ดาราอรุณ บทที่ 3 : ศุกร์ราชาโชค

ดาราอรุณ บทที่ 3 : ศุกร์ราชาโชค

โดย : กฤษณา อโศกสิน

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

แต่เปรียวก็ยังคงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ชุดรับแขกพลางบอกเจ้าของบ้าน

“ไงๆ ผมก็จะรอทราบราคาค่าที่ดินนะฮะ คุณเย็น” เขาเอ่ยอย่างเป็นกันเอง “ขอเพียงว่าให้ผมพอสู้ราคาได้แค่นั้น”

“พี่เย็นจะคิดคุณคนนี้เท่าไหร่” ลมโชยถามขณะยังนั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าชายผู้เพิ่งมาติดต่อเรื่องที่ดินแล้วเลยดูดวงเสร็จสรรพ…เปรียวเพียงแต่ตวัดนัยน์ตาแวบหนึ่งผ่านต้นขาขาวผ่องเกลี้ยงเกลา หากแต่ยามนี้เขาเองก็มัวแต่คิดคำนึงถึงเรื่องซื้อขายของมารดากับเรื่องส่วนตัวที่ยังแก้ไม่ตก จึงไม่พลอยสะทกสะเทือนไปกับท่าทีของหญิงสาว

หรือมิฉะนั้นก็กำลังเอือมฤทธิ์เดชของสตรีที่กำลังผจญอยู่ขณะนี้จนเรียกได้ว่าขึ้นสมอง

“กำลังคูณ” หิ้งขัดขึ้นยิ้มๆ

“สามแสนคูณหนึ่ง” เหินเสริมความ

“ถ้าถึงขนาดนั้น ผมเห็นจะต้องรีบลากลับละมังฮะ” เปรียวส่ายหน้า

“อย่าไปฟังเขานักเลยคุณ” ชายหนุ่มผู้พี่รีบยกฝ่ามือ “น้องผมเขาไม่ค่อยทราบเรื่องพวกนี้หรอกฮะ”

“แหม…พี่หิ้ง” เหินว่าพลางพยักพเยิดกับเปรียว “นี่พี่ชายแท้ๆ ผมเลยนะ เพิ่งกลับจากนอก จะมารู้เรื่องในนี้ได้ไง…แน่ะ…ไปดูข่าวก็ได้…ที่ดินเดี๋ยวนี้แห่กันขึ้นราคาแข่งกะข้าวแกงแล้วนะ…จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้านหยั่งกะเสก”

“นั่นมันที่ริมถนนนะฮะ” เปรียวค้านขึ้นทันใด “ที่ริมถนนใหญ่ละก็ใช่ครับ…แต่ก็ไม่ถึงกับใช่ทุกแห่ง มันมีแค่พื้นที่ธุรกิจเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่อยู่อาศัย…ราคาจะลดลงมาอีกมาก”

“ใช่ค่ะ…” ลมเย็นยอมรับ “ที่อยู่อาศัยนี่ก็อีกราคา”

“ที่นี่อยู่ลึกจากถนนใหญ่สองร้อยกว่าเมตรก็ถือว่าค่อนข้างลึกนะฮะ…ถ้าเทียบกับบ้านใกล้ปากซอยจะคนละราคาเลยครับ”

“คุณเปรียวสืบมาเสร็จ” ลมเย็นยอมรับ

“เพราะฉะนั้น คุณก็บอกมาได้เลย ถ้าแพง ขออนุญาตต่อละกัน จะได้จบเร็ว…คือคนขายก็อยากขาย คนซื้อก็รอซื้อมาห้าสิบปี”

“คุณเปรียวพูดเป็นเล่น” ลมโชยว่า ขาก็ยังคงไขว่ห้างอยู่อย่างนั้น

“ก็จริงไงฮะ…จำได้ตั้งแต่เด็กเลยว่า คุณแม่บ่นอยู่ตลอดว่าอยากได้ที่ผืนนี้ สวยจริงๆ ขนาดก็กำลังพอดีไม่น้อยไม่มาก”

“ก็จะได้สมปรารถนาแล้วไงคะ”

“ครับ…คงจะได้” พลางเขาก็หันไปทางลมเย็น

ชายหนุ่มใคร่จะปราศรัยกับหญิงสาวผู้มาปักป้ายขายมากกว่าพูดจากับน้องของหล่อน ด้วยว่ากำลังเอือมเต็มที่กับเพศสตรีอีกผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะคล้ายกับลมโชย

“หวังว่าราคาที่คุณจะบอกนี่เป็นราคาที่ไม่ทำให้ช็อกนะฮะ” เขาก็เลยยิ้มออกมาได้

“ไม่หรอกค่ะ ไม่ช็อกหรอก ใช่ไหมคะแม่ ถ้ายังไงแม่ก็ช่วยบอกคุณเปรียวหน่อยละกัน…คือโฉนดนี่เป็นชื่อแม่นะคะ ไม่ใช่ชื่อฉัน แล้วก็ไม่ใช่ชื่อพ่อ”

“เข้าใจครับ…เข้าใจดีฮะ…ผมเองก็นึกเหมือนกันว่าต้องเป็นชื่อคุณชัดหรือไม่ก็ภรรยา”

เมื่อวันศุกร์ ทางสำนักงานที่ดินก็ชี้แจงให้ฟังโดยละเอียดแล้วว่า ราคาประเมินใหม่จะออกเร็วๆ นี้ แต่ขณะนี้ยังเป็นราคาเก่า…ก็ต้องแล้วแต่ผู้เป็นเจ้าของคิดว่าราคาสักเท่าไรจึงจะสมควร เพราะเรื่องเช่นนี้มักจะแล้วแต่ความพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่า จึงเรียกราคานี้ว่าราคาตลาด

ราคาตลาดจะสูงหรือต่ำต้องคิดจากความเจริญของที่นั้น

แต่ลมเย็นก็อยากให้พ่อกับแม่ได้มากที่สุดให้สมกับเก็บไว้นาน

“ทำไมคิดจะขายซะล่ะครับ” ในที่สุดเปรียวก็เอ่ยถามขึ้นอีก “ในเมื่อก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องใช้เงิน”

“ว่าจะเอาเงินไปลงทุนทำอย่างอื่นมั่ง” นายชัดบอกกล่าว

“อย่างคุณอาจะลงทุนอะไรครับ” อีกฝ่ายไต่ถามเพราะค่อยคลายเครียดลงหน่อยหนึ่ง “ที่ต้องใช้เงินมาก”

“ก็ลงงานที่เราทำอยู่นี่ไง”

“เรื่องลงทุนนี่ก็ต้องระวัง” ชายหนุ่มพึมพำ “ถ้าลงทุนหุ้น…คงต้องคิดให้ดี…แต่ถ้าเป็นหุ้นกู้ ก็แค่เลือกบริษัท…แต่ลงทุนงานที่เราทำอยู่แล้วก็ถือว่าดีกว่า”

“ท่าทางคุณคงคล่องเรื่องพวกนี้ไม่เลวละมัง” ลมโชยก็เลยถาม “คุณทำอะไรล่ะคะ เป็นโบรกเกอร์หรือไง”

“โชย” ลมเย็นพึมพำเชิงปราม

“ผมเป็นล่าม” อีกฝ่ายเริ่มออกเสียงรวนนิดๆ “ล่าม 3 ภาษา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น…มีเกียรติพอจะคุยกับคุณไหมล่ะฮะ”

พลางเขาก็ลุกขึ้นยืน…ขอตัวพร้อมยกมือไหว้นายชัดแล้วหันไปไหว้นางยาใจ บอกลมเย็นว่า

“คุณตัดสินใจขายเท่าไหร่ก็บอกผมไปได้ทันทีนะครับ…ขอเพียงราคาพอดีๆ ที่เราจ่ายไหวแค่นั้น”

ลมเย็นจึงเดินออกไปส่ง มีหิ้งตามไป ขณะที่ลดเสียงเบาลง

“น้องฉันกับน้องพี่หิ้งไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณเปรียว ก็ชอบทำอะไรท้าทายลองของแค่นั้น”

“ผมเข้าใจครับ เข้าใจดี” เปรียวกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้ง พลางก้มศีรษะให้หิ้ง “หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนบ้านกันได้นะฮะ…ผมจะไปรอฟังข่าวดี…แต่ผมว่าผมเป็นพี่คุณนะ คุณหิ้ง…”

“ผมอายุจะย่าง 27 เร็วๆ นี้ละฮะ” ลูกคนโตของนายหันบอกกล่าว “รอแค่สองสามเดือน”

“แต่ดูคุณเป็นผู้ใหญ่นะ เป็นผู้ใหญ่กว่าน้องชายมาก” เปรียวบอกผ่านหน้ากาก

“แล้วคุณล่ะฮะ…ถ้ายังไงเปิดหน้ากากให้ดูหน้าตาเต็มๆ หน่อยก็จะดี จะได้จำกันได้ไงครับ” หิ้งบอกกล่าวพลางส่ายหน้า “แต่ถึงยังไง ผมก็คงจะจำคุณได้แน่ ถึงจะปิดหน้าก็เถอะ”

ดังนั้น เปรียวจึงเปิดผ้าคาดสีขาวออกให้อีกฝ่ายดูเต็มตา

“ผมอายุสามสิบสามแล้ว แก่กว่าคุณตั้งเจ็ดปี…แก่…แล้วก็โทรม…แล้วก็เหนื่อย” อีกฝ่ายว่าพลางคล้องหน้ากากไว้กับหูดังเดิม “แต่งงานมาห้าปีไม่มีลูก…กับเมียก็สามวันดีสี่วันไข้…เมื่อกี้คุณชัดก็ให้ระวังเพราะช่วงสองปีที่ผ่านมานี่ มีสัญญาณไม่ดี ซึ่งก็จริงอย่างว่า”

ทั้งหิ้งและลมเย็นได้แต่ฟังเงียบๆ เพราะไม่มีทางจะชี้แนะใดใดได้ทันทีที่เจ้าตัวเบนหัวข้อเข้าสู่ปัญหาชีวิตที่เจ้าของชีวิตเองก็ยังแก้ไม่ตก

ดังนั้น เปรียวจึงอำลา ขี่จักรยานยนต์จากไปพร้อมสัญญาว่าจะคอยฟังข่าวราคาที่ดินที่แน่นอนจากลมเย็น หลังจากลงเสียงหนักแน่น

“ถ้าราคาไม่แรงมากจนเกินรับไหว คุณแม่ผมซื้อแน่ครับ รับรองได้เลย”

 

“คุณคนนี้พกเอาความเครียดมาเต็มเลยละนะ เย็น” หิ้งเปรยเมื่อเดินกลับจากส่งแขก “อ้อ…แต่งงานมาห้าปีแล้วนี่เล่า มันก็ชักจะมีเรื่องแล้วไง…แต่พี่ก็ไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยนะ ไม่ว่าตอนไหน”

“ส่วนใหญ่คนเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครรู้จักใครหรอกค่ะ พี่หิ้ง…ก็ดูแต่พี่กับเย็นก็ได้ ขนาดเจอกันมาแต่เด็กยังแทบจะจำกันไม่ได้เลย” ลมเย็นบอกกล่าวขณะก้าวเข้าไปในห้องที่ทุกคนยังนั่งอยู่

สายตาลมโชยมองดูพี่สาวพร้อมส่งกระแสราวกับอิจฉาจนอดไว้ไม่อยู่

“ดู…ดู…พี่เย็น…วันนี้เป็นยังไงถึงได้ทำเปรี้ยวเป็น…อย่ามาลอกแบบโชยเป็นอันขาดเลยนะ แบบของโชยขอสงวนสิทธิ์นะจ๊ะ”

“โธ่เอ๊ย” เหินก็เลยสวนขึ้นมา เพราะตนเองก็เริ่มเขม่นคู่ควง นึกว่าดูไม่ออกหรือไงว่าเจ้าตัวเริ่มหวงหึงพี่ชายของเขา “ยังกะแบบตัวเองไม่ใช่แบบโหลงั้นละ…เห็นแล้วยังเลี่ยนเลย”

“พี่เหิน” ลมโชยก็เลยหันไปแหว “ต่อแต่นี้ไป ไม่ต้องไปรับฉันนะ ฉันไม่ไปด้วยละ”

พลางก็ลุกขึ้นพรวดพราด ขณะที่ลมเย็นจับแขนน้องสาว

“ไม่เอาน่า…พี่หิ้งเพิ่งมาใหม่ๆ ตั้งใจมากราบพ่อกับแม่ไงโชย…อยากทำฤทธิ์แบบไหนก็เก็บไว้ก่อน เก็บไว้ตอนอยู่กับพี่เหินตามลำพังละกัน”

โดยพลัน อีกฝ่ายก็เบ้ปาก

“ไม่รู้หรือว่าเค้าเซ็งคนคนนี้” ลมโชยเปรี้ยงปร้าง

หิ้งก็เลยไกล่เกลี่ยเรียบๆ

“ไม่เอาน่าโชย ไม่โมโหกัน…เหิน…นายก็ไม่ต้องยั่ว…อย่าหาเรื่องเลยขอที…ลำบากกันไปหมดขนาดนี้แล้วยังไม่พอหรือไง”

เหินเกรงใจพี่ชายพอประมาณเนื่องจากเอ่ยปากขอสิ่งใด ถ้าอีกฝ่ายให้ได้ ก็มักจะให้ทันที ดังนั้น นอกจากแบมือขอพ่อแม่ได้แล้วยังมีพี่ชายคอยอุปการะอีกผู้หนึ่ง นั่นก็เนื่องด้วยหิ้งมีงานพิเศษทำตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ สมกับที่อาชัดเคยบอกพ่อของเขาไว้นานแล้วตั้งแต่คนทั้งคู่ยังดีกัน ‘มึงไม่ต้องห่วงลูกชายคนนี้ของมึงเลยนะวะหัน มันเป็นคนดี รักครอบครัว ถึงจะรุ่งเรืองขนาดไหน มันก็ไม่มีวันจะทิ้งพ่อแม่เด็ดขาด’ เมื่อมาถึงบัดนี้ ทุกคนจึงเห็นจริงตามคำทำนายของเพื่อนพ่อ

เขาเองก็เลยได้อานิสงส์จากพี่ชายไปพร้อมกัน

“ถ้าพี่หิ้งกลับมาอยู่บ้านอีกสักพัก พี่ก็จะรู้ฤทธิ์อีตานี่ละค่ะ” ลมโชยบอกงอนๆ…เชิงอ้อนหน่อยๆ จนลมเย็นเองก็รู้สึก

น้องสาวของหล่อนไม่เคยลึกซึ้งในขนบธรรมเนียมใด เนื่องจากนำใจตนเองมาตั้งไว้แทนมารยาทที่พึงเป็นพึงทำตลอดมา…เพราะไม่สนใจความรู้สึกลึกตื้นใดๆ ของใครอื่นนอกจากของตนเองเพียงผู้เดียว แม่ของหล่อนน่ะหรือก็สุดแสนจะไร้แรงกายแรงใจขับเคี่ยวกับลูกคนเล็กมาแต่ไหนแต่ไร เพราะงานที่ต้องทำก็ล้นมือ แม้มีลูกคนโตคอยแบ่งเบา น้องสาวคือน้าเยี่ยมเหมางานบ้านไปทำ แต่งานปรุงสมุนไพรเพื่อทำเป็นยาไว้ขาย ก็กินเวลาเกินกว่าจะปลีกตัวไปทำอย่างอื่นได้ นอกจากนี้บางวันก็ยังมีใครต่อใครแวะมาให้นายชัดนวด แถมยังดูดวง ก็ช่วยให้แต่ละชั่วโมงนาทีหมดไปอย่างรวดเร็ว

ฉะนั้น แต่ละรายที่มาบ้านนี้ จะต้องนัดหมายล่วงหน้า

ก็เพิ่งมีวันนี้เท่านั้นที่นายชัดหยุดงาน เพื่อต้อนรับข่าวดี คือข่าวขายที่ดินได้ตามมา

ลมเย็นก็เลยนับถือการพยากรณ์ของบิดาอย่างไร้กังขาใดๆ

เพียงแต่เขาเอ่ยขึ้นว่า

‘ถึงเวลาดาวดีเดินทาง’

ครั้นแล้ว ทันทีที่ธูปหมดดอก ก็มีชายหนุ่มคนที่หนึ่งมาปรากฏกาย หลังจากนั้นไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมง คนที่สองก็โทรศัพท์มาซื้อที่

น่าจะเรียกว่าปาฏิหารย์ได้หรือไม่

คนรุ่นใหม่อย่างหล่อนและหิ้งก็ยังต้องนิ่งนึกตรึกตรองว่าสอดคล้องกับเหตุและผลเพียงไหน ซึ่งก็คงตอบได้คล้ายๆ กันว่าเป็นไปตามตำรา

พ่อเชี่ยวชาญการโหรามายาวนาน ดูดวงใครไม่เคยพลาด จะดูดวงตนเองและลูกๆ พลาดได้อย่างไร แม้การนำสมุนไพรมาปรุงเป็นยากินและยาทาที่มีลูกค้าอุดหนุนไม่ขาดสายหรือกระทั่งการนวดอันพ่อได้ถ่ายทอดจากปู่และบรรพบุรุษ ก็สุดแสนจะลือชา ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงอยู่ได้อยู่ดีตลอดมา จนมาถึงกลางปีนี้ที่พ่อดูดวงตนเอง ดวงแม่ และดวงลมเย็นกับลมโชย ก็แลเห็นตัวเลขคือ ‘ดาวศุกร์ 6’ กำลังเดินทาง ในที่สุดก็จะมาบรรจบพบกันกับดาวอันเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ดินภายในดวงของทั้งพ่อแม่ลูกจนถึงแก่หรรษาไปด้วยกัน ด้วยว่า ดาวศุกร์นั้น ในวันที่ 8 สิงหาคม จะเปลี่ยนรูปแปลงร่างจากศุกร์ในราศีเมถุนที่แม้จะอยู่ในราศีคู่บุญกัน คือเป็นราศีคู่ธาตุด้วยกัน หากก็หามี ‘ตำแหน่ง’ อันใดไม่ เนื่องด้วย ‘ดาวมีตำแหน่ง’ ก็เช่นเดียวกับมนุษย์มิผิดไป ย่อมบันดาลได้ทั้งโชคลาภเอนกอนันต์ ผันแปรจากร้ายกลายมาดีจนเสมือนบุคลาปาฏิหารย์ ดลบันดาลให้ไหลมาเทมาทั้งเงินตราเครื่องอุปโภคบริโภค ด้วยโฉลกอันนับว่าดี

‘ศุกร์ราชาโชค’ ในปีนี้จึงมิใช่ล้อเล่น

นายชัดจึงแลเห็นเลยไปถึงลูกสาวคนโตผู้เกิดในชั่วโมงนาทีที่ ‘ดาวประกายพรึก’ ปรากฏกาย

ต้องไปปักป้ายขายด้วยตนเอง…นั่นก็เนื่องด้วย…นับตั้งแต่ 8 สิงหาคมเป็นต้นไป ดาวศุกร์ราชาโชคจะเดินทางมาถึงราศีกรกฏ ครั้นแล้วจึงสถิต ณ ที่นั้นจนถึงวันที่ 1 กันยายน

เขาจึงมีเวลาเพียง 25 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป ในการขายทรัพย์สินอันเป็นที่ดินที่ตกทอดมาจากบิดา เนื่องด้วยนางยาใจปรารถนาจะขยายการค้าขนาดเล็กออกไปสู่ตลาดใหญ่ ขณะที่บ้านเมืองเริ่มเจริญงอกงามออกไปทุกทิศทาง

อีกอย่าง ก็ด้วยว่าบัดนี้ภาษีที่ดินซึ่งเคยเสียทั้งหมดแค่เจ็ดแปดร้อยบาท ก็เริ่มขึ้นเป็นสองหมื่นกว่าเกือบถึงสามหมื่นในปีหน้า ถ้าเก็บที่ไว้ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนภาษีกินอีกเท่าไร

ครั้นแล้ว ภายในไม่เกินชั่วโมง ‘ดาวศุกร์ราชาโชค’ ก็เริ่มประกาศให้โลกรู้ว่า ดาวทุกดวงคือของจริง

โดยเฉพาะดาวมีตำแหน่ง

หิ้งก็เลยบอกกล่าว

“อาฮะ…ถ้าผมว่าง ขอแวะมาอีกได้ไหมครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะหิ้ง อาก็นึกหิ้งเหมือนลูกอีกคนนี่นา”

“ตกลงอามีลูกสี่คน” เหินว่า “ลูกสาวสอง เขยสองหรือไงฮะ”

ทั้งนางยาใจและน้าเยี่ยมเยือนผู้เป็นน้องสาวโสดคนเดียว เคี่ยวกรำอยู่กับงานบ้าน ต่างก็หัวเราะขำ

สองนางมีท่าทางเอ็นดูแกมไม่เอาเรื่องกับเหินอยู่เสมอ

จึงทุกคราวที่ลมเย็นถามแม่กับน้าเชิงอยากรู้ว่าคิดอย่างไรกับลูกคนเล็กของนายหัน

ทั้งคู่ก็มักจะตอบคล้ายๆ กันว่า

‘จะไปเอานิยายอะไรกะมัน มันก็สนุกไปวันๆ…ก็ยังกะน้องเรามันเรียบร้อยงั้นนี่’

‘มันก็เหมือนกะว่า นิสัยเหมือนกัน คบกันได้ ก็แค่นั้น’

ลมโชยอาจไม่เคยพบปะชายหนุ่มเอาการเอางานด้วยซ้ำไป จึงเมื่อมาพบหิ้งเพียงนาทีแรกเท่านั้น ควันแห่งความอยากชิดใกล้ก็ระเหยออกมาม้วนตัวอยู่ในอากาศทันใด

“ก็คิดเอาเองซี้พี่เหินว่าใช่ไหม” ลมโชยสวนขึ้นมา “แล้วคงได้เห็นกันละกันว่าใช่ไม่ใช่”

หิ้งกลับเข้ามานั่งตรงหน้าโต๊ะดูดวงที่เปรียวเพิ่งลุกไป นายชัดนั่งตรงที่ของเขา ลมเย็น ลมโชยกับเหินนั่งเรียงหน้ากันอยู่ที่ชุดรับแขก ต่างคนต่างจึงเอ่ยกับนายชัดตามความคิดของตน หลังจากเจ้าของบ้านบอกสั้นๆว่า จะนำเงินก้อนที่ได้จากการขายที่ดินผืนนี้ไปลงทุน

“เผื่อยังไง ผมจะขอเข้าหุ้นกับอา จะได้ไหมครับ” หิ้งเอ่ยขึ้นเป็นลำดับแรก

“เอาซี” นายชัดพยักหน้าทันใด พลางร้องบอกเล่ากับภรรยาผู้กำลังนำยาที่ปรุงแล้วบรรจุขวดแก้วเล็กๆ ปิดด้วยฝาเกลียว วางเรียงกันตรงหน้า เพื่อรอลมเย็นนำฉลากมาปิด เนื่องด้วยมีผู้มาจองยาทาแก้ปวดเส้นเอ็นขนานที้ต่างก็ยกนิ้วให้ว่าชงัดนักหนานี้ไว้ทั้งหมด 10 ขวด “ลงทุนทำยากินหรือยาทาล่ะ…แต่ลงทุนนวดกะดูหมอน่ะลงไม่ได้…เว้นไว้มาเรียนละก็ได้”

“ผมคงไม่มีเวลาถึงยังงั้นหรอกอา…” ที่จริง หิ้งก็เพียงแต่ ‘ทอดสะพาน’ เพื่อให้ผ่านได้โดยไม่ประเจิดประเจ้อเกินไปเท่านั้นละ “ว่าแต่ว่า อาจะให้ผมลงงวดแรกนี่เท่าไหร่ดีครับ”

คราวนี้นายชัดเบิกตากว้าง

“นี่อาพูดเล่นหรอกน่า…เราไม่ได้ทำอะไรเป็นล่ำเป็นสันถึงยังงั้นหรอก…ก็แค่ธุรกิจย่อมๆ จดทะเบียนเสียภาษีถูกต้องแค่นั้น คือการทำยานี่ เราก็ต้องระวังพิษภัยแทนลูกค้าเหมือนกัน ต้องห่วงชีวิตสวัสดิภาพของเขาไม่ให้ได้รับพิษจาก…ส่วนใหญ่ก็จากยากินนี่แหละ…แต่ยาของอาส่วนใหญ่ผ่านการวิจัยจากภาควิชาเวชศาสตร์มาแล้ว”

“พ่อเคยบอกเรื่อยว่า…ยาไทยที่มีประสิทธิภาพที่สุดนี่ หาได้จากบ้านอานี่เองครับ” หิ้งเริ่มประสานพันธไมตรี

“พ่อยิ้มแต้เลยซีทีนี้” ลมโชยสัพยอก

หากแต่นายชัดมีสีหน้าพะอืดพะอมนิดหนึ่ง แม้ลืมความร้ายของเพื่อนไปบ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมด ดังนั้น ทันทีที่ลูกคนโตของอีกฝ่ายหยดน้ำอมฤตหยดน้อยใส่ลงบนอารมณ์สดใสในยามนี้ของเขา จึงเสมือนน้ำหยดลงบนน้ำมันไม่มีผิด

“คุณหมอทองนาคก็เคยชมว่ายาไทยของอานี่ปลอดภัยทั้งยากินยาทา” นายชัดเลยเลี่ยงไปเสียอย่างนั้น

แต่โทรศัพท์ก็ดังขึ้น หิ้งจึงรับสาย

“ผมอยู่บ้านอาชัดครับพ่อ…ว่าจะพาน้องๆ ไปเลี้ยงมื้อเย็นอีกสักมื้อน่ะฮะ…ไม่ได้เจอกันนาน…”

ข้างโน้นจะพูดว่าอย่างไรไม่มีใครรู้ หากหิ้งก็หน้าเจื่อนไป สุดท้ายจึงวางหู พลางบอกเจ้าของบ้าน

“อาครับ ผมคงต้องขอตัวกลับไปพบแขกคนสำคัญของพ่อประเดี๋ยวครับ”

 



Don`t copy text!