เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง บทที่ 2 : อีปริก
โดย : ตฤณภัทร
เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง โดย ตฤณภัทร เรื่องราวของปรัชญาดา ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าการย้อนเวลาที่เคยอ่านในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมเธอยังย้อนเวลาไปเป็นทาสเมื่อร้อยปีก่อน ความรู้ที่สั่งสมในโลกปัจจุบันจะช่วยทำให้กอบกู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้ไหม นิยายออนไลน์สนุกๆ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
************************
“สีผึ้งนี้จักทำให้ริมฝีปากของพวกท่านงดงามขึ้น แลมันหาเหมือนสีผึ้งทั่วไปไม่ เพราะมันมีสี” ปริกปาดสีผึ้งลงบนท้องแขน ก่อนยื่นออกให้สตรีสองนางที่นั่งอยู่บนตั่งได้ชมดู
เด็กหญิงต้องลำบากลำบนกว่าจะได้รังผึ้งมาแต่ละรัง บางครั้งถึงกับโดนผึ้งต่อยก็มี เมื่อได้มาแล้วก็นำมา กวนใส่น้ำมันมะพร้าวแล้วเติมสีที่สกัดจากดอกไม้บ้าง หรือเปลือกไม้บ้างเพื่อให้สีผึ้งมีสีแดงระเรื่อ ยามทาปากลงริมฝีปากก็จะเกิดความงดงามมากยิ่งขึ้น
เท่าที่เธอรู้จากการเข้าออกทำความสะอาดให้ผู้คนในเรือนใหญ่และได้สังเกตเครื่องประทินผิวที่คนในยุคนี้ใช้ ก็พบว่าแผ่นชาดสีแดงที่สตรีในยุคนี้ใช้ทาปากนั้นให้สีแดงสวยแต่ไม่ได้ให้ความชุ่มชื้น เธอจึงนำความรู้วิชาเคมีที่เคยเรียนมาในภพก่อนมาบูรณาการใช้เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า
“หูย พอทาแล้วทั้งนุ่ม แลสีก็สวย กูเอาหมด มึงเอามาให้หมดเลยอีปริก” หนึ่งในเมียที่มีหลายคนของคุณทองบอก
“จะได้เช่นไร ข้าขอด้วย เราแบ่งกันเถิด” หญิงสาวอีกคนเจรจา ก่อนเบาเสียงเมื่อพูดประโยคต่อมากับปริก “แต่เอ็งห้ามนำสิ่งนี้ไปให้ผู้ใด แล้วพวกข้าจักให้ราคาอย่างงาม”
ปริกที่ได้ฟังก็ลอบยิ้มอย่างสมใจ สองปีที่ตนได้ขึ้นมาเป็นข้ารับใช้ขาประจำบนเรือนใหญ่ นอกจากจะมีชีวิตที่สุขสบายขึ้นมากเมื่อเทียบกับการเป็นทาสเด็กกำพร้าที่ต้องเอาอกเอาใจนางสีทาสที่พอมีอำนาจจัดการเพื่อไม่ให้ตนถูกรังแก หรือแม้แต่โดนกีดกันจนไม่ได้กินข้าว ทว่าก็ต้องทำงานหนักนัก ดังนั้นการที่ต้องทำงานบ้านบนเรือนใหญ่นั้นนับว่าสบายขึ้นมาก ทำให้ปริกมีเวลาว่างพอจะสังเกตลู่ทางการค้า
ด้วยนายทองหนุ่มร่างยักษ์เจ้าเนื้อทว่าเนื้อหอมราวกับดอกไม้งามกลางหมู่ภมร ซึ่งปริกเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะคนสมัยนี้ชอบแบบนี้ หรือเพราะบิดาของเขารวยก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ความเนื้อหอมนั้นทำให้เขามีเมียเสียเต็มเรือนทั้งคุณหนูลูกผู้ดี ทั้งไพร่ อดีตทาส เรียกได้ว่านอกจากรวยแล้วยังเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ จำนวนเมียที่เขาเลี้ยงดูนั้นจึงมีมากเสียจนถ้าใช้นิ้วมือนับก็ไม่พอ ต้องใช้นิ้วเท้าช่วยนับด้วยจึงจะได้
ชายหนึ่งหญิงเป็นสิบแน่นอนว่าที่นี่จึงเป็นสมรภูมิแย่งชิงความรัก ซึ่งการกระทำก็แตกต่างกันไปตามระดับชั้น ทาสสาวที่ได้เลื่อนขั้นก็อาจจะตบตีกันเพื่อให้ตนได้ปรนนิบัติผัว หรืออาจกระทบกระทั่งเขม่นกันด้วยเรื่องใดก็ตาม ก็นั่นแหละที่ไหนมีผู้หญิงเยอะปัญหาแยะก็จะตามมาได้เป็นเรื่องธรรมดา ทว่าลู่ทางการค้าของเธอเกิดจากเมียประเภทลูกคุณหนูของทอง สตรีพวกนี้มีทรัพย์สินทั้งที่ได้จากผัวเยอะกว่าพวกอดีตทาสเพราะมีชาติตระกูลที่ดีกว่า อีกทั้งยังมีสินเดิมติดตัวมา คนพวกนี้ไม่นิยมใช้กำลังต่อหน้า และมักจะพยายามแข่งกันสวยเพื่อให้ได้รับความสนใจ ซึ่งนั่นทำให้ปริกเริ่มได้เบี้ยอัฐมาเก็บไว้ เก็บเล็กผสมน้อยอยู่สองปีก็ได้มาแล้วถึงสี่ตำลึง ถึงแม้เธอเองนั้นจะไม่สามารถไถ่ถอนตัวเองได้ อีกทั้งจนป่านนี้เธอเองยังไม่เคยออกไปนอกอาณาเขตเรือนนี้และไม่มีเหตุต้องใช้เงิน แต่การมีเก็บไว้ก็อุ่นใจ เอาไว้ได้เงินจำนวนที่มากพอจะไถ่ตัวเองเธออาจไหว้วานให้ทาสบางประเภทที่ไถ่ถอนตนเองได้มาช่วยกัน เพราะเมื่อได้ศึกษาเรื่องนี้ก็พบว่ายังพอมีลู่ทางอยู่
…แล้วหากจะถามว่าทำไมเธอจึงเลิกล้มแผนเอาตัวเข้าแลกนั่นน่ะหรือ
“อีปริก กูหิว” เสียงเรียกดังลั่นนั้นทำให้ปริกต้องเร่งส่งมอบสินค้าให้แก่สองสาว ยัดพดด้วงแวววาวใส่ชายพกก่อนยกถาดสำรับเครื่องหวานแล้วเร่งฝีเท้าไปอย่างเร็วรี่
“มาแล้วเจ้าค่ะ” ปริกเอ่ยด้วยน้ำเสียงประจบประแจงก่อนวางถาดลง และผายมือไปที่จานใบใหญ่ตรงกลางท่าทางราวกับพนักงานขายในยุคสมัยที่เธอจากมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
“หืม หอม ว่าแต่นี่มันขนมอันใด เหตุใดจึงรูปร่างแปลกประหลาดเช่นนี้” ก้านเอ่ยถาม
จะว่าเป็นขนมเบื้องก็ไม่น่าใช่ เพราะมันควรจะเป็นแป้งแผ่นบางมีไส้เป็นทั้งของคาวหวาน ยามที่กัดก็จะกรอบล่อนต่างจากขนมในจานที่ปริกยกมาให้ เพราะแผ่นแป้งสีน้ำตาลเข้มนั้นหนากว่าและไม่ได้พับทบแต่ยังคงรูปวงกลมทว่ากลิ่นหอมน่ากินยิ่งนัก
“สิ่งนี้คือแป้งจี่กระทะเจ้าค่ะ” ปริกเอ่ย ขนมตรงหน้าเธอพยายามนำของที่มีในครัวมาผสมกันให้คล้ายแพนเค้กที่สุดถึงแม้จะหานมและเนยไม่ได้ แต่แป้ง ไข่ น้ำมัน เกลือที่พอมีก็มากพอจะเนรมิตออกมาได้แม้จะไม่หนานุ่มเท่ากับต้นฉบับ “ก่อนกินต้องราดน้ำผึ้งเสียก่อน” นี่คือสิ่งที่เหลือจากการไปตีเอารังผึ้งปริกจึงนำมาเป็นส่วนหนึ่งของขนม
“อร่อยยิ่งนัก ข้าชอบ” เด็กหนุ่มตัวกลมเคี้ยวขนมเสียงแจ๊บๆ อย่างเอร็ดอร่อย เมื่อกินไปมากกว่าครึ่งรอยแดงนูนขนาดไม่เล็กบริเวณหน้าผากของปริกก็เรียกความสนใจของเขา “มึงเป็นกระไรนั่น ใครตีมึง”
ปริกคลำรอยแดงนั้นก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“บ่าวไปตีเอารังผึ้งก็เลยโดนมันต่อยเจ้าค่ะ” เด็กหญิงบอกเด็กหนุ่มที่เป็นเจ้านายโดยตรงของตน
ก้านในเวลานี้มีวัยล่วงเข้าสิบห้าปี เสียงที่เริ่มแตกเมื่อสองปีก่อนก็กลายเป็นเสียงแหบห้าวอย่างชายที่โตเต็มวัย ทว่าปริกมองอย่างไรก็รู้สึกราวกับเจ้านี่ยังเด็กกว่านั้น
ก้านมีผิวขาวจัดคล้ายกับมารดาที่มีเชื้อจีนผสมแตกต่างจากทองพี่ชายคนโตที่มีสีผิวสีน้ำผึ้ง ทว่าทั้งสองเป็นชายหนุ่มหุ่นเจ้าเนื้อเหมือนกัน แม้ว่าขณะนี้ก้านยังห่างชั้นจากพี่ชายแต่ถ้าหากยังเอาแต่กินราวกับยัดทะนานเช่นนี้ต่อไปอนาคตยักษ์ใหญ่ก็รอเขาอีกไม่ไกลเป็นแน่ ทว่าก้านก็ยังจัดว่าดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของปริก เส้นผมที่หยักศกนุ่มนวลทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ดูน่ารัก ยิ่งเมื่อกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารแก้มแดงปลั่งและกลมใหญ่จนบังดวงตาให้ดูเล็กยิบหยีนั่นทำเอาปริกรู้สึกอยากฟัดเป็นกำลัง
…เสียอย่างเดียว เธอเป็นทาสแสนต่ำต้อย ไม่ขอเสี่ยงโดนโบยดีกว่า
ด้วยความที่สองหนุ่มแห่งเรือนนี้เป็นเสียอย่างนี้ ปริกเองก็หมดแรงบันดาลใจที่จะเอาตัวเข้าแลกเป็นเมียทาส เพราะพ่อของสองคนนี้ค่อนข้างขยันทำงานมีเมียเพียงสองคน ยามนี้ก็ไม่ฝักใฝ่เรื่องชู้สาว ส่วนทองนั้นนอกจากหน้าตาคล้ายตัวเอกวรรณคดีไทย (ขุนช้าง) ก็เมียเยอะจนดูน่าปวดหัวถ้าจะไปร่วมฮาเร็ม ส่วนเจ้าเด็กก้านนี่ก็ดูเด็กไปเมื่อปริกนึกวางแผนจะจับก็รู้สึกคล้ายตนกำลังพรากผู้เยาว์อย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อเธออยู่ในฐานะกึ่งๆ พี่เลี้ยงอีกด้วย
ไอ้ลำพังที่ภพก่อนเธอตายเอาตอนอายุสามสิบเมื่อบวกเวลาในภพนี้อีกสิบปีปริกก็คือหญิงสาววัยกลางคนในร่างเด็กสิบขวบดีๆ นี่เอง แถมก้านเองก็นิสัยเป็นเด็กกว่าอายุทั้งยังแสนจะไร้เดียงสาเพราะเติบโตอย่างไม่รู้จักความลำบาก
…ดังนั้นแผนการที่จะถีบตัวให้พ้นจากความเป็นทาสด้วยวิธีลัดนั้นจึงต้องพักไว้ก่อน
“เอ็งทำเพื่อข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ” ดวงตาที่ถูกแก้มบังไว้ครึ่งหนึ่งมองมาอย่างซาบซึ้ง สรรพนามจึงอดเปลี่ยนจากมึงเป็นเอ็งไม่ได้ มือป้อมยื่นมาแตะอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ก้านจะโน้มตัวมาเป่าเบาๆ บริเวณรอยแดง “เพี้ยง หาย ไม่เจ็บแล้วนะปริก”
…น่ารักชะมัดเลยเจ้าก้อน เอ้ย เจ้าก้าน
นิสัยอ่อนโยนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของเด็กหนุ่มทำให้ปริกรู้สึกโชคดีที่ตนได้เป็นสาวใช้ประจำตัวของเขาเพราะนอกจากเวลาหิวที่ค่อนข้างบ่อย ก้านก็ไม่ได้เรียกใช้มากนักจนเธอมีเวลาไปทำงานพาร์ตไทม์สร้างรายได้
“เออ เดี๋ยวครูท่านจะมาแล้ว เอ็งก็ทำเหมือนเดิมหนา” ก้านสั่งความ ปริกลอบยิ้มอย่างถูกใจ
อีกหนึ่งเวลาที่เธอต้องอยู่รับใช้ใกล้ชิดคุณหนูก้านแบบไม่ห่างก็คือเวลาร่ำเรียน คิดถึงจุดนี้แล้วปริกก็อดส่ายหัวกับความไม่ได้เรื่องของเจ้านายตนเองไม่ได้ นอกจากเรื่องกินเก่งแล้วก้านยังเป็นเด็กหัวทึบ เรียนรู้ช้า ไม่ถนัดด้านวิชาการเอาเสียเลย
แต่เมื่อสองปีก่อนปริกที่กำลังคอยเตรียมเครื่องเขียนไว้รับใช้ได้ช่วยบอกคำตอบให้ก้านเพื่อตอบครูที่มาสอนได้อย่างถูกต้อง ก็แน่ละคำตอบก็อยู่ในคำสอนไม่ได้ยากทว่าก็เกินความสามารถของก้านอยู่โข จากนั้นเด็กหญิงปริกก็เป็นอันต้องอยู่ปรนนิบัติรับใช้คุณก้านตอนเรียนหนังสือทุกครั้งไป ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ประเสริฐที่สุดตั้งแต่ที่เธอมาเกิดในภพนี้
ในที่สุดปริกก็ได้รู้ว่าตนเองได้ย้อนเวลามาเกิดในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ในยุคของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่สามแห่งราชวงศ์จักรี อย่างไรก็ดีคนในยุคนี้ก็ยังไม่ได้รู้จักพระองค์ท่านในพระนามนี้แต่อย่างใด ไม่เรียกว่าสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็เรียกแผ่นดินที่สาม
ถึงแม้ว่าเธอจะจำวิธีเทียบระหว่างเลขพุทธศักราชที่ใช้ในยุคที่จากมากับปีจุลศักราชที่คนยุคนี้ใช้ไม่ได้ แต่เธอก็เดาได้คร่าวๆ ว่าเธอย้อนมาไกลกว่าร้อยปี ไม่สิอาจจะเกือบสองร้อยปีเลยก็ได้!
…คิดแล้วก็เสียดาย ช้ากว่านี้สักนิด ให้เลิกทาสแล้วก็ไม่ได้
ปริกอาศัยใบบุญของก้านจนเธอแตกฉานในอักษรไทยแบบโบราณที่แตกต่างจากปัจจุบันพอสมควร นอกจากนี้ปริกยังอ้างชื่อของก้านเข้าถึงตำรับตำราเพื่อหาความรู้ใส่ตัว ชีวิตของปริกในวันนี้จึงนับว่าดีขึ้นมากเสียจนเธอเริ่มรู้สึกชินและยอมรับกับสถานะทาสของตนได้อย่างไม่รู้สึกแย่เกินไปนักตามแบบฉบับของคนที่ปรับตัวเก่ง
“จริงๆ หากคุณก้านอยากให้บ่าวช่วยทบทวน…” เสนอไปไม่ทันจบมือป้อมก็สะบัดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
“เอ็งไม่ต้องมาช่วยสอนข้าดอก ข้าคร้านจะเรียน ไม่รู้ทำไมพ่อท่านถึงต้องให้ข้าเรียนมากถึงเพียงนี้ เอ็งก็รู้ว่าข้าหัวสมองทึบ ดีที่มีเอ็งคอยเป็นพรายกระซิบข้าจึงเรียนผ่านมาได้โขแล้ว” เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องเรียนตำราเดิมอยู่นานเพราะไม่อาจตอบคำถามของครูได้
ปริกส่งน้ำในขันเงินให้แก่คุณหนูของตนเมื่อเห็นว่าเขาพูดไปกินไปจนขนมเริ่มติดคอ ใจหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะพยายามเคี่ยวเข็ญด้วยหวังว่าก้านจะโตมาดีกว่าพี่ชายสักเล็กน้อย อย่างน้อยก็ต้องมีความรู้เพื่อที่จะรักษาสมบัติที่มีเอาไว้
บิดาของก้านเป็นข้าราชการมียศเป็นหลวงพาณิชย์ณรงค์ แม้ว่าปริกจะยังไม่ทราบแน่ชัดถึงการงานของเขาเพราะไม่เคยได้รับใช้ใกล้ชิด และข้อราชการก็มักเป็นความลับไม่ใช่เรื่องที่เธอจะรู้ได้โดยง่ายทว่าก็ดูเหมือนคุณหลวงท่านนี้มีตำแหน่งที่ไม่ธรรมดา ด้วยมักมีผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมเยือน บางครั้งปริกเห็นว่ามีคนยกหีบสมบัติมาให้ก็มี หรือบางครั้งก็มีคนนำเงินมาให้ซึ่งปริกทราบในภายหลังว่าเป็นการส่งส่วยของไพร่ คนในยุคนี้หากไม่ได้เป็นทาส และถ้าไม่ใช่ชนชั้นขุนนางหรือบุตรที่นับเป็นชนชั้นมูลนายแล้วก็ต้องเป็นไพร่และมีสังกัดมูลนาย ชนชั้นไพร่นั้นนับว่าอิสระกว่าทาสมากเพราะหากทำความดีความชอบก็อาจเลื่อนขั้นเป็นขุนนาง ที่สำคัญชนชั้นนี้ก็เลือกได้ว่าจะทำงานรับใช้มูลนายที่ตนสังกัดอยู่หรือจะเลือกไปประกอบอาชีพแล้วส่งส่วยมาให้เจ้านายก็ย่อมได้ ด้วยความที่ตำแหน่งขุนนางไม่มีเบี้ยอัฐค่าตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ความร่ำรวยของมูลนายนั้นก็ขึ้นอยู่กับจำนวนไพร่ที่ออกไปทำงานอิสระเช่นเดียวกัน
เรียกได้ว่าเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัย ไพร่ก็ทำมาให้กินมีใช้อย่างร่ำรวยได้ จ่ายส่วยเสียหน่อยพร้อมได้บาร มีของขุนนางคุ้มครอง แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนอยากเป็นไพร่เพราะปริกก็เห็นไม่น้อย ไพร่บางคนก็ขายตัวมาเป็นทาสเพราะขี้เกียจทำมาหากินก็มี ในทัศนะของชาวสยามส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นทาสก็ไม่ได้แย่อะไร โดยเฉพาะในเรือนที่เจ้านายส่วนมากมีคุณธรรมก็จะเลี้ยงดูทาสให้อยู่อย่างไม่ลำบากนัก คิดง่ายๆ อย่างน้อยก็มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอน
“โอ๊ย อย่าทำบ่าวเจ้าค่ะ” อ่า แต่ก็นั่นแหละ หากเจอเจ้านายที่ไม่ค่อยมีคุณธรรมก็อาจจะโดนลากไปทำร้ายร่างกายระบายอารมณ์กันไป
ก้านชะโงกหน้าออกไปตามเสียงร้องนั้นพบว่าเมียเอกของพี่ชายตนกำลังฉุดกระชากลากถูทาสสาวนางหนึ่ง เสียงบริภาษดังลั่นเป็นทำนองดูถูกเหยียดหยาม และประกาศว่าตนรู้ทันว่านางทาสผู้นี้ต้องการยั่วยวนผัวของตน
“เอะอะเสียงดังตลอด พี่เนียมทำราวกับยังไม่ชิน ตบคนหนึ่งให้ตาย พี่ทองก็ไม่หยุดมีเมียดอก” ก้านพูดอย่างไม่ใส่ใจ สายตามีแววเบื่อหน่าย “แต่ข้าขอไม่ทำอย่างพี่ ขี้เกียจได้ยินเสียงโวยวาย”
“ที่ใดผู้หญิงเยอะก็เป็นแบบนี้แหละเจ้าค่ะ” ปริกเอ่ย อดเห็นใจทาสสาวซึ่งอยู่ชนชั้นเดียวกันกับตนไม่ได้ ก็ในเมื่อการเอาตัวเข้าแลกเป็นวิธีการเดียวที่จะหลุดพ้นจากชีวิตที่ตนไม่สามารถลิขิตได้ ใครกันเล่าจะไม่ไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ ครั้งหนึ่งเธอเองก็คิดใช้วิธีนี้เช่นเดียวกัน
บางครั้งสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิตที่มีนายของตนเป็นเพียงโลกทั้งใบก็ทำให้ผู้ที่ตกเป็นเบี้ยล่างไม่มีทางเลือกมากนัก ชีวิตมีราคาแต่ก็ช่างไร้ค่า อย่างคราที่เธออายุได้สามขวบนั่นปะไร
ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ปริกได้ทบทวนว่าเหตุใดหญิงสาวผู้งดงามคนนั้นจึงถามว่าเธอรู้สึกผิดหรือไม่ ในตอนนั้นเธอตอบได้เต็มปากว่าไม่ผิด แต่พอตนเองตกเป็นฝ่ายที่ไร้ซึ่งทางเลือก และไม่มีกำลังพอจะทำสิ่งใดบ้างหญิงสาวจึงได้เข้าใจ ปริกในวัยสามขวบที่ไร้แรงกำลังเพราะร่างกายยังเด็กนักต้องทนดูบุพการีของตนในภพนี้ บิดามารดาที่แม้ชาติกำเนิดต้อยต่ำทว่าก็รักเธอราวแก้วตาดวงใจค่อยๆ ล้มป่วยด้วยโรคระบาด
…คนในยุคเธอเรียกมันว่าอหิวาตกโรค หรือที่คนยุคนี้เรียกว่าโรคห่า
ปริกต้องเฝ้ามองคนขนร่างไร้ลมหลายใจของบิดามารดาไปรวมกับศพอื่นๆ ที่มีมากมายเป็นกองพะเนินแล้วขนออกไปจัดการ จะทำอย่างไรเธอไม่อาจทราบได้ เด็กหญิงที่เหลือเพียงตัวคนเดียวต้องผ่านค่ำคืนเหน็บหนาวด้วยเสียงปืนใหญ่ที่ระดมยิงในพระราชพิธีอาพาธพินาศที่เชื่อว่าจะขจัดเภทภัยนี้ แม้ร่างจะยังเล็กจ้อยแต่ความทรงจำอันแสนชัดเจนนั้นทำให้ปริกไม่อาจลืมภาพวันนั้นได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว จรดลึกลงในใจรู้สึกได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าใครว่าชีวิตตนในภพนี้ช่างไร้ค่าสิ้นดี
“ปริก” ก้านเรียกก่อน โบกมือไปมาต่อหน้าปริกเพื่อเรียกร้องความสนใจ ทว่าทาสเด็กหญิงรับใช้ของตนกลับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับวิญญาณได้หลุดลอยออกไปแล้ว
ก้านมองปริกอย่างค้นหา เขารู้สึกประหลาดกับทีท่าของทาสของตนเหลือกำลัง บางคราแววตามันดูประหลาดอย่างที่เขาไม่อาจหาคำตอบให้ตนเอง มันชอบทำทีราวกับว่ามันเป็นทาสอันต่ำต้อย จ้องมองเขาด้วยใบหน้าใสซื่อเป็นมิตร ทว่าหลายครั้งที่มันเผลอเขาก็รู้สึกว่ามันมีความสุขุมนุ่มลึกบางประการ ทว่าเด็กหนุ่มตัวกลมก็คร้านจะวุ่นวายหาคำตอบด้วยวิสัยแห่งตนเป็นคนไม่ชอบคิดมาก มือหนายกขึ้นหวังตบเรียกสติ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรอยแดงบนหน้าผากของมัน เขาก็อดนึกถึงรสชาติหวานหอมของน้ำผึ้งที่มันสู้อุตส่าห์ไปหามาให้ไม่ได้ มืออันหนั่นแน่นจึงเพียงดึงแก้มเด็กหญิงทั้งสองข้างแทน
“โอ้ย อุนอ้าน อ่อยเอ้าอะ” ปริกประท้วงให้นายของตนปล่อยด้วยน้ำเสียงอู้อี้
…หน็อยไอ้เด็กอ้วน อย่าให้ถึงคราวฉันบ้างแล้วกัน
“คุณก้านขอรับ ท่านครูมาแล้วขอรับ” เสียงของด้วงทนายหน้าหอประจำตัวของก้านรายงาน สงครามย่อมๆ ที่ก้านเป็นผู้ทำฝ่ายเดียวเนื่องจากปริกไม่มีสิทธิ์ตอบโต้จำต้องหยุดลงเพราะการมาของท่านครู
ชายที่กำลังเดินข้ามธรณีประตูเพื่อเข้าห้องมาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูคงแก่เรียนสมกับที่เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา เขามองลูกศิษย์ที่เล่นกับข้ารับใช้อย่างอ่อนใจ อดนึกสงสารหลวงพาณิชย์ณรงค์ไม่ได้
…ดูทีรึมีอำนาจ บารมี มากด้วยทรัพย์ศฤงคาร แต่ลูกชายทั้งสองหาได้เรื่องสักคนไม่
คนโตปฏิเสธจะรับราชการ เอาแต่เที่ยวเล่น เก่งด้านพนัน ดื่มสุรา เคล้านารีจนมีเต็มบ้าน ครั้นจะหวังให้คนเล็กเจริญรอยตามรับราชการก็ดูจะมิใช่เรื่องง่าย
…ทาสที่โดนแกล้งอยู่นี่ยังมีแววเฉลียวฉลาดกว่า
เขาเกิดมานานถึงเพียงนี้เหตุใดจะมิรู้ว่าเหตุใดบุตรชายสมองทึบของคุณหลวงอยู่ดีๆ ก็เกิดฉลาดขึ้นมาได้ถ้ามิใช่ว่าเด็กหญิงคนนี้คอยบอกคำตอบให้ คิดแล้วก็อดเวทนาในตัวมันมิได้ เสียดายเหลือเกินที่มันเป็นหญิง หากมันเป็นชายละก็ชีวิตมันคงไปได้ไกล แม้นจะมีชาติกำเนิดต่ำเป็นทาสในเรือนเบี้ยก็ตาม
หลังจากเสร็จสิ้นการเรียนการสอน ธรรมเนียมปฏิบัติของที่นี่คือการที่ก้าน และบิดามารดาจะต้องรับประทานข้าวมื้อเย็นกับท่านครูเพื่อสอบถาม และพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งปริกเองที่ไม่มีหน้าที่ในโต๊ะอาหารก็ใช้เวลานี้ปลีกตัวมาพักผ่อน เธอกำลังจะหามุมเหมาะๆ เพื่อนอนงีบอยู่แล้วหากไม่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยคล้ายคนใกล้สิ้นใจ
…เป็นทาสที่ถูกเมียเอกของนายทองลากไปเล่นงานนั่นเอง
ดูท่าหญิงคนนี้จะไม่ได้โดนตบอย่างเดียว เพราะแผ่นหลังอ้อนแอ้นนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากคมหวายไอเทมยอดฮิตที่คนยุคนี้ใช้สั่งสอนทาส ถึงแม้ปริกเองจะไม่เคยลิ้มรสมันเพราะตั้งแต่เกิดตนอยู่เป็นมาตลอด ไม่เคยเอาตัวเองไปล่อเป้าให้เจ้านายเขม่น แต่หญิงสาวในร่างเด็กหญิงก็พอเดาได้ไม่ยากว่ามันหนักหน่วงทีเดียว และหากไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงทีแผลเหล่านี้ก็ทำให้ถึงตายได้ง่ายๆ
…บาดทะยักเอย เชื้อโรคเอย เฮ้อ ไม่อยากจะคิด
“เอ็งลุกไหวหรือไม่ ข้าจักพาเอ็งกลับเรือน” ปริกถาม มองแววตาอ่อนแรงที่มองมาอย่างอดเห็นใจไม่ได้ แม้ว่าปริกหรือแม้ครั้งที่เธอเป็นปรัชญาดาจะเป็นคนประเภทที่ห่างไกลจากคำว่าคนขี้สงสารมากนัก แต่การเห็นคนถูกลงโทษด้วยบทลงโทษที่เกินกว่าความผิดไปมากด้วยเหตุผลเรื่องความหึงหวงก็ทำให้ร่างบางที่หมอบราวนกปีกหักน่าเห็นใจไม่น้อย
“กู…ไม่ไหว” เสียงนั้นแหบแห้ง อีกไม่นานอาการคงทรุดลงอีก แต่จะให้ปริกแบกไปก็เกินกำลังเพราะเธออยู่ในร่างเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่
“มีกระไรกันรึ” น้ำเสียงนุ่มนวลของบุรุษที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ปริกต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ
บุรุษเจ้าของเสียงนั้นรูปงามเสมอกับเสียง ตั้งแต่เกิดมาได้สิบปีนี่เป็นครั้งแรกที่ปริกพบกับผู้ชายหล่อในเรือนนี้ หากจะถามหาความโดดเด่นจากวงหน้าทั้งหมดปริกขอยกให้ดวงตา แววตาของเขาเป็นแววตาของคนที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง ยามที่เขาจับจ้องร่างเด็กหญิงราวกับจะถามนั้นปริกก็พบว่ามันให้ความรู้สึกที่เธอห่างหายมานาน ชายหนุ่มผู้นี้มองเธออย่างที่เธอเป็นคนเท่ากัน ไม่ได้มีแววเหยียดหยามราวกับเห็นมดปลวกอย่างที่คนระดับเจ้านาย หรือแม้แต่ไพร่หลายๆ คนทำกัน
เมื่อนึกดีๆ แล้วเด็กหญิงก็คุ้นหน้าเขานัก จนได้คำตอบว่านี่คือหลานชายของท่านครูที่กำลังมาฝึกทำงานเพื่อจะฝากตัวทำราชการในกาลต่อไปนั่นเอง
“นางคนนี้เจ็บหนักเทียว เป็นอันใดหรือเจ้า” เขาถามปริกด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
…คนอะไร หล่อแล้วยังใจดี หายากจริงๆ อยากปรบมือให้เลย
“ถูกเจ้านายท่านทำโทษเจ้าค่ะ เอ่อ จะเป็นกระไรไหมหากฉันอยากจะขอความกรุณา…” แม้เรื่องนี้จะเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อเห็นว่าชายผู้นี้อาจจะมีเมตตาอยู่บ้าง จึงคิดขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ทันพูดให้จบร่างของบุรุษอีกคนที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ทรุดลงข้างร่างอ่อนปวกเปียก ก่อนจะประคองขึ้นมาอย่างเป็นห่วง
“แป้น นังแป้น” ทวนเพิ่งได้ข่าวจากพวกในโรงครัว เรื่องที่หญิงสาวที่ตนหมายปองถูกภรรยาเอกของนายทองสำเร็จโทษ เขาเรียกอย่างกังวลเพราะบัดนี้ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลแน่นิ่งไปเสียแล้ว
“เอ็งรู้จักมันรึ ไอ้ทวน” หลานชายท่านครูถาม
“ขอรับ อีนี่มันชื่อแป้น พ่อมันเพิ่งนำมันมาขัดดอกเมื่อเดือนก่อน”
คำอธิบายของนายทวนทาสหนุ่มที่ปริกคุ้นหน้าคุ้นตาพอสมควรตอบคำถามได้เป็นอย่างดี เพราะเพิ่งมาใหม่นี่เองเธอจึงไม่คุ้นหน้าทาสสาวผู้นี้เอาเสียเลย
…น่าสงสารเหมือนกันนะ เพิ่งมาก็เจอรับน้องเลย
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อเพ่งพิศดูใกล้ๆ ปริกก็พบว่าดวงหน้าของคนบาดเจ็บนั้นจัดได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ปากนิดจมูกหน่อย ยิ่งพิศไปที่ดวงตาที่ปิดสนิทก็ทำให้เห็นว่าแพขนตานั้นดกหนา หากเจอกันในยามปกติคงเป็นสาวสวยเนื้อหอมคนหนึ่งในสมัยนี้ ดูท่าความงามนี้คงเข้าตาคุณเนียมด้วยอีกคนจึงต้องทำการสกัดดาวรุ่งเสีย
“เอ็งรีบอุ้มมันไปรักษาเถิด” ชายหนุ่มพูดแล้วหยุดครุ่นคิด นึกขึ้นได้ว่าคนเหล่านี้เป็นทาส การรักษาอย่างไรเสียก็ทำไปอย่างตามมีตามเกิด หากปล่อยไปหญิงสาวผู้นี้ไม่แคล้วต้องเสียชีวิตเป็นแน่ “ข้ามียาแก้ช้ำในและยาทาแผลติดมา” เขาเอ่ยพลางล้วงมือเข้าไปในย่ามใบใหญ่ที่สะพายติดตัวก่อนส่งห่อกระดาษเนื้อหยาบและขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งให้นายทวน ก่อนอธิบายวิธีการใช้ยา
ปริกมองนายทวนละล่ำละลักขอบคุณเขาก่อนจะเร่งอุ้มร่างของแป้นไปทางฝั่งของหมู่เรือนทาส จับใจความได้ว่าเขาชื่อเปลว
การที่เขากรุณาให้หยูกยาเช่นนี้นับว่าช่วยได้มาก เพราะแม้ว่าเรือนนี้จะมีหยูกยาสำหรับทาส แต่หากอาการหนักมากกว่าที่สมุนไพรเบื้องต้นจะช่วยบรรเทาก็ต้องไปขอยาเอากับนางสีที่ชอบเม้มยาเอาไว้กับตัว แต่กรณีที่ทาสบาดเจ็บจากข้อพิพาทเรื่องนายทองเช่นนี้ นางสีย่อมไม่ออกตัวช่วยเพราะนางก็ประจบเนียมอยู่ ดีไม่ดีก็นางสีนี่แหละที่นำเรื่องไปเล่าจนแป้นถูกเล่นงานปางตาย
“เจ้าสินะศิษย์อีกคนของท่านลุง ปริกใช่หรือไม่” เปลวถามเด็กหญิงที่ตัวสูงราวเอวเขาเท่านั้น ก่อนที่ร่างสูงของวัยหนุ่มจะย่อตัวลงมาให้สายตาอยู่ระดับเดียวกันกับเด็กน้อย
“เจ้าค่ะ ข้าชื่อปริก แต่ท่านรู้ชื่อของข้าได้เช่นไร”
เปลวปัดผมหน้าม้าที่รุ่ยร่ายของปริกเบาๆ โดยทั่วไปเด็กในยุคนี้นิยมไว้ผมจุกหรือผมแกละ ทั้งหญิงชายจะโกนผมส่วนมากเหลือเป็นผมจุกไว้ตรงกลาง ทว่าปริกเองไม่มีพ่อแม่มาคอยทำผมให้ประกอบกับไม่ได้พิสมัยทรงผมเด็กในยุคนี้ จึงมักปฏิเสธเมื่อทาสที่มีอายุหน่อยจะเมตตาทำผมให้ เธอจึงกลายเป็นนางเด็กปริกที่มีทรงผมกระเซอะกระเซิงในสายตาผู้อื่น
“อ้อ” ปริกพอเดาออกว่าทำไมเขาจึงรู้ ก่อนจะปฏิเสธ “แต่อย่าเรียกข้าว่าลูกศิษย์ของท่านครูเลยเจ้าค่ะ ข้าก็แค่บ่าวที่คอยรับใช้คุณหนูท่านเท่านั้น”
ความกลมกลืนไม่สะดุดตาเป็นหลักการที่ปริกยึดถือมาตลอด การอยู่ในสถานะที่เป็นตายนั้นง่ายเพียงนิดทำให้เธอต้องตรองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร ช่วยใคร หรือเลือกมองผ่านล้วนต้องตัดสินใจให้ดี การเติบโตให้ดีในสถานการณ์ชีวิตเช่นนี้ก็ท้าทายมากเกินกว่าที่หาเรื่องอื่นมาวุ่นวายเพิ่ม
“กระนั้นรึ” เปลวรับคำราวกับเชื่อถือ ทว่าลุงของเขามักเล่าความเฉลียวฉลาดของเด็กคนนี้ให้ฟังเสมอ หลายครั้งลุงของเขาบ่นเสียดายถึงชาติกำเนิดอันต่ำต้อย ถึงกับเคยบอกว่าหากมันเป็นชายท่านลุงจะต้องหาทางไถ่ตัวมันมาเลี้ยงดูเพราะมันคงจะก้าวหน้าได้อย่างไม่ยาก ทว่ามันเป็นหญิงเช่นนี้ก็หาได้มีประโยชน์ในการชุบเลี้ยงแต่อย่างใด
…ทว่าเปลวกลับมิคิดเช่นเดียวกับลุง ความรู้สึกคล้ายกับเด็กหญิงผู้นี้ซ่อนบางอย่างเอาไว้รบกวนจิตใจเขาอย่างประหลาด
“หากดูแคลน มดน้อย ว่าด้อยค่า
จะบีฑา ให้ม้วยมอด ย่อมทำได้
หากแต่ฤทธิ์ พิษสงอาจ ทำปราชัย…ข้านึกไม่ออกแล้วหนา ดูทีรึจะท่องกลอนให้เด็กฟังก็ทำไม่ได้” เปลวหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนเกาท้ายทอยอย่างเก้อกระดาก
ปริกที่มองทีท่าของเด็กหนุ่มก็อดเอ็นดูในความโก๊ะของเขาไม่ได้ จึงเผลอต่อกลอนอย่างผู้ใหญ่ที่ช่วยเฉลยการบ้านให้เด็ก
“พิษร้ายใด ไม่เท่า ประมาทเอย ไงเจ้าคะ”
“อ้อ” เขามองเสียงที่ต่อกลอนอย่างฉาดฉาน
ปริกยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจค่าที่เผลอแสดงอะไรที่ไม่เข้ากับทาสอายุสิบขวบออกไป
เปลวหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
…ช่างเป็นเด็กที่น่าสนใจยิ่งนัก