ดาราอรุณ บทที่ 2 : ดาวประกายพรึกและดาวประจำเมือง

ดาราอรุณ บทที่ 2 : ดาวประกายพรึกและดาวประจำเมือง

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

หิ้งขับรถพาลมเย็นมาถึงหน้าป้าย จึงแลเห็นชายหนุ่มวัยแก่กว่าเขา อาจจะถึงห้าหรือเจ็ดปียืนคอยอยู่แล้ว ใกล้จักรยานยนต์คันหนึ่ง

“สวัสดีค่ะ คุณเปรียว ขอโทษนะคะที่ให้รอ”

“ไม่เป็นไรหรอกฮะ บ้านผมก็อยู่ใกล้ๆ นี่เอง ห่างไปทางโน้นสองสามซอย…” เขาพยักหน้าไปทางฝั่งตรงข้ามที่มีบ้านใหญ่ตึกใหญ่ให้แลเห็นเรียงรายเป็นแถวแนวไปตลอดท่ามกลางถนนซอยสายใหญ่ที่บัดนี้ดูผึ่งผายกว้างขวางเหมาะจะเป็นถนนผ่านกลางหมู่บ้านอย่างยิ่ง นับว่าคุณสวัสดิ์และคุณอารมณ์สองสามีภรรยาผู้มาซื้อที่กลางทุ่งนาทำหมู่บ้านจัดสรร เข้าใจจัดและสรรให้ทุกพื้นที่อยู่สบาย โดยแบ่งออกเป็นแปลงๆ อย่างต่ำๆ แปลงละสองร้อยหรือใกล้สองร้อยตารางวา เพื่อผู้อยู่อาศัยฐานะดีจะได้ช่วยกันยกชูจนเป็นพื้นที่มีระดับ แม้มีการผ่อนส่ง ก็ผ่อนอย่างสั้น เป็นการกรองคนทางอ้อม สมัยนั้นตารางวาละหนึ่งพันสามร้อยกว่าบาท ห้าสิบปีผ่านไป พร้อมกับจับจูงราคาเดิมให้วิ่งทะลุหลักแสนไปอย่างมีสง่า จึงบัดนี้ ที่ดินในหมู่บ้านกลับกลายเป็นที่ดินราคาทองคำ ด้วยว่าอยู่ริมถนนสายสำคัญอันมากมีด้วยธุรกิจหลากหลาย ทอดผึ่งผายผ่านไปสู่ถนนใหญ่อีกสองสายนอกเมือง

“เป็นอันว่า ที่จริงเราก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน” หิ้งเอ่ยขึ้น “ก็วนซื้อที่กันอยู่นั่นละ”

“คุณแม่ผมหมายตาที่ตรงนี้มาตลอดห้าสิบปีเลยนะฮะ” เปรียวตอบพลางแววตาก็สลดลง “คุณพ่อก็ตามใจ จนคุณพ่อเพิ่งเสียไปเมื่อสองปีที่แล้ว คุณแม่ก็ยังเปรยอยู่เรื่อยถึงที่ตรงนี้ว่าเมื่อไหร่เจ้าของถึงจะขาย…เหลือแค่แปลงเดียวโดดๆ ให้คนที่นี่อยากได้กันเป็นแถว…ผมว่านะว่าจะต้องมีใครในละแวกนี้ติดต่อมาอีกเชื่อซี…”

หน้าตาท่าทางเปรียวคมคายผิวคล้ำ…แต่ลมเย็นกับหิ้งแลเห็นคล้ายกันว่า ดูเหมือนแววนัยน์ตาเขาจะค่อนข้างเศร้าอยู่หน่อยหนึ่ง

“เพราะงั้น ผมก็เลยอยากซื้อเร็วที่สุด ให้คุณแม่ดีใจ จะได้มาทำอะไรตรงนี้อย่างที่อยากทำมาหลายปี”

“คุณแม่คุณคิดจะมาทำอะไรหรือคะ” ลมเย็นก็เลยถามไถ่อย่างเป็นกันเอง

“คือท่านอยากมาทำโกดังเก็บสินค้าให้เช่าหรือไม่ก็เป็นที่จอดรถให้เช่า…มีแต่เรื่องให้เช่า…คือหวังจะเอาไว้เก็บกินไปจนแก่น่ะฮะ”

เมื่อเขาตอบเช่นนี้ ทั้งหิ้งและลมเย็นก็เลยโล่งใจ คิดว่าคงขายได้แน่

“เอางี้ละกันค่ะ คุณกลับไปก่อน ขอฉันคิดก่อนว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ แล้วจะโทร.บอก ดีไหมคะ”

“ก็ได้ฮะ…ไงๆ ก็ต้องบอกผมก่อนใครๆ นะ…ไหนๆ คุณก็ทราบดีแล้วว่าคุณแม่ผมอยากได้”

“แน่นอนค่ะ…ต้องบอกคุณก่อนใคร”

เปรียวนิ่ง มองหน้าทั้งคู่เพียงอึดใจ จึงถาม

“คุณเป็นลูกสาวคุณชัดหรือเปล่าฮะ…เจ้าของที่นี่ชื่อคุณชัด ผมจำได้ คุณแม่ก็จำได้…ท่านเป็นหมอดูด้วย เคยดูคุณแม่แม่นมากๆ…”

“ใช่ค่ะ ฉันเป็นลูกคุณชัด”

“ถ้างั้น…ผมขอไปบ้านคุณด้วยดีกว่า…ก็นี่มันวันเสาร์ ผมว่าง พรุ่งนี้ก็ว่างอีกทั้งวัน…อยากดูหมอน่ะฮะ”

“ได้ค่ะ” หญิงสาวยินยอมโดยง่าย ครั้นแล้วจึงต่างคนต่างก็พาพาหนะของตนเองไปจนจอดหน้าประตูบ้านนายชัด

“ดีนะ…” หิ้งขับรถไปประชดไป “แค่ขายที่ก็ยังได้หนุ่มมาตั้งสองคน”

ลมเย็นจึงได้แต่หันมาหัวเราะ

“ทำไมพี่หิ้งถึงจัดตัวเองเป็นหนึ่งในสองล่ะคะ เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวลากเสียงล้อๆ

“ไม่เป็น…” อีกฝ่ายตอบเด็ดขาด “ใครจะโง่เป็นพี่ร่วมไส้กับเย็น…”

“พี่หิ้ง”

นายชัด บิดาหล่อนนั่งอยู่แล้วที่ห้องกลาง อันแยกเป็นสองส่วน ด้านในมีเตียงไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ตั้งชิดมุม สำหรับวางโถสมุนไพร มีป้ายติดไว้แต่ละโถให้รู้ว่า บรรจุสมุนไพรชื่อกระไรบ้าง รักษาโรคใด พร้อมกับที่นอนนวด

ส่วนเก้าอี้หมู่รับแขกถัดออกมา ด้านข้างมีโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกับที่นั่งสองฟากประจันหน้ากันสำหรับผู้มารับคำพยากรณ์ดวงชะตาราคาคนละ 500 บาท อันนับเป็นราคาที่หายากในสมัยปัจจุบัน…ซึ่งทั้งถูกและแม่น

“พ่อขา…เย็นพาพี่หิ้งกับคุณเปรียวมาสวัสดีพ่อค่ะ…แม่คะ…แม่จำพี่หิ้งลูกคุณลุงหันได้ไหมแม่”

ทั้งนายชัดและนางยาใจผู้กำลังเลือกสมุนไพรใส่โถ ต่างก็หันมาทางชายหนุ่มทั้งคู่พร้อมยิ้มแย้มต้อนรับอย่างเห็นได้ว่าอารมณ์ดี

“อ้อ…” นางยาใจแม่ของลมเย็นและลมโชยร้องเบาๆ อย่างดีใจ ทักถามทันใดว่า “โอ้โฮ…นี่อาไม่ได้เจอหิ้งนานเท่าไหร่แล้ว”

“นานเกือบสิบปีเลยฮะอา” หิ้งเดินเข้าไปนั่งหมิ่น ๆบนเตียง ถัดจากเจ้าของบ้านพลางก้มลงกราบบนตักหญิงกลางคนผู้ยังไม่ดูว่าชราสักเท่าไร แม้จะอายุใกล้หกสิบ

“หันกะพี่พริ้งสบายดีนะ”

“สบายครับ ขอบพระคุณครับ” หิ้งสุภาพทีเดียว ไม่มีเค้าว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างพ่อของเขากับเพื่อนที่เคยรักกันดีกับพ่อแม้แต่น้อย ลมเย็นก็เลยค่อยปลีกตัวจากเปรียวเข้ามาสมทบนั่งข้างมารดา ปล่อยให้เปรียวดูดวงชะตากับบิดาของหล่อนผู้ขอตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะเล็กเพื่อตรวจดวงให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่ พร้อมกับหยิบหน้ากากมาเกี่ยวใบหูทั้งสองข้าง

เพิ่งเห็นได้ชัดว่าชายผู้กำลังจะมาซื้อที่ดินคงมีเหตุร้อนใจอย่างใดอย่างหนึ่งจนออกนอกหน้า

“แล้วนี่หิ้งทำงานที่ไหน” นางยาใจก็ถามไปอย่างนั้น

หากหิ้งก็ตอบว่า

“เพิ่งสอบได้ครับอา…เขาเรียกไปทำต้นเดือน”

“ดีใจด้วยนะจ๊ะ”

“คือผมก็เพิ่งกลับถึงบ้านเมื่อเดือนที่แล้วเองครับ…พอดีมีประกาศรับพนักงานหลายแห่งด้วยกันก็เลยไปสอบไว้ทุกแห่ง…แล้วเลือกเอา…เลยเลือกบริษัทที่มั่นคงที่สุด เข้ายากที่สุดน่ะฮะ”

“เลือกได้ก็เก่งแล้วละจ้ะ” อีกฝ่ายชมเชย

“นั่นอากำลังคัดยาหรือฮะ”

“จ้ะ…คัดเถาเอ็นอ่อน…พอดีพ่อเขาจะต้องทำยาให้คนไข้ที่ปวดเส้นเอ็นเป็นประจำน่ะจ้ะ” นางหมายถึงนายชัดบิดาของลมเย็น

“เถาเอ็นอ่อน…ชื่อแปลกดีจังครับ”

“จ้ะ…ดีทั้งชื่อแล้วก็สรรพคุณ”

แต่ยังไม่ทันจะพูดจาว่ากระไร เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เด็กรับใช้ออกไปเปิด หิ้งหันไปก็แลเห็นเหินน้องชายเขาเดินตามลมโชยน้องสาวของลมเย็นเข้ามา

ลมโชยสวมกางเกงสีขาวสั้นกุดแค่ปลายสะโพก สวมเสื้อสายเดี่ยว คล้ายยกทรงที่ขอบยื่นลงมาแค่เหนือสะดือ เปิดให้เห็นหน้าท้องขาวผ่อง ปิดรูสะดือด้วยสติ๊กเกอร์สีทองรูปดอกทานตะวัน บนใบหูข้างขวาติดต่างหูก้านบางๆ ไล่กันลงมา

ตรงข้ามกับลมเย็นเหมือนหน้าร้อนกับหน้าหนาว

“อ้าว…พี่หิ้ง…ไหงมาอยู่นี่ได้ล่ะ” น้องชายจอมปราดเปรียวถามไถ่

ตัวเขาเองก็สวมประคำไม่รู้กี่เส้นที่ข้อมือทั้งสองข้าง มีต่างหูข้างเดียวแขวนไว้ที่หูขวา ตัดผมค่อนข้างเกรียน มีรอยปัตตาเลี่ยนไถเป็นแนวเล็กๆ จากข้างจอน โอบไปถึงด้านหลัง บรรจบกับอีกข้างเป็นวงกลม สมกับดวงหน้าสี่เหลี่ยมขาวสะอาด นัยน์ตาเป็นประกาย ประกาศคำว่าโลกนี้น่าอยู่ทุกเวลานาที

“มาจีบน้องเย็นอีกคนละซีเนี่ย” น้องชายทะลุทะลวงขึ้นมา “แต่ถึงไง…ก็ต้องให้อาชัดดูดวงซะก่อนนะ ว่าสมพงศ์กันไหม…”

เขาเอ่ยเสียงดังขณะเดินเลยเข้ามานั่งถัดจากพี่ชาย ฝ่ายลมโชยนั่งที่เก้าอี้หมู่รับแขก พลางหันมาจ้องมองหิ้งเหมือนแปลกหน้า

“พี่หิ้งหรือคะ…เอ…ทำไมโชยจำพี่ไม่ได้เลยล่ะ”

“ก็พี่หายหน้าไปราวๆ สิบปีได้มั้ง”

“จำได้แต่…คนนี้…” เหินหมุนนิ้วหัวแม่มือเข้าหาทรวงอก

“ไม่แน่” แต่อีกฝ่ายสวนกลับ…ขณะที่ใจคอหายวับแล้วกลับมาวูบวิบวิบเมื่อตาสบตากับคนที่มากับพี่สาว

หิ้งท่าทางมีทั้งคาวและหวานอยู่ในตัว

ผิดกันกับน้องชายผู้มีแต่เปรี้ยวแบบน้ำส้ม บางคราวไม่กลมกลืน บางคืนวันน่าระอา

หากก็ดีตรงที่หล่อนแอบไปชิมรสจากบางชายได้ไม่ยาก

ฝ่ายเปรียวยังคงพึมพำถามไถ่นายชัดถึงดวงของเขา จึงไม่มีผู้ใดใคร่ฟัง ขณะที่ลมโชยสานสัมพันธ์สืบไป

“พี่หิ้งมีแฟนหรือยังเอ่ย” หล่อนก็เลยโพล่งขึ้นมาอย่างแก่นกล้ามีความหมาย “ถ้าไม่มีโชยจองนะ”

คราวนี้ทั้งลมเย็นและนางยาใจถึงแก่หันไปมองหน้า มารดาได้แต่ถลึงตานิดหนึ่ง

“พูดกะพี่เขาขนาดนี้เลยหรือจ๊ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกฮะอา” หิ้งไม่ถือสา ดีเสียอีกที่ช่วยให้เขาเปิดเผยได้ง่ายโดยไม่ต้องลำบากใจ “มีครับแฟน แต่มีอยู่โน่น…กำลังรอเขาตัดสินใจว่าจะมาอยู่นี่กับผมได้ไหมน่ะครับ”

ผิวหน้าลมโชยก็เลยจืดลงไปเมื่อหิ้งตัดบทเช่นนั้น จึงถอนใจอย่างดัง

“เฮ้อ…ผิดหวังเลยละนะพี่หิ้ง…นึกว่าว่าง”

“ว่างแล้วไง” เหินส่งเสียงแหวอย่างหึงขึ้นมาทันใดทันควัน

“ก็กะจะสอยทีเดียวได้โดรนสองตัวไงยะ” อีกฝ่ายสวนกลับอย่างท้าทาย

หิ้งก็เลยหัวเราะอย่างนึกรู้ว่า นิสัยของสองพี่น้อง…ทั้งน้องเขาและน้องอีกฝ่ายคล้ายกันอย่างยิ่งเพียงไร

เออ…เหตุไฉนจึงมาถอดแบบกันได้ถึงเช่นนี้

แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน

ดังนั้นจึงถามไถ่

“แล้วนี่โชยทำงานอะไรที่ไหน”

“ไม่ประจำที่ไหนหรอกค่ะพี่ แล้วแต่เขาเรียก…เมื่อก่อน ตั้งแต่ยังไม่มีโควิด-19 ก็เรียกบ่อย…แต่เดี๋ยวนี้นานๆ ที…แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่มีเงินใช้ก็ขอแม่” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ห่วงหาอาทร

“เหมือนนายเหินขอพ่อละมัง” หิ้งก็เลยพยักพเยิดกับลมเย็น

“อ้าว…งั้นจะมีพ่อแม่ไว้ทำไมกันล่ะ พี่หิ้งก็…” หากก็ยังดีที่ยังขยักประโยคต่อไปไว้ได้ ประโยคที่เกือบจะเปิดโปงว่าพ่อเก็บเพชรพลอยไว้ปล่อยขายจำนวนเท่าไร…แม้เศรษฐกิจโดยทั่วไปของชาวประชาจะทรุดลงเพียงไหน แต่สำหรับกลุ่มที่ได้ชื่อว่ามั่งมี ก็หาได้สะเทือนใดใดไม่ “พ่อเราเขาก็มีเหินกะพี่หิ้งแค่สองคน…ไงๆ ก็ต้องช่วยลูกก่อนละ…เอามาก่อน…”

พลางเจ้าตัวก็เหยียดฝ่ามือพร้อมกระดิกปลายนิ้วด้วยอาการเป็นต่อ

หิ้งมองดูแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

น้องชายช่างไม่มีวันเติบโตทางความคิดเอาเสียเลยจริงๆ แม้จะอายุยี่สิบห้าแล้ว อ่อนกว่าเขาแค่ปีเดียว แต่ราวกับอ่อนกว่าสิบสองปีหรือกว่านั้น

หากก็ยังดีตรงที่ว่า ถึงอย่างไรเขาก็เอ็นดู ไม่ว่าเหินจะทำท่าเหลวเละเพียงไหน แต่อากัปกิริยาที่คล้ายเด็กชายเล็กๆ ก็ชวนให้เกลียดไม่ลง

แล้วนี่ไปอย่างไรมาอย่างไร ลมโชยน้องของหญิงสาวผู้ราวกับผู้จัดการประจำบ้านจึงเสมือนเข้ามาลอกเลียนแบบเหินจนออกมาคล้ายพิมพ์เดียวกัน

แต่ลมเย็นก็กำลังใจคอไม่ดี…ที่น้องสาวของหล่อนกลั่นกล้าถึงเพียงนี้ แม้จะซึมลึกอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคือเช่นไร

‘พ่อแม่ก็หัวโบราณ ทำมั้ยโชยมันถึงได้ผ่าเหล่าผ่ากอจนน่าเกลียด’ แม่เคยบ่นกับหล่อนอยู่เนืองๆ เนื่องด้วยลูกคนเล็กมักพูดจาให้นางตัวชามิเว้นว่าง

จึงมีทางเดียวนั่นก็คือ สามีนางเคยบอกกล่าวไว้ว่า

‘เย็นมันเป็นดาวประกายพรึก ขึ้นตอนตรู่ๆ แต่โชยเป็นราหูผสมศุกร์…เป็นศุกร์หัวค่ำที่เรียกว่าดาวประจำเมือง โลดโผนตื่นเต้นตลอดเวลา’

บัดนี้ คนในบ้านจึงมิสู้จะกังขาสักเท่าไร หากพบเห็นกิริยาอาการอันไม่เกรงกลัวใครของลมโชย

แต่ถึงอย่างไร ก็ย่อมแปลกนัยน์ตาสำหรับผู้มาใหม่

“พี่หิ้ง…ถ้าพี่เข้าทำงานเมื่อไหร่ โชยจะขับรถรับส่งให้เอาไหม ไม่คิดเงินด้วยน้าาา” ในที่สุดหญิงสาวในกางเกงขาสั้นกุดก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจคู่ควงเก่าที่บัดนี้ดีดผึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ทำตาลุกวาว

“ถ้าไปเมื่อไหร่ก็คอยดู” เหินเท้าสะเอว

“ก็ได้…จะได้รู้ว่าใครเก่งกว่าใคร” ลมโชยลอยหน้าตอบอย่างสนุก นิสัยชอบยั่วเย้ากระเซ้ากระซิกหยิกแกมหยอก หลอกแกมจริง ช่วยให้ชีวิตมีชีวา ผาสุกไปวันๆ

น้องของลมเย็นไม่คิดมาก ไม่เหมือนพี่สาวผู้พ่อแม่แทบจะยกบ้านทั้งหลังให้ปกครองดูแล ดังเช่นวันนี้ที่พ่อเกณฑ์ให้ไปปักป้ายขายที่ดินเพราะพ่อบอกว่า ‘ถึงเวลาดาวดีเดินทาง’ ซึ่งคงจริงของพ่อ เพราะได้พบทั้งลูกชายเพื่อนเก่าและลูกค้าคนใหม่ที่กลายมาเป็นผู้รับคำพยากรณ์ นั่งหน้าตาหมกมุ่นอยู่ตรงโต๊ะเล็กอีกด้าน

ท่าทางเปรียวดูจะสนใจจริงจัง แต่ทั้งพ่อและเขาก็พูดจากันเบามากจนเสียงไม่ข้ามมาถึงเตียงสี่เหลี่ยมด้านใน

“ดีจัง” หิ้งก็เลยผสมโรงเฮฮา…ไม่ถือสาทั้งน้องตัวเองและน้องหล่อนเพราะแม่มักจะเอ่ยถึงเพื่อนเก่าของพ่อให้เขาฟังอยู่เสมอทางไลน์บ้างทางโทรศัพท์นานๆ ครั้ง แต่เมื่อมาถึงบ้านแค่หนึ่งเดือน แม่ก็เปรยให้ฟังถึงลูกสาวอาชัดไม่รู้กี่หน จนเขารู้สึก…แม่ยังคงรำลึกถึงความสมานสมัครครั้งอดีตไม่เคยจาง “อย่าแค่พูดละกัน”

โดยส่วนตัวเขานั้น สุดแสนประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งตรงที่เขาจำลมโชยไม่ค่อยได้ แม้จำได้ก็แค่เลือนๆ เหมือนไม่รู้จัก แต่ลมเย็นสิกลับจำได้แม่น

จำผมเผ้ารุงรัง ร่างผอมแต่นัยน์ตาโต คิ้วโก่งของหล่อนได้

จำได้แม้แต่คำของอาชัดที่บอกพ่อของเขา

‘ตอนเย็นเกิด ดาวประกายพรึกกำลังขึ้นสุกปลั่งเชียวหัน…มึงรู้ใช่ไหมว่า…ดาวศุกร์ขึ้นหัวค่ำ เรียกดาวประจำเมือง ขึ้นตอนเช้ามืดเรียกดาวประกายพรึก’

พ่อฟังแล้วได้แต่พยักหน้า กึ่งเอือมกึ่งสนใจตรงที่เพื่อนมักจะเอ่ยถึงดาวชื่อต่างๆ ให้เข้าหูทั้งๆอีกฝ่ายไม่มีความรู้ จึงฟังๆ ไปอย่างนั้น หากก็ไม่เคยด้อยค่าดวงปัญญาของเพื่อนเกี่ยวกับวิชาชีพอีกสองด้าน คือความเป็นหมอนวดและหมอยาแผนโบราณที่นายชัดเชี่ยวชาญเป็นอันมาก แม้ว่าในที่สุดก็มาแรมร้างห่างกันไปด้วยเรื่องราวทางโลกีย์ที่น่าเสียดายยิ่งนักก็ตาม

“เมื่อไหร่พี่หิ้งไปทำงานล่ะคะ วันไหน”

“วันที่ 1 ที่จะถึงนี่ละฮะ” ชายหนุ่มท้าทายลองดี หากแต่ใจจริงนั้นค่อนข้างสุขเกษม เนื่องด้วยคิดว่าเขาน่าจะมาเป็นผู้เชื่อมชักให้พ่อกับอาดีกัน โกรธกันเหมือนเด็กๆ นี่ดูๆ ไปก็น่าเศร้า

“ดีละ…เอาจริงๆ เลย…แล้วห้ามพี่หิ้งไล่โชยลงจากรถนะ”

“ไม่ไล่ รับรอง”

“พี่ไปด้วย” เหินก็ไม่ยอมเช่นกัน

“ถ้างั้นก็ไป…โชยคนขับ เหินนั่งข้าง พี่กับเย็นนั่งหลัง”

เปรียวลุกขึ้นจากเก้าอี้พอดี มีเสียงนายชัดบอกเขา

“ก็ต้องระวังตัวนิดหนึ่งนะคุณ”

 



Don`t copy text!