เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง บทที่ 1 : ข้ามภพ

เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง บทที่ 1 : ข้ามภพ

โดย : ตฤณภัทร

เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง โดย ตฤณภัทร เรื่องราวของปรัชญาดา ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าการย้อนเวลาที่เคยอ่านในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมเธอยังย้อนเวลาไปเป็นทาสเมื่อร้อยปีก่อน ความรู้ที่สั่งสมในโลกปัจจุบันจะช่วยทำให้กอบกู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้ไหม นิยายออนไลน์สนุกๆ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“ขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งพันคนในห้าวัน ล่าสุดกรมอนามัยโลกจัดให้โรคนี้เป็นการระบาดครั้งใหญ่ เพราะได้แพร่กระจายไปทั่วโลก…”

เสียงผู้ประกาศข่าวประจำช่องข่าวอันดับหนึ่งของประเทศรายงานสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่หน้าโทรทัศน์นั้นไม่ได้กังวัลเรื่องการระบาดของโรคมากไปกว่าการเลือกเมนูอาหารเที่ยงวันนี้

“รอบนี้กินคลีนๆ หน่อยแล้วกัน” ปรัชญาดาสรุปกับตัวเองก่อนกดสั่งอาหารในแอปลิเคชันสั่งอาหารชื่อดังซึ่งนับเป็นทางเลือกที่สะดวกในเวลาที่คนไม่สามารถออกนอกเคหสถานอย่างใจ เนื่องจากหวาดหวั่นในโรคระบาดที่นับวันก็เรียกว่าใกล้ตัวเข้ามาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปี

ระหว่างที่รออาหารมาส่งปรัชญาดาตัดสินใจเดินไปที่ระเบียงเพื่อนำผ้าที่เพิ่งซักเสร็จมาตาก หญิงสาวมองลงไปบนถนนในเมืองหลวงที่โดยปกติจะต้องคลาคล่ำไปด้วยยานพาหนะและผู้คนมากมายที่สัญจรผ่านไปมา ทว่าวันนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่าหลายเดือนที่ผ่านมาบรรยากาศช่างแตกต่างไปสิ้นเชิง ถนนที่เคยแน่นขนัดบัดนี้โล่งอย่างน่าใจหาย

…ไวรัสตัวนี้มันเก่งจริงๆ เล่นเอาวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนไป

…แต่นั่นแหละเธอเก่งกว่ามัน แล้วโลกจะต้องบันทึกชื่อปรัชญาดาเอาไว้

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกหญิงสาวออกจากภวังค์ เธอหรี่ตาอย่างแปลกใจเพราะมันดังเร็วขึ้นเกินกว่าจะเป็นการโทร.จากคนส่งอาหาร และเมื่อเธอเห็นชื่อคนปลายสายก็อดกลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายไม่ได้ ทว่าตำแหน่งอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเคยช่วยเหลือเธอดีมาตลอดที่ค้ำเอาไว้ ปรัชญาดาจึงไม่อาจตัดสายทิ้งได้อย่างใจต้องการ

“สวัสดีค่ะอาจารย์อนันต์” หญิงสาวทักทายด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแตกต่างจากแววตาโดยสิ้นเชิง

“แป้ง” ปลายสายเรียกชื่อเล่นของเธอ กังวานเสียงของเขายังคงนุ่มนวลเปี่ยมความเมตตาไม่ต่างจากครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอกัน “อาจารย์รู้ว่าเรื่องนี้มันจะทำให้แป้งสูญเสียผลประโยชน์ไม่น้อย แต่ถ้าแป้งยกวัคซีนตัวนี้เป็นสาธารณะมันจะดีต่อทุกคน เพราะถ้าแป้งตกลงขายสิทธิบัตรไปแล้วกว่าตัวยาจะกลับมาที่เราคงนานมาก ไม่นับราคาที่คงถีบตัวสูงขึ้น แต่ในภาวะแบบนี้อาจารย์อยากให้แป้งเปลี่ยนใจ”

คำโน้มน้าวนั้นทำให้ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

…ช่างโลกสวยราวกับวิ่งในทุ่งลาเวนเดอร์ สมกับเป็นอาจารย์อนันต์จริงๆ

“อีกอย่าง การที่แป้งคิดค้นวัคซีนนี้ได้ในวันที่แป้งไม่ได้สังกัดบริษัทไหน อาจเป็นโอกาสที่ดีที่แป้งจะได้ช่วยคนทั้งโลกนะลูก” ศาสตราจารย์ดอกเตอร์อนันต์เอ่ยสำทับ หวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าลูกศิษย์จะทำตามคำขอ

“อืม เรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่ค่ะ แป้งขอเวลาคิดสักวันสองวัน” แล้วก็จะบอกว่า แป้งขายไปแล้วค่ะ “ค่ะ สวัสดีค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะคะอาจารย์”

…สาธารณกุศลงั้นเหรอ ให้ฟรีๆ เลยงี้ มันจะไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือไง

ปรัชญาดาคิดอย่างหยันๆ ไม่ง่ายเลยกว่าที่เด็กกำพร้าอย่างเธอจะได้มายืนอยู่จุดนี้ แม้ว่าผู้อุปการะของเธอจะดูแลเธอไม่ให้ลำบากนัก ทว่าทุกสิ่งที่มีอยู่ และความยิ่งใหญ่ที่กำลังจะได้มานั้นเธอล้วนสร้างเองทั้งสิ้น กว่าจะได้เป็นนักวิจัยยาที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้เธอทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ แม้แต่การมาเป็นนักวิจัยอิสระแบบนี้ได้ก็ต้องแลกกับเงินใช้ทุนก้อนใหญ่ที่เธอต้องจ่าย…ซึ่งมันก็ไม่ฟรี ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้อะไรมาฟรีๆ เลย

ตั้งแต่จำความได้เธอต้องเป็นเด็กดี ไม่สร้างปัญหา ต้องยิ้มตาใสเวลาที่มีคนเข้ามาเยี่ยมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนเมื่อได้รับอุปการะจากครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องของกฎระเบียบ ความรักความเมตตามากมายนั้นล้วนได้มาจากการที่เธอหัวดี เป็นเด็กทุน เรียนเก่งเป็นหน้าเป็นตาให้กับคู่สามีภรรยาที่ไม่อาจมีลูกได้ทั้งที่ตนนั้นเป็นคนมีฐานะทางสังคม ปรัชญาดารู้ดีว่าเธอก็ไม่ต่างจากเครื่องประดับส่งเสริมฐานะ

ทว่าหญิงสาวไม่เคยนึกน้อยใจ ด้วยเข้าใจกฎการแลกเปลี่ยนนี้ดี เธอยอมเป็นตุ๊กตาตัวสวยที่ชุบชูให้ผู้อุปการะได้ยิ้มไม่หุบทุกครั้งยามมีคนกล่าวถึงความเก่งกาจของเธอ ดังนั้นเมื่อทั้งคู่จากเธอไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ นอกจากความรู้สึกวูบโหวงที่ตนเองกลายเป็นคนไร้ญาติอย่างสมบูรณ์ น้ำตาสักหยดก็ไม่ได้ออกมาเพราะปรัชญาดามั่นใจว่าเธอจ่ายคืนครบแล้ว

…แล้วทำไมเธอต้องแลกน้ำพักน้ำแรงที่ใช้สมองคิดมาอย่างยากลำบากไปกับไอ้คำว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลกด้วยเล่า

หลังรับอาหารที่มาส่ง หญิงสาวแจกหน้ากากอนามัยให้ชายหนุ่มผู้ส่งของไปหลายชิ้นอย่างใจป้ำ เพราะเธอมีใช้มากมายไม่ขาดแคลน

…นี่ไง ก็แบ่งแล้วไง

หญิงสาวไม่คิดหรอกว่าการรับผลประโยชน์จากฝีมือตนจะเป็นเรื่องที่ผิด เพราะสุดท้ายวัคซีนก็จะถูกขายไปทั่วโลกเพื่อนำมารักษาโรคที่กำลังระบาดจนส่งผลต่อชีวิตคนในวงกว้าง ถึงแม้จะแพงหน่อยก็ตาม อีกทั้งเธอยังคิดเอาไว้ว่าจะกันเงินส่วนหนึ่งเพื่อบริจาคต่างหากซึ่งก็เป็นจำนวนไม่น้อย

…เอาน่า ก็ทรัพย์สินทางปัญญานี่นะ

หญิงสาวคิดอย่างสบายใจโดยลืมคิดไปว่าชีวิตมันไม่แน่นอน ค่าตอบแทนก้อนใหญ่นั้นก็ใช่ว่าจะพกติดตัวไปได้ทุกที่

…อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับโลกหลังความตาย

…ก็ถึงแม้รถจะโล่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นไม่ได้ จริงไหม

 

ปรัชญาดามองบรรยากาศอันแสนขมุกขมัวรอบตัวอย่างประหลาดใจ หญิงสาวยกมือขึ้นมาในระดับเดียวกันกับสายตาก็พบว่าเธอมองเห็นมือของตนเองไม่ชัดเจนด้วยม่านหมอกที่บดบัง ทว่าแสงสว่างที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งบอกให้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ทางตัน เธอเองก็เดินมาไกลพอสมควรแล้วก็ยังไม่ทราบว่าตนอยู่ที่ไหน รู้สึกได้ก็แต่ความเย็นเยียบของพื้นใต้ฝ่าเท้า

…เอ๊ะ นี่เราเดินเท้าเปล่าหรือ

ปรัชญาดาคิดอย่างแปลกใจ อันที่จริงเวลานี้เธอควรจะได้เซ็นสัญญาสำคัญ สัญญาที่จะนำชื่อเสียงในฐานะนักวิจัยยารวมไปถึงผลประโยชน์มหาศาล ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับเลือนรางราวกับเป็นเรื่องราวที่ไม่สลักสำคัญ

น่าแปลกที่ปรัชญาดาไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เดินมานาน ทว่าจะนานเท่าไรนั้นหญิงสาวก็สุดจะคาดเดาด้วยไม่มีอุปกรณ์ที่บอกเวลาติดตัวมา และบรรยากาศรายรอบที่ปิดทึบราวกับอยู่ในอุโมงค์ทำให้เธอไม่อาจเดาเวลาได้ สิ่งเดียวที่คิดออกคือการเดินให้ถึงอีกฝั่ง

แอ๊ด…

เสียงคล้ายประตูเปิดนั้นเรียกสายตาของปรัชญาดาไปจับจ้องทางต้นเสียง มันคือประตูไม้บานใหญ่ที่่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาอย่างไร้เหตุผล ทว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่พอจะหวังได้ว่าอาจช่วยเธอได้ ข้างในนั้นอาจจะมีใครสักคนที่พอจะตอบคำถามแก่เธอ

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ หญิงสาวพบว่าบานประตูไม้ที่เปิดไว้ราวกับรอท่าเป็นบานประตูไม้จำหลักขนาดใหญ่ ตัวบานไม้แกะสลักลวดลายอันวิจิตร ซับซ้อนโดยมีการแกะสลักลึกเข้าไปในตัวไม้โดยรอยสลักก็นูนขึ้นอย่าง มหัศจรรย์ ลวดลายทับซ้อน อ่อนช้อย เป็นรูปเทวดา นางฟ้า รวมไปถึงสัตว์รูปร่างแปลกตาล้วนดูราวกับมีชีวิตจริง แต่ที่่น่าทึ่งกว่านั้นคือความสูงของบานประตูที่แม้เธอจะลองแหงนมองก็ไม่พบขอบด้านบนราวกับว่ามันสูงขึ้นไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด

“มาแล้วหรือ แขกของข้า” เสียงเยียบเย็นดึงความสนใจของปรัชญาดาออกจากประตูไม้ และกวาดสายตาไปจนพบกับร่างโปร่งบางร่างหนึ่ง

เจ้าของร่างนั้นเป็นหญิงสาวที่หากจะบอกว่าเป็นคนสวยก็ดูจะเป็นการพูดดูถูก เพราะความงามพิลาสดุจได้รับการสลักเสลาจากช่างฝีมือบนใบหน้านั่นงดงามกว่าใครที่ปรัชญาดาได้พบเจอ แม้แต่ดารานักแสดงก็ยังสวยไม่เท่า นอกจากสัดส่วนของใบหน้าที่จัดวางอย่างลงตัว แววตาและสีผิวที่ผ่องราวกับมีรัศมีบางๆ เรืองรองออกมานั้นช่วยส่งเสริมให้หญิงสาวดูงดงามสูงส่ง

“คุณพอจะบอกได้ไหมคะ ว่าฉันอยู่ที่ไหน ฉันควร…” ปรัชญาดาชะงักไป เพราะจู่ๆ เธอก็ลืมไปว่าเธอกำลังจะไปที่ไหน คล้ายกับว่าอ่านหนังสืออยู่แล้วพบว่าหน้าต่อไปเป็นหน้ากระดาษที่หมึกเจือจางจนขาวโพลน

“ไหนดูซิว่าสมุดของเจ้าบันทึกอะไรไว้บ้าง” สัมผัสเย็นนิ่มนวลที่ขมับที่มาอย่างกะทันหันทำให้ปรัชญาดาประหลาดใจ เพราะเธอเห็นชัดว่าผู้หญิงสวยคนนี้อยู่ห่างจากเธอไปพอสมควร เหตุใดจึงมาประชิดตัวได้รวดเร็วโดยที่เธอไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเสียด้วยซ้ำ

ทว่าก่อนที่จะได้เอ่ยปากถาม ภาพเคลื่อนไหวมากมายก็ไหลบ่าสู่ความทรงจำ มันผ่านมารวดเร็วคล้ายกับว่าหญิงสาวกำลังจ้องมองฟิล์มในเครื่องฉายหนังโบราณที่กรอกลับหลังอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่านี่คือภาพยนตร์ส่วนตัวของเธอเพราะมุมภาพนั้นล้วนแล้วแต่เป็นมุมที่มองจากสายตาของเธอทั้งสิ้น ทั้งเรื่องราวที่ยังจำได้ ทั้งเรื่องที่ลืมไปแล้ว ทั้งความทรงจำใหม่หรือเก่าล้วนไหลบ่าเข้ามาราวกับทำนบที่เคยกั้นมันเอาไว้เกิดภินท์พังลง

…เธอจำได้แล้ว

ความเจ็บร้าวบริเวณศีรษะลามไปจนถึงแขนและขานั้นทำให้หญิงสาวร้องออกมาอย่างเจ็บปวด สองขาไม่สามารถพยุงร่างกายเอาไว้ได้จึงล้มลงไปแทบเท้าที่คลุมด้วยชายกระโปรงเนื้อดีโดยที่หญิงสาวอีกคนไม่ได้มีอาการ สะดุ้งสะเทือนใดๆ

“รถชน รถสิบล้อ นี่ฉันตายแล้วเหรอ” หญิงสาวเอ่ยกับตนเองเบาๆ ก่อนจะเพิ่มเสียงในประโยคหลังเพื่อถามหาคำตอบ

ใบหน้างามเยื้อนยิ้มก่อนตอบ

“ฉลาดมาก”

เสียงใสเอ่ยชมหญิงสาวที่นั่งอยู่แทบเท้า แปลกใจนิดๆ กับปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยแตกต่างจากดวงวิญญาณอื่นที่มักพบเจอ

“ไม่รู้สึกเสียดาย หรือรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำหน่อยหรือ” เสาวนีย์เทวีค่อนข้างมั่นใจว่าความทรงจำที่ตนเองเรียกมานั้นครบถ้วน โดยปกติหากไม่คร่ำครวญกับชีวิตที่ดับสูญ เสียดายชีวิต ก็ต้องมีรู้สึกผิดกันบ้าง

วิญญาณดวงนี้นับเป็นผู้ถือดีผู้หนึ่ง ในวันที่รับรู้ว่าตนไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่คาด ย่อมต้องรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เคยมีพังทลายลง

“เสียดายแล้วมีประโยชน์อะไร รู้สึกผิดนี่ก็ยิ่งไม่ใหญ่ ฉันไม่เคยทำอะไรผิด” ปรัชญาดาเอ่ยอย่างมั่นใจ ตั้งแต่เกิดมาเธอเป็นเด็กดี ทำตามกฎระเบียบทุกอย่างของทุกสังคมที่อยู่ ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร

เสาวนีย์เทวีมองร่างบางที่เมื่อสักครู่ยังทรุดแทบเท้าแล้วเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิอย่างไม่ยี่หระ ดวงตาดำสนิทจ้องกลับอย่างไม่นึกเกรงกลัวอย่างใครๆ ที่เคยผ่านมา

“แล้วยังไงต่อ ตายแล้วไปไหน” หัวข้อนี้เป็นเรื่องที่ปรัชญาดาและเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ล้วนวิเคราะห์กันเล่นเสมอว่าหลังจากที่ร่างกายหมดพลัง อวัยวะไม่ทำงาน หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าตายอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

ครั้นจะให้เชื่อเรื่องอย่างนรกสวรรค์ก็ดูจะขัดกับหลักที่เรียนมาที่สอนว่า อย่าเชื่ออะไรจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์

ดีไม่ดีเหตุการณ์ที่เธอประสบอยู่นี่ก็อาจเป็นหนึ่งในกลไกของสมองที่จะทำงานครั้งสุดท้ายก่อนตายก็เป็นได้ ปรัชญาดาอยากจะเชื่อว่ามันเป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งด้วยซ้ำไป

“เจ้านี่ช่างน่าสนใจจริงๆ” เสาวนีย์เทวีมองเธออย่างพินิจพิจารณา ก่อนเอ่ยต่อในสิ่งที่ไม่ได้ตอบคำถามของปรัชญาดาเลย

“ชะตาของเจ้าในทุกชาติภพเป็นดวงชะตาที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค และเสียสละเพื่อสร้างบารมี”

“อ๋อเหรอ ไอ้ที่เกิดมากำพร้าก็มีคนกำหนดไว้เหรอ ตอนตายนี่ก็ด้วย” ปรัชญาดาถามอย่างสนใจ อดนึกสนุกไม่ได้ว่าถ้าหากได้ทำหน้าที่กำหนดชีวิตคนอื่นบ้างคงสนุกพิลึก

“ไม่หรอก แรงกรรมที่กระทำก็ส่วนหนึ่ง แต่ดูเหมือนในชีวิตเจ้านี้ ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ หลายครั้งที่ทำดีก็ทำก็ด้วยเพราะรู้ว่าตนจะได้ผลตอบแทน น่าเสียดายที่มีโอกาสสร้างทานบารมีครั้งใหญ่แท้ๆ”

ปรัชญาดานึกรู้ขึ้นมาอย่างประหลาดว่าหญิงสาวคนสวยตรงหน้าหมายถึงสิ่งใด เธออดหัวเราะเสียงปร่าไม่ได้เมื่อคิดว่าหญิงสาวคนนี้อาจเป็นความทรงจำที่ประกอบขึ้นจากอาจารย์อนันต์ผู้ซึ่งชอบเอ่ยถึงทานบารมีผู้นั้น

“แล้วยังไงดี ไปไหนต่อ”

ท่าทางไม่ยี่หระนั้นทำให้จิตใจที่มักสงบนิ่งของเสาวนีย์เทวีเกิดขุ่นมัวขึ้น อันที่จริงไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้มาพบกับเธอก่อนการเดินทาง ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีบุญสูง มาเพื่อขอคำแนะนำอันเป็นพรติดตัวสู่ชีวิตในโลกหน้า ทว่านางมนุษย์ผู้นี้ดูไม่คล้ายผู้อยากได้คำแนะนำ

เทวีสาวกระจ่างใจกับความคิดปรัชญาดา ดวงจิตนี้เป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเอง พูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นคนชั่วร้าย เพียงแต่ยึดมั่นว่าทุกอย่างเป็นสิ่งที่หามาได้ด้วยฝีมือตนเองจนมองข้ามเรื่องความอารี หรือการนึกถึงผู้คนที่เดือดร้อนไป

“ตายแล้วไปไหน” เสียงที่ถามขึ้นอีกครั้งทำให้จิตใจที่เริ่มสงบเพื่อครุ่นคิดเรื่องสำคัญของเทวีสาวขุ่นมัวขึ้นอีกครั้ง มือเรียวสวยราวกับลำเทียนกระดิกเล็กน้อยก็ปรากฏไม้แผ่นเล็กสีดำลักษณะคล้ายติ้วเซียมซีบนฝ่ามือ

ปรัชญาดารับติ้วไม้นั้นมาอย่างงงๆ ความเจ็บปวดทางร่างกายลดลงอย่างน่าประหลาดเธอจึงค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจ้องใบหน้างามอย่างสงสัย

“ตายแล้วไป…”

“ไปไหนก็ไปเถิด เชิญ ข้าคร้านจะเสวนากับเจ้าแล้ว” กล่าวจบก็ชี้นิ้วไปทางทิศหนึ่งอย่างรำคาญ ปรัชญาดายักไหล่ให้กับปฏิกิริยานั้นก่อนจะเดินไปตามทางนั้น หญิงสาวยกติ้วไม้ขึ้นส่องกับแสงนวลๆ ไร้ที่มาก็พบว่ามันดำสนิท แต่เมื่อเพิ่งดีๆ แล้วก็พบว่ามันมีเลขไทยสลักอยู่

“สอง สาม หก ศูนย์ เหรอ” หญิงสาวอ่านทวนเลขสี่ตัวนั้น และเมื่อนึกไม่ออกว่ามันจะเกี่ยวข้องอะไรเธอจึงออกเดินต่อจนพบกับประตูบานหนึ่งที่เปิดไม่ได้ เธอนิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจหยิบติ้วไม้นั้นเสียบเข้าไปในรูกุญแจ

ประตูบานเล็กที่แง้มออกเป็นสัญญาณให้เธอรู้ว่าเธอเดาถูก หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล

 

ทางฝั่งของเสาวนีย์เทวีเมื่อจิตใจพ้นจากสภาวะฟุ้งซ่านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับร้อยปี เทวีสาวก็ค่อยๆ ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ดูเหมือนดวงจิตนี้จะไม่ธรรมดาเท่าใดนัก เทวีสาวสะบัดมือเล็กน้อย ปรากฏหน้าหนังสือที่มีข้อมูลของปรัชญาดา เจ้าของดวงจิตที่เพิ่งแยกกันไม่นานอย่างครบถ้วน เธอยอมรับว่าดวงจิตนี้สร้าง ความปั่นป่วนให้จิตที่ได้รับการฝึกมาดีอย่างไม่รู้ที่มา ดูท่าคงเคยมีบุญกรรมร่วมกันมาสักอย่าง อย่างไรเสียคงจะเป็นกรรมมากกว่าบุญ เสาวนีย์เทวีจรดสายตาอย่างใคร่รู้ว่าเส้นทางภาคหน้าของปรัชญาดาจะเป็นเช่นไรแล้วก็พบตัวอักษรบรรทัดหนึ่งที่ทำให้เทวีสาวรู้สึกตกใจ…เป็นครั้งแรกในรอบสองร้อยปี

 

กลับคืนครานี้ มีทางบุญรอ ชีวีที่สอง ครองเพื่อสร้างบารมี  ๒๕๖๓

 

“เดี๋ยวสิ นี่ข้าเป็นอันใดไปนี่” ใบหน้างดงามยับยู่ด้วยความสับสน ก่อนเบิกตาโตอย่างตกใจเมื่อพบว่าตนได้ส่งดวงจิตที่ควรจะกลับคืนสู่ชีวิตที่จากมาไปที่ชีวิตภพหน้าในห้วงเวลาที่ย้อนกลับไปเกือบสองร้อยปี

หากเป็นมนุษย์ธรรมดาป่านนี้ใบหน้างามราวรูปสลักคงเผือดสี ความผิดพลาดที่พาตนมาใช้กรรมในตำแหน่งนี้ราวกับว่าเกิดขึ้นแค่เมื่อวาน นี่ยังมีเพิ่มอีกหนึ่งความผิดพลาด

…แต่ไม่สิ อย่างน้อยก็ลืมไปแล้ว ใช่ลืมไปแล้ว ก็นับว่าไม่มีเจ้าทุกข์

…เดี๋ยวนะ ลืมเหรอ

“ข้าดึงความทรงจำนางกลับมา” เพื่อให้ข้อคิดและประสาทพร แต่เจ้าของดวงจิตมัวแต่กวน รวนจนจิตใจเทวีสาวขุ่นมัวเสียจนต้องรีบประทานกุญแจเพื่อให้ไปเสียให้พ้น ความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นจนอาจลดบารมีได้จะได้หายไป

…ลืมดึงความจำกลับคืน

ร่างบางในชุดงดงามตั้งจิตเพื่อมุ่งสู่บานประตูเจ้าปัญหาทว่าบานประตูที่รับดวงจิตเข้าไปแล้วมักปิดลง ที่สำคัญปิดลงต่อหน้าเทวีผู้ควบคุมต่อหน้าต่อตา เธอไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้อีกต่อไป

“โอ๊ย นี่ข้าทำอันใดลงไปกันนี่” ความหวาดกลัวในความผิดเข้ากุมจิตใจ แต่ทิฐิมานะที่มีทำให้เทพสาวต้องครุ่นคิดหาทางแก้ปัญหาให้ดี เพราะหากขบคิดดูแล้วหากเธอหาดวงจิตสักดวงเพื่อกลับคืนเวลาที่ขาดหายดวงจิตอันเพิ่มเข้ามาที่ภพอื่นย่อมไม่ใช่ปัญหา

…ถือว่าข้าติดค้างเจ้าแล้วกันนะนางมนุษย์

เทวีสาวค้อมหัวให้แก่บานประตูเจ้าปัญหานั้นก่อนเยื้องย่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่าหูตาของผู้ตรวจการณ์นั้นมีมากมายเกินกว่าที่เทวีที่โดนลดชั้นจะทราบได้



Don`t copy text!