ดาราอรุณ บทที่ 4 : แสงจันทรา
โดย : กฤษณา อโศกสิน
ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ
เหินผลุนผลันขอตัวตามพี่ชายไปทันใดนั้น ขณะที่ลมโชยลุกขึ้นอย่างว่องไว กะจะตามทั้งคู่ไปเช่นกัน
แต่นายชัดห้ามไว้
“ไม่ต้องตาม เขามีธุระส่วนตัวกัน” บิดามักจะพูดสั้นๆ แต่มีความหมาย รวมทั้งรู้ลึกลงไปถึงคำว่าธุระส่วนตัว
อดีตสหายมีอาชีพรับจ้างเจียระไนเพชรพลอย จึงมักได้โอกาสเก็บอัญมณีจำนวนหนึ่งติดบ้านไว้เสมอ หากราคาปานกลาง ก็เก็บไว้ในเซฟที่บ้าน แต่ถ้าราคาสูงมาก จึงจะนำไปฝากไว้ที่เซฟธนาคารที่เบิกง่ายใกล้ๆนั้น ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาถึงบ้านมักสนิทกันเป็นพิเศษมายาวนาน ล่วงรู้ถึงความเชี่ยวชาญการดูเพชรพลอย และฝีมือเจียระไนของนายหันเป็นอย่างดี จึงมักเป็นผู้มีเกียรติ มีเงินเพียงพอที่เขาจะไว้ใจต้อนรับ ณ เรือนชานบ้านใหญ่อันตกแต่งไว้หรูหรามีรสนิยม สมควรแก่ฐานะของผู้มาเยือนที่เชื่อถือความสุจริตของเขา ยิ่งมีเพชรพลอยให้เลือกจนเพลินใจ ก็ยิ่งเปรียบเสมือนอีกหนึ่งร้านเครื่องประดับบนศูนย์การค้า นั่งเลือกพลางตัดสินใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ดีได้เป็นชั่วโมง
ฉะนั้น หากผู้ใดมิได้เกี่ยวข้องกับการนี้ก็มิบังควรเข้าไปเป็นบุรุษที่สาม
ลมโชยก็เลยทิ้งตัวลงที่เดิม นั่งนิ่งหน้างอ
หากทั้งพ่อแม่น้าและพี่สาวต่างนึกในใจตรงกัน
ลูกคนเล็กของบ้าน เริ่มสนใจหนุ่มคนใหม่ผู้พี่ชายหนุ่มหน้าเก่า
“เดี๋ยวเขาก็มา เชื่อซี” ลมเย็นก็เลยเอาใจ ทั้งๆตนเองก็ตัวเย็นแล้วร้อนสลับกันราวกับชั้นเชิงในกายใจคล้ายหม่นไหม้วูบวับ
แม้แต่แม่กับน้าเยี่ยมก็ถึงกับมองตากัน หากก็ไม่ปริปากด้วยเกรงเรื่องราวจะบานปลาย เนื่องด้วยลูกคนเล็กผู้นี้มักเอาแต่ใจตน จึงเดี๋ยวโกรธเดี๋ยวดีกับทุกคนในบ้าน รวมทั้งเหินด้วย หากกับเหินนั้น รสเดียวกัน จึงโกรธแล้วดี ดีแล้วโกรธสลับกันจนกลายเปนกิจวัตร แต่ก็เลิกคบกันไม่ได้
ปล่อยให้ผู้พบเห็นเหนื่อยใจไปตามกัน
มีเพียงหนึ่งเดียวที่แลเห็นเป็นสามัญ
นั่นก็คือพ่อของหล่อน
นายชัดรู้จัก ‘ดวง’ ของทุกคนเป็นอย่างดี จึงเข้าใจวิธีทั้งปลอบและขู่ แม้ว่าขู่ก็ไม่ขู่มาก หากแต่จะลงน้ำหนักให้เจ้าตัวล่วงรู้ว่า ‘นี่ทำได้’ หรือ ‘นั่น ไม่ควรทำ’
ลมโชยจึงมักจะหยุดฟังบิดาเพียงผู้เดียว
“เดี๋ยวเขาก็กลับน่า” มารดาเริ่มกล้าห้ามขึ้นมาบ้าง
แต่เกือบชั่วโมงผ่านไป สองชายก็ยังไม่มา ลมเย็นช่วยแม่กับน้าบรรจุน้ำมันที่สะกัดจากเถาเอ็นอ่อนแก้ปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นได้เกินสิบขวดไปมากแล้ว เนื่องจากมีลูกค้าโทร.มาจองเพิ่มเมื่อสักครู่
แต่ทุกคนที่บ้านนี้ก็หารู้ไม่ว่า นายหันเรียกหิ้งไปพบใคร…
หิ้งกับเหินไปถึง จึงแลเห็นแขกที่นัยว่าพิเศษยิ่งของพ่อนั่งอยู่แล้วสองคน เป็นสองแม่ลูกผู้เพียงตาพบตา หน้าเผชิญหน้า ก็รู้ดีว่า สองสตรีคือแขกหรือลูกค้าระดับไหน เพราะทั้งแม่และลูกแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับมีราคา นั่งอยู่ตรงหน้าบิดาของเขา บนโต๊ะกลางวางถาดที่หิ้งเคยเห็นบ่อยแต่ไม่จดจำ ดูเหมือนจะเป็นอัญมณีน้ำงามที่ผู้นำมาขายคัดไว้แล้วเสร็จสรรพ วางเรียงกันเป็นลำดับให้เลือก ราคาย่อมเยากว่าที่ร้านบนศูนย์การค้าค่อนข้างมาก
“อ้าว…มาแล้ว…ลูกชายผมคนโต…เพิ่งกลับจากอเมริกา จบปริญญาโทมาสอบเข้างานได้ จะไปทำต้นเดือน หิ้ง…นี่คุณหญิงระวีฉาย…แล้วนี่คุณหนูขาว…ลูกคนเล็กของท่าน เพิ่งเรียนสำเร็จกลับจากที่เดียวกับแกนั่นแหละ แต่เมื่ออยู่คนละรัฐ เลยไม่มีทางเจอกัน…คุณหญิงซื้อเพชรพลอยจากพ่ออย่างแพงๆไปหลายชิ้นเลยนะ…เป็นลูกค้าผู้มีอุปการคุณที่สุดท่านหนึ่งเลยลูก…เลยอยากให้ลูกได้กราบท่าน แต่เหินน่ะ เคยรู้จักกันแล้ว”
“กราบสวัสดีท่านครับ” หิ้งพนมมืออย่างอ่อนน้อม พลางนั่งลง หันไปยิ้มกับ ‘คุณหนูขาว’ ผู้มีผิวขาวผุดผ่องสมชื่อ
“สวัสดี คุณหิ้ง คุณเหิน” คุณหญิงยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี แทบจะไม่แลเลยไปยังดวงหน้าของเหินเลย แม้ว่าลูกคนเล็กของนายหันจะหัวเราะหัวใคร่เชิงประจบลูกค้ารายใหญ่ของบิดา “หนูขาว…รู้จักกับพี่เขาไว้ซีลูก มีอะไรจะได้ขอคำแนะนำกัน…หนูขาวเรียนจบเลขานุการมาค่ะ…เพิ่งกลับ เลยยังไม่ได้หางานทำ…ก็ว่าจะค่อยๆหาไปไม่รีบเท่าไหร่ อยากได้บริษัทใหญ่ที่มั่นคงน่ะค่ะ”
“แล้วผมจะถามบริษัทที่ผมไปสอบเข้าได้ให้นะฮะ” หิ้งจึงตอบด้วยอัธยาศัยไมตรี “ถ้าทราบแล้วจะรีบกราบเรียนท่าน”
“แหม…ขอบคุณมากจริงๆค่ะ…ขอบคุณมาก” คุณหญิงตอบรับอย่างเต็มใจพอใจในชายหนุ่มตรงหน้า
สมความปรารถนาของผู้เป็นบิดาของเขาอย่างยิ่ง พลางก็กำชับกำชา
“แล้วอย่าลืมถามบริษัทให้คุณหนูนะ” ฝ่ายบิดาคาดคั้น…ก็ต้องคาดต้องคั้นอย่างนี้เองเพื่อเอาใจลูกค้าเจ้าประจำ
เพชรพลอยค่าล้ำสูงราคาเพียงไร หากถูกใจแล้วละก็…เธอก็สามารถจ่ายได้ทันใดทันที ไม่มีลังเลรีรอ
“ไม่ลืมครับ ผมจะโทร.ถามวันจันทร์นี้แหละฮะ…”
“ว่าแต่ว่า ที่คุณเข้าไปทำนี่อยู่ฝ่ายไหนล่ะคะ จะได้ทราบไว้เป็นความรู้…คือฉันนี่ถือว่าความรู้ยังแคบมากถ้าเทียบกับความก้าวหน้าทางนวัตกรรมใหม่ๆ…อ้อ…ก็ว่าตามๆเขาไปยังงั้นเอง…นวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์อะไรต่อมิอะไร” พลางผู้พูดก็ยิ้มอย่างขำขันตนเอง “ก็ไม่ได้คิดจะตามความสมัยใหม่อะไรหรอก…แค่ถามๆไว้ประดับสติปัญญา…เดี๋ยวลูกเต้ามันจะค่อนแคะเอาได้ว่า แม่เป็นคนหลังเขา…”
“ไม่เลยครับท่าน…ผมเองก็ยังไม่เคยคิดว่าคุณพ่อคุณแม่เชยหรืออะไรเลย” หิ้งเอาอกเอาใจ พลางก็ตอบคำถามที่คุณหญิงอยากรู้ “ผมจบปริญญาตรีวิศวกรรมการจัดการพลังงานครับ แล้วก็เลยทำปริญญาโทการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมเพิ่มเข้าไป เพราะเห็นว่าวิชาการนี้จะมีประโยชน์กับโลกอนาคตอย่างยิ่งครับ”
“แหม…ดีมากเลยนะคะ…ดีมาก…ขอให้คุณเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปนะคะ” แววตาคุณหญิงมีประกายหมายมั่นทีเดียวเมื่อมาถึงตรงนี้ พลางหันไปทางลูกคนเล็ก ครั้นแล้วจึงพยักหน้า “ถ้าบริษัทเขาเปิดรับเลขานุการด้วย ลูกก็ไปกับพี่เขาเลยละกัน…ให้พี่เป็นผู้ปกครอง จะได้แนะนำให้รู้เรื่องอะไรต่างๆที่ลูกยังไม่รู้อีกเยอะนะลูกนะ”
“ค่ะ…แม่…” คุณหนูขาวตอบรับอย่างว่าง่าย
ก็จะไม่ว่าง่ายได้อย่างไร ในเมื่อเพียงแค่พบหน้าชายหนุ่มลูกคนโตของเจ้าของเพชรพลอย คุณหนูก็เริ่มติดใจในลีลาท่าทางของเขาโดยไม่ต้องถามไถ่ว่าเขามีใครอื่นอยู่แล้วหรือไม่
“ฉันก็มีลูกสามคน ผู้หญิงทั้งสามเลยละค่ะ” คุณหญิงเจรจาสืบไป “แต่สองคนโตนั่นแต่งงานไปแล้ว”
“ลูกคุณหญิงทุกคนน่ารักมาก” นายหันเสริมความอย่างรู้จักครอบครัวนี้เป็นอย่างดี “คุณหนูแดงคนโตกับคุณหนูเขียวคนกลางก็สวยขนาดน้องๆนางงามเลยนะลูก…ใช่ไหมเหิน”
ประโยคท้ายเขาหันมาทางลูกชายคนเล็กผู้บัดนี้เริ่มอารมณ์ไม่ดี เนื่องด้วยนับแต่นาทีแรกที่ก้าวเข้ามา ก็หามีผู้ใดสนใจเขาไม่ ต่างก็หันไปเห่อแต่พี่ชาย ‘ยัยคุณหญิงนั่นแหละตัวดี สงสัยคงกะลังหาผัวให้ลูกสาวอีกละ’ เหินคำรนคำรามอยู่ในใจ ‘คอยดู เดี๋ยวกูจะอาละวาดให้ดู…เฮอะ…คุณหนูแดง คุณหนูเขียว คุณหนูขาว…ชิ่ว…สู้ไอ้โชยของกูยังไม่ได้ พี่หิ้งขืนเอาก็ตาเป็นกุ้งยิงแล้วละ’
“วันนี้ก็เลยพาเขาแวะมาดูของแต่งตัวนิดหน่อยไงคะ…จะได้มีของที่เขาชอบที่สมัยใหม่เหมาะกับวัยเขาไปใช้มั่ง” คุณหญิงระวีฉายบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาปรากฏกาย “คือคุณพ่อคุณนี่เก่งเรื่องนี้มาก ของแต่งตัวก็ไม่ได้มีเฉพาะคนสูงอายุเท่านั้น ของเด็กๆก็มี ราคาก็ไม่แพงมาก ต่างกับร้านใหญ่ๆมากเลย”
“คือเราไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นไงครับ ไม่มีโก่งแก่งอะไรกันด้วย เรียกว่าเห็นหน้าก็รู้ใจ ประมาณนั้นน่ะฮะ” นายหันยามอยู่ต่อหน้าลูกค้าของเขา ผิดแผกแตกต่างจากนายหันเพื่อนเก่าของอาชัดราวกาแฟร้อนกับไอศกรีมที่หิ้งใคร่ให้ทั้งพ่อและอาหันหน้ากลับมาดีกัน คุยกัน ถ่ายทอด ‘ศาสตร์’ ที่ตนเองเก่งทั้งคู่สู่กันและกัน
กลายเป็น ‘แอฟโฟกาโต’ อันเปี่ยมด้วยรสชาติไม่รองใคร
เขาใคร่ให้พ่อกับอาเป็นเช่นนั้น
“คุณหญิงก็ช่วยเลือกให้คุณหนูด้วยซีฮะ” นายหันนึกขึ้นได้จึงคะยั้นคะยอ
“หนูเลือกเองดีกว่า เลือกเลยลูก” ว่าพลางเธอก็หันมาทางชายหนุ่ม “หรือคุณจะช่วยเลือกก็ได้นะ…เพราะน่าจะเคยเลือกให้แฟนมาแล้วก็ได้”
“ไม่เคยเลยครับ…คุณหญิงก็ทราบ…ที่โน่นกับที่นี่ผิดกัน”
“จริงค่ะ…ยอมรับ…แต่ถ้าเป็นแฟนคนไทยด้วยกันก็ยังได้นี่คะ”
เขาก็เลยแค่ยิ้มๆ ไม่ฉวยโอกาสใดๆมาเป็นของตน เช่น เริ่มบรรยายความตามไท้…ว่า…เคยมีแฟนเป็นฝรั่งแต่บอกเลิกไปแล้ว หรืออะไรทำนองนั้น
ฝ่ายพ่อของเขาก็หาได้ปริปากให้เข้าเนื้อไม่ ตรงกันข้าม กลับเลื่อนถาดยาวบุกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ามาตรงหน้าหนูขาว พลางเตือนให้เลือก
“ถ้าไม่ชอบถาดนี้ ก็ลองดูอีกถาดซีฮะคุณหนู”
“ทับทิมนี่ก็สวยดีนะแม่” หนูขาวหรือนามจริงว่า แสงจันทราพยักพเยิดให้มารดาดูเรือนทองฝังทับทิมเม็ดเล็กราวหนึ่งกะรัต ประดับบ่าด้วยเพชรลูกเล็กนิด แต่น้ำงามข้างละสองเม็ด
“นี่ทับทิมที่ไหนล่ะคะ คุณหัน” ฝ่ายมารดาจึงดึงแหวนวงน้อยขึ้นพิจารณา
“มาดากัสการ์ครับ”
“ราคาเท่าไหร่คะ”
“ค่อนข้างแพงแล้วครับคุณหญิง นี่ก็แค่กะรัตเศษๆเอง แต่ดูเหมือนน้ำจะไม่ค่อยดีไปหน่อยเพราะเขาเก็บก้นพลอยไว้หนาเกินไปน่ะฮะ…แต่ถ้าไม่เก็บ ก็เสียดายเนื้อพลอย ราคาไม่ใช่ย่อยๆ”
หิ้งก็ฟังไปอย่างนั้นเพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเพชรพลอยของพ่อโดยสิ้นเชิง
ตรงกันข้าม…เรื่องที่เขาอยากเรียนรู้น่าจะเกี่ยวกับสมุนไพรไทยที่นำมาทำยากินยาทาของอาชัดมากกว่า เพราะถ้านำมารักษาอาการทั้งภายนอกและภายในอย่างระมัดระวังได้จะเท่ากับเป็นอีกหนึ่งของวิเศษที่ธรรมชาติประทานมา
ของวิเศษที่เขารู้ว่าอาชัดมีนับไม่ถ้วน ล้วนแล้วคนสมัยใหม่เข้าไม่ถึงหรือมิฉะนั้นก็ไว้ใจยาฝรั่งมากกว่า
“เป็นพลอยแท้ก็เอาละค่ะ”
“ท่านก็ทราบดีนี่ครับว่า…ที่นี่…ไม่มีของไม่แท้มาแต่ไหนแต่ไร…ต้มใครต้มได้นะฮะ…แต่ต้มท่าน…แม้กระทั่งคิด ผมก็ว่าคนคิดตกเวทีไปตั้งแต่ยกแรกแล้ว”
อีกฝ่ายก็เลยยิ้มๆ
“เรารู้จักกันมากี่ปีแล้วคะ”
“สามสิบปีได้ละมังครับ…” พลางเขาก็หันมาทางหิ้ง “รู้จักท่านตั้งแต่พ่อยังหนุ่มๆ…เรื่องดูเพชรพลอยละก็ คุณหญิงท่านยังงี้เลย”
หันเอ่ยพลางชูหัวแม่มือ
“แค่มองปราดก็รู้แล้วว่าสังเคราะห์หรือของแท้”
“สังเคราะห์นี่เป็นยังไงฮะพ่อ…อย่างเพชรสังเคราะห์นี่ดูยังไง”
“ถ้ายังไม่ใช้เครื่องดู คนชำนาญการดูของพวกนี้เขาก็อาจรู้ได้ทันทีเหมือนกันว่าใช่ไม่ใช่…คุณหญิงเป็นคนหนึ่งในนั้น”
“ของมีค่ามีราคานี่ จะซื้อหาต้องระวังนะคะ เดี๋ยวนี้ยิ่งหลอกกันง่าย” คุณหญิงว่า “ฉันเองก็ต้องระวังไม่ประมาท”
ขณะที่คุณหนูขาวหันไปชวนเหินสนทนาด้วยมารยาทอันดี ไม่ปล่อยให้เขานั่งนิ่งเงียบ ไร้คนชวนคุย
“แต่คุณหญิงก็มีเครื่องดูเพชรพลอยนี่ฮะจะต้องกลัวอะไร”
“ไม่กลัวค่ะ ยิ่งเป็นของคุณหันยิ่งไม่กลัว พูดง่ายๆก็คือ ความวาว หรือลัสเตอร์นี่…ถ้าคุ้นเคยกับมันนานพอ เราก็ต้องรู้แล้วว่า แต่ละแร่ธาตุนี่ มันมีลัสเตอร์ต่างกันยังไง…วาวแบบโลหะ วาวแบบเพชร วาวแบบแก้ว วาวแบบฉาบน้ำมัน วาวแบบยางสน วาวแบบไหม วาวแบบมุก วาวแบบดินด้าน วาวแบบขี้ผึ้ง…ความวาวมันต่างกันขนาดนี้…ฉะนั้น แค่ดูด้วยตาเปล่า เราก็สามารถรู้ถึงความแตกต่างของความวาวได้บ้างแล้วว่าคือพลอยชนิดไหน ของแท้หรือของปลอม”
“ผมขอเป็นอีกคนที่ยกนิ้วให้คุณหญิงครับ” หิ้งก็เลยบอกเธอด้วยความชื่นชม
“ฉันชอบของพวกนี้ไงคุณ ก็เลยต้องอ่านตำรา…ค่อยๆเรียนรู้ไปทีละอย่างสองอย่าง…ก่อนจะเก็บของไว้เป็นมรดกให้ลูกสาวสามคน ก็ต้องค้นจนเจอของดีไงคะ” เธอทิ้งท้ายให้คิดเป็นการบ้าน ครั้นแล้วจึงหันไปถามลูกสาว “ตกลงหนูชอบวงไหนล่ะลูก…ไหน…ขอแม่ดูหน่อย…อือ…ใช่อย่างคุณหันว่า… ‘น้ำ’ ทับทิมเม็ดนี้มันไม่ปิ๊งสักเท่าไหร่ คือเนื้อก้นแหวนมันหนาไป”
“ยังไม่ต้องรับไปดีกว่า” นายหันว่า เมื่อนึกถึง ‘แผน’ บางอย่างที่สมควรจะถ่วงไว้ “เอางี้ไหมฮะ…ถ้าคุณหนูอยากได้ทับทิมเม็ดใหม่ที่ขนาดเดียวกับวงนี้ ผมหาให้…ถ้าได้เมื่อไหร่ก็จะขอเชิญคุณหญิงเสียเวลาแวะมาดู”
“ได้เลยค่ะ…มาได้ ของชอบอยู่แล้ว เพราะถึงยังไง ก็ต้องรอคุณหิ้งติดต่องานให้หนูขาวอยู่ดี”
“นั่นซีครับ” อีกฝ่ายตอบรับอย่างเต็มใจ
เนื่องด้วยทั้งสองฝ่ายไม่มีเสีย มีแต่ได้กับได้
“แต่วันนี้คงต้องรีบกลับค่ะ…มีนัดกับที่บ้าน”
นาทีต่อมา นายหันกับลูกชายก็ได้ยืนส่งสองแม่ลูกที่มีคนขับรถขับจากไป
ยังไม่ทันท้ายรถจะพ้นซอย หิ้งก็รีบเปิดประตูรถของเขา มีเหินโผนเผ่นตามมานั่งข้างๆ
“อ้าว…แล้วนั่นจะไปไหน” นายหันเท้าสะเอว ถลึงตาจนแทบจะหลุดออกมานอกเบ้า “ไอ้ลูกบ้า”
“เดี๋ยวมาพ่อครับ” หิ้งได้แต่หัวเราะขำพ่อของเขาที่รู้ทันว่า สองหนุ่มจะรีบไปคลุ้มคลั่งอยู่ที่บ้านคู่ศัตรู
“สงสัยพ่อจะหมายตาให้พี่หิ้งจ๊วบจ๊วบกะคุณหนูขาว คุณหนูเขียวอะไรนั่นมั้ง…แหงเลย…” เหินเพิ่งเริ่มอารมณ์ดีก็ตอนที่เห็นพ่อยืนจังก้า อ้าปากกว้าง เสียงดังยังกะฟ้าร้องนี่เอง “หนูขอยกให้พี่แต่ผู้เดียวนะเคอะ”
พี่ชายก็เลยหัวเราะก้ากออกมา ถามว่า
“ทำไม…เขาไม่สวยงั้นเหรอ”
“โอ๊ย…ทำไมจะไม่สวย…แต่หนูกลัวคุณแม่น่ะซีเจ้าคะ” เหินทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“ไอ้บ้า…” หิ้งก็เลยแจ่มใสร่าเริงจนกระทั่งรถมาถึงหน้าบ้านนายชัด
คนที่โผจากประตูก่อนใครก็คือลมโชย
หล่อนวิ่งเข้ามากอดหิ้งไว้แน่น ท่ามกลางอาการตกตะลึงของหนุ่มผู้น้อง