
บ่วงเวรา บทที่ 19 : พาลใส่ไคล้ – พยานปากเอก
โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ
บ่วงเวรา นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศ โครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓ โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ กับเรื่องราวของวังวนความรักและความแค้น ความมุ่งมั่นที่จะตอบแทน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สาสม แล้วความรักจะเยียวยาใจแก้ไขความแค้นได้จริงหรือ…อ่านเอาขอเชิญทุกท่านร่วมเพลิดเพลินไปกับนวนิยายพีเรียดสุดเข้มข้นเรื่องนี้ที่ anowl.co
เมื่อเห็นหม่อมฉายเสียรู้ท่านจางวาง นางศรีก็รู้ตัวดีว่าหายนะมาเยือนตนแล้ว หม่อมฉายเจ้านายของตัวเป็นพวกดีเหมือนน้ำคว่ำเหมือนเรือ ยามถูกใจก็ตกรางวัลหนักหนาจุใจ ยามไม่ได้ดั่งใจก็อาละวาดทุบตีบ่าวไพร่ระบายอารมณ์ นางศรีเป็นพี่เลี้ยงที่รองมือรองเท้านายมาแต่เด็กย่อมรู้นิสัยดี นางรู้ดีว่านิสัยนายตัวนั้นหากกริ้วโกรธและชิงชังอย่างที่สุดก็สามารถหมายเอาชีวิตศัตรูคู่อาฆาตได้โดยไม่กลัวบาปกลัวกรรม ใช่! นางไม่กลัวบาปกลัวกรรมจริงๆ นั้นแล้ว เพราะถ้านางกลัวบาปกรรมบ้างสักนิด ท่านออกญาบิดานางคงมีลูกเล็กๆ ไว้อุ้มชูคลายเหงาบ้างแล้ว…คิดไปคิดมานางศรีก็เอะใจว่า หรือเพราะเวรกรรมที่นายตัวขัดขวางไม่ให้เด็กมาเกิด ทำให้จนบัดนี้นายตัวก็ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์อย่างที่หวังไว้สักที
นางศรีคิดเตลิดฟุ้งไปไกลจนเดินมาถึงสวนที่คั่นระหว่างข้างหน้ากับข้างในของวัง ‘ดีนะที่เราหาทางปลีกตัวออกได้ ไม่อย่างนั้นวันนี้คงน่วมไปทั้งตัวแน่’ ศรีนึกชมตนเองที่หาทางปลีกตัวออกมาจากพายุโทสะของเจ้านายมาได้ ข้อดีของนางศรีประการหนึ่งคือ รู้จักหาทางหลบหลีกโทษาจากโทสะนายหญิงของตัวได้ดี วันนี้ก็เช่นนั้น นางศรีทราบว่าพระเยาวราชไม่ได้เข้าไปทรงงานราชการในวังหลวง จึงรีบแจ้งนายตนเองว่า “หม่อมขา วันนี้สมเด็จท่านไม่ได้เสด็จเข้าวังหลวง บ่าวสังเกตมาตลอดว่าหากวันไหนไม่เสด็จไปทรงงานราชการ ตกบ่ายๆ สมเด็จท่านจะเสด็จลงประพาสสวนกับพระชายา นี่ก็หลายวันแล้วที่หม่อมไม่ได้พบสมเด็จท่าน เอาอย่างนี้ไหมเจ้าคะ ให้บ่าวไปลอบดูว่าสมเด็จท่านลงสวนแล้วหรือไม่ ถ้าเสด็จแล้วบ่าวจะรีบมาเรียนหม่อม หม่อมก็แสร้งว่าลงสวนไปเก็บดอกไม้มากรองมาลัย แล้วก็ทำเป็นพะเอิญพบสมเด็จจากนั้นหม่อมก็ค่อยทูลเชิญมาที่เรือนเราดีไหมเจ้าคะ”
เพียงเท่านั้นนางก็รอดจากพายุโทสะมาได้อย่างเฉียดฉิว ปล่อยให้บริวารและบ่าวไพร่คนอื่นๆ ต้องรับเคราะห์ไปแทน ‘ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี เอาตัวเองให้รอดก่อน คนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่างแล้วแต่เวรแต่กรรมของมัน’
แต่แรกนางศรีตั้งใจจะเพียงนั่งพักรอเวลาให้หม่อมฉายคลายโทสะลงแล้วค่อยกลับเรือน แต่ระหว่างนั้นเห็นมาศและผู้หญิงนางหนึ่งแต่งกายอย่างจีนเดินเข้าไปในเขตตำหนักพระชายา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงลอบเดินตามไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเห็นหญิงคนนั้นยื่นห่อกระดาษให้มาศและพูดจากันสองสามคำก่อนเดินจากไป
‘ในห่อน่าจะเป็นเงินทองของมีค่า ที่นางผู้หญิงคนนั้นติดสินบนไอ้ขันทีเป็นแน่ แอบรับสินบาทคาดสินบน พระเยาวราชท่านชังนัก’ ศรีคิดเช่นนั้นแล้วก็วางแผนจะข่มขู่ขอส่วนแบ่งในสิ่งที่ตนเองคิดว่าเป็นสินบน
นางศรีเดินมาขวางมาศ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ในห่อนั่นอะไร เอามาให้ข้าดู”
มาศได้ยินแต่ก็ทำนิ่งเฉย ศรียิ่งขัดเคืองที่มาศไม่สนใจตน จึงตะคอกว่า “อีขันทีวิปริตผิดเพศ กูถามว่าในมือมึงคืออะไร”
มาศชะงัก ใคร่จะหันกลับไปด่าทอต่อว่าคืนให้สาแก่ใจ แต่ก็นึกถึงคำที่ท่านจางวางสอนได้ว่า ‘จงรู้จักระงับความโกรธและให้อภัย เขาโกรธมาเราโกรธตอบเรื่องมันจะยิ่งยาวยุ่งเหยิงไม่รู้จบ’ ระลึกได้มาศก็เร่งเดินห่างออกมา
นางศรีไม่ลดละ เห็นท่าทีของมาศที่เร่งฝีเท้าหนีตน ก็ยิ่งเข้าใจว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้องแล้ว ในห่อนั่นต้องเป็นของมีค่าที่นางคนนั้นติดสินบนเป็นแน่ นางศรีสาวเท้ามาขวางหน้า แล้วยื้อห่อกระดาษนั้นกับมาศ นางศรีคิดว่ามาศต้องหวงแหนของในห่อกระดาษเป็นแน่ จึงยื้อห่อกระดาษสุดแรง ที่ไหนได้มาศมิได้ฝืนแรงถือห่อกระดาษเลย กลับปล่อยออกอย่างง่ายๆ ทำให้นางศรีที่ออกแรงยื้อสุดแรงเสียหลักหงายหลังล้มลง เจ้ากรรมตอนที่ล้มหัวก็ไปกระแทกก้อนหินจนเจาะมีเลือดซึมออกมา
ความเจ็บไม่เท่าความโกรธ นางศรีจึงเอ็ดอึงขึ้นด้วยใจรามา “อีมาศ อีขันที มึงกล้าผลักกูเหรอ”
“ใครผลักหล่อน หล่อนล้มไปเองต่างหาก แก่แล้วมือตีนอ่อน มาเต้นแร้งเต้นกาก็เป็นเช่นนี้ละ” มาศพูดยั่ว
ศรีขัดใจอย่างหนัก ร้องหวีดขึ้นอย่างมีโทสะ “มึงแกล้งกู มึงแกล้งผลักกู กูจะฟ้องให้หม่อมลงโทษมึง”
“ลุกให้รอดก่อนเถิดอีเฒ่า” มาศยื่นหน้าไปเยาะ
“อีศรีมึงเป็นอันใด ใครทำอะไรมึง…” เสียงแหวดแหวของหม่อมฉายดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
“พวกมึงไปช่วยกันพยุงอีศรี” หม่อมฉายสั่งคนของตัว
นางศรีเห็นนายของตัวมาก็นึกยินดี คราวนี้ต้องใส่ไคล้ให้อีขันทีผู้นี้ได้โทษโบยสักยก “หม่อมเจ้าขา ช่วยศรีด้วย อีขันทีนี่มันผลักศรีล้มคะมำเลยเจ้าคะ ศรีเห็นว่ามันเรียกรับสินบนจากคนนอก ศรีจึงขอตรวจดูตอนแรกมันส่งให้ศรี พอศรีหันหลังกลับมันก็ผลักศรีจนล้มเลยเจ้าค่ะ” นางศรีเปลี่ยนเรื่องจากที่ตนเองแย่งของจากมือมาศแล้วหงายหน้า มาเป็นมาศส่งของให้โดยดีแล้วค่อยผลักนางล้ม อย่างน้อยนางก็จะได้ไม่มีความผิดที่ไปแย่งยื้อของจากมือผู้อื่นโดยตรง
มาศได้ฟังคำโกหกสดๆ ร้อนๆ ก็นึกขำระคนสมเพช จึงไม่พูดแก้ต่างอะไร
หม่อมฉายได้ที ก่อนหน้านี้นางก็ชิงชังมาศอยู่เป็นทุนเดิม ซ้ำเมื่อเช้ายังถูกจางวางอู๋ครูของมาศย้อนเกล็ดอย่างเจ็บแสบเอา ก็คิดว่า ‘ได้ทีกูละ คราวนี้ก็จะคิดบัญชีเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกให้สาใจก็ทีเดียว’ นางจึงเล่นตามน้ำที่นางศรีโวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต
“อีมาศ มึงนี่มันกำแหงนัก นางศรีเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของกู มึงกล้ากลั่นแกล้งทำร้ายเช่นนี้ เห็นที่กูต้องลงอาญาเฆี่ยนมึงเสียจะได้หลาบจำ” พูดแล้วนางเรียกโขลนของวังที่รักษายามอยู่ละแวกนั้นมา สั่งให้กดมาศลงแล้วเฆี่ยน
โขลนเหล่านั้นไยจะไม่รู้ว่ามาศคือใคร ทั้งตนก็เคยรับน้ำใจมาศยามเจ็บป่วย มาศมีน้ำใจเจียดยาต้มยามาให้ ส่งข้าวส่งน้ำจนหายป่วยหายไข้ เมื่อหม่อมฉายสั่งดังนั้นนางโขลนก็ไม่กล้าลงมือ
“ช้าอยู่ไย” หม่อมฉายเร่ง เมื่อเห็นโขลนไม่ลงมือก็สั่งให้คนของตนกลุ้มรุมจับตัวมาศกดลง หมายให้นางศรีลงหวายตามบัญชา มาศเองแม้จะตัวเล็กอย่างสตรีแต่ก็พอมีเรี่ยวแรง จึงขัดขืนดิ้นรนจนเกิดเสียงดังอึกทึก
“พวกมึงหยุดบัดเดี๋ยวนี้!” เสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง แต่คนของหม่อมฉายต่างก็ไม่ยังไม่ยอมรามือ จนอีกเสียงดังขึ้นว่า “มีเหตุอันใดกันจึงส่งเสียงดังอึกทึกไปทั้งสวน” ทั้งนายทั้งบ่าวตกใจจนชะงักเพราะเสียงนั้นเป็นสุรเสียงของพระเยาวราช เหล่าบริวารที่เคยกลุ้มรุมมาศอยู่ก็แตกฮือห่างออกไปจากตัวมาศ มาศที่ถูกกลุ้มรุมทึ้งจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ผ้านุ่งห่มหลุดหลุ่ยยับเยินจนผ้าที่รัดออกนั้นคลายออก เผยให้เห็นแผ่นหลังนวลที่ประดับด้วยปานดำกลางหลังดวงหนึ่ง ปกติเมื่อยามที่นุ่งห่มผ้าเรียบร้อยจะไม่มีใครเห็นปานดวงนี้ บัดนี้พระเยาวราชเห็นปานที่กลางหลังก็รู้สึกไม่พอพระทัยที่มาศถูกรุมรังแกจนอยู่ในสภาพจวนเจียนจะเปลือยอุจาด
“นั่นเจ้ามาศไม่ใช่หรือ เหตุใดผมเผ้าผ้าผ่อนถึงหลุดลุ่ยออกเช่นนั้น” พระชายาเอ่ยขึ้น ความจริงพระนางก็เดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้วว่า พวกของหม่อมฉายกำลังรุมทำร้ายมาศอยู่ แต่ที่เอ่ยทักไปก็เพื่อให้พระเยาวราชพุ่งความสนใจไปที่มาศ และเมื่อทรงทราบความก็น่าที่จะได้ขัดเคืองใจหม่อมฉายที่รังแกมาศ
มาศไม่ทันได้กล่าวประการใด หม่อมฉายก็ชิงฟ้องเสียก่อน นางกล่าวหาว่ามาศทำร้ายนางศรีพี่เลี้ยงของตน ด้วยเพราะนางศรีเห็นว่ามาศแอบรับสินบนจากคนนอก เมื่อขอตรวจค้นมาศก็ขัดขืนและทำร้ายศรีจนบาดเจ็บ ส่วนหลักฐานคือห่อกระดาษที่ตกอยู่ข้างๆ ตัวมาศ
“หม่อมฉันมาทันเห็นกับตาตอนที่อีมาศมันผลักนางศรีคะมำลงเพคะ”
มาศทั้งขุ่นทั้งขันที่หม่อมฉายปั้นน้ำเป็นตัว เห็นกับตาอย่างไรได้ เมื่อมาถึงนางศรีก็หงายหลังไปเสียแล้ว มาศตั้งท่าจะชี้แจง หม่อมฉายก็เรียกบรรดาบริวารของตนให้เป็นพยาน บรรดาบริวารของนางคนที่มีสำนึกรู้ถูกผิดอยู่บ้างก็เงียบเสียไม่ตอบ คนที่มีนิสัยประจบเอาใจนายก็ร้องรับแข็งขันว่าเป็นจริง
มาศพยายามอธิบายเหตุการณ์ตามจริงแต่หม่อมฉายก็หาเหตุมาหักล้าง สุดท้ายมาศก็จนใจด้วยเพราะนางศรีมีร่องรอยการบาดเจ็บจริง และมาศก็ไม่มีพยานใดมายืนยันว่าที่ตนพูดเป็นจริง หม่อมฉายเร่งเร้าให้พระเยาวราชลงทัณฑ์มาศฐานที่รับสินบนและทำร้ายคนของตัว
พระเยาวราชฟังความก็สังเกตข้อพิรุธหลายประการ แต่สู้นิ่งอยู่เพราะหวังจะให้ใครสักคนเอ่ยปากตั้งข้อสังเกตแทนพระองค์ เพราะรู้ดีว่าหากทรงแก้ต่างให้มาศด้วยพระองค์เองแต่แรก หม่อมฉายก็จะหาว่าพระองค์เข้าข้างมาศและไม่เป็นธรรม แต่ก็ไม่มีใครสักคนทักท้วงขึ้นเพื่อจะเปิดทางให้พระองค์ได้สวนความต่อได้อย่างถนัด เมื่อจนทางแล้วพระองค์จึงจำเป็นที่จะต้องออกหน้าสอบถามข้อพิรุธด้วยองค์เอง
ขณะที่กำลังจะเผยพระโอษฐ์ตรัส ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “โปรดก่อนเถิดเพคะ…หม่อมฉันสามารถเป็นพยานให้คุณพนักงานผู้นี้ได้” เจ้าของเสียงเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้ด้านหลัง
พระเยาวราชทรงทอดพระเนตรไปตามต้นเสียง เป็นหญิงสาวในชุดอย่างนางหญิงผู้ดีชาวจีน ทรงตะลึงไปชั่วครู่ พระชายาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นอาการของสวามีก็ทรงยิ้มน้อยๆ อย่างสมพระทัย
“มึงเป็นใคร อีไพร่” เสียงของหม่อมฉายแหวขึ้นทำให้พระเยาวราชได้สติ
เอื้องยอบตัวลงคุกเข่าแล้วตอบ “หม่อมฉันเป็นธิดาของหลวงโชฎึกราชเศรษฐี วันนี้หม่อมฉันตามท่านบิดามาถวายบังคมสมเด็จพระเยาวราชตามธรรมเนียมตรุษ ท่านบิดาให้หม่อมฉันนำของขวัญและคำอวยพรมามอบแด่คุณอาซึ่งถวายราชการอยู่ตำหนักของพระชายาเพคะ…”
“อ้อ…หลานสาวของหงดอกหรือ” พระชายาตรัสช่วยรับรองสถานะของเอื้อง
เอื้องรีบทูลต่อไปว่า “…ท่านจางวางให้คุณพนักงานผู้นี้…” เอื้องเลือกใช้สรรพนามเรียกมาศว่าคุณพนักงาน ไม่ยอมเรียกชื่อโดยตรง เพราะต้องการป้องกันข้อครหาและการถูกตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งสองเคยสนิทสนมกันมาก่อน ด้วยเพราะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกัน “…เป็นผู้นำหม่อมฉันมาส่งที่เรือนของคุณอา เมื่อถึงเรือนของคุณอาแล้วหม่อมฉันจึงได้มอบขนมจันอับเป็นของกำนัลอวยพรตามธรรมเนียมวันตรุษ หาได้เป็นของมีค่าหรือสินบนใดๆ นอกจากคุณพนักงานผู้นี้แล้ว คุณข้าหลวงในตำหนักพระชายาอีกหลายคนก็ได้รับเช่นกันเพคะ” เอื้องกล่าวแจกแจง
พระเยาวราชพยักหน้าให้คนหยิบห่อกระดาษนั้นมาดู คงเพราะถูกนางศรีแย่งชิงจนตกพื้น เพียงแค่ยกขึ้นมาของในห่อกระดาษก็ตกพรูลงพื้น แสดงให้ผู้คนในที่นั้นประจักษ์แก่ตาว่า เป็นเพียงขนมจันอับหลายชนิดเท่านั้นเอง หาได้มีสิ่งของมีค่าอย่างที่กล่าวหาแต่ประการใด
“เป็นอันว่าข้อกล่าวหาว่าเจ้ามาศรับสินบนเป็นอันตกไป” พระชายาตรัสสรุปความ
หม่อมฉายโกรธนักที่การไม่เป็นไปอย่างที่ตัวต้องการ เมื่อจัดการเรื่องรับสินบนไม่ได้ ก็จัดการในข้อหาทำร้ายร่างกายนางศรีแล้วกัน นางจึงรีบกล่าวโจทก์ในข้อหาต่อไป “แล้วที่อีมาศมันทำร้ายนางศรีเล่าเพคะ พระองค์จะปล่อยเฉยไปไม่ได้นะเพคะ ตอนที่อีมาศผลักนางศรีจนหน้าคะมำหม่อมฉันเห็นกับตา”
พระเยาวราชแสดงสีหน้าหนักพระทัย
“หม่อมฉันก็พอเห็นเหตุการณ์เพคะ…” เอื้องกล่าวขึ้น
“ออเจ้าเห็นรึ ไหนลองพูดไป” พระเยาวราชตรัสอนุญาตด้วยสุรเสียงอ่อนโยน
“หม่อมฉันเห็นแต่ไกลๆ แต่จะดูเหมือนเป็นอย่างที่คุณข้าหลวงศรีให้ปากคำ…” ครานี้เอื้องออกนามนางศรีอย่างเต็มปากเต็มคำ “…คุณข้าหลวงศรีอาจถูกผลักจนล้มลง แต่หม่อมฉันเห็นไม่เป็นถนัด…” เอื้องหันไปทางนางศรี ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวอย่างเป็นมิตรว่า “…ขอให้คุณข้าหลวงเล่าให้พวกเราฟังอีกคราได้ไหมเจ้าคะ”
เมื่อแรกที่เอื้องกล่าวอ้างตัวขึ้นเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ หม่อมฉายก็เริ่มไม่พอใจ เกรงว่าหญิงผู้นี้จะช่วยมาศแก้ต่างจนพ้นผิด แต่เมื่อได้ยินว่านางสมอ้างความตรงกับที่นางศรีกล่าวก็คลายใจ จึงออกปากสั่งนางศรีให้เล่าเหตุการณ์อีกครั้ง นางศรีที่กำลังได้ใจว่าทุกคนเห็นด้วยกับตน จึงเล่าอย่างคะนองและออกรส ว่าตนเห็นมาศถือห่อกระดาษมาจึงขอตรวจดู มาศแสร้งส่งห่อกระดาษให้ตนโดยดี เมื่อตนหันหลังให้มาศและไม่ทันระวังตัว มาศก็แกล้งผลักตนจนหน้าคะมำล้มลง กล่าวจบหม่อมฉายก็กล่าวรับรองว่าตนเองมาทันเห็นตอนที่มาศผลักศรีล้มลงด้วยเช่นกัน
“ทูลสมเด็จและพระชายาเพคะ เมื่อฟังที่คุณศรีเล่าเรื่องราวอีกครั้ง หม่อมฉันก็ระลึกเหตุการณ์ได้ทันทีเลยเพคะ หม่อมฉันจำผิดพลาดไปเอง ความจริงนั้นเพราะคุณศรียื้อแย่งห่อกระดาษจากมือคุณพนักงานผู้นี้ แต่คงจะเป็นเพราะด้วยคิดว่า คุณพนักงานจะขัดขืนไม่ยอมให้ห่อกระดาษ คุณศรีจึงยื้อสุดแรง แต่แท้จริงแล้วคุณพนักงานไม่ได้ขัดขืนรั้งยื้อห่อกระดาษไว้ คุณศรีจึงหงายหลังไปเพราะออกแรงมากเกินประมาณเท่านั้นเอง หาได้ถูกผลักไม่เพคะ” เอื้องชี้แจง
“มึงมันกลับกลอก เดี๋ยวเห็นเดี๋ยวไม่เห็น ปากคำมึงไม่น่าเชื่อถือ” หม่อมฉายรีบแก้ความ
“ไม่ต้องเชื่อหม่อมฉันดอกเพคะ แต่ควรเชื่อประจักษ์หลักฐานดีกว่า หากคุณพนักงานผู้นี้ผลักคุณศรีหน้าคะมำลงไปจริง จะต้องมีรอยบาดแผลอยู่ด้านหน้า เช่นบริเวณหัวเข่าหรือฝ่ามือ แต่หากคุณศรีหงายหลังลงเพราะยื้อแย่งของจากมือคุณพนักงานเอง บาดแผลย่อมอยู่ด้านหลัง…สมเด็จ พระชายาเพคะ หม่อมเจ้าคะ โปรดสังเกตที่ด้านหลังของคุณศรีสิเจ้าคะ มันมีรอยเลือดหยดลงมา หม่อมฉันคาดว่าตอนหงายหลังลงมา หัวของคุณศรีน่าจะไปกระทบหินก้อนน้อยๆ จนเป็นแผลเจาะมีเลือดซึมหยด แต่เจ้าตัวคงยังไม่รู้ตัว และถ้าอยากตรวจสอบให้ละเอียดขึ้น หม่อมฉันคิดว่าที่ก้นและบั้นท้ายใต้ร่มผ้าน่าจะมีรอยแดงหรือรอยช้ำหลงเหลืออยู่บ้าง” นางศรีจับท้ายทอยตนเองก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ เมื่อลดมือมาดูก็พบคราบเลือดเหนียวๆ ใกล้แห้งติดมา เป็นประจักษ์หลักฐานชัดเจนอย่างที่เอื้องแถลงทั้งสิ้น
“อ้อ…ความจริงเป็นเพราะเอ็งไปยื้อแย่งของจากมือเจ้ามาศ แล้วพลาดท่าหงายหลังเองดอกหรือนังศรี…” พระชายาตรัสขึ้น “…เอ็งนี่มันพาลพาโลโดยแท้ ตัวเองตั้งใจยื้อแย่งของเขาจนทำตัวเองเจ็บตัว ตั้งใจข่มเหงเขาแล้วมิหนำยังจะใส่ร้ายให้เขารับโทษอีก คนชั่วช้าสามานย์เช่นเอ็งควรรับโทษเช่นไร” โอษฐ์ตำหนิบ่าวแต่ดวงเนตรของพระชายาส่อแววเยาะหยันไปยังหม่อมฉาย
“ประจักษ์หลักฐานได้แสดงความจริงแล้วว่าใครถูกใส่ร้าย ใครคือคนผิดตัวจริง ทูลกระหม่อมทรงเห็นควรว่าจะลงโทษเช่นไรดีเพคะ” พระชายาตรัสถามสวามี
“เจ้าเอียดนุ้ย เรื่องข้างในของวังนี้พี่ยกให้น้องเป็นใหญ่จัดการดูแล เรื่องนี้เจ้าก็ตัดสินเองเถิด แต่วันนี้วันดีอย่าให้ได้มีคนเจ็บตัวอีกเลย”
“เพคะ…” พระชายาทรงรับคำแล้วตรัสต่อว่า “…เห็นแก่นางศรีเจ็บตัวเพราะทำตัวเองแล้ว ข้าจะเว้นโทษโบยให้ แต่ที่เอ็งใส่ร้ายคนอื่นหวังให้เขารับโทษข้าจะละไว้ไม่ได้ ส่วนหม่อมฉายเป็นนายไม่อบรมสั่งสอนบริวาร ซ้ำยังให้ท้ายกันผิดๆ ข้าขอสั่งให้ทั้งนายบ่าวกักตัวสำนึกความผิดอยู่แต่ในเรือนของตนเองกึ่งเดือน ห้ามออกด้านนอกมาเป็นเด็ดขาด”
หม่อมฉายขัดใจเป็นที่สุด ทั้งๆ ที่ตนเองอยู่เหนือกว่าแท้ๆ เพราะนังหญิงคนนั้นเพียงคนเดียวที่พลิกสถานการณ์ช่วยอีมาศไว้ ซ้ำยังทำให้ตนเองต้องมารับโทษ แม้อยากจะอาละวาดเพียงใดก็ต้องสะกดใจไว้ มิฉะนั้นอาจต้องประสบโทษโทษาที่หนักหนากว่าเดิม
หม่อมฉายยอบตัวลงกราบพระเยาวราชแล้วลุกขึ้นรีบออกมาจากที่ตรงนั้น ด้วยความโกรธและอับอาย นางหมายเอาไว้ในใจว่า สักวันหนึ่งนางจะต้องล้างแค้นเอาคืนพวกมันทุกคน โดยเฉพาะอีลูกสาวออกหลวงโชฎึกจอมสาระแนผู้นี้
- READ บ่วงเวรา บทที่ 43 : พยาบาทคือเพลิงผลาญใจ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 42 : เก็บกวาด
- READ บ่วงเวรา บทที่ 41 : สำเร็จโทษ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 40 : ยาพิษ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 39 : คนมุ่งร้ายไม่ได้มีผู้เดียว
- READ บ่วงเวรา บทที่ 38 : ข่าวร้าย – ข่าวดี
- READ บ่วงเวรา บทที่ 37 : อุบายล่อเสือออกจากถ้ำ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 36 : จางวางอู๋วางหมาก
- READ บ่วงเวรา บทที่ 35 : ปลูกสิ่งไรย่อมได้ผลนั้น
- READ บ่วงเวรา บทที่ 34 : ไขกลย้อนเกล็ด
- READ บ่วงเวรา บทที่ 33 : ย้อนเกล็ด
- READ บ่วงเวรา บทที่ 32 : เล่ห์หึงสา
- READ บ่วงเวรา บทที่ 31 : ระทดใจ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 30 : หนักหน่วงอก
- READ บ่วงเวรา บทที่ 29 : ลังเลรัก
- READ บ่วงเวรา บทที่ 28 : คืนสู่เจ้าของเดิม
- READ บ่วงเวรา บทที่ 27 : ข่าวจากแดนไกล - ดอกไม้เริ่มผลิบาน
- READ บ่วงเวรา บทที่ 26 : แหวนรอบของมารดา
- READ บ่วงเวรา บทที่ 25 : แก้กล
- READ บ่วงเวรา บทที่ 24 : มิตรจิตมิตรใจ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 23 : อ้ายใบ้หลานยายอุ่ม
- READ บ่วงเวรา บทที่ 22 : จารจดคุณไว้ในดวงจิต
- READ บ่วงเวรา บทที่ 21 : ผูกน้ำใจด้วยไมตรี
- READ บ่วงเวรา บทที่ 20 : ดอกไม้ช่อใหม่ในกุณฑี
- READ บ่วงเวรา บทที่ 19 : พาลใส่ไคล้ – พยานปากเอก
- READ บ่วงเวรา บทที่ 18 : ธิดาออกหลวงโชฎึกฯ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 17 : ไฟสุมขอน
- READ บ่วงเวรา บทที่ 16 : เกิดมาเป็นเจ้าใครเขาก็คิดว่าสุขสบาย
- READ บ่วงเวรา บทที่ 15 : นางฉาย
- READ บ่วงเวรา บทที่ 14 : ปัทมราช
- READ บ่วงเวรา บทที่ 13 : วันเวลาผันผ่าน
- READ บ่วงเวรา บทที่ 12 : ชัยชนะอันแสนขม
- READ บ่วงเวรา บทที่ 11 : ตัดไม้อย่าไว้หนามหน่อ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 10 : สนองคุณ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 9 : ทางรอดเดียว
- READ บ่วงเวรา บทที่ 8 : ต่อรองผ่อนหนัก
- READ บ่วงเวรา บทที่ 7 : ทางรอดที่ริบหรี่
- READ บ่วงเวรา บทที่ 6 : แก้ต่าง
- READ บ่วงเวรา บทที่ 5 : อุบายหมายประทุษ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 4 : เค้าลางหายนะ
- READ บ่วงเวรา บทที่ 3 : พระเยาวราช
- READ บ่วงเวรา บทที่ 2 : ผูกบ่วงเวรา
- READ บ่วงเวรา บทที่ 1 : เรือนราชนิกูลแห่งกัมพุช