เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง : บทนำ

เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง : บทนำ

โดย : ตฤณภัทร

เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง โดย ตฤณภัทร เรื่องราวของปรัชญาดา ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าการย้อนเวลาที่เคยอ่านในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมเธอยังย้อนเวลาไปเป็นทาสเมื่อร้อยปีก่อน ความรู้ที่สั่งสมในโลกปัจจุบันจะช่วยทำให้กอบกู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้ไหม นิยายออนไลน์สนุกๆ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“อีปริก มึงทำกระไรอยู่เหตุใดจึงมิรีบตักน้ำมา”

เสียงแหลมเอ่ยออกอย่างกระแทกกระทั้นเจือแววไม่พอใจที่ดังแหวกอากาศมานั้นมีผลทำให้ร่างเล็กที่กำลังหาบน้ำอยู่สะดุ้งโหยง ก่อนจะเร่งเดินให้เร็วขึ้น คานหาบไม้ไผ่ทั้งสองข้างนั้นถูกตะกร้าที่เต็มไปด้วยน้ำจับจองถ่วงดุลเอาไว้ ยามนี้ตะกร้าทั้งสองส่ายไหวไปมาตามจังหวะการเดินเร็วรี่

ด้วยความที่ตะกร้านั้นเป็นไม้สานยาด้วยชันสีเข้มเพื่อกันไม่ให้น้ำรั่วออก น้ำในนั้นจึงคงปริมาณดังเช่นเดิมไม่พร่องลงตั้งแต่จุดที่ตักมาจนถึงกลางทางเป็นเหตุให้ร่างของเด็กหญิงที่ยังไม่เติบโตเต็มที่โงนเงนคล้ายว่าใกล้จะหกล้มเต็มแก่

“มาแล้วจ้า” ปริกขานตอบเสียงดังอย่างแข็งขัน ก่อนเร่งฝีเท้าเพื่อให้ตนไปถึงจุดหมายให้เร็วขึ้น

“มึงนี่ขี้เกียจจนตัวเป็นขน ทำกระไรก็เชื่องช้า มึงคิดว่ามึงนั้นเป็นผู้ใดกัน เป็นลูกเจ้านายท่านรึ ช่างมิได้ความเสียจริงนังเด็กกำพร้า” เสียงบริภาษยังดังอย่างต่อเนื่องราวกับการด่าผู้อื่นเป็นความสุขของเจ้าของเสียงก็มิปาน

เด็กหญิงไม่ตอบคำ แต่เลือกที่จะเร่งมือเทน้ำจากตะกร้าทั้งสองใส่โอ่งดินใบเขื่อง และเมื่อเทน้ำจากตะกร้าใบที่สองจนหมดแล้วก็ทำให้น้ำเต็มโอ่งพอดี

“เสร็จเรียบร้อยแล้วจ้า” เด็กหญิงปริกเอ่ย ใบหน้ากระดำกระด่างส่งยิ้มซื่อๆ ให้

เจ้าของเสียงเรียกแสบแก้วหูเป็นหญิงวัยกลางคนร่างใหญ่ ด้วยความที่เจ้าตัวมักจะทำหน้าขมึงทึงอยู่เสมอจนเป็นนิสัยส่งผลให้ใบหน้าที่เดิมก็ไม่ได้งดงามเพิ่มความย่นยู่ขี้ริ้วขี้เหร่ อีกทั้งดูแก่กว่าวัยมากโข

“เอ็งจะยิ้มหากระไรของเอ็ง ตักน้ำเสร็จแล้วก็จงไปซักผ้า ข้าจักไปเอนหลังสักหน่อย แล้วหากตื่นมามิเห็นผ้าตากเสร็จเรียบร้อย ข้าจักบอกท่านว่าเอ็งน่ะเลี้ยงเสียข้าวสุก อ้อแล้วก็อย่าลืมยกสำรับไปให้คุณก้านท่านด้วยล่ะ” นางสีบอกด้วยน้ำเสียงถือดี ไม่ยี่หระว่าเด็กหญิงตั้งอกตั้งใจทำงานมากเพียงใด นางยังคงสาดถ้อยคำเผ็ดร้อนราวกับร่างจ้อยที่ยืนรับคำสั่งไม่มีชีวิตจิตใจ

…หึ นอกจากจะใช้แรงงานเด็กแล้ว เธอยังต้องรับหน้าที่เป็นสนามอารมณ์ให้หญิงวัยทองอีกหรือนี่

คล้อยหลังร่างอวบอ้วนที่เดินเข้าเรือนไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นหยาบๆ ไร้ความประณีตบ่งบอกถึงสถานะของเจ้าของเรือน ใบหน้าเปื้อนฝุ่นที่เคยใสซื่อก็เหยียดยิ้มอย่างเย้ยหยัน สายตาก็กลายกลับวับวาวราวกับพยัคฆ์จ้องเหยื่อชนิดที่ว่าหากความในใจกลับกลายเป็นจริงได้ละก็ ร่างเจ้าเนื้อของนางสีคงแดดิ้นลงตรงหน้าเป็นแน่

…แต่ก็ช่างเถอะ เพราะในที่สุดเธอก็ได้ขึ้นเรือนใหญ่เสียที

ไม่เสียแรงที่ปริกนั้นคอยตามก้นรับใช้นางสีตั้งแต่เมื่อแขนขาของเด็กน้อยเริ่มมีกำลัง หลังจากสังเกตความสำคัญของคนที่เป็นคล้ายๆ หัวหน้าแม่บ้านที่อยู่เหนือเหล่าทาสทั้งปวงของเรือนนี้ ทว่าความร้ายกาจทั้งปากคอเราะราย และนิสัยที่เรียกได้ว่าแทบจะไร้ซึ่งความเมตตาทำให้ไม่มีใครใคร่จะคลุกคลีกับนางหากไม่จำเป็น จะมีก็แต่ปริกลูกทาสกำพร้าพ่อแม่ไร้คนคุ้มหัวที่คอยวิ่งรับใช้ประจบประแจงเป็นภาพคุ้นชินของหมู่ทาสในเรือนแห่งนี้

หลังจากจัดแจงงานคนรับใช้ส่วนตัวของคนรับใช้เขาอีกทีเรียบร้อย ปริกก็รีบตรงไปยังส่วนครัวที่ใช้ทำอาหารของเจ้านาย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงได้มาเยือนที่ส่วนนี้ ตัวเรือนครัวดูสะอาดสะอ้าน กว้างขวางและเป็นสัดส่วนกว่าครัวของทาสมากนัก อีกทั้งวัตถุดิบทั้งสดทั้งแห้งมองปราดเดียวก็รู้ว่ามีคุณภาพมากกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด เด็กหญิงได้ถาดสำรับใหญ่ที่เต็มไปด้วยเครื่องคาวหวานในภาชนะเครื่ิิองเคลือบลวดลายงดงามดูก็รู้ว่าย่อมเป็นเครื่องกระเบื้องมีราคาสมฐานะเจ้าของเรือน

ด้วยความที่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะได้ขึ้นเรือนใหญ่ ปริกจึงประหม่าเล็กน้อย วันนี้เด็กหญิงจัดแจงอาบน้ำล้างตัวให้สะอาดที่สุด เลือกผ้านุ่งห่มที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้

…ไม่ว่าจะยุคสมัยใด พวกวีไอพีก็ชอบอะไรที่เจริญหูเจริญตาเสมอ

เด็กหญิงมองสำรวจเรือนไทยใต้ถุนสูงตรงหน้า ดูท่าคงจะสร้างด้วยไม้สักทอง สลักเสลาลวดลายหน้าจั่วและบานหน้าต่างงดงาม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือของช่างไม้ผู้เก่งกาจ เมื่อจ้องดูจากด้านล่างแล้วก็ให้รู้สึกอุปาทานถึงความเป็นชั้นสูงของเจ้าของเรือนขึ้นมา ช่างแตกต่างจากเรือนไม้ไผ่ของเหล่าทาสที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ พอให้ใช้ซุกหัวนอนเท่านั้น

ปริกวางสำรับลงบนโต๊ะไม้ที่ดูดีไม่แพ้ตัวบ้าน ก่อนจะใช้กระบวยวักเอาน้ำมาล้างเท้าที่เปื้อนดินโคลนให้สะอาดเอี่ยมเหมาะแก่การเดินบนเรือนหลังงาม ยังไม่ทันจะเสร็จดีเสียงกุกกักของฝีเท้าที่กำลังเดินมาหานั้นทำให้ปริกต้องหยุดการกระทำแล้วหันไปสนใจต้นตอของเสียง

ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาววัยกลางคนเช่นเดียวกับนางสี ปริกเคยเห็นนางอยู่บ้างเวลานางลงมาเจรจาความสั่งงานเพื่อให้นางสีจัดการให้ต่ออีกทอด ถ้าจำไม่ผิดนางคนนี้มีนามว่ามี แม้ว่าหญิงผู้นี้จะมีแววเป็นคนเข้มงวดทว่าก็ดูน่าคบหากว่านางสีอยู่โข ผ้าผ่อนที่นางใช้พันกายแม้ไม่ได้มีลวดลายวิจิตรนักทว่าก็ใหม่และมีสีสันที่ดูดีกว่า ต่างจากผ้าที่ปริกใช้มาทั้งชีวิต

“มึงชื่ออันใด กูมิคุ้นหน้าเลยหนา แล้วเหตุใดจึงเป็นมึงที่ยกสำรับขึ้นมา อีสีเล่า” แม้จะมาอยู่ในที่แห่งนี้หลายขวบปีแต่การพูดจาแบบกูมึงนั้นก็ยังทำเอาปริกสะดุ้งได้อยู่ แม้จะรู้ว่าเป็นคำพูดคำจาตามปกติไม่ได้ส่อไปในทางหยาบคายก็ตาม

“ฉันชื่อปริกจ้ะ ป้าสีวานให้ฉันยกสำรับขึ้นมาให้คุณก้าน” ปริกแนะนำตัว สองมือที่ประคองถาดอยู่เริ่มสั่นน้อยๆ ด้วยตั้งแต่รุ่งเช้าเด็กหญิงนั้นทำงานไม่ได้หยุดหย่อน ปริกส่งยิ้มที่คิดว่าดูใสซื่อที่สุดออกไปเพราะอยากจะวางถาดอันเต็มไปด้วยเครื่องคาวหวานอันแสนหนักอึ้งนี่ลงเสีย

…ของคาวหวานคุณภาพดีที่ตั้งแต่เกิดมาทาสอย่างเธอไม่มีวาสนาจะได้กินมัน

“เออ ท่าทางคล่องแคล่ว เอ็งตามข้ามา” นางมีกวักมือเป็นเชิงให้ตามมา เด็กหญิงจึงประคองถาดเดินตามช้าๆ นางมีเหล่ตามองปริกก่อนเอ่ยสำทับ “ถึงเอ็งจะยังเล็กนัก แต่จงจำไว้ มาทำงานก็จงให้ได้งาน มิใช่ว่าเอาแต่ส่งตาหวานหวังให้ท่านชุบเลี้ยงขึ้นเป็นเมีย”

ก่อนหน้านี้หน้าที่ยกสำรับมาบริการลูกชายคนเล็กของท่านเจ้าเรือนนางสีได้มอบหมายให้ทาสสาวรายหนึ่งเป็นธุระจัดการ แต่ไม่รู้อย่างไรจึงกลับกลายได้เป็นเมียบ่าวของลูกชายคนโตไปเสียฉิบ

…อุ้ย รู้ทันไปอีก

ปริกชะงักเล็กน้อยกับถ้อยคำที่คล้ายจะเป็นการปรามไว้ในที

ในระบบทาสนั้นแบ่งทาสออกเป็นหลายประเภทด้วยกัน มีทั้งแบบที่เป็นโดยเลือกเอง หรือเป็นโดยไม่มีทางเลือก บางแบบก็ไถ่ถอนตนเองได้ แต่ถ้าจะกล่าวถึงทาสในแบบที่ต่ำที่สุดชนิดที่ว่าเป็นพีระมิดชั้นล่างสุดละก็คงหนีไม่พ้นทาสในเรือนเบี้ย อันเป็นเด็กที่เกิดขึ้นในระหว่างที่พ่อแม่เป็นทาสอยู่ เรียกได้ว่าซวยขนานแท้ที่เกิดมาในชนชั้นที่ไร้อิสระแถมยังไม่อาจไถ่ถอนตนเองได้ด้วย

…และใช่ ปริกก็คือทาสแบบที่ว่านั่นแหละ

แต่ถึงแม้ตามทฤษฎีจะบอกว่าทาสในเรือนเบี้ยนั้นไม่อาจไถ่ถอนตนเองได้แต่ในทางเทคนิคนั้นก็พอจะเหลือแสงสว่างอันริบหรี่พอให้คนมีหวัง หากทาสนั้นเกิดเป็นชายแล้วบวชเป็นพระโดยความสมัครใจของนายทาส (ซึ่งส่วนมากย่อมสมัครใจเพราะคนยุคนี้เลื่อมใสในพุทธศาสนายิ่ง) ทาสชายผู้นั้นก็จะพ้นสถานะความเป็นทาสได้ ทว่าปริกเกิดมาเป็นผู้หญิง เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่อยู่ใต้ของใต้พีระมิดอีกที ดังนั้นหนทางเดียวที่เหลือคือการใช้ความสาวให้เกิดประโยชน์

…คือการจับนายทาสหรือลูกชายทำสามีเสีย

นี่คือเหตุผลที่ปริกยอมเป็นสนามอารมณ์ให้นางสีอยู่นาน เรียกได้ว่าตั้งแต่ตั้งไข่ได้เธอก็มักจะไปประจบเอาใจ บีบนวด รับใช้ ทำตามทุกอย่างที่สั่ง เพราะนางสีเป็นคนเดียวที่เลือกได้ว่าใครบ้างจะได้มาทำงานบนเรือน ทีนี้ขั้นต่อไปก็เหลือเพียงดูลู่ทางว่านายทาสคนไหนจะเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุด แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอยังไม่ถึงวัย แต่ก็คงมีเวลาวางแผนว่าจะ ‘จับ’ ใครดี

เรือนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าเรือนนั้นจะเป็นขุนนาง แต่ยศอะไรนั้นปริกก็ไม่อาจจะรู้ได้เพราะแม้ในหมู่ทาสนั้นจะชอบซุบซิบนินทาเรื่องเจ้านาย แต่ปริกก็ไม่เคยเข้าถึงตัวทนายหน้าหอที่ได้ใกล้ชิดเจ้านาย เธอจึงได้ข้อมูลที่ได้รับการพูดปากต่อปากจากเหล่าบรรดาทาส ที่แน่ๆ คือเจ้าของเรือนนั้นมีลูกชายอยู่สองคนซึ่งด้วยความน่าจะเป็นแล้วเธอก็ควรจะเลือกจับลูกคนใดคนหนึ่งจากสองคนนี่แหละ

“ข้าเบื่อเอ็งแล้ว ออกไปบัดเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มตะคอกดังอย่างไม่ไยดีทำให้ขบวนลำเลียงสำรับต้องชะงัก เมื่อเห็นว่านางมีค่อยๆ ย่อตัวลงเป็นเชิงว่าเจ้านายคนใดคนหนึ่งในบ้านกำลังจะเดินมา ทำให้ปริกต้องทำตามแต่ก็อดประท้วงในใจไม่ได้

…อะไรอีกเล่า ขอให้ได้วางถาดบ้านี่ก่อนไม่ได้หรือไง หนักจะตายอยู่แล้ว

“คุณทองเจ้าคะ อย่าทิ้งฉันเลย” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดไปด้วยสะอึกสะอื้นไปด้วย ปริกที่ลอบมอง อยู่พบว่าหญิงสาวคนนั้นทิ้งตัวลงแทบเท้าชายหนุ่มเจ้าของเสียงเลยทีเดียว

“ใช่เจ้าค่ะ หากว่าฉันทำอันใดให้ท่านขัดเคืองโปรดเอ่ยปาก ฉันไม่ทำอีกคราดอกเจ้าค่ะ” หญิงสาวอีกคนทิ้งตัวลงบนเท้าอีกข้างที่เหลือ

…แม่เจ้า เมียสอง แถมยังเร้าหรือขนาดนี้ ดูท่าว่านอกจากจะรวยแล้ว ก็น่าจะหล่อด้วย

ใจในของเด็กหญิงปริกอดจินตนาการไม่ได้ ในโลกเดิมที่เธอจากมานั้นมักจะมีละครเนื้อหาที่นางเอกย้อนอดีตมาเพื่อมารักกับคุณหลวงหนุ่มหล่อ หรืออะไรเทือกนั้นอยู่ ถึงแม้ด้วยนิสัยแล้วเธอไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้แต่เรื่องย่อก็มักผ่านเข้าหูอยู่ดี

“ก็บอกว่าไม่อย่างไร พวกมึงไสหัวไป กูเบื่อเต็มที” เสียงห้าวเอ่ยสำทับ ไม่สนใจเสียงอ้อนวอนที่ร้องประสานนั้นเลย

…หล่อเลือกได้ซะด้วย

ปริกค่อยๆ เงยหน้าหวังจะได้ชมความหล่อของทอง ลูกชายคนโตของเจ้าของเรือน ทว่าภาพชายหนุ่มเจ้าของเสียงห้าวที่เดินตึงตังใกล้เข้ามานั้นช่าง…เหนือไปกว่าจินตนาการของหล่อนสิ้นดี

ท่อนขาสั้นป้อมที่หนั่นแน่นไปด้วยเนื้อและไขมันจนทำให้มันดูสั้นลงไปอีกสะบัดหญิงสาวร่างบางทั้งสองจนกระเจิงได้สำเร็จ ร่างอวบอ้วนนั้นปาดเหงื่อที่ไหลโซมทั้งๆ ที่เขานั้นไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการรับมือกับสองสาว มืออันบวมโตลูบศีรษะตรงกลางที่ล้านเลี่ยนเป็นเงาซึ่งถูกประกบด้วยกลุ่มผมบางดูคล้ายเกาะเล็กๆ ที่ถูกทะเลล้อมรอบ แบบที่คนสมัยนี้เรียกว่า หัวล้านทุ่งหมาหลง

“โอ๊ย กูรำคาญยิ่งนัก เหตุใดกูจึงไม่ขี้ริ้ว กูปวดหัว กูอยากอัปลักษณ์เสียจริง”

ปริกชักไม่แน่ใจว่าตนเองหลุดมาอยู่ในวรรณคดีชื่อดังหรือเปล่าเพราะดูคล้ายว่าจะได้พบเจอกับตัวเอกของเรื่องเสียแล้ว

…ขุนช้างชัดๆ

“ข้าหิว ข้าหิว เมื่อไหร่ข้าวจะมา” ก่อนที่ปริกจะลองตบหน้าตัวเองดูเพื่อพิสูจน์ว่าตนนอนหลับฝันอยู่หรือไม่เสียงโวยวายที่แหบคล้ายเด็กหนุ่มเพิ่งเสียงแตก พร้อมเสียงตึงตังที่เบากว่าขุนช้าง เอ้ย คุณทองเล็กน้อยก็เรียกความสนใจของปริกไปเสียก่อน

“โถ ทูนหัวของบ่าว บ่าวกำลังยกมาให้คุณก้านแล้วเจ้าค่ะ” นางมีเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ และหันมาใช้เสียง ดุกับเธอเมื่อเอ่ยประโยคต่อมา “เอ้านังนี่ มัวทำกระไรอยู่ เร่งตั้งสำรับให้คุณก้านเข้าสิ”

เมื่อได้ยินว่ามีสำรับอาหาร ร่างกลมป้อมขาวจั๊วะจึงชะโงกหน้าจนตาสองคู่ได้สบประสาน ปริกพบว่าเจ้าของชื่อก้านดูเป็นเด็กกว่าเสียงแหบคล้ายเด็กกำลังแตกหนุ่มของตน ใบหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายทองคนพี่แต่มีผิวขาวกว่ามากและมีผมดกดำ ทว่าสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือขนาดตัว

…ขุนช้าง…น้อย

ปริกได้ยินเสียงรำพึงในใจของตน เหตุใดกันหนอ แผนการจับผู้ชายเพื่อยกระดับชีวิตต้องมาเจออะไรแบบ นี้ ไหนเล่าชายหนุ่มหล่อรวยสุดสมาร์ต เหตุใดเธอต้องมาเกิดในเรือนที่มีแต่ผู้ชายหน้าตาคล้ายขุนช้างด้วย

“โห หอม เอา ข้าจักกินๆๆ” ขุนช้างน้อยเอ่ยอย่างชอบใจเมื่อเปิดฝาถ้วยพบว่ามีแต่ของคาวหวานที่ล้วนแต่เป็นของโปรดทั้งสิ้น

ปริกจัดสำรับเพื่อให้ลูกชายคนเล็กของเจ้าของเรือนได้กินอย่างเหม่อลอย ความจริงที่ได้พบวันนี้ทำให้แผนจับผู้ชายที่คิดไว้มีเหตุต้องชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด เด็กหญิงมองเจ้าเด็กอ้วนที่กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยด้วยเสียงเคี้ยวดังแจ๊บๆ อดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดหนอชีวิตตนจึงต้องตกมาอยู่จุดนี้

…นั่นสินะ ที่แท้แล้วมันมีอะไรกันแน่

…ว็อท เดอะ ฟัค

…ใช่ ว็อท เดอะ ฟัค แล้วทำไมเด็กหญิงปริกลูกทาสจึงอุทานในใจเช่นนี้น่ะหรือ

…บางทีคงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2563

…ใช่ปีนั้นแหละ ไม่ผิดหรอก



Don`t copy text!