เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง บทที่ 4 : รอยสัก
โดย : ตฤณภัทร
เชตุพน ๒๓๗๕ ข้าคือหมอยาอันดับหนึ่ง โดย ตฤณภัทร เรื่องราวของปรัชญาดา ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าการย้อนเวลาที่เคยอ่านในนิยายจะเกิดขึ้นกับตัวเอง แถมเธอยังย้อนเวลาไปเป็นทาสเมื่อร้อยปีก่อน ความรู้ที่สั่งสมในโลกปัจจุบันจะช่วยทำให้กอบกู้สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้นได้ไหม นิยายออนไลน์สนุกๆ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
************************
ปริกมองดูรอยสักหมึกที่สักเป็นลายเส้นตัวอักษรไทยโบราณที่บริเวณข้อมือของตนซึ่งผิวหนังบริเวณรอบๆ ยังคงบวมแดงแสดงถึงความใหม่ของการสัก อันเป็นรอยสักที่เพิ่มเข้ามาในร่างกายเมื่อสามวันก่อน อ่านได้ว่า ก้าน
ท้ายที่สุดเนียมก็ยอมแพ้ นางยอมไม่ให้สักที่หน้าผากของปริก ทว่าเนียมก็ขอความมั่นใจจากก้านว่าปริกจะไม่มีวันเป็นเมียของทองได้
‘ใครๆ ต่างรู้ว่าปริกเป็นสมบัติของกระผม’ ก้านบอก นึกชังพี่ชายตนเองขึ้นมาจับใจ เหตุใดหนอพี่ทองของเขาจึงชอบสร้างเรื่อง หากไม่กระทบมาถึงตัวเขาก็แล้วไปเถิด ทว่าการณ์กลับกลายเป็นว่ากลับนำเรื่องเดือดร้อนมาสู่คนของเขา
แม้นใครๆ จะมองปริกต้อยต่ำ ทว่าสำหรับเขาทาสผู้นี้มีความหมายกว่านั้น มันเป็นทั้งเพื่อน ทั้งคนที่คอยแนะนำ คอยรับใช้เขาอย่างใกล้ชิด นอกจากชังพี่ชาย ก้านเองก็เริ่มชังตนเองขึ้นมาไม่น้อย เห็นทีว่าเพราะนิสัยเรื่อยเฉื่อยของตน ทำให้มิได้อยู่ในสายตาของพี่สะใภ้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงลูกชายของหลวงพาณิชย์ณรงค์ ดูเอาเถิดแม้นว่าเขาออกตัวช่วยถึงเพียงนี้ เนียมก็ยังเชิดหน้าอยู่เช่นนั้น
‘แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณก้านจะดูแลคนของคุณก้านมิให้เพ่นพ่าน’
‘พี่เนียมขอรับ ลืมแล้วหรืออย่างไร ว่ากระผมก็มีสิทธิ์ในคนและเรือนแห่งนี้ไม่แพ้คุณพี่ทอง’ ก้านกดเสียงต่ำ ‘หรือคุณพี่คิดว่ากระผมไม่มี’
เนียมถึงกับตะลึงไปเมื่อได้เห็นแววตาที่แข็งกร้าว ผิดวิสัยความอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ของน้องสามี น้ำเสียงที่พูดถึงอ่อนลงหลายส่วน
‘กระนั้นก็ให้สักชื่อคุณก้านได้หรือไม่เล่า’
ลงท้ายปริกเลยโดนตีตราอย่างเป็นทางการ คิดแล้วก็อดนึกถึงวัฒนธรรมการสักชื่อคนรักของวัยรุ่นในสมัยปัจจุบันไม่ได้ ยามนั้นเธอนึกดูถูกว่าช่างเป็นเรื่องไร้สาระ และหาความวุ่นวายไม่เข้าเรื่องให้ตนเองสิ้นดี ไม่คิดเลยว่าบัดนี้ตนจะมีรอยสักแบบนี้ แรกทีเดียวก็รู้สึกโกรธแค้นไม่น้อย แต่ต้องยอมรับว่าการอยู่ในสภาวะทาสมานาน ทำให้ปริกปลงเก่งมากขึ้น เธอคิดเสียว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าโดนสักกลางหน้าผาก
“ถ้าหากเอ็งเลือกได้ เอ็งจะเป็นกระไรปริก” จู่ๆ ก้านที่ขะมักเขม้นกับการแกะสลักไม้ถาม ทำเอาปริกที่กำลังหาจังหวะแอบงีบสะดุ้งขึ้น สายตาของเธอกวาดมองขี้เลื่อยที่เกิดจากการสร้างงานศิลปะของก้าน นอกจากเรื่องกิน และนอน พักหลังมานี้เห็นจะมีเรื่องแกะสลักไม้นี่แหละที่ปริกเห็นว่าเขาทำได้ดี
“อืม” ปริกครุ่นคิดพร้อมมองกิริยาต้ังอกตั้งใจจนตาไม่กะพริบของก้าน
ดูท่าว่าเจ้าเด็กอ้วนของเธอนั้นจะมีความถนัดทางศิลปะกระมัง ดูทีรึแกะสลักไม้เป็นม้าเสียดูสมจริง ทว่าความสามารถแกะสลักนี้ดูจะไม่สนับสนุนการเป็นลูกเจ้าเรือนของเขาเท่าใด พักหลังๆ พ่อของก้านจึงมักไม่พอใจเมื่อเห็นลูกชายแกะสลัก ครานี้เขาอาศัยยามที่พ่อออกไปทำราชการที่หัวเมืองแกะสลักให้อิ่มใจ ส่วนของยามเมื่อเสร็จก็ซ่อนเอาไว้เสีย
“เอ็งอยากเป็นกระไร” เขาถามย้ำ โดยที่ตายังคงไม่เหลือบแลมาที่ปริก
“เป็นหมอ…ยากระมังเจ้าคะ” ชาติก่อนยังไม่ทันจะได้เป็นนักวิจัยยาอันดับต้นๆ ของโลกก็ตายเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ทว่าหญิงสาวก็นึกไม่ออกว่าจะอยากทำอะไรนอกจากอาชีพนี้
ก้านยิ้มบางๆ ก่อนบอกอย่างเห็นด้วย
“ข้าว่าเอ็งเป็นได้ เอ็งรักษาคนเก่ง” เขาหมายถึงยามที่โดนรังแก ปริกมักจะช่วยดูแลเขาได้เป็นอย่างดี
ปริกยิ้มแกนๆ รับคำชมนั่น อันที่จริงเธอเคยคิดอย่างทะนงตนยามที่มาเกิดใหม่ ว่าความสามารถทางเภสัชวิทยาระดับท็อปของตนจะทำให้เธอเป็นอัจฉริยะในยุคนี้
ทว่าในความเป็นจริง เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีสมัยใหม่ซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณ ดังนั้นหญิงสาวไม่อาจเดาสารประกอบที่อยู่ในพืชสมุนไพรได้แม่นยำนัก นอกจากจะเป็นชนิดที่รู้จักกันแพร่หลาย เธอจึงได้แต่ค่อยๆ ศึกษาจากตำราทว่าน่าตลกสิ้นดีที่แม้ว่าจะเรียนภาษาจนแตกฉาน แต่ปริกไม่คุ้นชินกับร้อยกรองที่รจนามาเพื่อสั่งสอนความรู้เอาเสียเลย เป็นอันว่าเธอแทบจะเริ่มใหม่ในเรื่องตัวยาก็ว่าได้
“ว่าแต่ ทำไมคุณก้านถึงถามบ่าวเช่นนี้เล่า”
“ก็” เด็กอ้วนครุ่นคิด “เผื่อวันใดคุณพ่อไล่ข้าออกจากบ้าน จะได้ให้เอ็งหาเลี้ยงน่ะสิ”
“พูดเป็นเล่นไปเจ้าค่ะ ท่านเป็นถึงลูกชายเชียวหนา”
“แต่ก็มิได้เรื่องอันใด สู้ไอ้เปลวนั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ” บิดาเขามักเอ่ยชมหลานชายท่านครู ที่ชอบนำมาเปรียบเทียบกับเขาเสมอ
…อา อ้วนดราม่าเสียแล้ว
ปริกวางมือเบาๆ บริเวณข้อเท้าอ้วนป้อมอย่างต้องการจะปลอบใจ ดูแลมานานปีเธอก็พอจะรู้ ว่าภายใต้หน้ากากที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวก้านก็เสียใจไม่น้อยที่ไม่อาจเป็นบุตรชายอย่างที่บิดาต้องการได้ แม้ว่าใจจริงปริกจะอยากโบกหัวกลมๆ นั่น แล้วด่าให้ตาสว่างว่าเขาโชคดีแค่ไหน ทว่าชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึงสองภพล้วนกล่อมเกลาให้เธอเป็นคนที่ใจเย็นลง
“หากเอ็งเลือกได้…เอ็งอยากไปกับมันหรือไม่ ไอ้เปลวน่ะ” ก้านถามออก เขาพอจะรู้ว่าทาสประจำตัวนั้นมีมิตรภาพกับหลานท่านครู ตามประสาคนที่ฉลาดเท่าทันกัน มิตรภาพในแบบที่เขาไม่มีวันเข้าถึง
ปริกจ้องตาก้านอย่างค้นคว้า ใจหนึ่งก็อยากตอบออกอย่างฉับไว ว่าข้าต้องอยู่ติดตามรับใช้คุณก้านตลอดชีวิตแน่นอน ทว่าความผูกพันระหว่างกันทำให้เธอไม่อยากโกหกเด็กหนุ่มตรงหน้า
“มันเป็นคำถามที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เพราะข้าเลือกมิได้” ปริกบอก รินน้ำจากกากระเบื้องที่เขียนลายแบบจีนส่งให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านาย
“แต่หากเอ็งเป็นของข้า ข้าจะดูแลเอ็งอย่างดี” ก้านบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง
…ดูเหมือนว่าหมอนี่เริ่มโตเป็นหนุ่มเสียแล้ว
“คุณก้านดูแลข้าดีมาตลอดเจ้าค่ะ และข้าก็หวังว่าคุณหนูคู่หมั้นของท่านจะเป็นเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงคู่หมั้น ก้านก็คล้ายคิดอะไรบางอย่างออก
“เอ็งว่า เขาจะใจดีเหมือนเอ็งไหม” ชีวิตก้านรู้จักมักจี่ผู้หญิงใกล้ชิดอยู่สองคน คนแรกมารดา คนที่สองก็คือบ่าวรับใช้อย่างปริก
…ตอบยากแฮะ ถ้าคุณหนูคนนั้นมีรสนิยมเหมือนกับบรรดาเมียคุณทอง เขาก็คงใจดีกับก้านอยู่หรอก
ยังไม่ทันที่ปริกจะตอบ ก้านก็ชิงพูดรวดเร็ว
“แต่ข้าคิดเอาไว้ อย่างไรจะมีเมียไม่เกินสองคน ไม่เกินสองคนอย่างแน่นอน” กล่าวแล้วก็เหลือบตามองที่ข้อมือปริกอย่างมีพิรุธแล้วรีบจ้ำเท้าออกโดยทิ้งม้าแกะสลักเอาไว้
…สงสัยจะเข็ดเมื่อเห็นชีวิตพี่กระมัง
ปริกทอดสายตามองสายน้ำระยิบระยับตรงหน้า ความรู้สึกแก่งแย่งแข่งขันของโลกยุคเก่าค่อยๆ ลอยห่าง ออกไป เธอมิคาดว่าโลกใบนี้จะค่อยๆ หล่อหลอมตัวตนใหม่ขึ้นมา ยามนี้ปริกคิดว่าตนทำใจรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น จะว่าไปเป็นทาสเขาก็ไม่มีอะไรแย่ คนในยุคนี้ก็อายุแสนสั้นนัก
…เธอคิดไปโดยไม่รู้ว่าจุดเปลี่ยนของชีวิตนั้นกำลังมาถึง
…และมันจะพลิกชีวิตเธออย่างคาดไม่ถึงทีเดียว
“ปริก” เปลวเอ่ยเรียก น้ำเสียงมีแววร้อนรน
ชายหนุ่มที่หายหน้าหายตาไปจากเรือนเสียหลายวันปรากฏตัวขึ้น เขารีบเร่งฝีเท้ามาหาปริก ก่อนมองซ้ายขวาเพื่อให้เห็นว่าไม่มีคน จึงฉวยข้อมือน้อยจับจูงไปที่ตลิ่งลับตาอันเป็นสถานที่นัดพบของทั้งสอง
สำหรับปริกความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเปลวก็คือเพื่อน เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคนเดียวของเธอในโลกนี้ เขาเป็นคนที่หวังดี เข้าใจในตัวตน ไม่มองข้ามว่าเธอเป็นทาสทั้งเป็นหญิงแสนต้อยต่ำ ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ เขามองข้ามกายเด็กเล็กของเธอ เชื่อมั่นถึงขนาดว่าเขามักนำเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานมาปรึกษาเสมอ
“รู้เรื่องแล้วละสิเปลว” ปริกเรียกเพียงชื่อเขา รู้สึกกระดากใจหากจะเรียกพี่ เปลวเองก็ไม่ได้ใส่ใจ แม้เขาจะนึกแปลกใจในท่าทางเกินเด็ก แววตาเฉลียวฉลาดยามที่ไม่ต้องเสแสร้ง ทว่าเมื่อได้พูดจากับปริก และรู้จักกันมาเขายอมรับว่าเขาถูกอัธยาศัยเด็กหญิงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ถูกอัธยาศัยเสียจนสัญญากับตนเองว่าจะขอทำทุกทาง เพื่อไถ่เด็กคนนี้ออกจากการเป็นทาสให้ได้
“เจ็บหรือไม่” เขาถามด้วยความสงสาร
“ไม่ตายดอก เปลวก็มีรอยสักเช่นกัน ย่อมรู้ว่าเจ็บเท่ามดกัดเท่านั้น” ปริกบอกด้วยน้ำเสียงปกติ เมื่อครั้งที่โดนสักใหม่ๆ เจ้าเด็กอ้วนนั่นก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า นึกแล้วก็อดชื่นใจไม่ได้ที่อุตส่าห์เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล อย่างน้อยเจ้าก้านก็รู้จักเป็นห่วงเธอ
เปลวลูบรอยสักที่ข้อมือแผ่วเบา ประกายตานั้นฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน
“เอาน่า ไม่โดนสักหน้าผากก็บุญแล้ว” อันที่จริงปริกเองไม่ใช่คนดี ใจเย็นอะไรมากมาย ทว่าเธอเข้าใจความคิด ความรู้สึก และความกดดันของเปลวดี เปลวที่รับเอาเธอเป็นภาระที่จะต้องดูแล ทั้งที่ทั้งสองไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดๆ ต่อกัน ลึกๆ แล้วคงมาจากการที่ทั้งสองเป็นคนประเภทเดียวกันนั่นเอง
เปลวเป็นกำพร้าพ่อแม่จากการถูกโจรป่าปล้นระหว่างเดินทาง เขาได้รับอุปการะจากท่านครูผู้เป็นลุง มีความขยันหมั่นเพียรและความพยายามที่จะผลักดันตนเองให้อยู่จุดที่ดีขึ้น มีความสามารถ เก่งกาจ ในขณะเดียว กันก็รู้จักเข้าหาผู้ใหญ่อันจะช่วยเกื้อกูลตำแหน่งหน้าที่ได้ เมื่อนึกถึงตนในกาลก่อนปริกอดนึกไม่ได้ว่าทั้งสองนั้นเหมือนกันจนแทบจะเป็นคนเดียวกัน
“ข้าขอเจ้ากับคุณหลวง แต่คุณหลวงมิให้” เขาเอ่ยลอดไรฟันที่ขบกันแน่น สู้อุตส่าห์ทำการงานทุกอย่างเพื่อเอาใจ เป็นหน้าเป็นตายิ่งกว่าลูกชายแท้ๆ ของหลวงพาณิชย์ณรงค์เสียด้วยซ้ำ ทว่าเขาก็ไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพียงทาสค่าตัวต่ำอย่างปริกก็ให้ไม่ได้ ทั้งไม่ให้ และไม่ให้ไถ่ด้วย
“น่าเสียดายนะว่าไหม” ปริกรำพึงออกมา แม้ว่าเธอจะผูกพันกับก้านไม่น้อย ทว่าความเป็นไท และอิสรเสรีของเธอนั้นเป็นความต้องการสูงสุดในภพนี้ และดูเหมือนเปลวก็พร้อมจะช่วยเหลือ
หากเปลวไถ่ตัวเธอไปได้ ไม่ว่าจะให้เป็นคนรับใช้ หรือเป็นเมีย ปริกก็คิดว่าตนไม่รังเกียจชายผู้นี้ แม้ว่า ความรู้สึกที่มีให้เขาจะห่างไกลจากความรักระหว่างหนุ่มสาว และไม่มีอะไรการันตีได้ถึงความสัมพันธ์ที่ดีงาม เธอไม่อาจรู้ว่าเขาจะกลายเป็นนักสะสมสาวงามเมื่อทำราชการได้รุ่งเรือง ร่ำรวยศักดินาหรือไม่ ทว่ามันก็คุ้มที่จะเสี่ยง เดิมทีเธอคิดว่าหลวงพาณิชย์ณรงค์จะอยากผูกใจชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ไว้ แต่น่าประหลาดที่ไม่ยอมทำตามคำขอแสนธรรมดา
…เห็นทีคงรักลูกชายมากจนไม่อยากขัดใจกระมัง
“แบบนี้เจ้าจะปลอดภัยหรือไม่” แม้ว่าจะทำตัวตามสบาย กิริยาคล้ายเด็กชาย ไม่มีความเอียงอายอย่างผู้หญิง แต่คนตรงหน้าเปลวนั้นเติบโตขึ้นทุกวัน ทรวดทรงที่เริ่มโค้งเว้า ผิวพรรณที่ผุดผ่อง ดวงตาคมดวงโตที่มองตอบเขาราวกับจะปลอบว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเขานั้นก็ชวนมอง เปลวไม่แปลกใจที่ทองจะอยากได้ปริกเป็นเมีย
ปริกเสยผมหน้าม้า ก่อนยักไหล่
“ก็คงปลอดภัย ตอนนี้สิ่งที่คนรับรู้ก็คล้ายๆ ว่าข้าเป็นเมียบ่าวของคุณก้าน แม้นจะหน้ามืดเพียงใด คุณทองคงไม่ทำเรื่องอย่างการแย่งเมียน้องชายดอก” ปริกเล่า ลึกๆ ก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อยกับสถานะนี้ เพราะธรรมเนียมการมีเมียบ่าวนั้นเป็นเรื่องปกติ เมื่อพบความนอบน้อมมากขึ้นของบรรดาทาสที่มีต่อตนเอง ปริกก็รู้สึกราวกับว่าท้ายที่สุดเธอก็ได้ไต่เต้าจริงๆ อย่างที่วางแผนไว้เมื่อหลายปีก่อน กำไรเสียอีกที่ร่างกายไม่สึกหรอ เพราะก้านนั้นห่วงกินกับเล่น ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอย่างว่า ขนาดกำหนดการนัดดูตัวกับคู่หมายว่าที่เมียก็ยังไม่สนใจ
สิ่งที่ปริกบอกเพื่อให้เปลวคลายใจกลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเยียบเย็น คล้ายว่าความหวังที่จะได้ปริกมาเริ่มห่างออกไป ยามนี้ปริกเป็นของก้านโดยสมบูรณ์ อย่างที่เขานึกไม่ออกว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยปริกให้พ้นจากความเป็นทาส เมื่อนึกถึงว่าวันหนึ่งปริกอาจจะเป็นเมียคนหนึ่งของก้านขึ้นมาจริงๆ เขาที่ต้องเข้าออกเรือนนี้จะรู้สึกเช่นไร ความรู้สึกขมปร่าแล่นเข้ามาในอก เขาจะทนให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
…แต่เขาจะทำกระไรได้
“ไม่เอาๆ ไม่เครียด” สัมผัสเย็นๆ บริเวณหว่างคิ้วทำให้เขาหลุดจากภวังค์ แม้ว่ามือของปริกที่หยาบกร้านอย่างมือของคนทำงาน ทว่ากลับช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความรู้สึกต่ำต้อย
ตั้งแต่รู้ความการต้องคอยเอาอกเอาใจ ทำตามผู้ใหญ่ด้วยรู้ดีว่าตนเป็นเพียงภาระที่ท่านเมตตาเลี้ยงดู แม้จะทำได้ดี แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเหนื่อยปานใด เขาไม่หวั่นที่จะทุ่มเทกำลังเพื่อยกระดับตน ทว่าเด็กหญิงที่เปรียบดั่งหยาดน้ำที่ชุบชูจิตใจเขาผู้นี้เล่า จะรอเขาได้หรือไม่ เปลวเกลียดที่ตนไม่มีสิทธิ์อันใด ฤๅเขาต้องทนดูปริกดอกงามแสนพิเศษนี้ไปประดับแจกันอันอัปลักษณ์ไม่คู่ควรจริงหรือ
“ข้า ข้าจักต้องหาวิธีให้จงได้” เขายึดมือน้อยและบีบแน่นราวจะให้สัญญา
ประกายความมุ่งมั่นในดวงตาคมกล้านั้นทำให้ปริกไม่อาจเอ่ยคำใดออก ทั้งสองนั่งเงียบๆ ได้สักพักใหญ่ ปริกก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ก้านต้องไปเรียนวิชาดาบที่วัดอัมพวา และตนก็ต้องไปติดตามรับใช้เจ้านาย เธอจึงรีบเอ่ยลาเปลวและรีบรุดไปเตรียมของที่ต้องใช้ โดยไม่รู้ว่าภาพการพบปะพูดคุยของทั้งสองอยู่ในสายตาของก้านและด้วงที่มาเพื่อตามให้ปริกออกเดินทางไปด้วยกัน
“คุณก้านว่าไหมขอรับ หัวหมู่เปลวนี่จะต้องรักชอบอีปริกมากทีเดียว กระผมรู้มาว่าท่านยังมิมีเมียด้วย” ด้วงบอกเล่าสิ่งที่ตนคิด เขากล้าพูดเพราะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างก้านและปริกนั้นเป็นเพียงบ่าวและนาย หาใช่อย่างที่คนในเรือนคิดกันไม่ “พันเปลวนี่ก็ประหลาดคน อีปริกมันยังเป็นแดกแห้งอยู่เลย ยังจะอยากได้ ว่าไหมขอรับ”
ก้านไม่ตอบความอันใดในเรื่องนี้ เสียงห้าวที่ขัดกับบุคลิคกล่าวออก
“เร่งตามปริกเถิด ชักช้าไปคุณพ่อก็จะว่าฉันได้ว่าแชเชือนไม่อยากเรียน” กล่าวแล้วก็สาวเท้าออกไปที่ท่าน้ำ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปริกเดินมาถึงพอดี
“เอ้า อีปริก ไปกันเถิด คุณก้านไปโน่นแล้ว” ด้วงบอก รับเอาย่ามใบโตที่ภายในบรรจุข้าวของอย่าง อาหารแห้ง ผลไม้ หยูกยา และน้ำดื่มเอาไว้เพราะในสมัยนี้ไม่ได้มีร้านรวงที่ขายของแพร่หลายนักเมื่อต้องออกเดินทาง แม้จะไม่ไกลมากของเหล่านี้ก็ต้องเตรียมไปให้พร้อม
ระหว่างที่นั่งบนเรือ ก้านสงบปากสงบคำแตกต่างจากยามปกติที่มักจะพูดจาเจื้อยแจ้วไปจนตลอดทาง ส่วนมากเขามักจะบ่นเรื่องที่บิดาส่งตนไปลำบากลำบนนอกเรือน หรือเล่าแผนการว่าจะจัดการเพื่อนร่วมเรียนที่มารังแกตนได้อย่างไรบ้าง (อย่างไรก็ดีก้านมักเป็นฝ่ายถูกจัดการเสียเอง) ทว่าครั้งนี้เขากับนั่งเงียบ ปริกที่รู้สึกสบายหูขึ้นมาหน่อยจึงมีเวลากวาดสายตาสำรวจทางน้ำ เรือนของหลวงพาณิชย์ณรงค์นั้นตั้งอยู่ในเมืองอัมพวาซึ่งในยามนี้ที่นี่ยังไม่ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เป็นชุมชนที่ไม่หนาแน่น แม่น้ำลำคลองใสเต็มไปด้วยกุ้งและปลาหลากสายพันธุ์และมีความอุดมสมบูรณ์ในแบบของพื้นที่ซึ่งมีน้ำจากทะเลมาบรรจบกับแม่น้ำ
ฝีพายต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะพาทุกคนพ้นจากคลองสายเล็กซึ่งเป็นอาณาเขตปกครองของหลวงพาณิชย์ณรงค์ ซึ่งเป็นบริเวณทั้งส่วนของเรือนพักอันกว้างขวาง เรือกสวนทั้งที่ให้บ่าวไพร่ของตนมาทำเอง และส่วนที่ให้ชาวบ้านเช่าทำมาหากิน ไม่นานนักภาพของวัดอัมพวาจุดหมายของทุกคนก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของปริก หญิงสาวอดยิ้มกว้างไม่ได้ ทาสอย่างเธอได้ออกมาเที่ยววัดนั้นก็ให้รู้สึกหรูหราราวกับได้เดินเล่นบนห้างสรรพสินค้าสุดพรีเมียมเลยทีเดียว
“ไอ้อ้วนมาถึงแล้ว” น้ำเสียงที่เคยคุ้นทำให้ก้านถึงกับชะงัก ไม่นานตัวคนพูดก็ปรากฏตัวพร้อมกลุ่มเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่
นายเหล็กนั้นอายุอ่อนกว่าก้านสามขวบปีได้ ทว่าเขามีความเฉลียวฉลาด จึงเรียนนำก้านไปไกลโข ด้านวิชาการว่าดี ความปราดเปรียวในด้านเพลงดาบนั้นปริกบอกได้คำเดียวว่าสุดยอด เรียกได้ว่าเป็นศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของท่านพระอาจารย์ ในอนาคตเชื่อได้เลยว่าเขาคงสร้างชื่อให้แก่วัดอัมพวาอย่างแน่นอน
นอกจากความเก่งกาจแล้วเหล็กยังถือว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีพิมพ์นิยมของยุคสมัยนี้ ด้วยดวงตาคมกล้าใต้แพคิ้วหนารับจมูกโด่ง แม้ปากนั้นจะดูหนาไม่เป็นกระจับสวย แต่ยามที่เขาเหยียดยิ้มเยาะเย้ยก้านแล้วนั้นจะเห็นเขี้ยวโผล่มาทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
“แบบนี้ต้องประลองแล้วนะขอรับ” หนึ่งในลิ่วล้อของเหล็กเอ่ยอย่างขันๆ ใช่แล้วนายเหล็กนอกจากหล่อ เก่ง และดูเหมือนว่าพ่อเขาจะมีตำแหน่งใหญ่ไม่แพ้พ่อของก้าน หมอนี่ยังป๊อปปูลาร์ในหมู่เด็กหนุ่มทำให้มีคนล้อมหน้าล้อมหลังเพียบ ปริกยังแอบเห็นเด็กสาวมากมายแห่มาชมโฉมเขายามฝึกฝนอีกด้วย
…เอาเป็นว่าถ้าเจ้าก้านของเธอเป็นขุนข้าง ไอ้เด็กหล่อแต่เกรียนนั่นก็ขุนแผนชัดๆ
…ขาดแต่นางพิม ถ้าสองคนนี้ตีกันแย่งผู้หญิงละก็ ครบเลย
“เกรงว่าพี่ท่านเขาจักมิไหวน่ะสิ” เหล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วง
ปริกอดย่นหน้าอย่างหมั่นไส้ไม่ได้
…ทำมาเรียกพี่ท่าน เมื่อกี้เธอได้ยินคำว่าไอ้อ้วนเต็มสองหูเลย
ปริกมองก้านอย่างเป็นห่วง แม้นเขาจะทั้งตัวสูง และอ้วนกว่า ทว่าในเรื่องของเทคนิคและพละกำลังนั้นเหล็กมีเหนือกว่า ดูกล้ามท้อง กล้ามแขน กล้ามขานั่นปะไร
“ดวลมวย” เสียงตอบรับจากก้านทำให้ผู้คนรายรอบล้วนมองด้วยความประหลาดใจ
“เอาสิ” เหล็กเหยียดยิ้มรับข้อเสนอ โมงยามหลังจากนั้นการต่อสู้ก็เกิดขึ้น
“ไอ้ด้วง นายมึงกินอันใดเข้าไป เหตุใดจึง…ดุเดือดเช่นนี้” หนึ่งในเด็กหนุ่มเพื่อนของเหล็กเอ่ยถาม
“กระผมไม่ทราบขอรับ” ด้วงมองภาพการต่อสู้อย่างแปลกใจไม่แพ้กัน
แม้ว่าก้านจะสู้ไปด้วยท่าทางไม่แม่นยำ ทว่าการออกหมัดในแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แม้นว่าเขาจะโดนเหล็กต่อยโดนจุดสำคัญอยู่หลายครั้งจนเลือดเริ่มออก ต่างกับฝั่งเหล็กที่ยังคงไร้ร่องรอยบาดแผล ก้านก็ไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ดำเนินมายาวนานจนใบหน้าของก้านบวมช้ำกว่าครั้งที่แล้วเสียอีก
เหล็กมองก้านที่ยืนโงนเงนคล้ายคนที่มิอาจจะยืนอยู่ได้ต่อไป เขาตัดสินใจไม่ชกต่อ มือใหญ่วางบนไหล่หนา ตบเบาๆ
“เออ ข้ายอมท่านแล้ว” เขามองก้านที่มีแววคล้ายไม่เชื่อจึงย้ำอีก “เอาเถิด เห็นแก่น้ำใจของท่าน ข้าไม่เอาอันใดแล้ว พอเถิด ถือว่าข้อที่ข้าเคยท้าพนันตกไปเถิดนะ พี่ก้าน” ว่าแล้วก็เดินออกไปท่ามกลางความงุนงงของทุกฝ่าย
ก้านล้มลงอย่างหมดแรง ปริกที่เข้าไปประคองอดประหลาดใจไม่ได้ที่แม้จะโดนซ้อมถึงขนาดนี้แล้วเจ้าเด็กอ้วนของเธอกลับมีรอยยิ้มพอใจประดับอยู่ ทว่าเธอก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่าการปฐมพยาบาลคนเจ็บ
“เหตุใดไม่ยอมแพ้เขาเสีย บ่าวเคยบอก การยอมแพ้หาใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีไม่” ปริกเอ่ยขณะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเลือด “ได้ยินว่าพนัน พนันกระไรหรือเจ้าคะ”
“ความลับ” ก้านบอก น่าแปลกที่หลังจากนั้นการรังแกไม่เกิดขึ้นอีก ครั้งต่อมายามที่ก้านมาฝึกวิชาที่วัด เด็กหนุ่มทั้งหมดถึงกับรับเขาเข้ากลุ่ม กินข้าวร่วมกัน เล่นหัวกันราวกับก้านไม่เคยโดนกันออกจากกลุ่ม จนปริกและด้วงแทบไม่ต้องช่วยดูแลก้านในยามที่เขามาเรียนที่วัดอีกเลย
เธอจึงมีโอกาสได้ตามบ่าวไพร่ของเจ้านายคนอื่นๆ ไปเที่ยวเล่นในตลาด
…โดยไม่คาดว่าตลาดแห่งนี้ มีคำตอบของบางอย่างรอเธออยู่