ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 5 : รอยสักรูปตราประทับ
โดย : แสนแก้ว
ดวงใจจอมกระบี่ นวนิยายดีเด่นกลุ่มนวนิยายรัก โครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 โดย แสนแก้ว กับเรื่องของสาวไฮโซที่ถูกวางแผนฆ่า แต่อยู่ๆ เธอก็ได้พบกับหวังอี้เทียน จอมยุทธ์ที่หลุดมาในยุคปัจจุบัน เขามาช่วยชีวิตเธอและสืบความจริงในอดีตจนจับคนร้ายได้และเธอได้ข้ามกลับไปลุยกันต่อที่ฝั่งยุทธภพกับเขา นิยายออนไลน์ที่อยากให้ได้อ่านกันค่ะ
นลินญาทำใจอยู่ครู่ใหญ่ก็กลับลงไปข้างล่างอีกครั้ง ส่งเสื้อนอนตัวใหม่ให้เขาเปลี่ยนแทนเสื้อเปียกที่สวมอยู่ เขาเอ่ยขอบคุณและรับไว้แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนต่อหน้า เธอก็ไม่เซ้าซี้อีก นั่งลงบนโซฟาตัวที่ไกลที่สุดเพื่อความปลอดภัย
เขามีสีหน้าผ่อนคลายคล้ายจะยิ้ม
“มานั่งใกล้ ๆ เถอะ ข้าไม่ทำอะไรหรอก” เขากอดเสื้อนอนแนบอก “ไม่ใช่ข้าหรอกหรือที่ต้องเป็นฝ่ายกลัวเจ้า”
“เอ๊ะ”
เธอจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจยาว
“เจ้าคงสงสัยว่าข้าเป็นใคร ที่นี่ไม่เหมือนที่ที่ข้าจากมา สำหรับพวกเจ้าข้าก็ไม่ต่างจากคนประหลาด เสียสติ”
น้ำเสียงเขาราบเรียบแต่เจือกังวานเศร้า หญิงสาวคิดว่าเธอควรรับฟังเขาสักครั้ง
“ก็แล้วท่านเป็นใครล่ะ”
“ข้าชื่อหวังอี้เทียน ตระกูลหวังของข้าเป็นสำนักคุ้มภัยและสำนักฝึกวิชา เราให้ความร่วมมือกับทางการและเป็นมิตรกับชาวยุทธ์ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะจุดประสงค์สำคัญคือช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ยุทธจักรกว้างใหญ่ ข้าหวังเพียงได้เห็นใต้หล้าสงบสุข”
“แหม…หนังจีนสุด ๆ” เธอพึมพำ เหล่ตามอง “เป็นจอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมว่างั้น”
“จอมยุทธ์งั้นหรือ” เขาก้มมองต่ำ เผยรอยยิ้มบาง “ข้าเป็นเพียงชาวยุทธ์คนหนึ่งเท่านั้น”
“แล้ว…ท่านมาที่นี่ทำไมล่ะ”
“อย่างที่เคยเล่า เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจมา เพียงแต่โดนคนทำร้ายจึงพลัดหลงมา แต่เมื่อมาที่นี่แล้วข้าก็เริ่มเข้าใจว่า ข้ามาเพื่ออะไร” เขาหันมาสบตา แม้สีหน้าจะไม่บอกอารมณ์แต่ดวงตาของเขาเหมือนมีรอยยิ้ม “ข้ามาเพื่อพบสตรีนางหนึ่ง”
นลินญายืดตัวขึ้น ตื่นเต้นกับข้อมูลใหม่ ตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าเป็นนิยายแนวกำลังภายใน แทบไม่เอ่ยถึงเส้นเรื่องความรักเลยไม่ว่าจะคู่ไหน
“นางเป็นใครเหรอ ถ้าพบนางแล้วท่านจะกลับไปในที่ของท่านได้เหรอ”
“ข้ามาเพื่อพบและอยู่กับนางตลอดไป อาจอยู่ที่นี่ หรือพานางกลับไปในที่ของข้า ถ้าเลือกได้ข้าก็ต้องการกลับไป ที่โน่นยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องสะสาง”
นลินญาบีบมือตัวเองเบา ๆ “เรื่องคนที่ทำร้ายท่าน คนที่ตามฆ่าท่านสินะ”
สีหน้าของชายหนุ่มพลันหม่นหมองราวมีไอหมอกมาปกคลุม
“ท่านพ่อของข้าป่วยหนัก ยากจะรักษา แต่เวลานี้คนที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือน้องชายของข้า หวังฟง หวังหรงเซิน”
“เอ๋”
“คืนนั้นไม่ได้มีแต่ข้าที่ถูกกองโจรดอกไม้แดงรุมทำร้าย ยังมีน้องชายของข้าด้วย ป่านนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หลังจากที่พวกมันฆ่าข้าแล้วไม่รู้ว่าจัดการน้องชายข้าด้วยหรือไม่ แต่ข้าหลงมาที่นี่แค่คนเดียว ก็ได้แต่หวังว่าอาฟงจะปลอดภัย”
ความร้อนกระแสหนึ่งวูบวาบอยู่ในอกของนลินญา เธอมองใบหน้าเศร้าหมองของชายหนุ่มแล้วให้ใจหายยิ่งนัก ลืมไปว่าตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าเป็นนวนิยาย
สำหรับนวนิยายแล้ว ผู้อ่านสามารถรับรู้เรื่องราวผ่านมุมมองพระเจ้าตามที่นักเขียนถ่ายทอด แต่ตัวละครเล่า…ตัวละครที่โลดแล่นอยู่ในเนื้อเรื่องย่อมมีสิทธิ์รับรู้เฉพาะเรื่องที่นักเขียนอนุญาตให้รู้ หรือเฉพาะเรื่องที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง
หวังอี้เทียนเอ๋ย จนตายก็ยังผูกพยาบาทผิดคน ยังเข้าใจอยู่เลยว่าคนที่ฆ่าเขาคือกองโจรดอกไม้แดง
จนลมหายใจสุดท้าย คนที่เขาเป็นห่วงก็ยังเป็นน้องชายจอมเสแสร้ง…หวังหรงเซิน
พ่อคนอาภัพไม่รู้ตัวสักนิด ยังจะมีแก่ใจยิ้มละไมปลอบใจเธออีก
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรข้าอยู่ที่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี อาฟงเป็นคนดี ฟ้าดินต้องคุ้มครองให้ปลอดภัยแน่”
นลินญาอยากจะร้องไห้เสียเดี๋ยวนี้ จึงโพล่งเปลี่ยนเรื่องเสีย
“ท่านจะหาคนใช่ไหม สตรีนางนั้น เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านเอง”
คราวนี้ชายหนุ่มยิ้มขบขัน
“ข้อนั้นไม่ต้องหรอก เจ้าช่วยสอนข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็พอ”
นลินญากลับขึ้นห้องนอนอีกครั้ง ไม่ลืมดับไฟและปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศชั้นล่างให้เย็นสบายตามปกติด้วย เวลานี้เกือบตีสองแล้วแต่หญิงสาวยังตาสว่างแจ่มแจ๋ว คิดไม่ตกกับประเด็นปัญหาในหัวใจ
เธอเผลออินไปกับเขาซะแล้ว เผลอเชื่อไปได้ว่าเขาคือหวังอี้เทียน
ไร้สาระน่า เธอลูบหน้าตัวเองแรง ๆ ข่มตานอนไม่สำเร็จก็เปิดแท็บเลตอ่านตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้า แม้จะยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ก็ตาม
…
นิยายออนไลน์ตอนใหม่ที่เรนนี่จั่วหัวไว้ว่า ‘อ่านแล้วแกจะเซ็ง’ เล่าถึงเรื่องราวหลังจากหวังอี้เทียนถูกแทงตกผาสูงหมื่นจั้งลงไปแล้ว เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ร่างสะบักสะบอมของหวังหรงเซินก็ได้ศิษย์สำนักจำนวนหนึ่งหามกลับมาที่คฤหาสน์สกุลหวัง เขามีบาดแผลตามตัวพอสมควร ดวงตาสองข้างมีผ้าพันไว้เพราะถูกผงพิษที่ทำให้ตาบอดชั่วคราว
…
นลินญากำหมัดแน่น ทุบลงกับโต๊ะเขียนหนังสืออย่างเหลืออด
“แกสาดพิษเข้าตาตัวเองเพื่อตบตาละสิท่า กลัวว่าถ้ากลับบ้านแบบสะอาดเนี้ยบกริ๊บจะถูกสงสัยใช่ไหมล่ะ หึ ลูกไม้ตื้น ๆ”
นึกถึงชายที่อ้างตัวว่าเป็นหวังอี้เทียนซึ่งนอนอยู่ชั้นล่าง ตอนพบกันครั้งแรกใต้ผาชิงดาว ดวงตาของเขาแดงก่ำน่ากลัวราวกับปีศาจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อย ๆ หายเป็นปกติ เรนนี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องอาการบาดเจ็บที่ดวงตาของเขาเลยด้วยซ้ำ
นลินญาเริ่มไม่แน่ใจ เป็นไปได้ไหมที่ดวงตาเขาหายเองได้เพราะถูกผงพิษชั่วคราวแบบในนิยาย
…
หวังหรงเซินรักษาตัวอยู่แค่ข้ามคืนก็หายเกือบเป็นปกติ เขาไปหาหวังไห่ผู้เป็นบิดาซึ่งนอนป่วยหนักอยู่ในห้อง มีมารดาของเขาคอยปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง แจ้งข่าวว่าหวังอี้เทียนผู้เป็นพี่ใหญ่นั้นถูกแทงตกเขาตายแล้ว
มารดาของเขาตกใจแทบสิ้นสติ ส่วนบิดาแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็โวยวายอ้อแอ้ แววตาสั่นไหวระริก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอเรียนท่านทั้งสองตามตรง ข้าเห็นพี่ใหญ่พูดคุยกับชายชุดดำคนหนึ่งในมุมมืด แล้วคืนนั้นก็ออกจากบ้านไปเงียบ ๆ โดยไม่บอกใคร ข้าสงสัยจึงสะกดรอยตามไปดู เห็นพี่ใหญ่นัดพบกลุ่มคนชุดดำกลุ่มใหญ่ที่ผาด้านทิศตะวันตก ข้าแอบฟังจึงได้รู้ว่า พวกนั้นคือกองโจรดอกไม้แดง”
“แล้วยังไง อาฟง อาเฟยถูกพวกมันบังคับขู่เข็ญงั้นหรือ” มารดาของเขาถามแทบเป็นร่ำร้อง หวังหรงเซินถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผิดแล้วท่านแม่ ตรงกันข้าม พี่ใหญ่…สมคบเป็นพวกเดียวกับพวกมัน”
ผู้เป็นแม่ตกใจถึงขั้นตะลึงพรึงเพริด หวังหรงเซินกล่าวต่อไปว่า
“ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อหู พี่ใหญ่อาศัยความบาดหมางที่มีต่อกองโจรดอกไม้แดงเป็นฉากหน้า เบื้องหลังแอบคบหาสมาคมกัน จ้างวานพวกมันให้มาวางยาท่านพ่อ พอท่านพ่อป่วยหนักจะได้สละตำแหน่งประมุขให้พี่ใหญ่”
“ไม่จริง ไม่จริง…” หวังฮูหยินส่ายหน้า น้ำตาไหลพราก
“ท่านแม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ใหญ่พาหมอหลวง หมอเทวดาทั่วทุกที่มารักษา แต่ท่านพ่อก็ไม่หาย ข้าคิดว่าบางทีพี่ใหญ่อาจติดสินบนหมอเหล่านั้นด้วยก็ได้”
“ไม่จริง อาฟง ถ้าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นพวกของมันจริง แล้วใครกันที่ฆ่าพี่ใหญ่เจ้าตกเขาเช่นนั้น”
หวังหรงเซินเว้นจังหวะ หันมองบิดา ชายวัยกลางคนซึ่งนอนอยู่บนเตียงมีน้ำตาไหลลงมาเงียบเชียบ
“พี่ใหญ่ตกลงผลประโยชน์กับพวกมันไม่ได้ พวกมันจึงคิดสังหารพี่ใหญ่ มันซัดผงพิษใส่ตาจนพี่ใหญ่ตาบอด แทงข้างหลังแล้วผลักตกหน้าผา คงเพราะพี่ใหญ่วรยุทธ์สูงกว่า พวกมันจึงต้องใช้วิธีสกปรกเช่นนั้น…” เขาเล่าเสียงสั่นคล้ายกับว่าสะเทือนใจนักหนา “ข้าเข้าไปช่วยพี่ใหญ่ ดีร้ายอย่างไรเราก็ควรให้พี่ใหญ่ได้อธิบายบ้าง แต่มันก็สายไปแล้ว ข้าช่วยไว้ไม่ได้ ซ้ำยังโดนพวกมันทำร้ายอีก ข้ามันไม่เอาไหน ท่านพ่อ ท่านแม่ ลงโทษข้าด้วยเถอะ”
จบคำเขาก็คุกเข่าลงหน้าเตียงของบิดา น้ำตาร่วงเผาะลงพื้นหยดแล้วหยดเล่า
…
“ตอแหล!” นลินญาหลุดปากทันที
เชื่อได้เลยว่าเรนนี่และแฟนนิยายทั้งชาวจีนที่อ่านทางออนไลน์ และชาวไทยที่รอเล่มกันอยู่ ได้อ่านบทนี้แล้วจะต้องเกรี้ยวกราดไม่ต่างกัน
“ฆ่าเขาแล้วยังจะป้ายความผิดให้เขาอีก แกมันเลว หวังหรงเซิน เลวที่สุด”
…
หวังไห่สั่นศีรษะรัวแรงคลุ้มคลั่ง หวังฮูหยินร้องไห้ปานจะขาดใจ มือกุมหน้าอกแน่น
“ไม่จริง อาเฟยลูกแม่ ไม่จริง…อาฟง เจ้าต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ ๆ พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”
เมื่อคนฟังไม่เชื่อ หวังหรงเซินก็ล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากในอกเสื้อ สิ่งนั้นคือดอกไม้ซึ่งประดิษฐ์จากผ้าสีแดง
“ดอกไม้แดงนี้ ข้าเก็บได้จากจุดที่พี่ใหญ่ตกลงไป…ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านยอมรับความจริงเสียเถอะ กองโจรดอกไม้แดงฆ่าคนแล้วจะวางดอกไม้แดงทิ้งไว้ ดอกไม้นี้ถูกวางแทนตัวพี่ใหญ่เสียแล้ว”
…
เมื่ออ่านจบตอน นลินญาต้องสงบอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ แสงไฟสีนวลในห้องนอนส่องให้เห็นความอ่อนไหวและอ่อนโยนบนใบหน้าของหญิงสาว
เธอค่อย ๆ ลงบันไดมาชั้นล่างอย่างเงียบเชียบ ในความมืดสลัวนั้น ชายหนุ่มนอนหลับสนิทบนโซฟาเบด หายใจสม่ำเสมอ ท่านอนของเขาช่างเรียบร้อย ตัวตรง มือประสานอยู่บนอก ห่มคลุมผ้าห่มมิดชิดถึงหน้าอก
ใบหน้าขาวใสยามนิทราดูเรียบเฉยราวหยกสลัก แต่แฝงไว้ด้วยแววเหนื่อยล้า วูบหนึ่งที่นลินญารู้สึกสงสารเขาจับใจ จู่ ๆ ส่วนใหญ่ของหัวใจก็เริ่มกลับมาเชื่ออีกแล้วว่าเขาคือหวังอี้เทียนตัวจริง แม้จะยังไม่เห็นตราประทับบนหัวไหล่ซ้ายก็ตาม
ในชีวิตไม่เคยมีสักครั้งที่นลินญาจะคิดฝันว่า หากมี ‘จอมยุทธ์’ มาอยู่ร่วมบ้านจะเป็นอย่างไร
ดูเผิน ๆ ไม่น่าใช่เรื่องยาก จอมยุทธ์ก็เป็นคนเหมือนกัน เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วย คงไม่ยากเท่าเลี้ยงเด็ก ดูแลคนชรา เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว มองในแง่ดีอีกนิด จอมยุทธ์ย่อมมีร่างกายแข็งแรงและจิตสัมผัสพิเศษ เขาน่าจะใช้พลังพิเศษช่วยงานเธอได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องดูแลตัวเองได้ดีระดับหนึ่ง
ทว่า…เธอคิดน้อยไปเสียแล้ว
ความปั่นป่วนเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าวันใหม่ นลินญาสั่งอาหารจากร้านใต้คอนโดฯ มารับประทานตามปกติ เห็นแก่เขาเป็นคนจีนก็สั่งบะหมี่หมูแดงมาให้ด้วย ชายหนุ่มมองชามบะหมี่อย่างสนใจ แต่พอกินเข้าไปคำแรกก็ได้เรื่อง
ดวงตารียาวชะงักค้าง จ้องหน้าเธออย่างตะลึงงัน
“นี่เจ้า…” เขาชี้หน้าเธอด้วยมือสั่นเทา “เจ้าวางยาพิษข้าหรือ”
นลินญาตกใจแทบตกเก้าอี้ เธอเองก็กินเกี๊ยวน้ำของตัวเองไปหลายคำแล้ว
“ในนั้นมีพิษเหรอ”
เขาลุกพรวดจากเก้าอี้โต๊ะกินข้าว โซซัดโซเซไปกลางห้องโถง ทรุดลงบนโซฟาเบด มือกุมหน้าอก หายใจหอบ นลินญารีบวิ่งตามไปดู เห็นเหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ผุดเต็มใบหน้าซีดขาว
“นี่ เป็นอะไรไปน่ะ”
“ในชามบะหมี่นั่นมีพิษ” เขาเงยหน้าสบตาเธอ แววตาร้อนรนปนตัดพ้อ “ที่แท้ เจ้าก็ต้องการให้ข้าตาย”
“เปล่า เปล่านะ” นลินญาทำตัวไม่ถูก รีบวิ่งกลับไปดูชามบะหมี่บนโต๊ะกินข้าวก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ยกขึ้นดมก็แล้ว แอบแตะลิ้นชิมก็แล้ว เธอก็ไม่มีอาการอะไร แสดงว่าเรื่องยาพิษนั่นต้องไม่ใช่แน่ ๆ
หรือว่าเขาจะแพ้อะไรในอาหาร…นลินญาครุ่นคิด อะไรกันนะที่เขาแพ้ บะหมี่ ใบกวางตุ้ง หมูเด้ง หมูแดง ก็เป็นสิ่งที่คนปกติกินกัน พิสดารกว่าบะหมี่น้ำในโลกยุทธภพซะเมื่อไร
แต่ถ้าเป็นสิ่งที่สมัยนี้มีแต่สมัยก่อนยังไม่มีก็อาจจะเป็น…
ผงชูรส
นลินญาถือชามบะหมี่กลับออกไปที่ห้องโถง ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิบนโซฟาเบด มือวางบนหัวเข่า หลับตานิ่ง ใบหน้าซีดขาวเคร่งเครียดมีเหงื่อเกาะพราว…เขากำลังเดินลมปราณเพื่อขับพิษ
“โห…ต้องขนาดนี้เลยเหรอ” เธออดพึมพำไม่ได้
เวลาผ่านไปสิบห้านาทีเขาก็ลืมตาขึ้น ท่าทางสบายขึ้นมาก หญิงสาวที่รออยู่ก็ทวงความยุติธรรมให้ตัวเองทันที
“นี่ ข้าไม่ได้วางยาท่านนะ ท่านแพ้อาหารเองต่างหาก”
“แพ้อาหารงั้นหรือ”
“เออสิ มาเทสเลยว่าแพ้อะไรบ้าง ทีหลังจะได้รู้ว่ากินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้”
ผ่านการทดสอบไปหลายเมนู นลินญาก็ได้ข้อสรุปว่า เขาไม่เพียงแต่แพ้ผงชูรสเท่านั้น ทุกอย่างที่เป็นสารเคมีและอาหารผ่านกระบวนการหรือโพรเซสฟู้ด เขาแพ้ทั้งหมด
หมูแดงใส่สีผสมอาหาร กินไม่ได้
ผักสด ผักต้ม มียาฆ่าแมลง กินไม่ได้
ขนมปัง เบเกอรีมีเนยเทียม มาการีน แต่งกลิ่น แต่งสี แต่งรส กินไม่ได้
ยิ่งอาหารกล่องแช่แข็งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสารปรุงรส สารแต่งเนื้อสัมผัส สารกันบูด สารคงตัวที่ทำให้เวลาอุ่นมาแล้วเหมือนอาหารทำสดใหม่ เขากินเข้าไปคำเดียวแทบกระอัก ต้องเดินลมปราณขับพิษเกือบชั่วยาม
“พวกเจ้ากินอาหารเหล่านี้ได้ ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก” เขาเอ่ยอย่างอ่อนล้าหลังเดินลมปราณเสร็จสิ้น แถมยังยกมือคารวะเธออีก
หญิงสาวรู้สึกตงิด ๆ ชอบกล คำชมของเขาฟังแล้วเจ็บเหมือนโดนประชด เขาบอบบางเกินไปหรือพวกเราชาวคนปัจจุบันอยู่กับสารเคมีพวกนี้จนด้านชากันแน่
เป็นอันว่า หนึ่งวันนี้ได้หมดไปกับการสั่งอาหารมาลองรับประทานสลับกับเดินลมปราณขับพิษ และหนึ่งคืนนี้ก็หมดไปกับการหัดทำกับข้าว เพราะจากนี้หญิงสาวต้องลงมือทำอาหารสดใหม่ด้วยตัวเองทุกมื้อ และที่สำคัญ…ต้องไม่ลืมคัดเลือกเฉพาะวัตถุดิบออร์แกนิกสุดคลีนด้วย
ถัดจากเรื่องอาหาร ก็มาต่อกันที่อากาศ
ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ฝุ่นละอองลอยฟุ้งทั่วไป คาร์บอนมอนอกไซด์จากท่อไอเสียรถยนต์ อากาศที่ชาวกรุงเทพมหานครใช้หายใจกันทุกวันนี้ เขาหายใจเข้าไปแล้วรู้สึกราวกับถูกรมควันพิษตลอดเวลา
ออกไปนอกระเบียงทีไร เขาจะมีอาการหายใจไม่สะดวก ไอและคัดจมูก หากสูดเอา ‘อากาศพิษ’ เข้าร่างกายมากไปก็ต้องเดินลมปราณขับพิษเช่นกัน
นลินญาจึงต้องจัดให้เขาอยู่ในเพนเฮาส์ เปิดเครื่องปรับอากาศพร้อมด้วยเครื่องฟอกอากาศทั่วทุกมุมห้อง
“เนี่ยเหรอจอมยุทธ์ ทำไมถึงได้บอบบางลูกคุณหนูแบบนี้ล่ะ” เธออดบ่นไม่ได้
เขายิ้มแหย ประสานมือคารวะเธออีก “ลำบากแม่นางแล้ว”
“เฮอะ แปลว่าอะไร แปลว่ายังไงข้าก็ต้องช่วยดูแลท่านใช่ไหม” หญิงสาวทำปากยื่นงอน ๆ “เออ ขอบใจนะที่อย่างน้อยก็รู้ว่าข้าลำบาก!”
วันรุ่งขึ้นนลินญาไปถ่ายคลิปกับพวกโก๋กับกิ๊ก หัวข้อของวันนี้ว่าด้วยรถเฟอร์รารีสีแดงสดของเธอ
ตลอดการถ่ายทำคลิป นลินญาไม่มีสมาธิเล่าบรรยายสักเท่าไร นั่นก็เพราะเธออดห่วงไม่ได้ว่าชายหนุ่มในเพนเฮาส์จะหิวไหม หากินเองเป็นหรือเปล่า ก่อนออกมาเธอสั่งว่าห้ามใช้เตาแม่เหล็กไฟฟ้าเด็ดขาด แต่อย่างน้อยน่าจะสอนใช้ไมโครเวฟเผื่อเขาจะอุ่นอะไรกินเองได้บ้าง คิดถึงตรงนี้ก็ได้แต่รู้สึกผิด
อีกอย่าง เธอลืมกำชับด้วยว่าห้ามออกไปไหน ถ้าเกิดเขาออกไปเพ่นพ่านข้างนอกแล้วหลงทางกลับมาไม่ถูกจะทำอย่างไร โทรศัพท์ก็ไม่มี สื่อสารกับใครก็ไม่ได้
“พี่นลิน พี่นลินคะ” กิ๊กเรียกเธออีกแล้ว “เป็นอะไรหรือเปล่าคะพี่ วันนี้ดูเหม่อ ๆ”
เด็กสาวถามหน้าหงิกหน้างอ คงหงุดหงิดที่เธอไม่ตั้งใจร่วมมือทำงาน นลินญารู้ดีว่าวันนี้เธอทำตัวไม่ดี แต่ขืนฝืนถ่ายต่อคงยิ่งเสียเวลาน้อง ๆ เปล่า ๆ
“เลิกกองเถอะวันนี้ พี่ไม่อยากถ่ายแล้ว”
โก๋กับกิ๊กหน้าเหวอเลยทีเดียว แต่เธอก็ยืนยันคำเดิม
“เอาน่า กลับเถอะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้สองเท่าก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มสาวจำใจเลิกกอง กลับไปตัดต่อคลิปเท่าที่พอใช้ได้ นลินญาขับรถกลับเพนเฮาส์ รู้ตัวว่าต้องโดนบ่นโดนด่าลับหลังแต่เธอก็ไม่เก็บมาสนใจ
กว่าจะฝ่าการจราจรติดหนักยังกับลานจอดรถขนาดยักษ์มาได้ก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม นลินญาผลักประตูรีบก้าวเข้าไปในเพนเฮาส์ เห็นชายหนุ่มยังอยู่ในห้องโถงนั่งเล่นก็โล่งอก
แปลกใจตัวเองยิ่งนัก วันก่อนยังรังเกียจว่าเขาเป็นโรคจิต ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะดีใจที่กลับมาแล้วเห็นเขาอยู่ในบ้าน
บริเวณแนวกระจกใสด้านที่หันออกสู่วิวเมืองมีตั่งไม้แดงปูเบาะนุ่ม กลางตั่งวางโต๊ะไม้เตี้ยตัวหนึ่ง ริมตั่งตั้งฉากไม้ฉลุลายดอกโบตั๋น กั้นมุมสำราญนี้ให้แยกออกจากส่วนอื่นของห้องโถงนั่งเล่น มุมนี้เป็นมุมโปรดที่นลินญาชอบมานั่งเล่นจิบชาอ่านหนังสือ แต่เวลานี้ถูกชายหนุ่มยึดครองเสียแล้ว
เขาไม่ได้นั่งเล่นจิบน้ำชา แต่กำลังนั่งเล่นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เรียกว่า พัดลม
กดปุ่มหนึ่งใบพัดก็หมุน ลมพัดแรงจนผมยาวปลิวสยาย กดอีกปุ่มใบพัดหมุนเร็วแรงขึ้น ตบสลักข้างหลังใบพัดก็ส่ายไปส่ายมา
ชายหนุ่มยิ้มชอบใจ หันมาถามว่า
“นลิน ของวิเศษนี่ชื่อว่าอะไรหรือ”
นลินญาทำหน้าไม่ถูก ไม่คุ้นเลยที่เขาเรียกชื่อเธอตรง ๆ อย่างนี้ และไม่คุ้นยิ่งกว่าที่ได้ยินเขาเรียกพัดลมว่าของวิเศษ
“นี่ เล่นมากเดี๋ยวก็พังหรอก”
เขาเงียบไปทันใด ดวงตาใสกระจ่างจ๋อยสนิท บรรจงกดปุ่มแรกสุดซึ่งเขาเรียนรู้ก่อนหน้านี้ว่ากดแล้วใบพัดจะหยุดหมุนอย่างทะนุถนอม
“ของชิ้นนี้หายากมากหรือ หรือว่าราคาแพง”
“ก็ไม่ได้หายากหรอก แล้วก็ไม่แพงด้วย” เธอตอบอุบอิบ “มันเรียกว่าพัดลมน่ะ”
ชายหนุ่มลูบฐานพัดลมเบา ๆ ราวกับกลัวจะบุบสลาย
“ข้าจะจำใส่ใจไว้”
คราวนี้เป็นนลินญาบ้างที่จ๋อย รู้สึกผิดเหมือนดับฝันเด็กชายคนหนึ่งจนหมดสนุก จึงเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการชวนเขาเข้าครัว ทำอาหารคลีนจำพวกผักต้ม ไข่ต้มง่าย ๆ รับประทานด้วยกัน จะได้ถือโอกาสสอนเขาใช้พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวไปด้วย เวลาเธอไม่อยู่ห้องจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก
ชายหนุ่มตั้งใจเรียนรู้ทุกอย่าง หัวไวใช้ได้ ระหว่างที่ทำอาหารไปคุยกันไป เธอก็ได้รู้ว่าวันนี้ทั้งวันนอกจากอาหารเช้าที่กินพร้อมกันแล้วเขาไม่ได้กินอะไรอีกเลย แย่กว่านั้นน้ำก็ไม่ได้ดื่มเพราะเธอไม่ได้บอกว่าตู้เย็นใช้ยังไง ที่ยิ่งเสียใจคือเขาไม่ปริปากบ่นสักคำ
แถมพอเห็นสีหน้าเธอเครียด ๆ เขาก็บอกอีกว่า
“วางใจเถอะ ต่อไปนี้ข้าจะไม่แตะต้องพัดลมของเจ้าอีกแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” นลินญาไม่รู้จะพูดยังไง “เอาเป็นว่า พัดลมนั่นข้ายกให้ อยากเล่นก็เล่นไปเถอะ ระวังอย่าแหย่นิ้วเข้าไปแล้วกัน นิ้วจะขาดไม่รู้ตัวนะ แล้วก็…”
สายตาเธอเหลือบไปเห็นของดีบนชั้นโชว์ในห้องครัวเข้าพอดี
“ข้าเลี้ยงเหล้าท่านดีไหม”
“สุราน่ะหรือ”
“ใช่”
คนจีนมีวัฒนธรรมการดื่มสุราอันยาวนาน จากอดีตกาลจนปัจจุบันก็ไม่เปลี่ยน ชายหนุ่มดูจะพอใจมากทีเดียวเพราะการดื่มสุราด้วยกันแสดงถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้น
ระหว่างที่เขาจัดโต๊ะอาหาร นลินญาก็เลือกสุรา เธอสะสมสุราจีนหลากหลายแบบโดยเลือกจากขวดสวยเป็นหลัก ดวงตาของเธอสะดุดอยู่ที่สุราขวดหนึ่งซึ่งฤทธิ์แรงถึง 53 ดีกรี มีชื่อเสียงมากที่ประเทศจีนจนได้รับการขนานนามว่าเป็นสุราประจำชาติ ใช้ในงานเลี้ยงรับรองแขกระดับประเทศเป็นประจำ สุราขวดนี้มีชื่อว่า เหมาไถ
พอเอื้อมหยิบมาได้ หญิงสาวก็คิดอะไรดี ๆ ออก จากที่ตั้งใจจะไถ่โทษ กลับได้แผนเด็ด ๆ แถมมาซะได้
“มอมเหล้าซะเลยดีกว่า เจอเหมาไถเข้าไปไม่แน่ว่าอาจจะเมาพับไปเลยก็ได้”
เมื่อนั้น เธอก็จะได้โอกาสถอดเสื้อเขาสักที
ทว่าสิ่งหนึ่งที่นลินญาหลงลืมไปก็คือ จอมยุทธ์หวังอี้เทียนในนวนิยายนั้นคอแข็งยิ่งกว่าหินผา
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับเชิญจากหลี่หยวน คหบดีผู้มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งของเมือง สหายสนิทของหวังไห่ผู้เป็นบิดาไปที่คฤหาสน์เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าลงใต้ หวังอี้เทียนปฏิเสธการคุ้มภัยสินค้าอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นเนื่องด้วยเขาสืบทราบมาว่า สินค้าที่หลี่หยวนจะขนส่งเป็นของเถื่อน
แต่ด้วยความสนิทสนมของสองตระกูล ต่างคนก็ต่างหาหัวข้ออื่นมาพูดจาปราศรัยต่อไป กลบเกลื่อนความไม่พอใจที่คุกรุ่นเอาไว้
พอถึงเวลาเลี้ยงอาหารค่ำ หลี่หยวนก็ให้เด็กรับใช้นำ ‘รอยจันทรา’ มาเลี้ยงรับรองหวังอี้เทียนเป็นพิเศษ…ชายหนุ่มเองใช่จะไม่รู้ รอยจันทราคือสุราที่ได้ชื่อว่ามีฤทธิ์แรงที่สุดชนิดหนึ่ง เพียงจอกเดียวก็ทำให้เมามายไปสิบสองชั่วยามหรือยี่สิบสี่ชั่วโมงได้
‘อาเฟย ลุงเก็บรอยจันทรานี้ไว้นานปี วันนี้มีโอกาสได้ใช้รับรองเจ้า หวังว่าคงไม่รังเกียจหรอกนะ’
หวังอี้เทียนรู้จุดประสงค์ของหลี่หยวนจึงรับสุราไป เปิดฝาออก ยกไหดื่มรวดเดียวจนหมด เมื่อไหสุราว่างเปล่าแล้วก็คว่ำลงกับโต๊ะแสดงให้เห็นว่าไม่เหลือสักหยด
‘หวังเฟยขอดื่มหมดไหเป็นการคารวะท่านลุง’
เช่นนั้นแล้ว เหมาไถขวดเดียวมีหรือจะทำอะไรเขาได้
ชายหนุ่มที่นลินญายังไม่ยอมเชื่อหมดใจว่าใช่หวังอี้เทียนดูจะ ‘เอ็นจอย’ เหลือเกินกับการร่ำสุรารสเลิศ เพลิดเพลินอาหาร สำราญสาวงาม กลายเป็นนลินญาซะอีกที่ดื่มไปเพียงไม่กี่อึกก็เมาพับหลับคาโต๊ะอาหาร
เช้าวันใหม่อันแสนอบอุ่น นลินญาตื่นขึ้นมาในห้องนอนของเธอเอง อับอายเป็นที่สุดที่นอกจากจะมอมเหล้าเขาไม่สำเร็จแล้วยังถูกเขาอุ้มขึ้นมาส่งถึงเตียงด้วย
เธอตีหน้าขรึมไม่รู้ไม่ชี้ลงมาข้างล่างก็ทันได้ช่วยชายหนุ่มเตรียมอาหารเช้า หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้ หั่นผักคะน้าออร์แกนิกไปก็คิดวางแผนใหม่ไป
สมมติฐานใหม่มีอยู่ว่า หากเหล้าจีนทำอะไรเขาไม่ได้แล้วละก็ บางทีเหล้าไทยอาจจะทำได้ก็ได้
ค่ำวันนี้เธอจึงหิ้วสุราแบรนด์ไทยแท้กลับบ้าน นั่นคือเหล้าข้าวหอมตราตะวันฉาย 40 ดีกรี เหล้าดีที่นิยมใช้ชงเหล้าปั่นในร้านเหล้าสบาย ๆ สไตล์ลูกทุ่ง
นลินญาจ้องไม่วางตาเมื่อเขา ‘กรึ๊บ’ จอกแรกเข้าไป สีหน้าของเขาค่อนข้างพอใจทีเดียว
“อื้ม สุราดี”
แล้วจอกที่สอง สาม สี่ก็ตามมาเรื่อย ๆ ส่วนนลินญาที่ดื่มแบบชงกับโซดาเป็นเพื่อนเขานั้น เพียงแค่แก้วเดียวก็สลบคาโต๊ะเหมือนเดิม ถูกอุ้มขึ้นไปนอนเช่นเดิม เพิ่มเติมคือแฮ้งก์หนักปวดหัวตึ้บแถมมาด้วย
นลินญาเกือบจะถอดใจ ล้มเลิกแผนมอมเหล้าเพื่อถอดเสื้อดูรอยสักไปเสียแล้ว ถ้าไม่มีไอเดียสุดท้ายปิ๊งขึ้นมาเสียก่อน
ของมึนเมาชนิดสุดท้ายที่จะใช้คือ ‘ยาดอง’ ของดีพื้นบ้านแบบไทย ๆ 30-45 ดีกรี แรงดีน้อง ๆ เหมาไถ
ยาดองเป็นผลผลิตทางภูมิปัญญาของชาวบ้านที่มีมาเนิ่นนาน เกิดจากการนำสมุนไพรหลายชนิดมาผสมกับเหล้า มีสรรพคุณบำรุงร่างกายหลากหลายตามแต่สูตร ซุ้มยาดองก็เป็นแหล่งสังสรรค์ของชาวบ้านที่จะมารวมตัวกัน นั่งคุยกันไป ดื่มกันไปในบรรยากาศเป็นกันเอง ถึงแม้ทุกวันนี้ยาดองจะกลายเป็นของผิดกฎหมายไปแล้วอย่างน่าเสียดาย แต่นลินญาก็พยายามเสาะหามาได้ถึงห้าสูตรด้วยกัน
เรียงโหลยาดองทั้งห้าบนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาเบดเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มที่ถือแก้วเป๊กรอท่า มองโหลนั้นโหลนี้อย่างสนใจก็เอ่ยว่า
“เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ชอบดื่มสุราเสียจริง”
นลินญาชะงักกึก เหล่ซ้ายแลขวา…นี่หลอกด่ากูว่าขี้เหล้าหรือเปล่าวะ
ครั้นแล้วเธอก็โปรยยิ้มหวานตอบ ยังก่อน…นี่ยังไม่ใช่เวลาทะเลาะ ภารกิจของเธอสำคัญกว่ามาก คิดทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง
แล้วเซเลบริตี้นลินญาก็สวมโหมด ‘สาวเชียร์ยาดอง’ คอยรินเติมให้ไม่หยุด ทั้งยังชวนคุย ชวนหัวเราะ สร้างความเพลิดเพลินจำเริญใจไปทั้งคืน ชายหนุ่มนักดื่มก็ดูจะ ‘เอ็นจอย’ ยาดองไม่แพ้ตะวันฉายกับเหมาไถ กระดกเป๊กแล้วเป๊กเล่าจนยาดองค่อย ๆ หมดไปทีละโหล
กระทั่งโหลที่ห้าพร่องไปครึ่งค่อนโหล สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มก็เริ่มบินหาย เขาทิ้งร่างลงนอนบนโซฟาเบดแล้วหลับไป ใบหน้าที่เคยขาวใสขึ้นสีแดงก่ำ
นลินญาตาโตมองผลงานตัวเองอย่างเหลือเชื่อ “ได้ผลแฮะ”
มือเรียวยังจด ๆ จ้อง ๆ ไม่รู้ต้องเริ่มจากตรงไหน เขาสวมเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้น และการถอดเสื้อยืดมันไม่ง่ายเหมือนเสื้อเชิ้ตหรือฮาวายที่แค่ปลดกระดุม เปิดออกกว้าง ๆ ก็อาจเห็นรอยสักได้
จู่ ๆ เขาก็หายใจหอบ พลิกกายกระสับกระส่าย ละเมอพ้นริมฝีปากแดงจัดว่า
“ร้อน ร้อน…”
นลินญาหูผึ่ง เข้าทางเธอพอดี
“ร้อนงั้นเหรอ งั้นจะถอดเสื้อให้ละนะ”
หญิงสาวเริ่มถกชายเสื้อขึ้น ออกแรงยื้อยุดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็สามารถดึงเสื้อยืดพ้นศีรษะของเขาได้
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือแผงอกกว้างขาวผ่องเจือสีชมพู ไม่ได้ล่ำบึ้กเหมือนคนเล่นเวต แต่เป็นกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แข็งแกร่งอย่างคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วงอกของเขาสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจหอบ ริ้วรอยบาดแผลมีทั้งใหม่และเก่า รอยตื้นกับรอยยาวเป็นขีด ๆ คล้ายถูกของมีคมบาด ยาวบ้างสั้นบ้างกระจายอยู่หลายจุด
ช่วงหัวไหล่หนั่นแน่นของเขานั้น ข้างซ้ายมีรอยสักลายเส้นสีดำพลิ้วไหวคล้ายใครนำพู่กันจีนมาขีดวาด นลินญาก้มดูรายละเอียดใกล้ ๆ รอยสักนั้นเป็นรูปวงกลม เส้นคดเคี้ยวข้างในดูคล้ายหัวเสือกับก้อนเมฆ ยิ่งกว่านั้นริมขอบวงกลมด้านล่างยังมีตัวอักษร ‘หวัง’ อยู่ด้วย
ฉับพลันนั้นลมหายใจของนลินญาก็คล้ายจะหายสาบสูญไป ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องอยู่แต่รอยสักนั้น ไม่อาจละสายตาไปได้
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ คนที่ขยับยุกยิกไม่สบายตัวก็พลิกเบียดเข้ามา ตวัดแขนรัดเอาร่างบอบบางลงมานอนบนเบาะแทนที่เขา ตัวเขาพลิกขึ้นทาบทับ ผิวร้อนจัดเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์กดทับแทบจะฝังเธอจมหายลงไปในโซฟานุ่ม
นลินญาตกใจจนร้องไม่ออก ทั้งตีทั้งจิกแผ่นหลังเขาไม่หยุด
“นี่ จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ”
ลมหายใจหอบรุนแรงเป่ารดอยู่แถวใบหูของหญิงสาว ร่างกายร้อนรุ่มที่ทาบทับอยู่เริ่มสั่นเทาเพราะต้องสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างจนถึงที่สุด เขาไม่ได้รุกรานเธอมากกว่านี้ มีเพียงเสียงแหบเครือเปล่งออกมาว่า
“ไป ไปซะ…”
หญิงสาวตกใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ครั้นแล้วก็นึกได้ว่า บางทีเขาอาจแพ้ยาดองก็เป็นได้ถึงได้ตัวร้อนกระสับกระส่าย ทุกข์ทรมานราวกับร่างกายจะระเบิดออกอย่างนี้ แล้วเธอคะยั้นคะยอให้กินไปตั้งห้าโหล ร่างกายเขาจะรับไหวไหม
ว่าแต่…ยาดองทั้งห้าโหลมีอะไรบ้าง หญิงสาวหันไปมองบนโต๊ะกระจก อ่านฉลากเรียงไปทีละโหล
กำลังช้างสาร ม้ากระทืบโรง โด่ไม่รู้ล้ม นางครวญ สาวน้อยตกเตียง
“ฉิบหายแล้ว”
เธอครวญออกมาทันที และอยากจะตกเตียงลงมาดิ้นตายตามฉลากยา
ทั้งห้าสูตรมีสรรพคุณบำรุงกำลังท่านสุภาพบุรุษทั้งนั้น ตอนที่สั่งซื้อเธอเองก็ไม่ได้ตรวจสอบให้ดี บอกลุงคนขายแค่ว่าขอซื้อยาดองสูตรเด็ด ๆ สักห้าโหล คุณลุงถามว่า ต้องการสรรพคุณเรื่องใด ดื่มเองหรือเปล่า เธอก็ตอบแบบไม่ใส่ใจว่าไม่ได้ดื่มเอง จะเอาไปให้เพื่อนผู้ชายดื่ม
นั่นคงเป็นเหตุผลที่คุณลุงใจดีจัดใหญ่จัดเต็มมาให้ขนาดนี้ และโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอวางยาเขาเข้าให้แล้ว
ไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นยาปลุกกำหนัด
หญิงสาวอยากจะกรี๊ดออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
ออกแรงสุดพลังผลักร่างกายร้อนจัดหนักอึ้งให้พลิกหลบไปอีกทาง นลินญาเบียดกายอย่างทุลักทุเล ลุกออกมาได้ก็วิ่งหนีขึ้นห้องนอนไปทันที ล็อกประตูห้องแน่นหนาแล้วมายืนสำนึกผิดอยู่หน้ากลอนประตู
วางยาเขาไปแล้ว เธอก็ไม่รู้จะรับผิดชอบอย่างไร ยาถอนพิษก็ไม่มี
ก็ได้แต่หวังว่าท่านจอมกระบี่หวังอี้เทียนผู้มีวรยุทธ์และพลังลมปราณแกร่งกล้า จะสามารถผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ด้วยตัวเอง