เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง บทที่ 3 : ได้เป็นเด็กถึงสองครั้ง

เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง บทที่ 3 : ได้เป็นเด็กถึงสองครั้ง

โดย : ตฤณภัทร

Loading

เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง โดย ตฤณภัทร เรื่องราวของปรัชญาดา ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าการย้อนเวลาที่เคยอ่านในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมเธอยังย้อนเวลาไปเป็นทาสเมื่อร้อยปีก่อน ความรู้ที่สั่งสมในโลกปัจจุบันจะช่วยทำให้กอบกู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้ไหม นิยายออนไลน์สนุกๆ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

สองปีต่อมา

“โอ๊ย เจ็บ เจ็บ เบาๆ หน่อยสิปริก” ก้านในวัยสิบเจ็ดปีร้องประท้วง มือซึ่งสมควรจะแข็งแรงไปด้วยมัดกล้ามแห่งวัยหนุ่มยังคงกลมป้อมอย่างเดิมไม่เปลี่ยนจับข้อมือของปริกแน่นเพื่อหวังไม่ให้ตัวยาที่แสบเหลือแสน มาต้องที่แผลอีก

“ไม่ทำแผลแล้วมันจะหายได้เช่นไรเล่าเจ้าคะคุณก้าน” ปริกมองชายหนุ่มที่โดยปกติแล้วผู้ชายวัยนี้จะเป็นชายที่โตเต็มวัยพร้อมออกเรือน ดูอย่างทาสชายในวัยนี้ร่างกายก็เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทว่าคุณก้านของเธอไม่เป็นเช่นนั้น

ทั้งที่ปริกลองคำนวณพลังงานในอาหาร พยายามเพิ่มเมนูผักลงไปโดยปรุงในรสชาติแบบที่เขาชอบ แต่กระนั้นความอ้วนท้วนสมบูรณ์ของก้านก็ยังเพิ่มขึ้นทุกวัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ชอบขยับร่างกาย ถ้าไม่กินกับนอนก็เล่นของเล่นไปตามเรื่อง อุปนิสัยยังเด็กแบบเสมอต้นเสมอปลายทั้งที่คนวัยเดียวกันในยุคนี้ซึ่งมีฐานะเดียวกันก็ล้วนมีตำแหน่งราชการกันแล้วทั้งนั้น

แม้แต่เปลวก็รับราชการในยศหัวหมู่แล้ว เธอแอบได้ยินผ่านๆ ว่าไม่นานคงได้เลื่อนเป็นพันเพราะสองปีนี้เขาทำงานแข็งขันไม่น้อย ถือว่าเขาก้าวหน้ารวดเร็วถ้าเทียบกับความเป็นคนธรรมดาของเขา

…นี่ถ้าเกิดเป็นลูกขุนน้ำขุนนางป่านนี้ไม่รู้จะไปไกลถึงไหนแล้ว

“ก็ยามันแสบอย่างไรเล่า เอ็งก็เอาที่มันมิแสบมาทามิได้หรืออย่างไร” ก้านยังคงเถียงอย่างข้างๆ คูๆ

“คุณก็น่าจะตั้งใจฝึกดาบเสียหน่อย จะได้มิโดนรังแก ดูทีรึตัวก็ใหญ่โตขนาดนี้” ปริกฉวยจังหวะที่ก้านกำลังตั้งใจฟังค่อยๆ ใส่ตัวยาอย่างเบามือขึ้น

“คิก” ก้านหัวเราะเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในวันนี้

“แล้วคุณขำกระไรเล่าเจ้าคะ” ปริกถามอย่างแปลกใจ มองใบหน้ากลมขาวที่บัดนี้เต็มไปด้วยสีแดง ม่วงช้ำทำให้ดูตลกด้วยและน่าสงสารด้วยในคราวเดียวกัน

“ก็ตลกที่เอ็งไล่ผู้ชายทั้งฝูงด้วยรังมดแดงน่ะสิ ไอ้พวกนั้นมันเปิดหนีแทบมิทัน ข้าละโชคดีที่มีเอ็ง”

ปริกอดกลอกตามองบนไม่ได้ นอกจากจะสมองทึบ สู้ใครเขาก็ไม่ได้ เจ้าก้านของเธอยังภาคภูมิใจที่เธอมักช่วยเขาได้เสมอ ช่างไม่สมกับที่เกิดในยุคสมัยนี้เสียจริง เพราะสมัยนี้ผู้ที่เจริญก้าวหน้าหากไม่เก่งทางการต่อสู้ ก็ต้องฉลาดเฉลียวซึ่งแน่นอนว่าสองคุณสมบัตินี้ไม่มีในตัวก้าน ปริกก็หวังว่าบารมีพ่อของเด็กหนุ่มจะคุ้มครองเขาไปได้แบบตลอดรอดฝั่ง

“แล้วดูสิเนี่ย หน้าคุณเป็นแผลเช่นนี้ ทั้งที่อีกไม่นานคุณหนูคู่หมั้นของคุณจะมาแล้ว เช่นนี้หากคุณแม่ของคุณมาเห็นเข้า…” พูดไม่ทันขาดคำเสียงตึงตังจากฝีเท้าที่กำลังเร่งเดินมาก็ดังขึ้น

“แย่แล้ว คุณท่านรู้เรื่องแล้ว” นายด้วงผู้เป็นทนายหน้าหอแจ้งข่าว ปริกที่กำลังนั่งบนตั่งเพื่อทำแผลจึงต้องรีบกระถดลงไปนั่งค้อมหัวแทบเท้าก้าน

“พ่อก้าน” นางมะลิมารดาของก้านร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นสารรูปของลูกชาย

“ชิบหายแล้ว” ปริกลอบบอกกับตัวเอง สบตาพ่อทนายหน้าหออย่างตระหนก

“เหตุใดจึงมีแผลทั่วตัวเยี่ยงนี้ พวกมึง เหตุใดลูกกูจึงเป็นเยี่ยงนี้ มึงบอกมาบัดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงนั้นแผดอย่างคาดโทษ

…สนามอารมณ์อีกแล้วฉัน

ปริกคิดอย่างหวาดๆ อันที่จริงเรื่องที่ก้านบาดเจ็บนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอแม้แต่น้อย ไอเดียทั้งหมดก็เป็นของบิดาของก้านนั่นแหละ ที่นอกจากเรื่องของวิชาการยังคาดหวังว่าลูกชายคนเล็กที่น่าจะเอาถ่านมากกว่าคนพี่ควรจะมีวิชาป้องกันตัว จึงนำก้านไปฝากตัวฝึกฝนในวัดร่วมกับลูกชายของขุนนางท่านอื่นๆ

แน่นอนว่าสภาพอุ้ยอ้าย และนิสัยอันแสนจะเหยาะแหยะของก้านสะกิดตา โดนใจ เพื่อนร่วมรุ่นเป็นอย่างดี ผลก็คือเขามักถูกรังแกอยู่เสมอ เด็กหนุ่มพวกนั้นมักแกล้งฝึกแล้วพลาดให้ก้านเจ็บ อย่างวันนี้ก็ทำทีจะช่วยฝึกแล้วรุมกันเข้ามา หากไม่ใช่เพราะวันนี้ปริกที่ตามไปรับใช้ช่วยเอาไว้มีหวังคงอ่วมกว่านี้

…ทว่าด้วยตำแหน่งอันแสนต้อยต่ำเช่นนี้ มีหวังไม่แคล้วว่าอีปริกนี่แหละเป็นคนผิด

“มึง อีปริก กูให้มึงไปรับใช้ลูกกู มึงด้วยไอ้ด้วง เหตุใดปล่อยให้คุณหนูเป็นเยี่ยงนี้” ถามประหลาด ทำอย่างกับว่าทั้งปริกและด้วงอันเป็นแค่ทาสและไพร่ธรรมดาจะมีสิทธิ์ไปต่อยตีลูกขุนนางอย่างนั้น ไอ้ลำพังลูกไม้ที่ใช้ก็มากเกินพอแล้ว

“ชะ ใช่ขอรับคุณแม่ แต่คุณแม่ไม่ต้องตกใจไป เดี๋ยวลูกจะลงโทษพวกมันทั้งสองให้หลาบจำขอรับ” ก้านเอ่ยละล่ำละลักเพื่อให้มารดาคลายกังวล

เย็นวันนั้นเสียงร้องโหยหวนของด้วงและปริกทำเอาบ่าวไพร่ในเรือนอดขนลุกไม่ได้ คิดแล้วก็โชคดีเหลือเกินที่ไม่ต้องไปรับใช้คุณก้านให้เสี่ยงต้องรับโทษ

“มิได้แล้ว เหตุพ่อก้านต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย” นางมะลิเอ่ยกับบ่าวคนสนิทด้วยน้ำเสียงมีแววกังวล

“อ้าว ก็คุณท่านมิใช่อยากลงโทษสองคนนั้นมิใช่หรือเจ้าคะ” นางบ่าวเอ่ย อดประหลาดใจกับท่าทีของนายตนไม่ได้ ก็เห็นอยู่ว่าโกรธปริกและด้วงเป็นกำลัง ค่าที่ไม่ยอมดูแลก้านให้ดี

“จริงอยู่ แต่ข้าหวังเพียงตีมันเสียทีสองที ข้าเองรู้แก่ใจว่าพวกมันมิได้ทำผิดถึงเพียงนั้นดอก” นางเอ่ย ด้วยไม่ได้คิดจะทำการรุนแรงอะไรมากมาย นางเพียงต้องการให้ก้านเห็นว่าหากไม่ดูแลตัวเองให้ดี บ่าวทั้งคู่ก็ต้องรับการลงโทษ ลูกชายที่นางรู้จักเป็นคนอ่อนโยนผลไม่น่าออกมาเป็นเช่นนี้

เรื่องนี้คุณหลวงผู้เป็นผัวได้ปรารภกับนางมาพักใหญ่ หากก้านไม่สามารถดูแลตนเองได้ เช่นนี้ความหวังสุดท้ายของตระกูลมิเท่ากับริบหรี่ดอกหรือ

“พักหลังๆ พ่อก้านก็ทำโทษพวกมันหนักมือขึ้นทุกที” น้ำเสียงของมารดาก้านเอ่ยอย่างเป็นกังวล ด้วยเกรงว่าบ่าวที่โดนข่มเหงมากเข้าจะเอาใจออกหาก ไม่ได้ซื่อสัตย์กับนายอย่างแท้จริง

 

“เอ็งก็พันไว้เยี่ยงนี้ แล้วก็เอาไว้สักเดือน ค่อยหาย” ปริกกะเกณฑ์การแต่งหน้าเอฟเฟกต์ฉบับโบราณกับนายด้วง เพื่อนร่วมชะตากรรมที่ลงเรือลำเดียวกันมากว่าสี่ปี

“อีปริก มึงนี่เก่งกาจ หน้ามึงเหมือนคนโดนตบสักยี่สิบทีได้” ด้วงชื่นชม

ปริกส่งยิ้มโชว์เลือดกบปากพร้อมหยดสีจากครั่งผสมกลีบดอกไม้ลงบนผ้าพันแผลให้ด้วง

“ข้าไม่เห็นเข้าใจ พวกเอ็งหาได้ทำอันใดผิด เหตุใดจึงต้องโดนลงโทษด้วย” ก้านมองสองบ่าวคนสนิทแล้วเอ่ยออกมาอย่างขัดใจ

พวกเขาร่วมขบวนการตบตาผู้อื่นในเรือนเช่นนี้มานาน ครั้งแรกๆ นั้นทั้งคู่ต้องเจ็บจริง โดนเฆี่ยนจริงด้วยเหตุผลอย่างเช่น ก้านเป็นแผลเพราะสะดุดขาตนเอง เป็นต้น

ก้านเองที่เป็นคนค่อนข้างใจอ่อน รู้สึกสงสารสองบ่าวเป็นอันมาก และเขาค้นพบว่าตนมีสิทธิ์จะลงโทษบ่าวไพร่เองได้ ทำเช่นนี้จึงจะเลือกทำที่ใดก็ได้ ยิ่งได้วิชาการแต่งแผลของปริก การโดนลงโทษก็แนบเนียนและเหมือนจริงขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญรอยแผลนั้นดูหนักหน่วงขึ้นตามความชำนาญของปริก ราวกับเจ้าตัวต้องการจะอวดฝีมือปานนั้น

…สมจริงขนาดที่บ่าวไพร่แทบไม่กล้ามารับใช้ใกล้ชิดก้านเลยทีเดียว

‘ดูที อุตส่าห์รับใช้ถวายหัว แต่นายกลับตีเอาราวจะฆ่าให้ตาย’ ปริกฟังคำเหล่านี้อย่างอดขำไม่ได้

“อันที่จริงพวกบ่าวก็ผิดจริงนี่ขอรับ เพราะพวกบ่าวมีหน้าที่ดูแลคุณหนู” ด้วงเอ่ย เขาสำนึกบุญคุณไม่น้อยทั้งเรื่องความเมตตา และความช่วยเหลือของนายอย่างก้าน

“ข้านี่ช่างมิได้เรื่องได้ราว” ก้านถอนหายใจ ดวงตาหยีเพราะแก้มใหญ่อูมบดบังมีประกายทดท้อ

…นั่นไง คุณก้านของบ่าว จะฮึดแล้วเป็นคนที่ได้เรื่องกว่านี้แล้วใช่ไหมหนอ

ปริกคิดอย่างคาดหวัง ทว่าแววทดท้อนั้นเผยออกมาแต่เพียงสั้นๆ เขาก็เปลี่ยนมาหัวเราะก่อนว่า “ถ้าอีปริกมาเกิดเป็นลูกชายคนเล็กบ้านนี้ก็ดี ตระกูลข้าคงโชติช่วงเป็นแน่”

…สงสัยหวังให้แมวออกลูกเป็นลิงคงง่ายกว่า เฮ้อ

“ไม่ต้องถึงกับเกิดเป็นลูกชายเรือนนี้ดอกขอรับ” ด้วงเอ่ย ก่อนลดเสียงเพื่อเล่าเรื่องที่ได้ยินบ่าวหนุ่มบนเรือนที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดเจ้าของเรือนโจษจันกันในเวลานี้ “เห็นว่ามีผู้ต้องการไถ่ตัวอีปริกด้วยนะขอรับ”

“ผู้ใด เอ็งบอกมาบัดเดี๋ยวนี้” ก้านเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แววขี้เล่นถูกทดแทนด้วยความจริงจัง

ปริกเองก็ตั้งตาฟังทีเดียว

“ก็หัวหมู่แปลว หลานชายของท่านครูอย่างไรเล่าขอรับ เขาขอนังปริกเป็นรางวัลครั้งชนะประลองกาพย์กลอนเมื่อหลายวันก่อน” ด้วงหมายถึงกิจกรรมผ่อนคลายของผู้ดีในยุคนี้ที่มักเล่นต่อกลอนกันยามว่างเพื่อแสดงถึงความฉลาดและไหวพริบ ซึ่งหากผู้น้อยสามารถแต่งกลอนได้ไพเราะถูกใจเจ้าของเรือนก็มักจะให้รางวัลตอบแทน

…ฉลาดมากเปลว สมแล้วที่เป็นความหวังของหมู่บ้าน

ปริกคิดอย่างชื่นชมในตัวของเปลว ชายหนุ่มคนนี้เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้การได้ แม้ชาติกำเนิดไม่ได้สูงส่งเป็นไพร่ที่ถูกสักแขนทว่าเขามักฝึกฝน และอุตสาหะจนได้ตำแหน่งข้าราชการแม้ยศจะต่ำสุดในบรรดาศักดิ์ทว่าก็มีโอกาสก้าวหน้ากลายเป็นมูลนายมีศักดินาได้ในสักวัน

“แล้วอย่างไร พ่อข้าให้หรือไม่” ก้านถาม อดชังน้ำหน้านายเปลวไม่ได้ ค่าที่กล้าขอบ่าวคนโปรดของตนไปอย่างหน้าด้านๆ

…เป็นเพียงไพร่ชั้นต่ำ ได้พ่อเขาชุบชูเข้าหน่อยก็คิดกำแหงงั้นรึ

“เอ่อ” ด้วยรู้สึกถึงอารมณ์กรุ่นโกรธของเจ้านาย ด้วงจึงคิดเล่าเรื่องอย่างระมัดระวัง โดยมีปริกคอยลุ้นจนตัวโก่ง

…ให้ไม่ให้ เล่ามาสิวะด้วง

“ไม่ให้ขอรับ” คำตอบของเขานำมาซึ่งการถอนหายใจอย่างโล่งอกของก้าน

ส่วนปริกก็ลอบถอนใจอย่างเซ็งเป็นที่สุด

“ด้วยท่านว่านังปริกเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณก้าน หากอยากได้ก็ต้องขอจากคุณก้านด้วยตนเอง” ด้วงอธิบาย

“ฮึ ไม่มีทาง ไม่ให้เด็ดขาด” ก้านเอ่ยถึงเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ “เอ็งเองก็จะไม่ไปใช่ไหมปริก แน่ละว่าใช่ เอ็งจะอยู่กับข้าจนตายนั่นแหละ”

ปริกที่โดนวางตำแหน่งเป็น ‘ขี้ข้าไปจนตาย’ ยิ้มตอบอย่างแกนๆ ดูเหมือนว่าเธอจะรับใช้ก้านได้ดีจนเกินไป ทว่าเธอก็อดหวังไม่ได้ว่าเมื่อก้านได้แต่งงานออกเรือนไป เด็กหนุ่มคงหันไปสนใจเมียมากกว่าทาสรับใช้เช่นเธอ และหวังว่าเปลวนั้นจะยังไม่ท้อและถอดใจไปก่อน เพราะความหวังที่จะหลุดพ้นจากความเป็นทาสนั้นขึ้นอยู่กับเขาเพียงคนเดียวแล้ว

 

การอาบน้ำช่วงเย็นนั้นนับเป็นความสำราญอย่างหนึ่งสำหรับปริก แม้ว่ามันจะเรียบง่ายทว่าสำหรับทาสที่เวลาแทบทั้งหมดเป็นของนาย เวลาส่วนตัวเช่นนี้นับว่ามีค่าดั่งทองก็ว่าได้

ปริกใช้บวบขัดตัวพลางสำรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จะมีกี่คนที่จะได้รับโอกาสเป็นเด็กสองครั้ง แถมยังต่างช่วงเวลาอีกต่างหาก

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้ส่องกระจกสีขุ่นหรือที่คนในยุคนี้เรียกว่าคันฉ่องเธอก็พบว่าปริกนั้นมีใบหน้าที่ต่างกับปรัชญาดา ก็ไม่แปลกใจนักหรอกเพราะมันก็เป็นไปตามกฎของดาร์วินในเรื่องของวิวัฒนาการ ความทรงจำเกี่ยวกับหน้าตาในภพก่อนนั้นค่อยๆ เลือนรางไป ถูกแทนที่ด้วยใบหน้ารูปไข่ที่มีดวงตาดำสนิทใต้คิ้วหนาเมื่อกอปรกับแพขนตาจึงทำให้มันดูคมเข้ม รวมกับจมูกขนาดพอดี และปากเป็นกระจับชัดเจน ปริกก็เห็นว่าตนเองหน้าตาใช้ได้ แต่ก็ไม่นับว่าสวยงามจิ้มลิ้ม ออกจะดูคมเข้มมากกว่า

ถึงแม้หน้าอกหน้าใจยังคงความแบนราบต่างจากชาติก่อน ทว่าผิวสีน้ำผึ้งก็เริ่มเปล่งปลั่งออกนวลเพราะวัยสาว เธอชักสงสัยว่ายามที่ร่างกายนี้เติบโตอย่างเต็มที่จะเป็นอย่างไร

“นั่นผู้ใด” เสียงบุรุษมีกังวานแว่วหวานที่ถามมาทำให้ปริกอดขนลุกอย่างประหลาดไม่ได้ หญิงสาวลอบมองรายรอบที่ก่อนหน้านั้นเคยเต็มไปด้วยทาสสาวที่จับจองริมตลิ่งเพื่อทำความสะอาดร่างกาย แต่บัดนี้กลับไม่เหลือร่องรอยของคน

…ดูท่าเธอคงกำลังเหม่อลอยจึงไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงนี้

ที่แท้ผู้ที่ถามเธอก็คือนายทองพี่ชายของก้าน เมื่อเห็นว่าเป็นเขาปริกจึงกระชับผ้าเนื้อหยาบปกปิดร่างกายเอาไว้ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียบเคารพนบนอบ

“ขออภัยเจ้าค่ะ” เธอเอ่ยขอโทษแม้ว่าคนที่ควรขอโทษจะเป็นทองที่อยู่ๆ ก็มาเดินเพ่นพ่านที่ตลิ่งอาบน้ำของทาสต่างหากก็ตาม

“เอ็งชื่อกระไรรึ” น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความพึงใจเสียจนปริกขนลุก มืออวบอ้วนเชยคางของคนที่พยายามฝืนก้มหน้าจนได้มองใบหน้าชัดถนัดขึ้น

“ข้าชื่อปริก เป็นบ่าวของคุณก้านเจ้าค่ะ” ปริกรีบเอ่ยบอกสังกัดอย่างรวดเร็ว รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด

“ไม่ยากดอก ก้านเป็นน้อง อย่างไรย่อมต้องยกเจ้าให้ข้า” ทองเอ่ยอย่างมั่นใจ แววตาพึงใจวาบไวอย่างไม่ปิดปัง ด้วยเบื่อเมียเก่าๆ เต็มกำลัง เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังอยู่ในวัยแรกแย้มก็อดอยากได้ตามวิสัยชายที่ชมชอบสตรีมิได้

…ให้กับพ่อเอ็งน่ะสิ

ปริกคิดหาทางหนีทีไล่

มือหนายื่นมาจับไหล่บางอย่างถือวิสาสะ ปริกมองทองส่งยิ้มพึงใจ ยิ้มที่เธอมองว่าน่าขยะแขยงยิ่งกว่าครั้งใด

…ไม่ใช่ขยะแขยงเพราะเขารูปชั่ว ทว่าชายผู้นี้เป็นคนที่หาดีแทบไม่ได้ เป็นชายที่ปริกไม่คิดจะเป็นเมียแม้ว่าการยอมเป็นเมียเขาจะช่วยให้เธอหลุดพ้นจากตำแหน่งทาสก็ตาม

“เฮ้ย คุณทองเจ้าคะ จะ…ใจเย็นๆ เจ้าค่ะ” ปริกเบี่ยงตัวออกจากการเกาะกุมอันหยาบโลน วิ่งหลบขวาทีซ้ายทีราวกับกำลังต้อนวัวกระทิง

“มาเป็นเมียข้าเถิดปริก ข้ารักเอ็งยิ่งนัก”

…ว้อย ไอ้ ไอ้ หื่นเอ้ย

ปริกคิดอย่างรังเกียจก่อนเห็นช่องที่ตนจะวิ่งหนีได้ นาทีนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือต้องวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือจากก้านเพราะถึงแม้จะเสี่ยงกับการโดนลงโทษ ก็ย่อมดีกว่าถูกทองลากไปปล้ำเป็นแน่ ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดเอาตัวเข้าแลกเพื่อความสบายๆ แต่เมื่อโดนคุกคามเอาจริงๆ ปริกก็พบว่าเธอรู้สึกกลัวไม่น้อย

“จะหนีฉันไปไหน แม่ปริก ทูนหัว” เสียงเรียกอย่างรื่นรมย์ประกอบกับเสียงฝีเท้าที่ดังเลื่อนลั่นตามน้ำหนักตัวที่น่าจะเกินร้อยของทอง ทว่าไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนความหื่นเป็นพลังหรืออย่างไรจึงมีแรงวิ่งไล่เธอทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาเป็นคนเหนื่อยง่ายตามวิสัยของคนน้ำหนักเยอะแท้ๆ

“คุณพี่” เสียงเรียกเยียบเย็นทำให้ปริกต้องหันมองที่ต้นเสียง ก่อนจะเบรกแทบหัวทิ่มเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนตรงหน้าคือเนียม ภรรยาเอกของทองพร้อมบ่าวไพร่ติดตามด้วยนางเพิ่งกลับจากการไปเยี่ยมเรือนของบิดามารดา

“คุณเนียมเจ้าคะ” ปริกทรุดตัวลงนั่งพื้นอย่างเจียมตัว รู้สึกดีใจที่เมียคนสวยของนายทองกลับมาในเวลาที่ถูก เป็นที่รู้กันว่าถึงจะเจ้าชู้ปานใด ทองก็ยังให้เกียรติเมียเอกอย่างเนียม อย่างน้อยคงไม่หักหาญลากเธอไปปล้ำเอาต่อหน้าเมียเอกได้หรอก

“น้องเนียม กลับมาแล้วหรือ” ทองเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ ลอบถอนหายใจอย่างเสียดาย อ้อยกำลังเข้าปากช้างอยู่ทีเดียว

“ทำกระไรอยู่เจ้าคะ” เนียมถามเสียงเย็น มองปริกที่ก้มหัวต่ำจนศีรษะแทบอยู่ระดับเดียวกันกับปลายเท้านาง สลับกับมองผัวของตนที่เพิ่งหยุดพักจากการวิ่งไล่นางทาสเสียจนเหนื่อยหอบ ก่อนส่งประกายอำมหิตมาที่ปริกเมื่อนึกเดาเรื่องราวได้

“อีทาส มึง มึงยั่วยวนผัวกูงั้นรึ”

…อื้อหือ เห็นอยู่ว่าฉันวิ่งเปิดขนาดนี้ยังโยนความผิดมาที่ฉันอีก

“มึง อีแดกแห้ง นี่มึงคิดจะยกฐานะ เสนอตัวให้คุณพี่ของกูใช่หรือไม่” เนียมด่าว่าด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง ประจานด้วยคำด่าว่าปริกนั้นนึกจะมีผัวตั้งแต่อายุน้อย

…ไม่อยากมีโว้ย

ปริกที่ก้มหัวอยู่รีบตอบอย่างรวดเร็ว

“มิได้เจ้าค่ะ มิได้เจ้าค่ะ” ด้วยเพราะทราบดีว่าไม่ว่าตนเองจะพูดอันใดออกไปล้วนจะส่งผลร้ายทั้งสิ้น ปริกจึงได้แต่ปฏิเสธ เธอเห็นมานาน ทุกครั้งที่เนียมจะจัดการใคร นางไม่เคยฟังคำพูดจากปากคนผู้นั้นอยู่แล้ว

ข้างฝั่งนายทอง เมื่อตนเองโดนจับได้ ด้วยความที่ไม่อยากมีปัญหา จึงหวังจะสลัดเรื่องออกไปให้พ้นตัว จริงอยู่ที่กับเมียเล็กเมียน้อยเขาเปรียบเสมือนเจ้าชีวิต แต่สำหรับนางเนียมที่นอกจากจะเป็นเมียเอกแล้วยังเป็นหน้าเป็นตา ด้วยนางเป็นข้าหลวงเก่าที่ผู้เป็นบิดาขอพระราชทานออกมาให้ตบแต่งกับเขา กอปรกับความเด็ดขาดที่เป็นนิสัยทำเอาคนตาขาวเช่นเขาไม่อยากต่อกร จึงตัดสินใจอย่างเสียดายทอดสายตามองร่างบางที่นั่งแทบเท้าเมียเอกของตนก่อนเอ่ยปัดสวะเพื่อเอาตัวรอด

“พี่เคยสาบานกับน้องแล้ว ว่าจักไม่มีเมียเพิ่ม หากผิดคำขอให้ถูกกุดหัว น้องจำได้หรือไม่” เขาย้ำถึงคำสาบาน “แต่อีนี่น่ะสิ มันยั่วยวนพี่”

…อื้อหือ ไอ้อ้วนตกมัน สาดโคลนมาแล้ว แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม

ภาพความทรงจำที่ตนเคยเห็นวิธีจัดการ ‘เด็กเสี่ย’ ของเมียหลวงลอยเข้ามาในมโนสำนึก ที่หนักสุดเห็นจะไม่พ้นนางแป้นที่โดนโบยเสียอาการสาหัสจนลุกไม่ขึ้นอยู่สามเดือน ยิ่งประจักษ์ว่าคำของตนนั้นรังแต่จะทำให้เดือดร้อนเพิ่มขึ้น ปริกก็รู้สึกจนปัญญายิ่งนัก ในภพก่อนยามที่อ่านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทาสเธอเคยปรามาสบรรดาทาสว่าเหตุใดจึงไม่รวมตัวกันทวงความยุติธรรม ปล่อยให้โดนกดขี่อยู่ได้ รวมถึงนึกดูถูกตัวละครทาสชื่อดังที่เงียบปากจนชีวิตเดือดร้อน ยามเมื่อประสบเองจึงได้ทราบ ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาเหล่านั้นทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้

…หากปฏิเสธว่าไม่ได้ยั่วยวน เนียมย่อมไม่เชื่อ ถึงเชื่อนางไม่มีทางโทษว่าเป็นความผิดของผัวรัก

แรงจิกบนศีรษะทำให้ใบหน้าปริกเชิดหงายจนดวงตาสานสบกับประกายตาแน่วแน่ของเนียม

“มึงก็งามนี่ จึงคิดใช้ใบหน้านี้ยั่วยวนคุณพี่ของกูใช่หรือไม่ กูจะทำให้มึงทำมิได้อีกต่อไปเทียว อีขี้ครอก”

“พี่ทวน รีบไปแจ้งคุณก้านเถิด” แป้นที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่รีบสั่งผัว อย่างไรเสียเด็กปริกก็นับว่ามีน้ำใจต่อบรรดาทาสร่วมเรือน ใครที่เจ็บป่วยเล็กน้อยแล้วหยูกยาไม่พอมันก็มักหาหนทางบรรเทาอาการจนทุเลา

นายทวนรีบพยักหน้ารับคำก่อนเร่งฝีเท้าเพื่อแจ้งเรื่องต่อก้าน ใครๆ ต่างรู้กันว่าปริกเป็นข้ารับใช้ที่ถูกใจเพียงคนเดียวของก้าน หลายเสียงเล่าลือว่าก้านได้ปริกเป็นเมียบ่าวแล้วเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก้านคงหาทางช่วยได้หากมาทันเวลา

ข้างฝั่งปริกที่ถูกกระชากลากถู ตัดสินใจเอ่ยอย่างประนีประนอมด้วยเสียงที่สั่นอย่างหวาดกลัวจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง

“คุณเนียมเจ้าคะ บ่าวสาบานว่าจักไม่มาให้คุณทองเห็นอีก เมตตาบ่าวเถิดเจ้าค่ะ”

“กูมิให้มึงถึงตายดอก อาญาบ้านอาญาเมืองล้วนมี เพียงแต่กูต้องมั่นใจ” นางบอกเสียงเย็น เหตุใดตนจะไม่รู้ถึงนิสัยใจคอผู้เป็นสามี ทว่านางไม่อาจเอาความกับเขา ทำได้เพียงปรามทางฝั่งทาสเพียงเท่านั้น

เสียงฮือฮาของเหล่าไพร่ชายที่กำลังต่อแถวเพื่อรอสักเลกเข้าสังกัด ทำให้ชายชราที่ทำหน้าที่สักหมึกเขม้นมอง เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาใหม่คือเนียม เขาจึงทรุดตัวลงจากแคร่เพื่อทำความเคารพ

“คุณเนียมมาถึงนี่ มีกระไรให้กระผมรับใช้ขอรับ”

“สักหน้ามัน สักหมึกกลางหน้าผากมัน” เอ่ยจบก็ผลักปริกเสียจนล้มคะมำ เด็กหญิงรู้สึกเจ็บแสบบริเวณหัวเข่า หรือจะพูดให้ถูกคือระบมทั้งตัวเลยก็ว่าได้

โดยปกติการสักเลกนั้นมักจะทำกับผู้ที่เป็นไพร่เพื่อบอกสังกัดว่าตนอยู่ภายใต้ขุนนางกรณีที่เป็นไพร่สม หรือสังกัดกรมกองอันใดในกรณีที่เป็นไพร่หลวงของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ซึ่งบางครั้งนายทาสอาจจะสักหมึกลงบนตัวทาสในสังกัดเช่นเดียวกัน ทว่าไพร่หรือทาสที่จะรับการสักนั้นล้วนแต่เป็นชาย หาได้มีการสักบนตัวของไพร่หรือทาสหญิง เว้นเสียแต่ได้รับโทษทัณฑ์จนต้องถูกประจาน

แต่เมื่อดูท่าทางของเนียมแล้วเห็นได้ชัดว่าเด็กปริกนี่ต้องถูกตาต้องใจบุตรชายคนโตของหลวงพาณิชย์ณรงค์อย่างแน่นอน ไพร่ชรามองดูแล้วก็ให้จดจำได้ ด้วยนางเด็กคนนี้เคยช่วยพยาบาลหลานชายแบเบาะของตนในยามที่ป่วยไข้ จึงคิดถ่วงเวลาเพราะรู้ดีว่าปริกใช่จะไร้คนค้ำหัว

“มันทำผิดกระไรรึขอรับ” ไพร่ชรากล่าวถาม

“กูหาต้องตอบคำถามมึงไม่ กูบอกให้มึงสัก ก็สักบัดเดี๋ยวนี้”

“ช้าก่อนขอรับ” เสียงอันคุ้นเคยราวกับระฆังช่วยชีวิตเรียกให้ปริกที่ทั้งเจ็บและเหนื่อยอ่อนมองดูก้านที่วิ่งกระหืดกระหอบมาอย่างโล่งใจ

“คุณก้าน” เนียมเอ่ยอย่างเกรงๆ เริ่มระลึกได้ว่าแท้จริงนางบ่าวคนนี้ก็คือเด็กรับใช้ส่วนตัวของน้องสามีนั่นเอง

“พี่เนียมอย่าทำกระไรปริกมันเลยนะขอรับ” ก้านร้องขอ เด็กหนุ่มพินิจร่างเล็กที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ แววไม่พอใจที่ฉายออกมาทางดวงตาทำให้เนียมรีบอธิบายเหตุผลของตนเอง

“อีนี่มันยั่วยวนคุณพี่ พี่เพียงอยากสั่งสอนให้มันหลาบจำ เพียงสักหน้าผากเท่านั้น มิทำอื่นใดมากกว่านี้”

…โถแม่คุณ ช่างใจดีเนาะ แค่สักหน้าผากเอ๊ง ถุย

ปริกที่ท้าต่อยในใจแต่กายหยาบก้มต่ำ อดคิดด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ นอกจากความซวยที่ตนเองดันไปถูกตาต้องใจนายทองแล้ว เธอไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่ต้องมาโดนสักหน้าเนี่ยนะ

“หาได้ไม่ขอรับ และคุณพี่ไม่ต้องห่วง ปริกมิมีทางเป็นเมียของคุณพี่ทองได้เด็ดขาด”

“น้องหมายความว่ากระไร”

“เพราะนางทาสผู้นี้เป็นเมียของผมอย่างไรเล่าขอรับ เกรงว่าพี่เนียมคงกำลังเข้าใจผิดแล้ว” ก้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง ไม่แหยเหมือนยามปกติ เขาส่งสายตาให้ปริกราวกับส่งพลังเพราะมันทำให้เด็กหญิงรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่คิดว่าจะได้รับจากเจ้าเด็กอ้วนนี่มาก่อน



Don`t copy text!