ดาราอรุณ บทที่ 1 : พบกันอีกครั้ง

ดาราอรุณ บทที่ 1 : พบกันอีกครั้ง

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ฝนเม็ดเล็กกำลังโปรยปรายเพียงแค่ฝอยน้ำยิบๆลงมา ขณะที่ร่างของหญิงสาวผู้กำลังนั่งยองๆ ในมือมีธูปห้าดอกที่จุดแล้ว แลเห็นไฟตรงปลายฉายแวบเพียงวาบหนึ่งจึงกลายเป็นเถ้าเบียดกันแน่น ยกมือพนมชูชึ้นเหนือหน้าผากที่เจ้าตัวกำลังภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ ตรงกันข้ามกับป้ายสูงผอมที่มีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมยาวตามแนวนอนติดขวางอยู่ตรงปลาย ความว่า ‘ขายที่ดิน 189 ตรว. ติดต่อได้ที่โทร….’

ชายหนุ่มกำลังขับพาหนะของเขาเตรียมจะผ่านไป แต่แล้วจึงเปลี่ยนใจ เป็นค่อยๆ ถอยกลับมาจอดต่อจากรถของหล่อนที่ประตูข้างซ้ายเปิดกว้าง เพื่อผู้มาขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้นั่งเบียดพิงด้านข้าง จะภาวนาหรือบริกรรมมนตราใดก็ได้ตามสะดวก

อดนึกขำมิได้ที่หญิงสาว…ใช่สิ…เท่าที่มองเห็นแวบๆ จากรถของเขาขณะผ่านรถของหล่อนไปเมื่อกี้เพียงสองสามวินาที ก็รู้ได้ทีเดียวว่า คือหญิงสาววัยไม่ไกลจากเขาสักเท่าไร…หากก็ยังใส่ใจเกี่ยวคล้องอยู่กับการบนบานศาลกล่าวที่คนเลยวัยต้นไปแล้วเท่านั้นที่ยังทำ

แต่ขณะนี้ หล่อนกำลังปักธูปลงบนดินริมที่แปลงตรงหน้าซึ่งมีลวดหนามกั้นเป็นรั้ว เห็นได้ชัดว่าล้อมไว้นานมาก เมื่อมองเข้าไปก็แลเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวท่ามกลางพงหญ้า ดูเก่าแก่คร่ำคร่าด้วยกาลเวลายาวนาน ท่ามกลางบ้านและตึกทั้งขนาดย่อมขนาดใหญ่ ทั้งฝั่งนี้และฝั่งตรงข้าม

ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นนั้น พ่อเคยบอก

‘ที่เราขายไปแล้ว แต่ที่ของไอ้ชัดยังอยู่ ใครถามซื้อก็ไม่ยอมขาย…เฮอะ… ’

เขาฟังแค่ผ่านหู เนื่องด้วยดูเหมือนพ่อจะไม่มีวันหายโกรธเพื่อนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่ยังอยู่ชั้นมัธยมต้นด้วยกัน ทั้งๆ ที่มันก็เรื่องเล็กๆ ไร้สาระเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องที่อาชัดไม่ยอมมีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับอา หทัยน้องสาวคนเดียวของพ่อแค่นั้น ไม่ว่าพ่อจะพยายามเป็นสื่อเป็นชักสักเท่าใด

‘ไม่ใช่ไม่ชอบน้องทัย…แต่มึงก็รู้ กูมีคนของกูอยู่แล้ว’

‘คนของกู’ ก็คืออายาใจ ภรรยาที่อยู่กินกันมายาวนาน พอๆ กับพ่อแม่ของเขานั่นเอง

หลังจากนิ่งมองอากัปกิริยาหญิงสาวเพียงครู่จนหล่อนจบสิ้นคำอธิษฐาน ลุกขึ้นนั่งหมิ่นๆบนที่นั่งด้านข้าง เขาก็เลยเปิดประตูรถก้าวลงไป อ้อมไปทางที่หล่อนยังคงนั่งนิ่ง คอยธูปไหม้หมดดอก พลางถาม

“ที่นี่จะขายหรือฮะ”

อีกฝ่ายจึงรีบลุกขึ้น ปิดประตูรถด้านซ้ายถอยออกไปยืนเยื้องกับเขาหน่อยหนึ่ง พลางตอบผ่านหน้ากากสีขาวที่คาดกันโควิด-19 ไว้

“ค่ะ…ขาย”

“ตารางวาละเท่าไหร่ล่ะฮะ” ชายหนุ่มเอ่ยต่อ มียิ้มนิดๆ ซ่านเต็มหน่วยตา แต่แลไม่เห็นริมฝีปากเนื่องด้วยอยู่ในหน้ากากเช่นกัน

อ๋อ…เขาพอจะจำได้แล้วละว่า หญิงสาวร่างบางสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนสะอาดสะอ้าน ดวงตารูปกว้างทอแสงเจิดจรัสด้วยประกายหรรษาผู้นี้น่าจะคือบุตรีคนโตของเพื่อนพ่อ เจ้าของที่ดินผืนที่กำลังปักป้ายขายนี่เอง

หล่อนเคยวิ่งเล่นมากับเขาด้วยซ้ำไป

หากแต่หลังจากพ่อกับพ่อแยกทางกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง พ่อเขาก็บงการด้วยความโมโหโทสะ มิให้เข้าไปในบ้านนายชัด เพื่อนผู้บัดนี้กลับกลายเป็นศัตรูไปแล้วอย่างชวนให้เสียดาย

“คุณจะซื้อเองหรือคะ” หล่อนถามไถ่ด้วยแสงใส แย้มยิ้มมีไมตรีที่แล่นจากริมฝีปากอันถูกกำบัง

ชายหนุ่มก็เลยตบกระเป๋ากางเกงเบาๆ

“ผมมีเงินทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ถึงหมื่น”

“ไม่เชื่อ” อีกฝ่ายพึมพำนัยน์ตาเป็นประกาย

ทันใดนั้น ความร้อนบางสายในตัวตนก็วิ่งวาบขึ้นมาจับจิตใจดลโดยมิคาด

“ทำยังไงถึงจะเชื่อดี” เขาก็เลยทอดเสียงเป็นกันเอง พลางถามต่อ “ว่าแต่ว่า เมื่อกี้คุณพูดอะไรกับธูปห้าดอกนี่…”

พลางเขาก็ก้มลงมองธูปที่กำลังไหม้ลามเคียงข้างถาดเงินรูปรีอันมีกล้วย 1 หวี ส้ม3 ลูก มะพร้าวอ่อนเปิดฝาแล้ว 1 ผล แอปเปิ้ลเขียวแดง 3 ลูก กับทับทิม 3 ผล แออัดกันอยู่บนถาด

“ฉันก็ขอเจ้าที่กับแม่พระธรณีให้ขายที่ได้ไงคะ”

คราวนี้ เขาจึงได้แต่ยิ้มกว้างจนประกายตาสุกปลั่ง

“แล้วคุณพูดว่ายังไงกับท่าน…นี่ถ้าคุณขายได้เร็ว ผมเห็นจะต้องขอข้อความนั่นมาท่องไว้มั่งแล้วซีฮะ”

“ท่าทางเหมือนคุณเห็นว่าเหลวไหล” หญิงสาวก็เลยชะงักยิ้ม “ถ้าไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ท่านดีกว่า”

คราวนี้ ชายหนุ่มยกคิ้วสูงอย่างตกใจ

“ไม่เลยนะฮะ!…ไม่เคยเลย…ไม่เคยลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์” เขารีบแก้ความเข้าใจของอีกฝ่าย “เพียงแต่…ผมอาจจะ…เอ้อ…อาจจะ…อยากล้อคุณเล่นมากไป แต่โดยสัตย์จริง…จากใจ…ผมอยากรู้นะฮะ…อยากรู้มากกว่า…คุณพูดกับท่านว่ายังไง…”

“ได้ค่ะ…แล้วจะจดให้คุณเก็บไว้ เผื่ออยากขายอะไร จะได้ขอ”

“อือ…คุณ…” เขาก็เลยครางอย่างเอ็นดู “นี่ผมนึกไม่ถึงเลยนะว่า คนรุ่นใหม่ยังจะเชื่ออะไรแบบนี้อยู่อีก”

แต่หล่อนไม่ตอบ นัยน์ตายังคงมองดูแค่ธูปซึ่งบัดนี้ไหม้ลามหมดสิ้นทั้ง 5 ดอก เหลือแต่ก้าน พลางก็ยกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับก้มลงจะยกถาด…หากก็ไม่ทัน เพราะเพศชายผู้เพิ่งมาพร้อมฝนฝอยๆ ซึ่งบัดนี้หยุดสนิท รีบเก็บรักษานาทีทองไว้เป็นของเขา โดยช่วยยกถาดค่อนข้างหนักนั้นเสียเอง

“เปิดประตูกว้างๆ หน่อย ผมยกให้…แล้วก็ขอให้ขายได้เร็วๆ นะฮะ…” ครั้นแล้ว เขาก็นิ่งไปอึดใจ จึงบอก “ผมชื่อหิ้ง…คุณล่ะฮะชื่ออะไร…จะได้รู้จักกันไว้…เผื่อไงผมจะได้พาคนมาดูที่สวยของคุณ…ที่เหลืออยู่แค่แปลงเดียวตลอดทั้งซอย”

“ฉันชื่อเย็นค่ะ” อีกฝ่ายตอบเหมือนยังไม่แน่ใจว่าควรบอกดีหรือไม่ขณะเขาวางถาดลงบนเบาะรถด้านหลัง

“เย็น…ลมเย็นหรือเปล่าเอ่ย…คือ…เมื่อเด็กๆ ผมเคยรู้จักลูกของเพื่อนพ่อชื่อลมเย็น”

หญิงสาวจึงยิ้มเต็มยิ้ม หากก็แลไม่เห็นฟันขาววับรับกับประกายนัยน์ตา

“โธ่เอ๊ย นึกว่าใคร พี่หิ้งนั่นเอง”

คราวนี้จึงต่างก็ปลดหูหน้ากากออกข้างหนึ่งราวกับนัด

“เย็น…สวยมาก…ทำไมถึงกลายเป็นคนสวยขนาดนี้ได้” หิ้งครางอย่างไม่นึกฝันว่าเพื่อนเล่นสมัยก่อนจะได้มาพบกันในวันนี้…ในวันฟ้าครึ้มด้วยเมฆหมอก พร้อมฝนฝอยที่คล้ายเทวดาอำนวยพร “เอางี้ พี่ขอพาเย็นไปเลี้ยงกาแฟสักถ้วย ขนมสักชิ้นที่ร้านหน้าซอย…เพียงแต่พี่ไม่อยากขับรถคนละคัน…เอ…ทำยังไงดีเย็นถึงจะมานั่งกับพี่ได้…”

“มีทางเดียวก็คือเอารถเย็นไปไว้บ้าน แล้วมานั่งรถพี่”

“ดีครับดี” อีกฝ่ายพยักหน้า

บ้านเขากับบ้านหล่อนอยู่ไม่ไกลกัน…แค่ซอยคั่น เพราะตอนที่ปู่เขาชวนปู่หล่อนมาซื้อที่ที่นี่ มีที่เหลือให้เลือกไม่มากเนื่องจากขายดี เป็นที่ผ่อนส่งที่ต้องจบภายในหกเดือน ทั้งนายหินพ่อของนายหันกับนายเชิดพ่อของนายชัด บิดาของลมเย็นและลมโชยต่างก็มีรายได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะผ่อนส่งในเวลาอันสั้นได้ จึงชวนกันมา แม้จะอยู่ไม่ติดกัน แต่ก็ไม่ไกลกันมาก ต่างก็ผ่อนส่งคนละสองแปลง แปลงหนึ่งสร้างที่พักอาศัยของตนเอง ส่วนอีกแปลง กะไว้ขายในอนาคตที่วันใดวันหนึ่งอาจขัดข้องต้องใช้เงิน

นายหินมีอาชีพเป็นช่างเจียระไนเพชรพลอย บางวันเวลาจำเป็นต้องใช้เงินมากหากมีเพชรหรือพลอยชิ้นเยี่ยมหลุดหลงมาถึงมือเขาจนใคร่จะเก็บไว้เอง ไม่ขายต่อ ฝ่ายพ่อของนายชัด คือนายเชิด แม้เป็นช่าง หากแท้จริงก็คือหมอยา หมอนวดและหมอดู ไม่มีทางใดที่ต้องใช้จ่ายจำนวนมาก นอกจากนายหินอาจร้อนเงินเป็นครั้งคราว หากมีเพชรพลอยที่ตนเองอยากได้ผ่านเข้ามาให้ซื้อเก็บ นั่นเอง เขาจึงจะขอยืมจากนายเชิดเพื่อนสนิทผู้มักจะควักให้โดยไม่เกี่ยงงอน

หากนั่นมันก็ตั้งแต่รุ่นของปู่…ครั้นมาถึงรุ่นลูกชาย คือนายหันกับนายชัด กลับคบกันไม่ราบรื่น ในที่สุดก็ร้ายแรงถึงขนาดตัดขาด ไม่มองหน้ากันจนถึงปัจจุบันด้วยเหตุอันสุดแสนธรรมดา

ดังนั้น หิ้งผู้เรียนสำเร็จจากโรงเรียนชาย ‘ชั้นท็อป’ แห่งพระนคร จบแล้วสอบชิงทุนไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกาจนสำเร็จปริญญาโท จึงไม่มีโอกาสพบหน้าครอบครัวของลมเย็นนับแต่นั้น

ตรงกันข้ามกับเหินน้องชายซึ่งเรียนพอให้ได้ผ่าน จบแล้วจึงสอบเข้าสายอาชีพ ได้เป็นพนักงานฝ่ายบรรจุภัณฑ์ในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง

มีคนรักเป็นสาวเปรี้ยว เฉี่ยว ฉูดฉาด นามว่า ลมโชย ลูกคนเล็กของนายชัด ที่นายหันกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันชอบใจ ประกาศว่า

‘เอาลูกมันเป็นเมียซะให้เข็ด เอาแล้วทิ้งได้ พ่อจะรอตบมือ’

 

ลมเย็นก้าวขึ้นนั่งคู่กับหิ้งอย่างสะดวกใจเมื่อรู้ว่าเขาคือลูกชายลุงหัน แม้ลุงผู้นั้นจะโกรธกับพ่อของหล่อนแบบตัดเป็นตัดตาย หญิงสาวก็หาได้เก็บเอามาเป็นอารมณ์ไม่ เนื่องด้วยรู้ดี…ลุงหันเป็นคนรักใครรักที่สุด เกลียดใครก็เกลียดที่สุด แม้ว่าบางหน เรื่องราวอาจไม่สลักสำคัญสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับเขาดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่แทบทุกคราว ไม่เคยเหมาะกับอาชีพที่ต้องการความสงบเงียบใช้ทั้งสติ สมาธิและปัญญานั่นเลย

ตรงกันข้ามกับป้าพริ้งเมียของเขา

เมื่อมานั่งมองหน้ากันภายในร้านกาแฟแบรนด์ดัง หลังจากถอดหน้ากากออก หิ้งจึงเอ่ย

“นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว เย็นสั่งอาหารหนักเลยดีกว่า พี่เองก็ชักจะหิว…เอางี้…ให้พี่เลี้ยงฉลองการกลับมาพบกันใหม่ หลังจากพลัดพรากกันไปเกือบสิบปีดีกว่านะ” ชายหนุ่มบอกอีกฝ่ายอย่างอิ่มเอิบเบิกบาน “คือนึกไม่ถึงจริงๆ ว่า เราจะกลับมาพบกันในบรรยากาศอึมครึมแบบนี้…อีกอย่าง…ก็นึกไม่ถึงว่าเย็นจะเปลี่ยนจากเด็กผอมๆ ผมเผ้ารุงรังเป็นสาวงามหนึ่งไม่มีสองขนาดนี้”

“พี่หิ้งชมซะเย็นเย็นไปหมดทั้งตัวเลย” หญิงสาวตอบเขินๆ พร้อมกับดูดน้ำมะพร้าวอ่อนที่บริกรนำมาเสิร์ฟทั้งลูก แก้อาการแปลกหน้าและแปลกใจ ขณะที่สายตาเขายังจับอยู่บนใบหน้าหล่อนราวกับตั้งคำถาม ‘นี่เราฝันไปหรือเปล่า’ ทั้งๆ กำลังใช้หลอดคนกาแฟเย็นในแก้วพลาสติคมีฝาครอบตรงหน้า

“ก็จริงไหมล่ะ…พี่พูดความจริง…เย็นวันนี้ไม่เหมือนเย็นวันโน้นเลยละ จะเหลือเค้าเดิมก็แค่นิดเดียวจริงๆ”

“ใกล้ๆ สิบปี พี่ไปไหนมามั่ง” ลมเย็นก็เลยตั้งคำถาม

“พี่ก็ไปอยู่ประจำ…แล้วสอบชิงทุนไปเรียนต่อ ที่จริงก็ตั้งใจจะตั้งหลักปักฐานอยู่โน่นเลยเหมือนกัน แต่แม่จดหมายไปว่า ยังไงๆ ก็ต้องกลับมาก่อน…มาดูใจแม่ก่อน ก่อนแม่ตาย” ชายหนุ่มเล่ามาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ยิ้มอย่างมีนัย “คือแม่ก็อยากให้ลูกกลับบ้านน่ะเย็น…เพราะนายเหินเขาก็…”

“พี่เหินชอบกับน้องโชย”

“รู้แล้ว” สีหน้าเขาค่อนข้างสลดลงไปเมื่อเอ่ยถึงคนทั้งคู่ “ว่าแต่ว่า เย็นว่าเขาจะลงเอยกันแน่ไหม”

“ไม่ทราบซีคะ…คือ…เย็นยังไม่แน่ใจ” หล่อนบอกเท่าที่รู้สึก

“ไม่แน่ใจน้องชายพี่หรือไม่แน่ใจโชย”

“ทั้งคู่ค่ะ” เจ้าตัวพูดตรงตามอัชฌาสัย

“น้องพี่น่ะ พอจะรู้…คือ มันก็…ไม่ค่อยนิ่ง” พี่ชายแบ่งรับแบ่งสู้

“แล้วพี่ล่ะคะ นิ่งไหม”

“อืมม…” อีกฝ่ายครางเบาๆ พร้อมกับคิดนิดหนึ่ง “ค่อนข้างนิ่งนะ…ค่อนข้าง…เพราะถ้าไม่นิ่งแบบเหิน ป่านนี้ถูกพ่อเตะออกจากบ้านไปแล้ว”

“เรื่องอะไรหรือคะ”

“ก็อาจจะเป็นเรื่องพาคนที่พ่อไม่ยอมรับกลับมาด้วยไง”

“ใครหรือคะ”

“ผู้หญิงฝรั่ง”

“อ้อ…พี่ชอบคนต่างชาติ” ลมเย็นพยักหน้าอย่างเห็นเป็นธรรมดา “ที่จริงก็ไม่เป็นไรนี่คะ ถ้าเขาอยู่กับครอบครัวพี่ได้”

“ก็คงต้องแยกตัวไปอยู่ต่างหาก” หิ้งบอกกล่าวเพราะเรื่องราวนี้ก็ผ่านไปแล้ว “แต่พอดีฝ่ายเขาก็ตัดสินใจได้ว่าไม่มา เขาอยากอยู่กับเกิร์ลเฟรนด์ของเขามากกว่า…อีกอย่าง…พี่บังเอิญไปรู้เรื่องเขาเสพยาด้วยกัน…ก็เลย…ตัดใจได้ทันที”

ลมเย็นฟังแล้วได้แต่ยินดีแทนเขา

เรื่องเล่าง่ายๆ แต่ฟังแล้วไม่สบายใจอย่างที่สุด ก็ควรแล้วที่เขาผู้มีอนาคตไกลจะต้องใจแข็ง หยุดมันไว้ให้ได้

“เหมือนพี่เริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่เลยนะคะ”

“ใช่…เหมือนตั้งต้นใหม่” เขาลงเสียงอย่างโล่งอก ขณะที่อาหารเริ่มทยอยกันมาวางตรงหน้า

หนุ่มสาวจึงใช้เวลาต่อจากนั้นรับประทาน

หากเสียงมือถือของลมเย็นก็ดังขึ้น หล่อนจึงขอโทษเขา ลุกจากโต๊ะ เดินออกไปนอกร้าน

จริงดังคาด เป็นเสียงชายหนุ่มถามว่า

“ที่ที่มาปักป้ายขายนี่ จะขายตารางวาละเท่าไหร่ครับ”

“เอ้อ…ที่จริงก็ยังไม่ได้ตั้งราคาเลยนะคะ…กำลังคิดๆ อยู่ว่าจะเท่าไหร่ดี…เพราะปีหน้ารถไฟฟ้าก็จะมาผ่านหน้าซอยแล้ว”

มีเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างขำขันผ่านสายมา

“แปลกดีจัง…ปักป้ายขาย แต่ยังไม่รู้ราคา”

“รอนิดได้ไหมคะ…กำลังบวกลบคูณหารอยู่ค่ะ…คุณชื่ออะไรล่ะคะ บอกเบอร์โทร.ไว้ด้วยก็ได้…”

“อย่าแพงนักก็แล้วกันนะคร้าบบ” อีกฝ่ายทอดเสียงปะเหลาะหน่อยๆ “ผมชื่อเปรียวครับโทร….”

“ขอบคุณค่ะ…ถ้าได้ราคาจากที่ดินแล้วจะโทร.บอกนะคะ…ที่ยังไม่ทราบเพราะมัวรอการประเมินปีใหม่น่ะค่ะ”

“อ้อ…รอบคอบดีจัง” เปรียวยังคงขำ…ไม่รู้ว่าผู้พูดอายุสักเท่าไร “แต่ถึงยังไงก็แปลกดีที่ปักป้ายทั้งๆ ยังไม่ได้ตั้งราคา”

ลมเย็นก็เลยหัวเราะกับเขาแล้วขอวางหู หากเขาก็ถามว่า

“แล้วนี่คุณอยู่ตรงไหนล่ะครับ ผมน่ะอยู่ตรงป้ายขายที่ของคุณเลยนะ”

หญิงสาวค่อนข้างลังเลนิดหนึ่งว่า จะบอกดีหรือไม่ดีถึงที่ที่หล่อนนั่งอยู่

แต่ในที่สุดก็เอ่ย

“ถ้าคุณรอได้ อีกสักครึ่งชั่วโมงหรือกว่านิดหน่อย ฉันคงจะพบคุณตรงหน้าป้ายได้ค่ะ”

ครั้นแล้ว  จึงกลับเข้าไปในร้าน พลางเล่าเรื่องผู้ซื้อคนใหม่ให้หิ้งฟัง

“ถ้างั้น เดี๋ยวพี่ไปด้วย ถึงไม่มีเงินซื้อก็จะช่วยขาย”

“ยังบอกราคาเขาไม่ได้ซะด้วยซีคะ ก็วันนี้วันเสาร์…กว่าจะได้โทร.ก็วันจันทร์ เมื่อวานโทร.ไปทีนึงแล้ว แต่ราคาใหม่ก็ยังไม่ออก…แต่ออกหรือไม่ออก พ่อก็ให้ไปปักป้ายไว้ล่วงหน้าเตรียมรับดาว”

หิ้งจึงฟังหล่อนเล่าอย่างเพลิดเพลิน

นึกไม่ถึงเลยว่า เด็กหญิงผอมบาง ผมเผ้าดูรุงรังครั้งกระโน้น จะเปลี่ยนหน่วยก้านแปลงกายได้อย่างเฉิดฉายถึงเพียงนี้

วางหูแล้ว หญิงสาวจึงขอโทษ

“พี่คงไม่รำคาญนะคะที่มีแต่เรื่องขายที่”

“ไม่เลยฮะ…ตามสบายเลย…ตรงข้าม…เดี๋ยวพี่จะช่วยเย็นขายซะด้วยซ้ำไปน่ะซี…” หิ้งตอบด้วยใจจริง “แต่ยังไงๆ บ่ายนี้…พี่ต้องเข้าไปกราบอาชัดให้ได้ จะได้คุยกัน…”

“ฟื้นความหลังครั้งยังดีกัน” หญิงสาวต่อความ

“แต่พี่ไม่เคยโกรธเย็น เย็นไม่เคยโกรธพี่ใช่ไหม”

 



Don`t copy text!