบทำให้รู้ว่าอย่างน้อยแขดรุณก็ไม่ได้วางเฉยที่มาช้ากว่าเวลานัดไปเกือบสิบห้านาที

จิลลาลุกยืน พอแขดรุณกับนิชฌานมาใกล้ก็ยกมือสวัสดี ไม่ทันได้พูดอะไรแขดรุณก็พูดมาก่อน

“ขอโทษนะคะคุณแจ้ว ให้คุณแจ้วรอสองวันติดแล้วเนี่ย แคลร์ต้องกลายเป็นคนไม่รักษาเวลาในสายตาคุณแจ้วไปแล้วแน่ๆ”

“ก็คุณงานเยอะ”

นั่นเป็นคำค้านเบาๆ จากนิชฌาน จิลลาฟังแล้วรู้สึก… แหม ที่ว่านิชฌานรักและหลงแขดรุณมากน่าจะจริง แต่อีกนั่นแหละ ประเด็นดราม่าที่เธอไม่รู้ว่าจะมีจังหวะได้ถามไหม ข่าวอีกทางก็ว่าต้องรักและหลงมากสิ เพราะแขดรุณร่ำรวยขนาดนี้ ขณะที่นิชฌานเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ ทิวา ปู่ของแขดรุณดูแลมาตั้งแต่เด็ก บ้างว่านิชฌานมีทรัพย์สินของตัวเองแต่ไม่ได้สักกระผีกของทรัพย์สินแขดรุณ บ้างว่านิชฌานมีแต่ตัว

ปกติจิลลาไม่ชอบยุ่งเรื่องในมุ้งของคนอื่น แต่ทางเดอะคอนเทนิกขอมาว่าให้ถามถึงประเด็นนี้สักหน่อย ให้มีเขียนในบทความสักสองบรรทัดก็ยังดี… จิลลาเกือบขำ นึกถึงประโยคที่ว่าเธอมาอยู่ตรงก็เพื่อเงินของตุลธรขึ้นมาทันที แล้วพอเห็นว่าแขดรุณยังมีสีหน้าไม่สบายใจ จิลลาก็รีบพูด “ไม่เป็นไรค่ะคุณแคลร์ แจ้วเข้าใจว่างานคุณแคลร์แต่ละงานมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ ได้จิบกาแฟรวบรวมสมาธิก่อนก็ดีกับแจ้วด้วยค่ะ”

แขดรุณยิ้มกว้าง เข้าไปควงแขนจิลลาเอาไว้แล้วพาออกเดินพลางพูด “งั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา… ยินดีต้อนรับคุณแจ้วสู่ทีจีแอลบิลดิ้งค่ะ”

สองสาวเดินห่างไปราวสามก้าว สองหนุ่มที่อยู่ด้านหลังจึงออกเดินตาม ตุลธรหันไปกระซิบกับนิชฌานเบาๆ

“เหมือนจริง”

นิชฌานหันมองหน้าตุลธร รู้ทันทีว่านั่นหมายความว่าอย่างไร เขาเล่าให้ตุลธรฟังเรื่องทักจิลลาผิดเพราะด้านหลังของจิลลาเหมือนแขดรุณมาก ความสูง ทรวดทรง ไม่ทันได้พูดอะไรตุลธรก็บอกมาอีก

“ไม่แปลกใจหรอกที่ฌานทักผิด ถ้าพี่ไม่ได้เพิ่งแยกจากคุณแคลร์มาก็คงทักผิดเหมือนกัน”

นิชฌานพยักหน้าแล้วเงียบไป ได้แต่ทอดสายตามองสาวสาวข้างหน้าที่เดินคุยกันท่าทีกระหนุงกระหนิงขณะคิดในใจ แม้โครงสร้างรูปร่างจะเหมือนกันทว่าใบหน้านั้นไปคนละทาง แขดรุณนั้นตาโตหน้าสวยคมเฉี่ยวเพราะมีเชื้อแขกขาวมาจากรุ่นทวด ทว่าใบหน้าของจิลลาออกไปทางจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนอาหมวยที่มักดูเด็กกว่าอายุตลอดเวลา

ดีแล้วที่ไม่เหมือน… แบบแขดรุณ นิชฌานขอให้มีแค่คนเดียวในโลกพอ

 

หลังอยู่กับแขดรุณทั้งวัน จิลลาก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมทีจีแอลถึงให้แขดรุณรับตำแหน่งผู้บริหารทั้งๆ ที่อายุเพียงสามสิบสามปี อีกทั้งยังเป็นผู้หญิง จริงอยู่ว่าทุกวันนี้หลายๆ คนต่างพร่ำบอกว่าทุกเพศเท่าเทียมกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะมีสักกี่องค์กรที่จะทำได้ตามนั้น คนที่จะขึ้นมาเป็นหัวแถวได้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นผู้ชายอยู่

แขดรุณทำงานรวดเร็ว ฉับไว เด็ดขาด คนที่เข้ามารายงานหรือพูดกับแขดรุณจะต้องไม่มีคำว่าไม่แน่ใจ อาจจะ ยังไม่ทราบ หรือคำใดก็ตามที่แสดงว่าไม่มีคำตอบให้ แต่ถึงจะดูดุ ยามที่ไม่ได้คุยเรื่องงานจิลลาก็เห็นว่าทุกคนยิ้มแย้มกับแขดรุณ ดูมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

นับตั้งแต่แขดรุณทำงานกับทีจีแอลมา มีโครงการใหญ่ที่ทำสำเร็จรวมทั้งสิ้นสามโครงการ เริ่มตั้งแต่การริเริ่มสร้างคอนโดมิเนียมสำหรับพักอาศัยระดับไฮเอนด์ โดยใช้นักออกแบบระดับโลกทำงานร่วมกับนักออกแบบชั้นนำของเมืองไทย จิลลาชอบแนวคิดของแขดรุณว่าไม่ได้ต้องการทำคอนโดมิเนียมที่สวยโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังต้องการพัฒนาศักยภาพของนักออกแบบบ้านเราอีกด้วย เพราะโอกาสจะได้ทำงานร่วมกับนักออกแบบระดับโลกไม่ได้มีบ่อยนัก ในขณะเดียวกัน นักออกแบบจากต่างประเทศก็อาจยังไม่เข้าใจพฤติกรรมของคนไทยเท่าคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นการทำงานร่วมกันครั้งนี้จึงส่งผลดีต่อทุกฝ่าย และแนวคิดของแขดรุณที่ว่านั้น เจ้าตัวบอกว่าต่อยอดมาจากการอยากให้นักออกแบบไทยทำงานร่วมกับนักออกแบบระดับโลกของนิชฌาน

ต่อมาจึงริเริ่มโครงการคอนโดมิเนียมที่ให้เพียงพื้นที่เปล่า สิ่งที่โครงการมีให้คือโครงสร้างและระบบสาธารณูปโภคที่พร้อมสรรพ ให้พื้นที่กว้างขวาง เพียงพอต่อการแบ่งสัดส่วนการใช้งานราวกับบ้านหลังหนึ่งเลยทีเดียว เป็นงานใหญ่ที่ต่อยอดมาจากงานเล็กๆ คือแขดรุณไปซื้อที่ดินผืนหนึ่งซึ่งมีโกดังเก่าๆ รวมอยู่ด้วย ตั้งใจจะพัฒนาให้เป็นคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ ด้วยทำเลที่อยู่ไม่ไกลจากถนนสายเอเชีย คิดว่ามีศักยภาพพอจะทำเป็นจุดแวะพักได้ นิชฌานเห็นว่าโกดังยังสภาพดี จึงเสนอว่าน่าจะใช้โครงสร้างนี้ต่อได้ แขดรุณนำไปคุยกับนักออกแบบก็พบว่ามันใช้ได้จริงๆ ทำให้ประหยัดค่าก่อสร้างไปได้มาก ทั้งผลงานยังออกมาดูดิบ เท่ จิลลาซึ่งเคยไปเยือนที่นั่นมาแล้วก่อนรู้ว่าเป็นของแขดรุณยังชอบ โครงการจุดแวะพักนี้ทำกำไรให้แขดรุณได้หลักสิบล้านต่อปี ทว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ต่อยอดมาทำได้ดีกว่านั้นมาก เพราะแค่ยูนิตเดียวในขนาดร้อยตารางเมตรราคาขายก็ตกอยู่ที่สี่สิบล้านบาท แล้วยังมียูนิตขนาดสองร้อยตารางเมตรที่ราคาสูงขึ้นไปอีก

โครงการใหญ่โครงการสุดท้าย คือการขยายงานของทีจีแอลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และล่าสุดมีข้ามทวีปไปเรียบร้อยแล้ว แขดรุณเป็นคนบุกเบิกด้านนี้อย่างจริงจัง ในระยะแรกถึงกับต้องทำทุกอย่างคนเดียว หาข้อมูลคนเดียว คิดกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อเขียนโครงการให้บอร์ดพิจารณา จนที่สุดก็เป็นรูปเป็นร่าง เรียกได้ว่าตอนนี้ต่อให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีปัญหา ก็อาจไม่กระทบทีจีแอลมากนักเพราะมีตลาดต่างประเทศคอยช่วยพยุง

อันที่จริงทีจีแอลเป็นบริษัทที่ลงทุนด้านอสังหาฯ ในต่างจังหวัดค่อนข้างมากอยู่แล้วเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ประโยคของนิชฌานที่ว่าทำไมเราไม่ลองหาตลาดต่างประเทศดู สร้างแรงบันดาลใจให้แขดรุณบุกเบิกด้านนี้

อาจพูดได้ว่าทุกความสำเร็จของแขดรุณมีนิชฌานอยู่เบื้องหลังเสมอ จิลลาสรุปได้ใจความอย่างนั้น

ถ้าแบบนั้น… ข่าวลือที่ว่านิชฌานไม่ได้ทำอะไรนอกจากเกาะแขดรุณกินไปวันๆ ก็ไม่ใช่เรื่องจริงสินะ

แต่… วันนี้ทั้งวัน นอกจากติดตามแขดรุณแล้วเธอไม่เห็นนิชฌานทำงาน แต่ก็เป็นไปได้อีกว่าวันนี้เขาหยุดเพื่ออยู่ให้กำลังใจภรรยาก็เป็นได้

จิลลาถอนใจยาว หมุนรถตัวเองตามรถยุโรปของแขดรุณเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่ากำลังจะนอนค้างคืนนอกบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี และตื่นเต้นมากขึ้นอีกนิดหน่อยเพราะมื้อเย็นวันนี้เธอจะได้ร่วมวงรับประทานอาหารกับทิวา ปู่ของแขดรุณ ซึ่งพูดได้ว่าเป็นผู้ที่ทำให้ทีจีแอลมีรากฐานมั่นคง ให้แขดรุณมาต่อยอดได้อย่างงดงามเช่นในทุกวันนี้

ทิวาค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยออกสื่อ ออกงานสังคม เพราะจะมีกรรมการบริหารอีกชุดทำหน้าที่นั้นให้ แต่เท่าที่จิลลาสืบข้อมูลจากวงนอกวงในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทิวาเป็นที่ยอมรับในด้านความเก่งกาจ และยังยึดมั่นในความถูกต้อง ทุกโครงการของเขาจะต้องทำตามกฎระเบียบขั้นตอน ชนิดไม่มีทางโดนใครนำข้อผิดพลาดมาเล่นงานย้อนหลังได้อย่างแน่นอน ความสามารถของทิวานั้นยังเป็นที่ยอมรับในวงการอื่นๆ ปัจจุบันเห็นว่าทิวามีรายชื่อเป็นบอร์ดของบริษัทอื่นอีกเกือบสิบบริษัท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทมหาชนชั้นนำทั้งสิ้น ขนาดว่าอายุแปดสิบห้าปีเข้าไปแล้ว

แต่จิลลาไม่รู้เลยว่านิสัยส่วนตัวของทิวาเป็นคนอย่างไร เรียกว่าเขาทำตัวโลว์โพรไฟล์อย่างแท้จริง เลยอดจะตื่นเต้นไม่ได้ กลัวว่าหากเขาเป็นคนเข้มงวดขึ้นมาแล้วเธอทำอะไรไม่ถูกใจจะกลายเป็นปัญหาให้เดอะคอนเทนิกไป เรื่องมารยาทพื้นฐานจิลลาไม่กลัวเท่าไรนัก เพราะนลินเป็นครูในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องมารยาท ป้าสอนไว้เยอะอยู่ ส่วนวิธีการเข้าสังคมขั้นที่สูงขึ้นไปอย่างพวกมารยาทบนโต๊ะอาหารแบบฟูลคอร์ส งานกาล่า งานค็อกเทล เธอได้วรรณวลีช่วยแนะนำอยู่เนืองๆ หากจำเป็นต้องไปทำงานในสถานการณ์นั้นๆ จึงพอมีความรู้สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ มื้อเย็นที่ว่านี้ไม่ใช่กาล่า ไม่ใช่ค็อกเทลหรือแม้แต่บุฟเฟต์ ไม่รู้ว่าบ้านกัญจน์ธรามีธรรมเนียมอะไรไม่เหมือนบ้านอื่นหรือเปล่า

ดังนั้นพอลงจากรถ เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับแขดรุณ นิชฌาน และตุลธรที่ยืนรออยู่ จิลลาจึงเอ่ยปากถาม

“คุณปู่ของคุณแคลร์ดุไหมคะ”

แขดรุณนิ่งไปนิด ก่อนอมยิ้ม ตอบชัดถ้อยชัดคำ “ดุมากค่ะ”

จิลลาตอบกลับทันทีทีเล่นทีจริง “ถ้างั้นขอเซ็นสัญญาก่อนได้ไหมคะว่าหลังจากนี้ไปคือหมดเวลางานแล้ว ถ้าแจ้วทำอะไรให้ไม่พอใจจะไม่เกี่ยวกับเดอะคอนเทนิก”

แขดรุณถึงกับหัวเราะ คว้าแขนจิลลามาควงเดินเข้าบ้าน ทิ้งสองหนุ่มไว้เบื้องหลัง จิลลาเองพอถอดรองเท้าแล้วก็เลิ่กลั่กเล็กน้อยเพราะมีคนมาเก็บรองเท้าเธอแล้วเดินหายไป ไม่ใช่เอาไปวางไว้ที่ชั้นวางรองเท้าแต่อย่างใด แขดรุณสังเกตเห็นอาการนั้นจึงบอกให้เบาใจ

“เอาไปฆ่าเชื้อค่ะ ก่อนจะเก็บรองเท้าเข้าชั้นจะต้องเอาไปอบยูวีฆ่าเชื้อก่อน ปู่อายุเยอะแล้ว แคลร์อยากให้ระวังเรื่องเชื้อโรคมากหน่อย”

อ้อ… จิลลาพยายามจะไม่ทำหน้าทึ่ง พร้อมกันนั้นก็ชักอยากเอาไปทำที่บ้านบ้างเพื่อประโยชน์ของนลิน ตอนนี้นลินอาจไม่ต้องระวังเรื่องเชื้อโรคมากนัก แต่ต่อไป… จิลลาพยายามไม่คิดถึงป้าในตอนนี้ เพราะมันจะทำให้เธออยากโทรหาศรี แต่ขอแยกตัวไปโทรเลยก็คงไม่เหมาะ เพราะเห็นแล้วว่าแขดรุณกำลังพาเธอไปหาทิวาที่นั่งยิ้มรออยู่ที่โซฟาในห้องโถง

“แคลร์กลับมาแล้วค่ะ พาเด็กมาให้ปู่แกล้งด้วยหนึ่งคน แคลร์บอกไปเรียบร้อยแล้วว่าปู่แคลร์ดุมากๆๆ”

ทิวาหัวเราะ ซึ่งนั่นทำให้จิลลาพอจะเบาใจได้ จากลักษณะท่าทางที่เห็นทิวาดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีอย่างมาก หญิงสาวยกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดี ยิ้มกว้างตอนอีกฝ่ายถามมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“เป็นไงวันนี้ ตามแคลร์ไปทำงาน ปวดหัวมากไหม”

“สนุกดีค่ะ คุณแคลร์เก่งมากเลย”

รอยยิ้มบนใบหน้าทิวาปรากฏความภูมิใจชัดเจนไม่คิดปิดบัง หันไปทางหลานสาวตนแล้วบอก “เก่งเหมือนพ่อเขา… หิวกันหรือยัง ตั้งโต๊ะกันเลยไหม”

แขดรุณส่ายหน้า รีบบอก “แคลร์ถามคุณแจ้วแล้ว กินข้าวเย็นตอนทุ่มหนึ่งเหมือนกันค่ะ จัดโต๊ะตามเวลาปกติของเราดีกว่า เดี๋ยวแคลร์ขอพาคุณแจ้วไปเก็บของที่ห้องก่อนนะคะ”

จิลลาจึงรีบบอกทิวา “ยังไงแจ้วรบกวนหนึ่งคืนนะคะ”

ทิวาพยักหน้า รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า “ตามสบายนะ ขาดเหลืออะไรบอกแคลร์ไปเลย หรือบอกเด็กคนไหนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”

จิลลายกมือไหว้ทิวาเพื่อขอบคุณ แล้วเดินตามแรงรั้งของแขดรุณไป ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ

“เป็นไงคะ ดุมากเลยใช่ไหม ปู่ของแคลร์”

จิลลาเพียงยิ้ม ขณะแขดรุณหัวเราะเสียงใส เปลี่ยนจากเกาะแขนเป็นโอบเอว พาเดินขึ้นไปจนถึงชั้นสองแล้วค่อยบอก

“ปู่ของแคลร์ใจดีที่สุดค่ะ ปู่แคลร์มีหลานสามคน แต่ปู่รักแคลร์ที่สุดนะคะ”

วันนี้จิลลาเจอหลานอีกสองคนของทิวาแล้ว ทางนั้นเข้ามาหาแขดรุณ แต่พอรู้ว่าแขดรุณอยู่กับเธอก็เพียงหันมามองให้เธอได้ยกมือไหว้ แล้วพากันออกไป เป็นชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง น่าจะแก่กว่าแขดรุณไม่เท่าไร เธอรู้แค่ทั้งสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องของแขดรุณ ยังไม่รู้ชื่อ แต่คิดว่าถ้าบอกคงนึกออกเพราะเธออ่านรายชื่อกรรมการผู้จัดการของทีจีแอลแล้ว แม้ไม่ถึงขนาดจำขึ้นใจแต่ถ้าได้ยินคนชื่อเดียวกันก็ต้องนึกออกแน่… นอกเสียจากว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้เป็นกรรมการผู้จัดการของทีจีแอล

แขดรุณพาจิลลามาหยุดที่ห้องห้องหนึ่ง เปิดประตูให้แล้วบอก “ตอนนี้คุณแจ้วพักผ่อนห้องนี้ก่อนนะคะ หรือถ้าอยากออกไปเดินเล่นก็ตามสบายเลยค่ะ… ปกติคุณแจ้วออกกำลังกายตอนเย็นไหมคะ”

จิลลาพยักหน้า “มีบ้างค่ะ”

“งั้นอยากว่ายน้ำ หรือเข้ายิมไหมคะ แคลร์กับชาร์ลแล้วก็พี่ตุลชอบออกกำลังกายค่ะ ที่บ้านเลยมีทุกอย่างเลย ซาวน่าก็มีนะคะ”

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ วันนี้วันพักด้วย แจ้วว่าจะยืดนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ”

แขดรุณยิ้มกว้าง สีหน้าบอกว่าเข้าใจที่พูดอย่างคนออกกำลังกายจริงๆ ว่าในหนึ่งสัปดาห์ต้องมีวันพักผ่อนให้ร่างกายได้ฟื้นฟูตัวเองบ้าง บอกจิลลา “เดี๋ยวแคลร์ให้คนมาตามตอนมื้อเย็นนะคะ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ตามสบาย หลังมื้อเย็นแล้วเราค่อยไปเม้าท์ที่ห้องแคลร์”

จิลลาตอบรับพร้อมรอยยิ้ม หลังได้อยู่ลำพังในห้องก็รีบทำสิ่งที่อยากทำคือโทรหาศรี ถามทันทีที่อีกฝั่งรับสาย “เป็นไงบ้างป้าศรี”

“ปกติทุกอย่าง นี่ข้ากำลังจะทำกับข้าว แล้วเอ็งล่ะ เป็นไง”

“ก็ดีแหละ วันนี้ก็ได้งาน ได้ไอเดียอะไรเยอะดี คืนนี้ก็คงเก็บข้อมูลได้อีกเพียบ”

“ดีๆ ข้าวางก่อนโว้ย ทำกับข้าวไม่ถนัดเลย”

“แหม ตอนนั้นแจ้วจะซื้อหูฟังให้ก็ไม่เอา”

“วุ้ย ข้าไม่ชอบเอาอะไรมายัดหูนี่หว่า”

“งั้นป้าศรีก็เอาโทรศัพท์หนีบไว้ที่หูสิ คุยไปทำกับข้าวไปแค่นี้เอง ไม่เห็นยากเลย” ตามคาด จบประโยคนั้นจิลลาก็ยิ้มขำเพราะได้ยินเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมาจากทางปลายสาย

“นังแจ้วววว นี่ถ้าเอ็งอยู่ใกล้ๆ นะ ข้าจะเอากรรไกรหนีบหูเอ็งให้ขาด ข้าไม่คุยแล้ว”

แล้วปลายสายก็ตัดไปทันทีไม่อยู่รอให้เธอป่วนอารมณ์ต่อ จิลลาหัวเราะเบาๆ วางโทรศัพท์ไว้บนเตียงแล้วเริ่มตรวจข้าวของสำหรับค้างแรมของตนว่านำมาครบหรือไม่ ขณะกำลังอาบน้ำชำระล้างร่างกายจิลลาก็อดคิดอยู่ในใจไม่ได้… แขดรุณอยากคุยกับเธอเรื่องอะไรกันนะ

 

มันคือบทความที่เพียงอ่านแค่วรรคแรกเธอก็จำได้… จิลลาเขียนบทความมาเกินร้อย บอกตรงๆ ว่าบางบทความเธอก็มีเลือนๆ เนื้อหาไปบ้าง ต้องอ่านไปสักพักถึงจะระลึกได้ขึ้นมาว่า อ้อ อันนี้เธอเขียนเอง แต่ไม่ใช่กับบทความนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่บทความที่เธอจำรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ จำได้กระทั่งบทสัมภาษณ์ที่ไม่ได้เขียนลงในเนื้อหาด้วยซ้ำ งานชิ้นนี้เป็นผลงานที่เผยแพร่สู่สาธารณชนเมื่อวันที่ยี่สิบห้า เดือนพฤศจิกายนปีก่อน วันนั้นเป็นวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงสากล แต่เธอเริ่มทำสัมภาษณ์นี้สักราวสามเดือนก่อนหน้านั้น

เธอตามสัมภาษณ์ผู้หญิงสิบคนที่เคยประสบปัญหาความรุนแรงทั้งทางเพศ กาย ใจ แต่สามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ อันที่จริงแล้วเป็นบทสัมภาษณ์ที่เธอแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากติดต่อไปในเบื้องต้น เธอร่างจดหมายอธิบายจุดประสงค์ของการสัมภาษณ์ ว่าต้องการให้คนในสังคมตระหนักถึงความรุนแรง และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ที่ได้รับความรุนแรงเปลี่ยนแนวคิดที่ว่าตัวเองเป็นเหยื่อ แต่ให้เปลี่ยนคำเรียกจากเหยื่อเป็นผู้อยู่รอด เพียงเท่านี้แหล่งข้อมูลของเธอทั้งสิบคนก็ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ และใช่ มันให้แรงบันดาลใจหลายๆ อย่างกับเธอด้วย จึงทำบทสัมภาษณ์นั้นอย่างดีที่สุด เธออยากให้กำลังใจผู้ที่ถูกกระทำทุกคน อยากส่งสารออกไปว่ามันไม่ใช่ความผิดเขาเหล่านั้น ไม่ควรต้องอับอายหรือโทษตัวเอง เธออยากให้คนที่เคยผ่านเรื่องเลวร้ายไม่ว่าชายหรือหญิงมีกำลังใจแกร่งกล้าก้าวผ่านความบอบช้ำทั้งหลายทั้งปวงให้ได้ เขาเหล่านั้นไม่ควรต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด จะดีที่สุดถ้าเรื่องเลวร้ายนั้นไม่สามารถทำร้ายจิตใจผู้อยู่รอดได้อีก และจะดียิ่งกว่าดีที่สุดถ้าจะออกมาบอกเล่าประสบการณ์ของตน จิลลาไม่ได้คิดว่าอยากให้ผู้อยู่รอดออกมาบอกเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นหรอก เธอไม่ได้คิดดีขนาดนั้น เธออยากให้ผู้อยู่รอดออกมาบอกเพราะอยากให้ความจริงย้อนกลับไปทำร้ายคนที่ก่อความรุนแรงต่างหาก พวกนั้นไม่ควรอยู่ดีมีสุขลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมเหมือนตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร

“แคลร์อ่านบทความนี้แล้วชอบมากค่ะ พอทางทีจีแอลบอกว่าอยากให้มีสกู๊ปของแคลร์ แคลร์คิดเลยว่าต้องเป็นคุณแจ้วเท่านั้น”

จิลลายิ้มกว้าง หลังจากคุยสัพเพเหระกันมาเกือบสองชั่วโมงจนจิลลาคิดว่าเธออาจจะหลับในอีกไม่กี่นาทีนี้ ด้วยตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว และเครื่องปรับอากาศห้องนี้ก็ทำงานดีเยี่ยม เย็นสม่ำเสมอแถมเงียบกริบ ไม่ครางกระหึ่มแบบตัวที่อยู่ในห้องนอนเธอ แขดรุณคงสังเกตเห็นตาปรือๆ ของเธอเลยลุกไปหยิบบทความที่พิมพ์ลงในกระดาษเรียบร้อยแล้วมาส่งให้ ตามด้วยประโยคนั้น จิลลาตอบกลับ “ดีใจที่คุณแคลร์ชอบค่ะ นี่เป็นบทความที่แจ้วรักมาก พรินต์ใส่กรอบติดผนังห้องเลยค่ะ”

แขดรุณเบิกตากว้าง ก่อนหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะนำแล้วบอกมา

“ล้อเล่นค่ะ แต่แจ้วเก็บต้นฉบับบทความนี้ไว้ในทุกที่ที่แจ้วจะเข้าถึงได้ง่าย คอมฯ มือถือ คลาวด์สโตเรจ แจ้วอยากอ่านมันได้ทุกที่ที่อยากอ่านค่ะ”

แขดรุณพยักหน้ารับ จ้องหน้าจิลลาอยู่ครู่ แล้วบอกด้วยหน้าตาจริงจังเมื่อเห็นว่าจิลลาโฟกัสเธอมากพอแล้ว “จริงๆ แคลร์มีอีกงานให้คุณแจ้วค่ะ”

จิลลาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ สัมผัสถึงความมุ่งมั่นของแขดรุณจนรู้สึกว่าออกจะผิดปกติไปสักหน่อย “งานอะไรเหรอคะ”

“เขียนหนังสืองานศพให้แคลร์ค่ะ”

คราวนี้จากที่เลิกคิ้ว กลายเป็นว่าจิลลาตาเหลือกเลยทีเดียว “อะไรนะคะ”

“หนังสืองานศพค่ะ” ทิ้งช่วงอีกครู่หน้าจิลลาก็ยังทำเหมือนไม่เชื่อ แขดรุณเลยต้องย้ำ “แคลร์พูดจริงนะคะ แต่แคลร์ก็ยังไม่คิดจะตายตอนนี้หรอกค่ะ”

จิลลายังไม่ทันตอบคำใด แขดรุณก็ลุกจากเตียง เดินไปยังตู้ใบใหญ่ใบหนึ่ง ก่อนกลับมาพร้อมตู้เซฟใบเล็ก ขนาดใหญ่กว่ากล่องรองเท้าสักเล็กน้อย นำตู้เซฟใบนั้นวางลงตรงหน้าจิลลา

“ข้อมูลทั้งหมดของแคลร์อยู่ในตู้เซฟใบนี้ค่ะ… แคลร์ไม่อยากให้ใครรู้ เราเอาไปเก็บที่รถคุณแจ้วตอนนี้เลยได้ไหมคะ”

จิลลามึนงงอยู่พักกว่าจะเข้าใจ ถ้าพรุ่งนี้เธอเดินลงไปพร้อมเซฟ อาจมีคนเห็นและอาจมีคนถามว่ามันคืออะไร แต่ใช่ว่าเข้าใจเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด จิลลายังสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าแขดรุณต้องการอะไรกันแน่ กระนั้นก็พยักหน้ารับ ลุกขึ้นไปหยิบกุญแจรถตนแล้วเดินเคียงแขดรุณไปที่รถ ระหว่างทางตั้งแต่ออกจากห้องจนกลับเข้าห้องอีกครั้งเต็มไปด้วยความสงบเงียบ แขดรุณเงียบกริบ จิลลาก็ไม่กล้าพูดอะไร กระทั่งมาอยู่ด้วยกันสองคนในห้องอีกครั้ง แขดรุณรั้งจิลลามานั่งลงบนเตียง พูดเสียงเบา

“หลังจากแคลร์ตาย จะมีชื่อคุณแจ้วอยู่ในพินัยกรรมค่ะ คุณแจ้วจะได้รับวิธีเปิดเซฟ แล้วก็เงินสดหนึ่งล้านบาทเป็นค่าจ้างสำหรับงานนี้ แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะคะ แคลร์ให้คำนวณอัตราเงินเฟ้อไว้ด้วย ไม่มีทางที่หนึ่งล้านบาทจะเหลือค่าแค่สิบบาทตอนคุณแจ้วทำงานนี้ แคลร์อยากให้คุณแจ้วทำให้ดีที่สุด แคลร์ไม่สนว่าต้นฉบับจะหนาบางมากน้อยแค่ไหน แล้วแต่คุณแจ้วตัดสินใจ ทางทนายของแคลร์จะจัดการเรื่องการพิมพ์หนังสือให้”

จิลลานิ่วหน้า ถามแขดรุณเพื่อความแน่ใจ “ไม่คิดว่ามีคนอื่นทำงานนี้ได้ดีกว่าแจ้วเหรอคะ”

แขดรุณส่ายหน้า สีหน้ามั่นใจ “ไม่มีค่ะ แคลร์เชื่อว่าคุณแจ้วจะทำได้ถูกใจแคลร์ที่สุด”

สีหน้าจิลลายังกังวล “คุณแคลร์ไม่มีทางรู้หรอกค่ะ”

แขดรุณหรี่ตา สีหน้ามาดร้าย “รู้ค่ะ ถ้าคุณแจ้วไม่ทำ ทำไม่ดี ไม่ตั้งใจทำ แคลร์จะรู้ และแคลร์เป็นคนอาฆาตแรงมาก แคลร์จะตามหลอกหลอนคุณแจ้วทุกวัน… ทุกคืน… คุณแจ้วจะอยู่ไม่สุขจนต้องตายตามแคลร์ภายในสามเดือนค่ะ”

จิลลาถึงกลับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เธอว่าเธอเริ่มกลัวแขดรุณนิดๆ ทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนยังไม่ตาย กำลังคิดว่าคืนนี้ขอไปนอนอีกห้องดีไหม ก็พอดีกับที่แขดรุณหัวเราะ เอื้อมมือมาหยิกแก้มเธอเบาๆ

“คุณแจ้วตลกจัง น่าแกล้งขนาดนี้สงสัยจะโดนแกล้งบ่อยๆ นะคะ”

จิลลาคิดแป๊บเดียวก็หัวเราะ ส่ายหน้าไปมา “ไม่ค่ะ แจ้วสู้คน ใครแกล้งแจ้วแจ้วฟาดกลับตลอดเลย”

สีหน้าของแขดรุณดูสมอกสมใจ “ค่ะ แคลร์ก็ว่าแบบนั้น… เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คิดว่าคุณแจ้วน่าจะทำงานให้แคลร์ได้ดีที่สุด”

จิลลายิ้ม สบายใจที่จะตกปากรับคำทำงานนี้ให้แขดรุณขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทว่าหนึ่งความคิดแวบเข้ามาในหัว “ว่าแต่… ถ้าแจ้วตายก่อนคุณแคลร์ล่ะคะ”

แขดรุณทำสีหน้าที่บอกชัดว่าไม่เคยคิดถึงเงื่อนไขนั้นเลย คิดอยู่ครู่ก็บอกไป “แคลร์คงจะเสียดาย แล้วก็คงขอเซฟคืนค่ะ คุณแจ้วทำเอกสารติดหน้าเซฟไว้นะคะ ว่าเซฟนี้เป็นสมบัติของแคลร์”

ก็ถือเป็นทางออกที่ดี “ได้ค่ะ เดี๋ยวกลับถึงบ้านแจ้วจะเขียนแปะไว้เลย”

“แต่แคลร์ว่าคุณแจ้วไม่น่าตายก่อนหรอกค่ะ แคลร์กะว่าสักสี่สิบห้าแคลร์ก็ไม่อยู่แล้ว”

หืมมม… จิลลามองหน้าแขดรุณ กึ่งงุนงงกึ่งประหลาดใจ และใช่ เธอตกใจด้วย สี่สิบห้านับว่าเป็นอายุที่ยังน้อยมาก ยิ่งถ้าดูความสมบูรณ์พร้อมของแขดรุณควบคู่กันไปแล้วด้วย เป็นเธอจะอยู่สักร้อยปี ฉับพลันความกังวลหนึ่งก็เข้ามาในหัวของจิลลาจนต้องเอ่ยถาม… “คุณแคลร์ไม่ได้คิดฆ่าตัวตายใช่ไหมคะ”

แขดรุณมองหน้าจิลลา ส่งยิ้มให้ “คุณแจ้วคิดว่าแคลร์เป็นซึมเศร้าเหรอคะ แคลร์บอกเลยว่าไม่ใช่ค่ะ แคลร์แค่ชอบวางแผน และชอบทำตามแผนที่วางไว้ให้ได้ค่ะ แคลร์คิดว่าพอแคลร์สี่สิบ แคลร์คงทำตามแผนที่วางไว้หมดแล้วทั้งเรื่องส่วนตัวเรื่องงาน แคลร์จะเที่ยวรอบโลกต่ออีกสักห้าปี แล้วแคลร์ก็จะไปค่ะ”

จิลลานิ่งเงียบ สัมผัสได้เลยว่าน้ำเสียงและอารมณ์ของแขดรุณมั่นคงมาก ดูมีความสุขมากด้วยซ้ำตอนพูดถึงแผนชีวิตอันแสนสั้นของตน ที่สุดก็ตัดสินใจพูดอีกหนึ่งประโยค “จะมีอะไรเปลี่ยนใจคุณแคลร์ได้ไหมคะ”

“มีค่ะ” แขดรุณตอบทันทีอย่างคนคิดไว้แล้ว “ถ้าตอนแคลร์สี่สิบห้าแล้วปู่ยังอยู่ แคลร์ก็จะอยู่กับปู่ค่ะ”

จิลลายิ้มได้ รู้สึกเชื่อมโยงกับแขดรุณมากขึ้น เธอไม่ได้คิดวางแผนวันตายตัวเองอย่างแขดรุณ แต่เข้าใจเพราะถ้าเป็นเธอ เธอก็จะไม่ยอมตายถ้านลินยังมีชีวิตอยู่ จริงสินะ เธอมีป้าคนเดียว แต่แขดรุณยังมีใครอีกคน “คุณฌานน่าจะไม่ยอมนะคะ ดูเขารักคุณแคลร์มาก”

แขดรุณหัวเราะ “ชาร์ลคงไม่ค้านแคลร์หรอกค่ะ”

มีบางอย่างในน้ำเสียงที่ทำให้จิลลาติดใจ ทว่ากลับต้องเลิกพิเคราะห์ความนัยที่แฝงมากับเสียงนั้น เพราะแขดรุณพูดต่อทันที

“เพราะเขารักแคลร์มาก ไม่ขัดใจแคลร์แน่… ถ้าคุณแจ้วอยากไปนอนห้องเดิมก็ได้นะคะ ยังไงก็ได้ให้คุณแจ้วนอนหลับให้สบายที่สุด พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้าเลย”

ถึงจะรู้สึกขึ้นมาในนาทีนั้นว่าจริงๆ แขดรุณก็ไม่ได้อยากนอนเม้าท์กับเธออย่างที่พูด ทว่าจิลลาก็ใช้เวลาคิดไม่นานในการตอบรับข้อเสนอนั้น เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากนอนกับแขดรุณเช่นกัน เรื่องที่อยากรู้ก็ได้รู้ไปหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ “งั้นแจ้วไปนอนอีกห้องนะคะ แจ้วนอนคนเดียวจนชินแล้วค่ะ”

แขดรุณยิ้ม ลุกจากเตียง “มาค่ะ เดี๋ยวแคลร์ไปส่ง”

จิลลาเดินเคียงแขดรุณไปกระทั่งถึงห้องที่เธอใช้งีบไปเมื่อตอนเย็นก่อนกินข้าว ข้าวของเธอยังเก็บไว้ที่ห้องนี้ พอเข้าห้องแขดรุณก็ส่งเสียง

“ฝันดีค่ะคุณแจ้ว พรุ่งนี้เจอกัน”

“ค่ะ” จิลลาตอบได้เพียงแค่นั้น แขดรุณก็หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง… หญิงสาวปิดประตู เดินไปนั่งบนเตียง แววตาเหม่อลอย…

ใช่สิ จะว่าเธอหัวช้าก็ได้เพราะจนตอนนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เป็นงานที่แปลกที่สุดอย่างที่คิดว่าคงไม่เจออีกแล้วในชีวิตนี้ แต่ที่ทำให้เธอไม่มีปัญหา ไม่คัดค้าน ไม่ซักถามอะไรน่ะคือเงิน ‘หนึ่งล้าน’ ที่จะได้รับต่างหาก ถ้าได้เงินหนึ่งล้านมาเธอจะมีเงินทำบ้านใหม่ให้รองรับอาการของนลินได้ หรือถ้าไม่ทำบ้านก็ยังเก็บไว้เป็นค่ารักษาพยาบาล

เดี๋ยวนะ นี่ถ้าวันสองวันนี้แขดรุณเกิดเสียชีวิตขึ้นมา… เธอจะไม่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยใช่ไหม ถามจริง!

 



Don`t copy text!