ไม้สี่โมง บทที่ 3 : ภาพลักษณ์ของประเทศ
โดย : ปรียนันทนา
ไม้สี่โมง โดย ปรียนันทนา นวนิยายรักโรแมนติกที่อ่านเอามั่นใจว่าคุณจะต้องอมยิ้มอุ่นหัวใจ เรื่องราวของมัคคุเทศก์สาวและบุรุษพยาบาลหนุ่มที่เส้นทางชีวิตไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ แต่เพราะคุณยายอุบลแท้ๆ ที่นำทั้งสองมาพบกันโดยบังเอิญ นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่กามเทพสูงวัยต้องทำให้สำเร็จ นิยายออนไลน์ที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
*************************
เสียงลังกระดาษขนาดกลางวางลงบนพื้นอาคารสำนักงานดังต่อเนื่องสักครู่ก่อนที่ผู้ทำหน้าที่นำพาเจ้ากล่องกระดาษที่ภายในอัดแน่นไปด้วยแผ่นพับจำนวนมากเดินจากไปอย่างไม่สนใจเพราะหมดหน้าที่แล้ว
“โห อะไรคะเนี่ยพี่งาม”
“แผนที่ลอตใหม่ไง”
“มาใหม่อีกแล้วเหรอ ที่พวกเราเพิ่งช่วยกันปรู๊ฟใช่ไหมพี่” ฉลองขวัญหมายถึงแผ่นพับแผนที่กรุงเทพมหานครซึ่งหน่วยงานได้จัดจ้างให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ดำเนินการผลิต และระหว่างนั้นพวกพนักงานเช่นหล่อนได้มีโอกาสช่วยกันพิสูจน์อักษรด้วย
“ใช่ พี่พอลเพิ่งคุยกับบริษัทให้โรงพิมพ์เอามาส่ง” พี่งามหมายถึงรุ่นพี่อีกคนหนึ่งซึ่งอาวุโสรุ่นเดียวกับพี่พรรณ พี่พอลหรือพอลล่าที่เจ้าตัวบัญญัติชื่อเรียกให้ตนเองขึ้นมาใหม่มีชื่อจริงว่าพงษ์พันธ์ เขาเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาคมสันที่เมื่อแรกเข้ามาหล่อนก็นึกหวาดเกรงในสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม แต่เมื่อได้พูดคุยและเห็นถึงความมีน้ำใจไมตรีของชายหนุ่มที่บางครั้งหล่อนเกือบคิดว่าเป็นหญิงสาวไม่ต่างจากตนเองก็เข้าใจกระจ่างแจ้งถึงสาเหตุที่พี่พรรณและคนอื่นเรียกพี่พงษ์พันธ์ว่าพอลหรือพอลล่าในบางครั้ง ส่วนตำแหน่งของพี่พอลก็เช่นเดียวกับหล่อนแต่มีหน้าที่ดูแลเอกสารแผ่นพับทั้งที่จัดทำโดยสำนักงานและที่หน่วยงานอื่นทั้งภาครัฐและเอกชนขอวางเอกสารเพื่อประชาสัมพันธ์
“เอ้า เด็กๆ มาเร็วๆ อย่าช้า เปิดกล่องแล้วนับๆๆ แล้วก็วางเลย” เสียงของเจ้าตัวดังมาก่อนพร้อมกับการปรากฏกายของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีเค้าว่าเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้คงหน้าตาดีมาก ข้างหลังพี่พอลมีนักศึกษาฝึกงานสองสามคนทั้งชายหญิงซึ่งท่าทางแข็งขันพร้อมทำตามคำสั่ง
“มาๆๆ ตรงนี้เลยเดี๋ยวพี่เคลียร์ที่ให้ ตรงนี้ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน” พี่ฉายกระตือรือร้นหยิบแผนที่ชุดเก่าออกเพื่อให้น้องๆ จัดเรียงของใหม่แทนที่
“ดีมากทุกคน เดี๋ยวเลี้ยงน้ำ”
“โห พี่พอลล่าน่าร้าก” ฉายฉานชมรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“เหรอ แล้วรักไหมล่ะ” พงษ์พันธ์เดินมาหาด้วยสายตาเป็นประกายจนทุกคนหัวเราะครื้นเครง ส่วนเจ้าตัวคนเริ่มนั้นถึงกับทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว
“รักสิคะ ฉายรักพี่พอลจะแย่เนอะ” งามตาหันมาพยักพเยิดกับฉลองขวัญ
“ว้าย นี่ยัยงามเธออย่ามาพูดเล่น เดี๋ยวฉันเอาจริงนะ”
“เอาไปเลยพี่ ไม่ใช่ของหนูสักหน่อย”
“พูดแล้วนะ ฉายได้ยินแล้วนะ งามบอกเอง”
“โธ่ งาม” ชายหนุ่มส่งสายตาตัดพ้อมายังสาวงามที่มีท่าทีไม่ใส่ใจเขาเลย ฉลองขวัญเลยหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนใครทำให้บรรากาศหน้าฟรอนต์ครึกครื้นยิ่งกว่าเดิม
“เออ นี่เจ๊ไปไหนเนี่ย”
“พี่พรรณไปประชุมกับหัวหน้าไงพี่พอล”
“อ้าว เห็นตอนแรกบอกจะให้เธอไปด้วยนี่นา” เจ้าของเสียงจีบปากจีบคอยามสงสัยใคร่รู้
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนแรกเห็นบอกอย่างนั้น แต่พอเที่ยงก็บอกขวัญว่าเดี๋ยวพี่พรรณไปกับหัวหน้าสองคนก็พอ”
“ไม่มีคนไงล่ะ พี่ก็ต้องทำตารางเวรที่จะต้องติดเย็นนี้ให้เสร็จ” งามตาเฉลยเหตุผลที่จำนวนคนไม่เพียงพอต่อการทำงานเอกสารฝ่ายประชาสัมพันธ์ แม้จะเป็นฝ่ายที่มีเจ้าหน้าที่เยอะที่สุดหากจำนวนที่มากนั้นส่วนใหญ่ออกประจำการที่ซุ้มบริการนักท่องเที่ยวรอบกรุงเทพมหานครแล้ว ดังนั้นส่วนน้อยที่เหลืออยู่ในสำนักงานจึงต้องแบ่งไปทำงานเอกสารด้วย เช่นงามตากับพรรณรายที่ช่วยงานหัวหน้าฝ่ายเป็นหลักมากกว่าออกมายืนต้อนรับนักท่องเที่ยว ส่วนตารางเวรที่งามตากล่าวถึงนั้นคือการทำงานล่วงเวลาในวันธรรมดาและวันหยุดราชการรวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วย ตามปกติหน่วยงานราชการจะทำงานถึงสี่โมงครึ่งแต่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแห่งนี้เปิดต้อนรับผู้มาเยือนไปจนถึงหนึ่งทุ่มตรง ซึ่งนอกจากจะใช้เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์แล้วยังหมุนเวียนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นผลัดเปลี่ยนมาต้อนรับนักท่องเที่ยวบ้างนับเป็นนโยบายที่ดีของผู้บริหารที่ทำให้ทุกคนได้ใช้ทักษะการสื่อสารและการต้อนรับ นอกจากนี้ยังทำให้ทุกคนได้รับเงินค่าล่วงเวลาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันอีกด้วย
“เฮ้อ คนน้อยก็เป็นปัญหา คนมากก็เป็นปัญหา” พงษ์พันธ์กล่าวขึ้นลอยๆ
“แหม ไม่มีหรอกพี่ ทุกคนก็ตั้งใจทำงานกันดี”
“เธอนี่มันโลกสวยนะยัยงาม ไม่รู้เรื่องอะไรกับใครเขาเลย”
เสียงประชดประชันแกมเอ็นดูของอีกฝ่ายทำให้ฉลองขวัญรู้สึกถึงความเป็นคนจิตใจดีของงามตา แต่กระนั้นหญิงสาวก็รู้สึกสงสัยว่าสิ่งที่พงษ์พันธ์กำลังพูดถึงคือเรื่องอะไร เพราะตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่เธอเข้าทำงานที่นี่ฉลองขวัญไม่เคยเห็นมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นปัญหากับการทำงานทั้งนโยบายของผู้บริหารหรือการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเลย
“ไปดีกว่า” พงษ์พันธ์จบการสนทนากับทุกคนหลังจากที่น้องนักศึกษาจัดวางแผ่นพับและนำกล่องเอกสารที่เหลือเก็บเข้าตู้อย่างเรียบร้อย
…………………………..
แดดยามบ่ายเคลื่อนตัวออกจากด้านหลังอาคารริมน้ำทำให้แสงสะท้อนจากเงาน้ำเมื่อยามจ้องมองลดความแรงลง เสียงโทรศัพท์บริเวณโต๊ะข้างๆ เคาน์เตอร์ดังขึ้นแต่วันนี้ฉลองขวัญไม่ต้องวิ่งไปรับสายเช่นเมื่อวานเพราะรุ่นพี่ที่นั่งประจำตรงจุดนี้มาทำงานแล้ว
“ปวดหัว”
“มีอะไรพี่นินท์” ฉลองขวัญหันไปถามพี่นินท์หรือพจนินท์ผู้ที่เพิ่งวางโทรศัพท์ลง
“ไม่มีอะไรหรอกหนู เบื่อคนเกี่ยงงาน” พจนินท์หันไปยุ่งกับการจัดวางเอกสารการท่องเที่ยวที่เธอหาข้อมูลมาเองโดยไม่สนใจใครต่อไป พจนินท์เป็นรุ่นพี่อีกคนหนึ่งที่ฉลองขวัญถูกชะตาและสนิทสนมด้วยอย่างรวดเร็ว สาเหตุหนึ่งก็คือทั้งสองเคยร่วมโรงเรียนเดียวกันมาตอนชั้นมัธยม แม้ว่าไม่สนิทสนมกันมากหากต่างฝ่ายต่างจำได้ว่านี่คือรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมโรงเรียน เมื่อได้มาร่วมงานกันฉลองขวัญพบว่าพจนินท์เป็นคนตั้งใจทำงานมากและเป็นพวกประเภทปิดทองหลังพระเสมอ เพราะเธอไม่ค่อยสุงสิงกับใครประกอบกับเมื่อมีกิจกรรมของหน่วยงานพจนินท์มักไม่เข้าร่วมนักด้วยเหตุผลต้องการอยู่กับครอบครัวมากกว่า แต่เมื่ออยู่ในที่ทำงานไม่ว่างานใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและการจัดงานทั้งด้านท่องเที่ยวรวมถึงศิลปวัฒนธรรม หรือเมื่อมีเอกสารใหม่มาวางเพื่อประชาสัมพันธ์ ฉลองขวัญไม่เคยผิดหวังที่หันไปถามรุ่นพี่คนนี้เลย เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีวิธีไปหาข้อมูลมาก่อนผู้อื่นได้อย่างไร หากทว่านั่นกลับส่งผลดีกับทุกคนที่ทำงานร่วมกับเธอเสมอ
ประตูกระจกใสเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับนักท่องเที่ยวชายหญิงหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ทั้งคู่แต่งกายสุภาพราวกับไม่ได้มาเที่ยวพักผ่อน เนื่องจากปกตินักท่องเที่ยวในย่านนี้ที่ฉลองขวัญต้อนรับมักแต่งกายลำลองด้วยการสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ขาสั้น หากแต่หนุ่มสาวคู่นี้สวมกางเกงขาผ้าลินินขายาว ฝ่ายชายแม้สวมเสื้อยืดหากก็เป็นคอโปโลสีฟ้า ส่วนฝ่ายหญิงสวมเสื้อยืดคอโปโลสีขาวเช่นเดียวกับกางเกง ทั้งคู่มีสีตาเคร่งขรึมเมื่อเดินเข้ามาและได้สนทนากับฉลองขวัญเป็นคนแรก
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ดิฉันช่วยไหมคะ” ฉลองขวัญถามนักท่องเที่ยว
“สวัสดีค่ะ” ฝ่ายหญิงทักทายหญิงสาวพร้อมกับลดแว่นกันแดดลงเผยให้เห็นดวงตาคู่งามสีเทาอมฟ้า
“พวกเราขอสอบถามบางเรื่องหน่อยครับ”
“ได้ค่ะ มีอะไรคะ”
“คือเมื่อสักครู่นี้เราเพิ่งไปร้านจิวเวลรีที่คนขับรถพาไปแล้ว พอกลับออกมาก็สงสัยว่าจะเป็นร้านที่หลอกเราน่ะครับ”
ฉลองขวัญรับฟังอย่างสงบตั้งแต่ได้ยินฝ่ายชายเอ่ยว่าร้านจิวเวลรีแล้ว เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับทุกคนทราบดีถึงอาชีพแอบแฝงที่หลอกลวงนักท่องเที่ยวให้ไปซื้อเครื่องประดับ จากนั้นจะมีบริการจัดส่งของไปยังปลายทางอันเป็นประเทศบ้านเกิดของนักท่องเที่ยวซึ่งต้องทำการชำระเงินที่ร้านก่อน โดยส่วนมากนั้นของไม่ได้ถูกจัดส่งไปแต่หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขากลับไปที่บ้านแล้วไม่พบของที่สั่งซื้อจะดำเนินการต่อไปอย่างไร แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เข้ามาร้องเรียนมักแจ้งเรื่องการที่คนขับรถโดยสารพาเข้าไปร้านจิวเวลรีโดยไม่ได้ร้องขอ หลายคนก็ไม่ได้ซื้อสินค้าซึ่งถือว่าเป็นความโชคดีของเจ้าตัวแต่บางคนที่หลงกลซื้อไปก่อนแล้วกลับมาระแวงทีหลังนั้น โดยมากมักไม่ได้เงินคืนเพราะเมื่อแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการร้านต้นเหตุก็มักปิดไปเสียแล้ว
“คุณมีใบยืนยันการจ่ายหรือใบอะไรที่แสดงที่อยู่ของร้านหรือเปล่าคะ”
“นี่ค่ะ” หญิงสาวยื่นใบเสร็จลายมือที่แสดงที่อยู่ไม่ชัดเจนนักหากแต่ก็อยู่ในละแวกใกล้เคียงนี้ ฉลองขวัญรับมาอ่านอย่างตั้งใจก่อนที่ฉายฉานจะเดินมาสมทบ
“โห จะตามเจอไหมเนี่ยขวัญ”
“นั่นสิคะพี่ฉาย เฮ้อ” หญิงสาวพยายามไม่แสดงสีหน้าเคร่งเครียดหากแต่น้ำเสียงนั้นปกปิดไม่มิด
“เอ่อ ดิฉันแนะนำให้คุณไปแจ้งความนะคะ ไม่ทราบว่าจำทะเบียนรถที่พาไปได้หรือไม่คะ”
“ไม่แน่ใจ แต่จำสีได้ครับ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่พาเขาไปเองขวัญ” ฉายฉานอาสาอย่างแข็งขัน
“จะดีเหรอพี่ ที่สถานีตำรวจคงมีตำรวจพูดภาษาอังกฤษได้อยู่แล้วมั้ง”
“ดีสิ เผื่อกรณีฉุกเฉินเขาโดนหลอกพาไปไหนกันอีกพี่เป็นคนไทยคงไม่มีคนกล้ามากวนหรอก ไม่ต้องห่วงหรอกนินท์ก็อยู่ น้องฝึกงานก็ว่างแล้ว”
“เอางั้นก็ได้พี่ เดี๋ยวเจ้าหน้าคนนี้จะพาคุณไปสถานีตำรวจนะคะ” ท้ายเสียงฉลองขวัญหันไปบอกนักท่องเที่ยวทำให้ทั้งคู่มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
………………………………
ฉายฉานเดินนำนักท่องเที่ยวออกไปนอกอาคารจากนั้นเขาเรียกรถแท็กซี่ไปสถานีตำรวจโดยมีทั้งฉลองขวัญและงามตายืนส่งอยู่หน้าประตูอย่างเอาใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี ความจริงแล้วเรื่องลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเพราะหญิงสาวรู้ล่วงหน้าจากการบอกเล่าของรุ่นพี่รวมทั้งเคยเจอนักท่องเที่ยวบางคนเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับการเดินทางโดยรถบริการที่ต้องใช้ความระมัดระวังอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เมื่อมีโอกาสฉลองขวัญมักเตือนนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เหตุการณ์จริงเกิดขึ้นและมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือ
“ไม่รู้จะเป็นไงมั่งเนอะพี่งาม”
“โอ๊ย เดี๋ยวก็รู้น้องเอ๋ย พี่น่ะเจอมาเยอะ” พจนินท์เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
“มีบ่อยเนอะ แต่ขวัญเพิ่งเจอกับตัวเองครั้งแรกเลย เพิ่งได้เห็นหน้าตาคนโดนหลอกจริงๆ”
“แหม เขาคงไม่ได้อยากโดนแบบนี้หรอกนะขวัญ” งามตาพูดพร้อมทั้งยิ้มในหน้าอย่างเป็นปกติ
“ก็นั่นสิพี่ แบบนี้รู้สึกเสียชื่อประเทศยังไงก็ไม่รู้”
“ไม่เกี่ยวหรอก นักท่องเที่ยวเขาแยกแยะได้ เขารู้ว่าคนดีๆ ในประเทศเราก็มี แต่ตอนนี้คนไทยคงไม่ใช่แค่ใจดีและยิ้มเก่งอย่างเดียว อาจมีเรื่องหลอกเก่งรวมอยู่ด้วย แต่ก็นั่นละ พอหักกลบลบหนี้กันไปเมืองไทยก็ยังน่าเที่ยวอยู่ดี”
“ใช่ นินท์พูดถูก” งามตาเห็นด้วยกับเพื่อนร่วมงานที่พูดจบก็เดินกลับไปนั่งโต๊ะตัวเองอย่างไม่สนใจใคร มีเพียงฉลองขวัญที่ฟังสิ่งที่พจนินท์พูดแล้วทบทวนดูก็พบว่าสิ่งที่พจนินท์พูดนั้นเป็นเรื่องจริงและที่สำคัญน่าสนใจมาก เพราะหากจะว่าไปแล้วการโฆษณาประชาสัมพันธ์เรื่องการท่องเที่ยวในเมืองไทยนั้นแน่นอนว่าต้องนำสิ่งดีของประเทศไปแสดงให้ชาวต่างชาติเห็น หากแต่บางครั้งคนไทยเองก็ลืมตระหนักถึงข้อด้อยอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวได้สัมผัส ฉะนั้นทุกวันนี้เราจึงยังเห็นการโฆษณาในรูปแบบเดิมและเน้นวัด
ความนิยมจากจำนวนปริมาณของนักท่องเที่ยวมากกว่าการเน้นคุณภาพการบริการและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังเคลื่อนเข้าสู่เลขสี่ ประตูกระจกบานยาวก็เปิดออกพร้อมกับฉายฉานเดินเข้ามาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ฉลองขวัญเพิ่งรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเสร็จก่อนหน้าที่ฉายฉานเข้ามาสักครู่ หญิงสาวรีบเดินไปคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ทันทีเนื่องด้วยฉายฉานเป็นเจ้าหน้าต้อนรับคนเดียวที่พูดภาษาจีนกลางได้
“พี่ฉายรู้ไหมเมื่อกี้มีคนจีนมาถามข้อมูลด้วย แต่ก็โชคดีที่ยังพอพูดภาษาอังกฤษได้”
ฉายฉานส่งยิ้มให้รุ่นน้องเมื่อเห็นว่าฉลองขวัญท่าทางกระตือรือร้นทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา เขาเดาว่าเธอคงอยากรู้เรื่องนักท่องเที่ยวที่เขาพาไปสถานีตำรวจ
“เป็นไงบ้างคะพี่ฉาย”
“ก็เรียบร้อยดีนะ แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว”
“ตำรวจว่าไงบ้างล่ะคะ”
“ตำรวจก็เหมือนพวกเราละ ดูไม่ได้ตกใจอะไรนักหรอก แต่ว่าก็ถามข้อมูลอย่างละเอียดดี พี่เลยได้รู้ข้อมูลเพิ่มว่าร้านจิวเวลรีบอกนักท่องเที่ยวว่าจ่ายเงินแล้วจะส่งของไปที่บ้านให้ เนื่องจากการนำเพชรพลอยออกนอกประเทศอาจมีปัญหา”
“มีปัญหาได้ยังไง ก็มีใบซื้อแล้วก็ใบรับรองจากสถาบันที่เชื่อถือได้ก็จบแล้ว” ฉลองขวัญแย้งอย่างคนมีข้อมูล
“ก็ใช่นะ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงเชื่อ อาจเพราะความอยากได้ทับทิมสวยๆ ของไทยก็ได้”
“มันยังมีอยู่อีกเหรอพี่ทับทิมสยามแท้ๆ ห้ากะรัตอย่างที่เขาอยากได้น่ะ” ฉลองขวัญได้ข้อมูลนี้ก่อนที่ฉายฉานจะพานักท่องเที่ยวออกไปสถานีตำรวจ ตอนแรกเธอแปลกใจมากเพราะทับทิมสยามแท้ราคาเพียงหลักแสนไม่น่ามีอยู่
“ก็นั่นละ พี่ถึงบอกว่าความที่เขาอยากได้มันเลยทำให้ลืมเหตุและผลไปจนหมดเลย ตำรวจยังบอกพี่ว่าบางรายก็ได้รับของแต่ว่าคุณภาพไม่ใช่อันเดียวกับตอนที่ซื้อ ส่วนบางรายก็ไม่ได้รับของเลย แต่ทุกคนมักแปลกใจว่าเหตุใดนักท่องเที่ยวเหล่านี้จึงหลงเชื่อคนขายง่ายๆ ซึ่งตำรวจบอกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นจิตวิทยาในการชักจูงและใช้เงื่อนเวลามาเป็นตัวเร่งความอยากในใจ เช่น บอกว่าราคานี้หาซื้อไม่ได้ที่ไหนอีกแล้วและลดเพียงวันนี้วันเดียวเท่านั้น”
“นี่คงเป็นเหตุผลที่ร้านเหล่านี้เปิดและปิดและวนกลับมาเปิดอีกรอบใช่ไหมพี่ เพราะตราบใดที่ทุกคนยังมีกิเลสก็จะมีคนใช้ช่องว่างตรงนี้มาหากินได้เรื่อยๆ”
“นั่นสิ พี่ก็ว่างั้นแหละ”
“เสียดาย”
“เสียดายอะไร” ฉายฉานถามรุ่นน้อง
“ก็ขวัญน่าจะไปด้วย จะได้ไปบอกตำรวจให้จัดการร้านแบบนี้ให้สิ้นซากไปเสียทีไง ไม่รู้ยังกลับมาเปิดอีกได้ไง ทำอย่างกับว่า…”
“ว่าอะไร” ฉายฉานถามกลับทันที
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ทำงานกันต่อดีกว่าเนอะ” หญิงสาวมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายแต่ก็ฝืนยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ ส่วนฉายฉานก็พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับไปยืนหน้าเคาน์เตอร์ประจำการ
…………………….
บรรยากาศหน้าสำนักงานยามเย็นค่อนข้างคึกคักกว่าเดิมเนื่องจากเจ้าหน้าที่หลายส่วนทั้งพนักงานเช่นฉลองขวัญและข้าราชการเริ่มออกมาเดินกันขวักไขว่ ฉลองขวัญก็เช่นคนอื่นคือเตรียมเก็บข้าวของเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่หญิงสาวมักออกเดินทางหลังห้าโมงเย็นอันเป็นเวลาที่การจราจรเบาบางแล้ว
“ขวัญ วันนี้กลับเร็วนะ” เสียงเพื่อนร่วมงานฝ่ายกิจกรรมคนหนึ่งทักทาย ฉลองขวัญเพิ่งสังเกตว่าวันนี้เขาไม่ได้มาทำงานเพราะไม่เห็นหน้าตั้งแต่เช้า แต่ทว่าเขาก็เดินเข้าไปในห้องกิจกรรมอย่างรวดเร็วก่อนที่เธอจะเอ่ยถามเสียอีก
“นั่นไง คิดอยู่แล้วว่าวันนี้ไม่มา นี่สงสัยเข้ามาเซ็นโอที” พงษ์พันธ์จับผิดเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องที่เพิ่งเดินลับเข้าไปด้านใน
“ขวัญไม่สังเกตเลยนะพี่ว่าเขาไม่มา”
“เนี่ย เดี๋ยวพอไปถามมันก็ต้องบอกว่าไปประชุมกับหัวหน้าแน่นอน จริงๆ แล้วนะไม่เคยเข้าหรอก ฮึ เซ็ง”
“ใจเย็นๆ ค่ะพี่ ไปๆ กลับบ้านกันดีกว่า” ฉลองขวัญไกล่เกลี่ยบรรยากาศที่เริ่มขุ่นมัว เธอเดินออกจากอาคารสำนักงานพร้อมกับเพื่อนๆ สองสามคนเมื่อตอนห้าโมงครึ่ง
“พี่พอล ขวัญไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกันนะคะพี่”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันจะแวะกินข้าวแถวถนนข้าวสารกับพี่พรรณ เธอไม่ไปด้วยกันแน่นะ”
“วันนี้ต้องขอตัวก่อนพี่ คุณยายขวัญไม่ค่อยสบายช่วงนี้เลยรีบกลับไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”
“จ้ะ หลานกตัญญู เดี๋ยวสิ้นปีพวกฉันจะทำโล่ให้นะ” พงษ์พันธ์ส่งเสียงล้อเลียนก่อนฉลองขวัญเคลื่อนรถออกไป
“ไป พวกเราไปกันเถอะ อยากกินพิซซ่ามาหลายวันแล้ว”
พงษ์พันธ์หรือพี่พอลของน้องๆ เดินนำกลุ่มเพื่อนไปก่อนใครโดยมีพรพรรณเดินตาม ส่วนงามตาและฉายฉานนั้นเดินรั้งท้ายอย่างสบายอารมณ์ ทั้งหมดลัดเลาะไปตามตรอกซอยเล็กที่มุ่งหน้าสู่ถนนข้าวสารที่กลายมาเป็นแหล่งบันเทิงยามเย็นของชาวต่างชาติที่มีทั้งที่พักราคาย่อมเยาว์และร้านอาหารหลากหลายสัญชาติให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ลิ้มลอง
ฉลองขวัญที่มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่เพื่อกลับไปหาครอบครัวพลางคิดถึงประวัติถนนข้าวสารที่เพิ่งได้อ่านมาว่าก่อนหน้าที่ถนนแห่งนี้จะเลื่องชื่อลือนามในระดับนานาชาตินั้น ถนนข้าวสารเดิมเรียกตรอกข้าวสาร ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตัดถนนตรอกข้าวสารมาทางตะวันออกตามตรอกข้าวสารแล้วสร้างสะพานข้ามคลองมาบรรจบกับถนนเฟื่องนครตอนหน้าสวนหลวงตึกดิน จากนั้นได้พระราชทานนามถนนตามเดิมว่า ‘ถนนข้าวสาร’ ซึ่งถือเป็นย่านการค้าเนื่องจากเป็นแหล่งค้าข้าวสารที่เลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาขึ้นเรือที่ท่าบางลำพูเพื่อนำมาขายแก่ชาวบ้านในชุมชนแถบนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในย่านเศรษฐกิจในอดีต ต่อมาชุมชนบริเวณนี้ก็ขยับขยายกลายเป็นมีร้านรวงต่างๆ มากมาย กระทั่งช่วงปีที่กรุงเทพมหานครอายุครบ 200 ปี ก็มีทั้งนักท่องเที่ยวและทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์ จึงเริ่มเป็นที่มาของการเปิดบ้านให้เช่าซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแหล่งรวมเกสต์เฮาส์และสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่คึกคักย่านหนึ่งในเมืองไทยนั่นเอง