ฉัตรกนก บทที่ 4 : ต.ภูษา
โดย : พงศกร
‘ฉัตรกนก’ โดย พงศกร เรื่องราวของโรงพิมพ์ผ้าตราฉัตรกนกของ มรว. ฉัตรกนก ที่กำลังเป็นที่นิยม เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น โดยมี ตวงฤทธิ์ ชายลึกลับเข้ามาเกี่ยวข้อง…ชายผู้ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฆาตกรหรือโจรขโมยหัวใจกัน ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา
หากติดใจอยากอ่านต่อ สามารถหาซื้อ #ฉัตรกนก ฉบับรวมเล่มได้แล้ววันนี้ ในรูปแบบหนังสือที่ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือชั้นน้ำทั่วไป หรือสั่งซื้อกับสำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ได้โดยตรงที่ www.groovebooks.com และในรูปแบบอีบุ๊ก สามารถดาวนโหลดได้ที่ Meb > https://bit.ly/2SS52RK
……………………………………………………………….
-4-
หลังจากงานทำบุญที่วัดปทุมวนารามวันนั้น คุณหญิงฉัตรกนกก็ยุ่งวุ่นวายกับงานมาโดยตลอด มีออร์เดอร์ผ้าพิมพ์เข้ามามากมาย จนเครื่องจักรทำงานไม่ได้หยุดหย่อน
เมื่อเครื่องจักรทำงานมากเข้าก็มีการรวนเป็นธรรมดา เคราะห์ดีที่นายฤทธิ์มีความสามารถทางด้านช่าง จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกครั้ง ทำให้ผ้าพิมพ์ตราฉัตรกนกเสร็จ สามารถส่งให้ลูกค้าได้ตามกำหนด
งานที่โรงงานทำให้คุณหญิงค่อนข้างเครียด แต่ไม่เครียดเท่ากับปัญหาสุขภาพของหม่อมอุ่นอรุณ ระยะหลังมานี้หม่อมย่าของเธอไม่สู้จะแข็งแรง มักจะวิงเวียนและเป็นลมบ่อยๆ ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
“หมอคิดว่าอาการของหม่อมน่าจะเกิดจากความเครียด” นายแพทย์หลวงเวชวิศิษฏ์บอกกับคุณหญิงฉัตรกนกว่าอย่างนั้น
“เป็นไปได้ค่ะ” คุณหญิงฉัตรกนกออกจะเห็นด้วยกับหมอประจำตัวของหม่อมอุ่นอรุณ “หม่อมย่าเริ่มเครียดตั้งแต่มาทำธุรกิจโรงงานพิมพ์ผ้านี่ละ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สตรีสูงวัยกับหลานสาวคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาทำการค้า ในวันที่ธุรกิจในสยามเกินกว่าร้อยละเก้าสิบห้าอยู่ในมือของบุรุษ
แม้กิจการโรงงานผ้าพิมพ์ฉัตรกนกจะราบรื่นดี หากก็ไม่ใช่ดีไปเสียทั้งหมด มีเรื่องให้ต้องแก้ปัญหา ต้องตัดสินใจมากมาย โดยเฉพาะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเชิงธุรกิจ
ผ้าพิมพ์จากโรงงานฉัตรกนกมีสัดส่วนในท้องตลาดสูงมาก พ่อค้าแม่ขายนิยมสั่งซื้อไปจำหน่ายทีละมากๆ ลายผ้าออกแบบสวยงาม เนื้อผ้าเหมาะกับการสวมใส่ในเมืองร้อน จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ความนิยมในผ้าตราฉัตรกนกทำให้ผ้าพิมพ์ลายที่นำเข้าจากอินเดียขายได้น้อยลง และโรงงานพิมพ์ผ้าอีกแห่งหนึ่งในพระนครได้รับผลกระทบโดยมิอาจจะหลีกเลี่ยง
“โดยเฉพาะช่วงสัปดาห์ที่แล้วยิ่งเครียดหนัก”
มีจดหมายลึกลับฉบับหนึ่งส่งมาที่โรงงาน จ่าหน้าซองถึงหม่อมอุ่นอรุณ เมื่อหม่อมย่าของเธอเปิดออกอ่านก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไป คุณหญิงฉัตรกนกหยิบมาดูว่าเนื้อความในจดหมายคืออะไร ก็พบว่าเป็นจดหมายข่มขู่ให้เลิกกิจการไปเสีย หากไม่เชื่ออาจจะเกิดเหตุร้ายขึ้นเร็วๆ นี้
จดหมายไม่ลงชื่อผู้ส่ง หากใช้วิธีตัดตัวอักษรและคำจากหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร เอามาปะติดปะต่อ เรียงเข้าด้วยกันจนเป็นประโยค
คุณหญิงฉัตรกนกเองก็ตกใจไม่ใช่น้อย แต่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เธอจะแสดงอาการหวั่นวิตกออกมาไม่ได้เด็ดขาด คุณหญิงตั้งสติและคิดลำดับว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลัง สิ่งแรกที่ทำก็คือให้นายเศวตขับรถพาไปพบ ร.ต.อ.หลวงบูรณะประชาที่สถานีตำรวจ เพื่อขอความช่วยเหลือ
นายตำรวจหนุ่มผู้นี้คือลูกน้องเก่าของหม่อมเจ้าดำรงชาติ พระองค์เคยบอกกับคุณหญิงฉัตรกนกเอาไว้ว่าหากมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ให้ไปขอความช่วยเหลือจากหลวงบูรณะได้ทุกเมื่อ
หลังจากแนะนำตัวเป็นที่เรียบร้อย คุณหลวงก็พาคุณหญิงฉัตรกนกเข้าไปนั่งในห้องทำงานของเขาเพื่อสอบถามรายละเอียด
เธอนั่งจ้องมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยสายตาประหลาดใจ เพราะฟังจากท่านชายดำรงชาติตรัสเล่า คุณหญิงคิดว่าหลวงบูรณะเป็นหนุ่มใหญ่ หากชายหนุ่มท่วงท่าสง่างามตรงหน้าของเธอกลับเป็นชายหนุ่มในวัยเบญจเพส ตัดผมสั้น หน้าตาคมสัน
“หน้าผมมีอะไรผิดปกติไปหรือครับคุณหญิง”
เห็นอีกฝ่ายจ้องไม่เลิก หลวงบูรณะเลยยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง
“เอ้อ…ปะ…เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” คุณหญิงฉัตรกนกเก้อไป รู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแดงด้วยความเขินอาย ที่เสียมารยาทเป็นฝ่ายไปจ้องหน้าผู้ชายก่อน นี่ถ้าหม่อมย่าเห็นคงต้องหยิกเธอจนเนื้อเขียวแน่
“ถ้างั้นผมขอเก็บจดหมายฉบับนี้เอาไว้ก่อนนะครับ” นายตำรวจหนุ่มกวาดสายตามองจดหมายลึกลับพร้อมกับถอนใจเบาๆ “จะลองสืบหาที่มาที่ไปดู ตัวอักษรบางตัวในจดหมายมีลักษณะเฉพาะ เราอาจพอตรวจสอบได้ว่าตัดมาจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารฉบับไหน”
“ขอบคุณค่ะ” คุณหญิงฉัตรกนกส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนแรง “ต้องขอรบกวนด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนเลยครับ” หลวงบูรณะตอบ เขาส่งยิ้มกว้างให้คุณหญิง “เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดูแลประชาชนอยู่แล้ว อีกอย่าง…คุณหญิงเป็นญาติของท่านชายดำรงชาติ พระองค์ทรงมีบุญคุณกับผมมาก อย่างไรผมต้องดูแลคุณหญิงกับหม่อมอุ่นอรุณเต็มที่อยู่แล้วครับ ว่าแต่ตอนนี้คุณหญิงกับหม่อมมีเรื่องขัดแย้งกับใครอยู่หรือเปล่า”
“ตัวหญิงเอง…ไม่มีนะคะ” ดวงหน้าอ่อนโยนของอีกฝ่าย ทำให้คุณหญิงฉัตรกนกรู้สึกผ่อนคลายจนกล้าเรียกแทนตัวเองว่า ‘หญิง’
“ตัวหม่อมย่าเองก็ไม่มีศัตรูที่ไหน แต่โรงงานของเรา…อาจจะมี”
“อาจจะมี” หลวงบูรณะโคลงศีรษะ “หมายความว่าอย่างไร”
“หลังจากโรงงานเราเปิดได้ไม่นาน สินค้าก็เริ่มขายดี และเริ่มส่งผลกระทบถึงโรงงานพิมพ์ผ้าอีกแห่งหนึ่ง” เมื่อต้องพาดพิงถึงบุคคลที่สาม คุณหญิงฉัตรกนกก็ค่อยๆ เอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ต.ภูษา” ร.ต.อ.หลวงบูรณะประชานึกออกในทันใด ด้วยมีโรงงานพิมพ์ผ้าในพระนครเพียงสองแห่งเท่านั้น
“ค่ะ” คุณหญิงฉัตรกนกถอนใจ
โรงงานผ้าพิมพ์ ต.ภูษา เปิดกิจการก่อนหน้าโรงงานฉัตรกนกสองปี เจ้าของชื่อนายตาบ เป็นคนไทยเชื้อสายจีน
ก่อนหน้านี้นายตาบเคยเป็นพนักงานในบริษัทของเยอรมนีมาก่อน หากหลังจากสิ้นสุดสงครามโลก เยอรมนีกลายเป็นผู้แพ้สงคราม รัฐบาลสยามในเวลานั้นจึงยึดทรัพย์และขับไล่ชาวเยอรมันออกไปนอกพระราชอาณาจักร บรรดาลูกจ้างบริษัทต่างๆ ของเยอรมนีจึงตกงาน หลายคนกลับบ้านต่างจังหวัดไปทำไร่ไถนา บางคนก็ออกมาทำกิจการค้าขายเองตามความถนัด
นายตาบเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เขาทำงานกับบริษัทเยอรมนีมาหลายสิบปี สามารถพูดภาษาเยอรมันได้บ้าง นายตาบมองเห็นลู่ทางว่าขายผ้าน่าจะดี เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่คนต้องใช้อยู่ทุกวันเขาจึงตัดสินใจเปิดโรงงานพิมพ์ผ้าขึ้น เน้นขายผ้าราคาถูกกว่าของอินเดีย ในช่วงแรกผ้าจากโรงงาน ต.ภูษาจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หากต่อมาลูกค้าก็เริ่มบ่นว่าเนื้อผ้าของ ต.ภูษาหยาบกระด้าง ใช้ไปนานๆ สีจะเริ่มซีด อีกทั้งลวดลายไม่สวยงาม เพราะคนออกแบบเป็นบุรุษ ไม่เข้าใจความนิยมชมชอบและความต้องการของสตรี
ต.ภูษากำลังประสบกับวิกฤติ นายตาบคิดว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่ธุรกิจจะแย่ไปกว่านี้ หากยังไม่ทันจะได้ปรับปรุงกิจการ หม่อมอุ่นอรุณก็เปิดโรงงานขึ้นมาเสียก่อน
แม้ผ้าพิมพ์ตราฉัตรกนกจะมีราคาสูงกว่าผ้า ต.ภูษา และผ้านำเข้าจากอินเดีย หากคนกลับนิยมกว่า เพราะเนื้อผ้าที่สวมใส่สบายสีไม่ซีดไม่ตก และลวดลายก็ยังสวยงาม เป็นที่ชื่นชอบของผู้สวมใส่ ลูกค้าบอกต่อกันว่าผ้าฉัตรกนกราคาสูงก็จริง แต่คุ้มค่าคุ้มราคา
ขณะที่โรงงานฉัตรกนกกำลังรุ่งเรือง โรงงาน ต.ภูษาก็เริ่มถดถอยสวนทางกัน นายเศวตเล่าให้คุณหญิงฉัตรกนกฟังว่า นายตาบตัดสินใจเรียกบุตรชายของเขาที่เรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศให้กลับมาช่วย ลูกชายของเขาเป็นคนหนุ่มหัวสมัยใหม่ อาจจะมองเห็นลู่ทางทำให้ธุรกิจกลับมาเฟื่องฟูดังเดิม นายเศวตยังเล่าต่อไปอีกว่า สิ่งแรกที่บุตรชายของนายตาบทำ ก็คือการสั่งปลดคนงานออกหลายสิบคน เพราะโรงงานประสบกับภาวะขาดทุนติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว
“คุณหญิงคิดว่า…นายตาบหรือลูกชายของเขา อาจจะอยู่เบื้องหลังจดหมายฉบับนี้” หลวงบูรณะเลิกคิ้วด้วยท่าทางครุ่นคิด
“หญิงไม่ได้หมายความเช่นนั้น” คุณหญิงฉัตรกนกยังคงตอบอย่างระมัดระวังถ้อยคำดุจเดิม เธอไม่ค่อยชอบวิธีการถามของอีกฝ่ายสักเท่าไรนัก “คุณหลวงถามว่าเรามีความขัดแย้งกับใครหรือเปล่า…หญิงเลยนึกถึงเรื่องธุรกิจขึ้นมาได้”
“แล้วคุณหญิงกับหม่อม…” นายตำรวจหนุ่มพยายามจะถามต่อ หากคุณหญิงฉัตรกนกรีบตัดบทขึ้นเสียก่อน
“ไม่ค่ะ หญิงกับหม่อมย่าไม่เคยพบนายตาบหรือลูกชายของเขา…หน้าตาพวกนั้นจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย”
“แล้วช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ในโรงงานของคุณหญิงมีอะไรแปลกๆ บ้างไหมครับ” นายตำรวจหนุ่มถาม ปากกาในมือของเขาพร้อมจะจดข้อมูลต่างๆ ลงไปในสมุดปกหนังที่ถือติดตัวเป็นประจำ
“เรื่องแปลกๆ” คุณหญิงฉัตรกนกไม่เข้าใจคำถามของอีกฝ่าย
“เป็นต้นว่า มีคนแปลกหน้ามาด้อมๆ มองๆ แถวโรงงานของคุณหญิง…มีเหตุการณ์ผิดปกติภายในโรงงาน” หลวงบูรณะลองยกตัวอย่าง
“คนแปลกหน้า…” คำพูดนั้นของนายตำรวจ ทำให้คุณหญิงฉัตรกนกอดคิดไปถึงคนงานหนุ่มหน้าใหม่มิได้…
…ฤทธิ์ ชาติสยาม…
“มีใช่ไหมครับ” หลวงบูรณะสังเกตเห็นคุณหญิงฉัตรกนกชะงักไปนิดหนึ่ง
“เอ้อ…มะ…ไม่มีอะไรนะคะ” อะไรบางอย่างทำให้คุณหญิงตัดสินใจพูดออกไปเช่นนั้น
แม้ว่านายฤทธิ์จะมีลับลมคมในบางอย่าง หากเขายังไม่เคยก่อปัญหาอะไรให้เธอ ตรงกันข้าม เขาเป็นคนคอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงงานเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องจักรเสีย และเลยไปถึงเรื่องแก้ปัญหาคนงานทะเลาะกัน
หลายวันก่อน คนงานกลุ่มเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการ รวมตัวกันเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม ทั้งๆ ที่เปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆ ก็นับว่าพวกเขาได้รับเงินค่าตอบแทนสูงอยู่แล้ว
เมื่อพูดถึงเรื่องเงินค่าตอบแทน หม่อมอุ่นอรุณเป็นคนลงมาเจรจาเอง หากการเจรจานั้นไม่เป็นผลสำเร็จ หม่อมย่าของคุณหญิงฉัตรกนกเจรจาไม่สำเร็จ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมฟัง หม่อมอุ่นอรุณก็เริ่มใช้อำนาจอย่างที่เคยชิน เธอขู่จะไล่พวกเขาออก และนั่นทำให้คนงานกลุ่มนั้นไม่พอใจมากจนตัดสินใจลาออกกันทั้งกลุ่มจำนวนเกือบยี่สิบคน
หม่อมอุ่นอรุณเวียนศีรษะจี๊ดขึ้นมาในทันใด เธอเรียกหลานสาวและนายเศวตให้มาพบในห้องทำงานเพื่อปรึกษาหาทางออก ขณะที่คนงานหลายสิบคนยังนั่งรอฟังคำตอบอยู่ทางด้านหน้าโรงงาน
‘เข้ามาทำไม’ หม่อมอุ่นอรุณถามเสียงเข้ม เมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินตามนายเศวตและคุณหญิงฉัตรกนกเข้ามาในห้อง ‘ฉันไม่ได้เรียกเธอ’
‘หญิงเป็นคนเรียกนายฤทธิ์เข้ามาเองละค่ะ’ คุณหญิงฉัตรกนกรีบบอก เธอเห็นว่านายฤทธิ์สนิทกับบรรดาหัวหน้าคนงาน เขาอาจจะมีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์
‘ผมออกไปก่อนก็ได้นะครับ’ ฤทธิ์พึมพำเสียงแผ่วต่ำในลำคอ เขาเหลือบมองสตรีผู้มีอาวุโสที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวโต ด้วยท่าทางเกรงใจ
‘งั้นช่วยออกไปแจ้งพวกคนงานที่รอคำตอบทางด้านหน้าให้ด้วยว่า ฉันตกลงให้พวกเขาลาออกตามที่ยื่นจดหมาย’ หม่อมอุ่นอรุณเอ่ยเสียงเฉียบขาด
‘ไม่ได้นะคะหม่อมย่า’ คุณหญิงฉัตรกนกจำได้ว่าเธอร้องเสียงดังลั่นด้วยความตระหนก ‘ให้ออกไม่ได้นะคะ’
‘ทำไมจะไม่ได้ เราเป็นเจ้าของที่นี่ เราต้องควบคุมที่นี่ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกคนงานมาควบคุมเรา’ หม่อมอุ่นอรุณยังไม่หายเกรี้ยวกราด ‘ดูแลดีขนาดนี้ ถ้าพวกมันไม่พอใจก็ให้ออกไปเลย อย่างไรย่าก็ไม่ขึ้นเงินแน่ ขืนขึ้นให้พวกมันจะได้ใจ ต่อไปอยากได้เงินขึ้นก็จะพากันรวมตัวกันมาข่มขู่เราแบบนี้อีก นี่ท่าทางคงไปถูกใครยุยงมาแน่ จู่ๆ ก็มาขอขึ้นเงิน ทั้งที่ได้รับมากกว่าโรงงานอื่นหลายบาท ยังจะสวัสดิการต่างๆ ที่เราให้อีก ลาออกไปอยู่ที่อื่นก็ไม่มีทางได้แบบนี้หรอก…อยากออกก็ให้ออกไปเลย ย่าไม่รั้ง…’
‘แต่หญิงคิดว่าเราต้องหาทางรั้งพวกเขาเอาไว้’ คุณหญิงฉัตรกนกเห็นต่าง ‘คนงานพวกนี้อยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น พวกเขามีฝีมือ มีความรู้ความสามารถควบคุมเครื่องจักรได้คล่อง…ถ้าออกไป เราก็ต้องจ้างคนใหม่มาทดแทน และตอนนี้เรามีออร์เดอร์ผ้ามาอีกหลายร้อยผืน คนงานใหม่กว่าจะฝึกจนคุมเครื่องจักรได้คล่อง ต้องใช้เวลานานพอสมควร…ระหว่างนี้เราจะผลิตผ้าไม่ทันนะคะ’
‘นั่นสิครับ’ นายเศวตออกความเห็นด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย ‘อย่างที่คุณหญิงว่า…ถ้าให้พวกนั้นออกไปตอนนี้ สินค้าเรามีปัญหาแน่นอน’
‘แล้วจะให้ทำอย่างไร’ หม่อมอุ่นอรุณกุมศีรษะ เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ คุณหญิงฉัตรกนกเห็นแล้วนึกสงสารหม่อมย่าของเธอ ที่อายุมากแล้วแต่ต้องมานั่งแก้ปัญหาอะไรแบบนี้ แทนที่จะได้พักผ่อนสบายๆ อยู่กับบ้านเหมือนอย่างผู้อาวุโสคนอื่นๆ
‘ให้ขึ้นเงินเดือน ย่ายอมไม่ได้หรอกนะ’
‘แต่เราก็ขาดคนงานไม่ได้เช่นกัน’ คุณหญิงฉัตรกนกยังยืนยันเช่นเดิม
‘ผมขอลองไปเจรจากับหัวหน้าคนงาน…หม่อมจะอนุญาตไหมครับ’ ฤทธิ์เสนอ หลังจากนิ่งฟังมานาน
‘เจรจา’ หม่อมอุ่นอรุณเลิกคิ้ว ‘อย่างนายเนี่ยนะ จะไปเจรจากับคนงานพวกนั้น…ตกลงจะไปเข้าข้างพวกมันใช่ไหม’
‘ผมไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้น’ น้ำเสียงของฤทธิ์ราบเรียบเหมือนกับสีหน้าและแววตา คุณหญิงฉัตรกนกมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
‘ถ้าหม่อมอนุญาต ผมก็แค่จะลองพูดคุยกับพวกเขาดู ว่ามีความจำเป็นอะไรแค่ไหน ถึงเรียกร้องอยากได้เงินเดือนขึ้น’
‘ฉันไม่สนหรอกว่าจะยังไง’ หม่อมอุ่นอรุณเม้มริมฝีปาก มือสองข้างยังกำแน่น ‘เอาเป็นว่า ถ้าเธอจะออกไปคุย…ก็คุยให้พวกมันยอมรับให้ได้ก็แล้วกัน…ถ้าพวกมันเปลี่ยนใจ อยากจะทำงานที่นี่ต่อ ฉันก็อนุญาต…แต่จะไม่ขึ้นเงินเดือนให้’
‘ผมจะพยายาม’ ฤทธิ์มีท่าทางหนักใจ
‘ถ้าพูดไม่สำเร็จ เธอไม่ต้องกลับเข้ามาในห้องนี้ จะไปไหนก็ไป…’ หม่อมอุ่นอรุณยื่นคำขาด ‘ฉันเหนื่อยเต็มทน’
‘ครับ’ ฤทธิ์รับคำสั้นๆ เพียงคำเดียว ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นหันกลังกลับ เปิดประตูเดินออกไป โดยไม่พูดอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว…