ฉัตรกนก บทที่ 5 : ชะตาเมือง

ฉัตรกนก บทที่ 5 : ชะตาเมือง

โดย : พงศกร

‘ฉัตรกนก’ โดย พงศกร เรื่องราวของโรงพิมพ์ผ้าตราฉัตรกนกของ มรว. ฉัตรกนก ที่กำลังเป็นที่นิยม เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น โดยมี ตวงฤทธิ์ ชายลึกลับเข้ามาเกี่ยวข้อง…ชายผู้ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นฆาตกรหรือโจรขโมยหัวใจกัน ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา

หากติดใจอยากอ่านต่อ สามารถหาซื้อ #ฉัตรกนก ฉบับรวมเล่มได้แล้ววันนี้ ในรูปแบบหนังสือที่ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือชั้นน้ำทั่วไป หรือสั่งซื้อกับสำนักพิมพ์ กรู๊ฟ พับลิชชิ่ง ได้โดยตรงที่ www.groovebooks.com  และในรูปแบบอีบุ๊ก สามารถดาวนโหลดได้ที่ Meb > https://bit.ly/2SS52RK

……………………………………………………………….

-5-

 

ระยะเวลาหลายนาทีที่ฤทธิ์ ชาติสยาม หายไปเจรจากับคนงาน นานราวกับเป็นชั่วโมง ทั่วทั้งห้องเงียบสนิท อณูแห่งความกังวลล่องลอยอยู่ในอากาศโดยรอบ คุณหญิงฉัตรกนกได้ยินแต่เพียงเสียงถอนหายใจเป็นจังหวะของหม่อมอุ่นอรุณ

ร่างผอมบางของหญิงสูงวัยจ่อมจมอยู่บนเก้าอี้หนัง หน้าตาดูเหน็ดเหนื่อย ดวงตามีร่องรอยอ่อนล้า โต๊ะทำงานตัวใหญ่เหมือนจะข่มให้หม่อมอุ่นอรุณเหลือตัวเล็กนิดเดียว ขณะนี้สถานการณ์ภายนอกจะเป็นอย่างไรบ้างคนในห้องไม่อาจจะรู้ได้ คุณหญิงฉัตรกนกได้แต่จ้องหน้านายเศวตด้วยความหนักใจ

แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลงในที่สุด

แอ๊ด…

เสียงประตูถูกผลักเปิดกว้าง

หม่อมอุ่นอรุณลุกพรวดพราดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น

“เป็นอย่างไรนายฤทธิ์…เจรจาสำเร็จไหม” หม่อมย่าของฉัตรกนกรีบถาม น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวัง

“หม่อมบอกว่าถ้าผมทำไม่สำเร็จก็ไม่ต้องกลับเข้ามา…ไม่ใช่หรือครับ” ฤทธิ์ตอบยิ้มๆ คุณหญิงฉัตรกนกสังเกตเห็นรอยบุ๋มบนแก้มของเขา ลักยิ้มของชายหนุ่มทำให้ดวงหน้าคมสันของเขาดูอ่อนโยนลง

“ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าสำเร็จ” หม่อมอุ่นอรุณยิ้มกว้าง “ตกลงคนงานไม่ลาออก ไม่เอาเงินเดือนขึ้นแล้วใช่ไหม”

“สำเร็จครับ…คนงานตกลงใจไม่ลาออก แต่พวกเขามีเงื่อนไขต่อรองเล็กน้อยครับ” ชายหนุ่มว่า

“เงื่อนไข…ยังจะมีเงื่อนไขอะไรอีก” หม่อมอุ่นอรุณขึ้นเสียง หากคุณหญิงฉัตรกนกรีบตัดบท ก่อนที่หม่อมย่าของเธอจะทำให้เรื่องวุ่นวายไปกว่านี้

“พวกเขามีข้อเสนออะไรคะ”

“พวกเขาขอรับเงินเดือนเท่าเดิม” ร่างสูงล่ำสันหันมาทางราชนิกุลสาว น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “แต่ขอเป็นเงินรางวัลแทน หากพวกเขาขยัน ทำให้โรงงานได้รายได้เกินเป้า”

“หมายความว่าอย่างไร ฉันไม่เข้าใจ” คราวนี้ทั้งหม่อมอุ่นอรุณ คุณหญิงฉัตรกนก และนายเศวตต่างหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“หมายความว่า ถ้าทุกเดือนโรงงานผ้าทำรายได้เกินกว่าเป้าที่วางเอาไว้ เขาขอเงินรางวัล” เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของคนในห้อง นายฤทธิ์จึงอธิบายเพิ่มเติม “สมมติว่า เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะผลิตผ้าให้ได้เดือนละสามร้อยผืน ขายผ้าผืนละยี่สิบบาท ได้เงินรายได้มาเดือนละหกพันบาท แต่ถ้าคนงานขยันจนทำให้เดือนนี้ผลิตผ้าได้ถึงห้าร้อยผืน นั่นหมายความว่าผลิตได้เกินจากเป้าหมายไปถึงสองร้อยผืน ขายได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกสี่พันบาท…พวกเขาจะขอเงินรางวัลอีกคนละสี่บาท…อย่างนี้เป็นต้น…”

“หัวหน้าคนงานเสนอแบบนี้หรือ” คุณหญิงฉัตรกนกหรี่ตา จ้องมองชายหนุ่ม เธอไม่คิดว่าหัวหน้าคนงานจะสามารถคิดอะไรแบบนี้ได้ด้วยตัวเอง

“เปล่าครับ” นายฤทธิ์ส่ายหน้า

…นั่นอย่างไร…คุณหญิงฉัตรกนกนิ่งนึก

“ผมเสนอเองนั่นละ” นายฤทธิ์สารภาพ “คนงานคุยกันว่าถ้าไม่ได้เงินเพิ่มอย่างไรพวกเขาก็จะลาออก ผมเห็นด้วยกับคุณหญิงว่าในภาวะเช่นนี้…เราขาดคนงานไม่ได้ แต่ถ้าเราเพิ่มเงินเดือนตามที่พวกเขาเรียกร้อง ต่อไปเราก็จะคุมใครไม่ได้ คิดไปคิดมาแล้ว ผมว่าการต่อรอง เพิ่มเงินให้พวกเขา ถ้าพวกเขาทำงานถึงเป้าหมาย วิธีนี้น่าจะดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย…”

“ฉลาดมาก” หม่อมอุ่นอรุณชมจากใจจริง เธอจ้องมองชายหนุ่มร่างสูงราวไม่เชื่อสายตา “ฉันเองยังคิดวิธีนี้ไม่ออก”

“แล้วหม่อมและคุณหญิงจะตกลงไหมครับ” ฤทธิ์ถาม

หม่อมอุ่นอรุณหันไปมองหน้าหลานสาว ท่าทางเหมือนกำลังไตร่ตรอง

อันที่จริงข้อเสนอของนายฤทธิ์นับว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ถ้าทำรายได้เกินเป้า โรงงานก็ได้กำไรมากขึ้น แบ่งผลกำไรให้คนงานบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย อีกอย่าง วิธีการแบบนี้จะทำให้คนงานยิ่งขยันเพราะถ้าผลิตผ้าได้มาก พวกเขาก็จะได้เงินมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

“ตกลง” หม่อมอุ่นอรุณพยักหน้า นึกนิยมชมชอบนายฤทธิ์ในใจ ไม่คิดว่าเขาจะเจรจาต่อรองได้เก่ง อีกทั้งยังฉลาดคิดถึงเพียงนี้

“ถ้างั้นผมขอไปบอกข่าวให้พวกเขาทราบกันก่อนนะครับ…พวกเขากำลังรอคำตอบอยู่” นายฤทธิ์ถอนใจอย่างโล่งอก นึกดีใจที่ข้อเสนอของเขาสามารถแก้ปัญหาให้ได้

ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปที่ประตู เตรียมจะผลักออกไป หากคุณหญิงฉัตรกนกเรียกเขาเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน…นายฤทธิ์”

“คุณหญิงมีอะไรหรือครับ” คิ้วหนาเหนือดวงตาคู่กระจ่างใสเลิกสูง

“ไม่มี” คุณหญิงฉัตรกนกส่ายหน้า “ฉันแค่อยากขอบใจ”

“ด้วยความยินดีครับ” ฤทธิ์ยิ้มกว้างก่อนจะก้าวออกไป

เสียงเฮดังลั่นจากประตูหน้าโรงงานดังมาให้ได้ยิน คุณหญิงฉัตรกนกเดินไปหาหม่อมย่า และกอดท่านไว้หลวมๆ

“หญิงขอบคุณที่หม่อมย่าตกลงใจแบบนี้นะคะ” เธอหมายความตามนั้นจริงๆ

“นายฤทธิ์นั่นเป็นใครกันแน่” หม่อมอุ่นอรุณขมวดคิ้ว พึมพำเสียงแผ่ว

“ก็เป็นนายช่างคุมเครื่องจักรของเราอย่างไรขอรับหม่อม” นายเศวตตอบโดยซื่อ

“ข้อนั้นฉันรู้แล้ว” หม่อมอุ่นอรุณทำเสียงเอ็ด สายตาของเธอมองไปทางประตูห้อง ครุ่นคิดถึงชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากไปด้วยความประหลาดใจ “ฉันแค่สงสัยว่า เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ท่าทางฉลาดเฉลียว เกินกว่าจะเป็นช่างเครื่อง”

“ไม่มีใครรู้หรอกขอรับว่านายฤทธิ์เป็นลูกเต้าเหล่าใคร” เศวตว่า

ระบบรับคนเข้าทำงานที่โรงงานฉัตรกนกไม่ได้ตรวจสอบอะไรมากมายนัก แค่ตัวเขาและคุณหญิงฉัตรกนกพูดคุย ดูหน่วยก้านแล้วเห็นว่าดี ท่าทางไว้ใจได้ ก็รับเข้ามาเลย ทดลองงานครบสามเดือนแล้วก็มีการประเมินดูอีกครั้ง

สุภาษิตที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนยังใช้ได้ดีเสมอ คนที่ทำงานดีก็ได้ทำงานต่อ รวมถึงขึ้นเงินให้ ส่วนใครที่ขี้เกียจ มาสาย ไม่ตั้งใจทำงานครบทดลองงานสามเดือน นายเศวตก็ให้ออก ก่อนจะเปิดรับคนงานใหม่มาทดแทน แต่เท่าที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีใครถูกให้ออกเลยแม้แต่คนเดียว

“ปกติที่นี่เราไม่ได้สนใจกันอยู่แล้ว บ้านอยู่แถวไหนก็ไม่รู้…รู้แต่ว่ามาทำงานเช้ากลับจนมืดค่ำ ทำเกินเวลาทุกวัน…ถ้าโรงงานของเรามีคนงานแบบนี้เยอะๆ ก็คงจะดีนะขอรับ”

“คุณเศวต” คุณหญิงฉัตรกนกกระซิบเสียงแผ่ว “ฉันอยากรู้ว่านายฤทธิ์คือลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่แถวไหน…ช่วยสืบให้หน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิขอรับ” นายเศวตรับปาก ดวงตาที่เริ่มจะฝ้าฟางจ้องมองนวลหน้าเนียนงามด้วยความวิเคราะห์ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้ย่าหลานสนทนากันต่อไปตามลำพัง

ปัญหาเรื่องจดหมายข่มขู่ได้รับการดูแลโดยตำรวจ ส่วนปัญหาเรื่องคนงานก็คลี่คลายลงไปได้หลายวันแล้ว  หากคุณหญิงฉัตรกนกสังเกตเห็นว่าหม่อมอุ่นอรุณยังไม่หายเครียด

ถึงตอนนี้ อดนึกถึงคุณหญิงเปลวกนกไม่ได้ ถ้าพี่สาวคนโตอยู่ด้วยก็คงดี ปกติหม่อมย่ากับคุณหญิงเปลวกนกจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน เจอหน้ากันครั้งใด ต้องได้ประคารมกันอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ปะทะกับหลานสาวคนโต หม่อมอุ่นอรุณจะดูมีชีวิตชีวา คุณหญิงฉัตรกนกคิดถึงบรรยากาศแบบนั้น เธอไม่ชอบท่าทางท้อแท้หมดกำลังใจของหม่อมอุ่นอรุณแบบนี้เลย

“ค่ำนี้เราออกไปหาอาหารอร่อยๆ รับประทานกันไหมคะหม่อมย่า ถ้าไปหลานจะได้ให้นายขันอยู่ก่อน” คุณหญิงพยายามหาเรื่องชวนหม่อมย่าออกไปนอกวัง อย่างน้อยๆ ได้ออกไปไหนมาไหน หม่อมอุ่นอรุณอาจจะดีขึ้นบ้าง “ให้นายขันขับรถไปเหลาแถวราชวงศ์ไหมคะ”

นายขันคือคนขับรถของวังเกษกนก ทำงานรับใช้มาตั้งแต่สมัยที่เสด็จในกรม พระสวามีของหม่อมอุ่นอรุณยังทรงพระชนม์ชีพ

หลังจากที่เศรษฐกิจของสยามชะลอตัว หม่อมอุ่นอรุณก็มีนโยบายลดค่าใช้จ่ายของวังลง จากที่เคยรับเงินเดือนประจำ หม่อมย่าของคุณหญิงฉัตรกนกจ้างนายขันแบบรายวัน เขาจะมาทำงานเฉพาะวันที่หม่อมอุ่นอรุณมีธุระต้องใช้รถไปไหนมาไหนเท่านั้น

“ไม่ดีกว่า ให้นายขันกลับบ้านไปเถิด อย่าไปรบกวนมันเลย เมื่อตอนบ่ายย่าได้ยินมันคุยกับแม่ปอง…” หม่อมอุ่นอรุณหมายถึงต้นห้องคนสนิท “เห็นว่าเมียกำลังท้องแก่ ดูทรงแล้วน่าจะคลอดในอีกไม่กี่วันนี่ละ”

“ถ้างั้นหม่อมย่าอยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” คุณหญิงฉัตรกนกถาม “หลานจะเข้าครัว ลงมือทำให้เอง”

“ไม่ละ” หม่อมอุ่นอรุณส่ายหน้า “ช่วงนี้ย่าไม่นึกอยากกินอะไรเลย…หญิงฉัตรมีอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็มาประจบเอาใจย่า อยากได้อะไรก็บอกมาตรงๆ”

“หลานไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ หลานเห็นหม่อมย่าดูเครียดๆ เลยอยากชวนให้ออกไปข้างนอกบ้าง เผื่อว่าจะสบายใจขึ้น”

“ตราบใดที่ยังไม่เลยปีพุทธศักราช 2475 ต่อให้ทำอย่างไร…ย่าก็ยังกังวลอยู่ดี”

“พุทธศักราช 2475…”

คุณหญิงฉัตรกนกทวนคำพูดประโยคนั้นของหม่อมอุ่นอรุณด้วยใจประหวั่น ขุมขนบนเรือนกายลุกเกรียว ด้วยเรื่องราวของปีพุทธศักราช 2475 เป็นเรื่องที่คนในรั้วในวังต่างปริวิตกกันมาระยะหนึ่งแล้ว

ความกังวลทั้งหมด นับเนื่องมาจากครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ทรงยกเสาหลักเมืองเมื่อปีพุทธศักราช 2325 แล้วเกิดอวมงคลนิมิตขึ้น คือเมื่อถึงมหาพิชัยฤกษ์อัญเชิญเสาลงสู่หลุม ปรากฏว่าจู่ๆ ก็เกิดมีงูเล็ก 4 ตัวไม่รู้เลื้อยมาจากไหน

จากนั้นงูทั้ง 4 ตัวก็เลื้อยลงไปในหลุมในขณะเคลื่อนเสาหลักเมือง เนื่องจากถึงฤกษ์แล้วจึงไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย โดยปล่อยเสาลงหลุมและกลบงูทั้ง 4 ตัวตายอยู่ภายในก้นหลุม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายชะตาเมืองว่าจะอยู่ในเกณฑ์ร้ายนับจากวันยกเสาหลักเมืองเป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน จึงสิ้นพระเคราะห์ และวงศ์กษัตริย์จะดำรงสืบต่อไป 150 ปี

ซึ่งก็คือปีพุทธศักราช 2475 ที่หม่อมอุ่นอรุณและใครๆ ในวังพากันกังวลอยู่นั่นเอง…

“แต่สมเด็จพระจอมเกล้าฯ…ท่านทรงแก้ไขชะตาเมืองแล้วนี่คะหม่อมย่า” คุณหญิงฉัตรกนกปลอบใจ

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงตรวจดวงพระชะตาของพระองค์ ทรงพบว่าเป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงเทพมหานคร จึงทรงแก้เคล็ดโดยโปรดให้ช่างดัดแปลงศาลหลักเมืองเสียใหม่ให้เป็นรูปปรางค์ และโปรดให้ถอนเสาหลักเมืองเดิมและประดิษฐานเสาหลักเมืองใหม่แทนที่

“หลานคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอกค่ะ หม่อมย่าอย่าเพิ่งกังวลล่วงหน้าไปเลย”

ปลอบหม่อมอุ่นอรุณไปเช่นนั้น หากลึกลงไปแล้วคุณหญิงฉัตรกนกก็ยังกังวล หลายเดือนมานี้มีข่าวซุบซิบกันหนาหูว่า มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังวางแผนก่อกบฏจับพระเจ้าอยู่หัวและราชวงศ์ไป เหมือนกับที่เกิดปฏิวัติในสหพันธรัฐรัสเซียเมื่อปีพุทธศักราช 2461

“กรมนครสวรรค์ฯ ทรงคุมทหารทั้งหมดอยู่ในมือ นอกจากนี้ยังทรงเป็นพระอาจารย์ ทหารทั้งหลายล้วนเป็นศิษย์ของพระองค์ท่านกันทั้งนั้น ไม่มีทางเกิดเรื่องที่หม่อมย่าเป็นกังวลแน่ๆ”

คุณหญิงฉัตรกนกหมายถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือทูลกระหม่อมบริพัตร ผู้ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญทางการทหาร ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร เรียกได้ว่าทหารทุกหมู่เหล่า ล้วนอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพระองค์ท่าน ดังนั้น การที่ทหารจะลุกขึ้นมาก่อกบฏไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้โดยง่าย

“ย่าก็หวังเช่นนั้น” หม่อมอุ่นอรุณถอนใจเบาๆ “แผ่นดินเราร่มเย็นเป็นสุข รอดจากสงคราม พ้นปากเหยี่ยวปากกาได้ก็เพราะบารมีของในหลวงทุกรัชกาล ย่านึกไม่ออกว่าแผ่นดินที่ปราศจากพระเจ้าอยู่หัว…เราจะอยู่กันได้อย่างไร…”

“ค่ำแล้ว น้ำค้างเริ่มลง…เราย้ายไปนั่งกันในห้องน้ำเงินกันดีไหมคะ”

แสงสุดท้ายของวันลับเลือนหาย ราตรีกาลคลี่คลุมโดยรอบ ผืนฟ้าคืนนี้มืดสนิท มีเพียงหมู่ดาวที่พริบพราวแสง อากาศเริ่มเย็นจนเกือบจะหนาว คุณหญิงฉัตรกนกเอ่ยชวนให้หม่อมย่าย้ายที่นั่งเข้าไปในห้องรับแขกของวัง ที่กระเบื้องบุผนังเป็นสีน้ำเงินเข้ม รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นก็บุด้วยกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม คนในวังจึงเรียกห้องรับแขกใหญ่นี้ว่า ‘ห้องน้ำเงิน’

“ดีเหมือนกัน นั่งตากยุงแบบนี้เห็นจะไม่ไหว ประเดี๋ยวจะป่วยไข้ไปให้ลำบาก” หม่อมอุ่นอรุณเห็นด้วย เธอขยับลุกขึ้นก่อนจะหันมาทางคุณหญิงฉัตรกนกอย่างเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้

“จริงสิ หญิงฉัตร วันมะรืนหลานว่างหรือเปล่า”

“ว่างค่ะ” คุณหญิงฉัตรกนกพยักหน้า

…มะรืนน่ะว่าง แต่พรุ่งนี้สิ…ไม่ว่าง

โชคดีที่เป็นวันมะรืน…

“หม่อมย่ามีอะไรหรือเปล่าคะ”

“เพื่อนย่าจะขอมาเยี่ยมชมโรงงานของเราสักหน่อย” เสียงของหม่อมอุ่นอรุณแผ่วเบาอยู่ในลำคอ

“เพื่อนของหม่อมย่า ใครกันคะ” คุณหญิงฉัตรกนกโคลงศีรษะด้วยความสงสัย

“คุณหญิงวิศวานฤมิต” หม่อมอุ่นอรุณเอ่ย

“คุณหญิงวิศวานฤมิต…” คุณหญิงฉัตรกนกได้ยินนามนั้นแล้วได้แต่เบิกตากว้าง ด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินหม่อมอุ่นอรุณเอ่ยชื่อของสตรีผู้นั้นออกจากปากของเธอ…



Don`t copy text!