แก้วฟ้าล้ง บทที่ 2 : สัญญาเก่า
โดย : มาลา คำจันทร์
แก้วฟ้าล้ง โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราวการรอคอยคนรักให้กลับคืนมาเพื่อชดใช้หนี้กรรม หนี้ความรักที่ผูกพันมาแต่ชาติปางก่อน หากแต่เวลาแห่งการรอคอย จะแลกด้วยชีวิตของชายทุกคนที่นางจะกลืนกินจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะกลับมา “แก้วฟ้าล้ง” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
เหล้ายาดองพร่องลงไปมาก คำสอนกับเพื่อนบ้านห้าหกคนคงพ้นเขตรั้วบ้านไปแล้ว แต่คำสียังนั่งอยู่ที่เดิม คำสอนเป็นกำนัน คำสีเป็นพ่อเลี้ยง คำสอนกับคำสีเป็นหลานปู่คนเดียวกันคือพ่อกำนันคำปัน พ่อกำนันคำปันมีลูกชายสองคนคือพ่อกำนันคำสมกับพ่อเลี้ยงคำแสน พ่อกำนันคำสมมีลูกชายชื่อพ่อกำนันคำสอน พ่อเลี้ยงคำแสนมีลูกชายชื่อพ่อเลี้ยงคำสี
คำแสนเป็นน้องคำสม ไม่ได้สืบเรือนพญาอันเป็นเรือนประจำตำแหน่งกำนัน เรือนพญาสร้างมาแต่สมัยหมื่นคำตวง เจ้าหลวงพระราชทานทรัพย์สินส่วนพระองค์มาให้สร้างเรือนพญาเอาไว้เป็นที่อยู่และที่ทำงานของพ่อแฅว่นพ่อแคว้นซึ่งสมัยต่อมาเรียกว่ากำนัน ไม่ได้ให้สร้างไว้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว คำแสนไม่ได้สืบเรือนพญา จึงมุมานะสร้างเรือนหลวงขึ้นมาให้ใหญ่เท่าเรือนพญา คำแสนทำได้สำเร็จแต่ก็ไม่มีใครเรียกว่าเรือนพญา เรียกกันว่าเรือนหลวง
คำแสนมีลูกชายคนเดียวคือคำสี คำสีสืบต่ออาชีพพ่อค้างัวต่างค้าขายระหว่างเมืองต่อจากคำแสน สืบต่อเรือนหลวงมาจากคำแสน คำแสนเป็นผู้สร้างเรือนแต่ไม่ยอมตายบนเรือนหลังนี้ หนีไปตายยังเรือนน้อยท้ายสวน ต่อมาภายหลังในวัยที่ผมเริ่มหงอกแซมดำ คำสีสืบรู้ความลับบางอย่างแต่ก็กระท่อนกระแท่นไม่ชัดเจนนัก มันเหมือนมีอาเพศอาถรรพณ์แฝงอยู่กับเรือนหลวงหลังนี้
ยาดองพร่องลงไปมากแล้ว แต่ฝาโหลยังเปิดอยู่ ต้องเอียงโหลก่อน ถึงจะเอากระบวยน้อยจ้วงยาดองออกมาได้
“พอเถอะ พ่อไอ้หล้า สูกินเหล้านักแล้ว กินข้าวบ้างเถอะ”
“มันกินบ่ลง”
“ทีเหล้ายังกินลง”
“อันนี้บ่ฮ้องว่ากิน ฮ้องว่ากลืน”
“ฮึ”
แม่ไอ้หล้าค้อน บิดแขนผัวหมับหนึ่งแล้วเอาฝาปิดปากโหลยาดอง ยกไปเก็บชั่วคราวที่ร้านน้ำปลายชาน แล้วกลับมาแหมะก้นบนยกพื้นกลางชาน
“สูกับแสงดาวกินเสีย แม่ไอ้หล้า บ่ต้องรอข้า”
“สูบ่กิน ข้าก็บ่กิน”
“งั้น…” ผู้มั่งคั่งมั่นคงชื่อคำสีถอนใจ ยกยาดองจอกสุดท้ายจ่อปาก กลืนลงคอแล้ววางลง “ยกขันโตกมา”
“แสงดาวยกขันโตกออกมา” อุ่นเฮือนบอกลูกสาวแล้วหันมาทางผัว “สูเองก็จะไปตามหามันหรือ พ่อไอ้หล้า”
“ข้าเป็นพ่อมัน”
“แต่สูหกสิบแล้ว ผมหงอกแล้ว”
“หงอกพ่อง ดำพ่อง” หยอกเอินเมียว่าหงอกบ้างดำบ้าง “เอาเมียใหม่ได้อีกหลายคน”
“สะหลิดบ่ดี” นางค้อน สะหลิดบ่ดีหมายถึงประพฤติไม่เหมาะสม “ฟังคำข้า เมียเดียวที่พ่อแม่สู่ขอเอาข้ามาสู่เรือน สูวันนี้บ่แม่นเมื่อสิบปีก่อน กำลังวังชาถอยลด หูตาก็ใช่จะแหลมคมเหมือนเก่า อย่าไปเลย ลูกน้องกำนัน ลูกน้องสูเต็มบ้าน ชี้เอาคนผู้ใดก็ได้ แต่สูอย่าไป”
“กลัวได้เป็นม่ายเมื่อแก่หรือ”
สิ้นคำผัว นางลุกขึ้นตีหัวไหล่ผัวดังฉาด
ไม่ใช่ใส่จริตหรือทำร้าย แต่เป็นการแก้เคล็ด
นางกลัวจะเป็นลางร้าย
อดไม่ได้ นางมองไปยังถิ่นแถวแนวดอยทางตะวันตกติดเขตประเทศเพื่อนบ้าน ดงดอยด้านนั้นเขาเรียกกันว่าดงนางแก้ว นางเป็นยักษ์
สองสามวันก่อนเมื่อเพื่อนไอ้หล้าขับรถเข้ามาในเขตเรือนหลังหลวง นางมองเห็น
เห็นแม่ยักษ์เฒ่าผีร้ายลุกมา
ลงจากเรือนหลังใหญ่เมื่อตะวันหลับตามิด แสงแก้วไม่วกกลับทางเดิมสู่เรือนตน แต่ข้ามซอยไปอีกฟาก เดินอีกเล็กน้อยก็ตัดเข้าซอยเล็กไปทะลุหน้าวัด มีเรื่องคับข้องใจเมื่อไรก็มักนึกหาท่านเป็นคนแรกทุกที
“ครูบา”
สิบเจ็ดปีก่อน ตอนนั้นอายุสิบขวบ เข้าสู่ผ้าเหลืองปีแรก ท่านก็เป็นอย่างนี้แล้ว ไม่ลุกลนลวกร้อน เนิบๆ ช้าๆ เย็นๆ เป็นพระผู้เฒ่าผู้แก่ คนไหว้สาทั้งบ้าน อาจทั้งตำบลด้วยซ้ำหรือข้ามตำบลด้วยซ้ำ
มืดค่ำหมดแล้ว เดือนแก้วดับแสง เดือนจะออกก็ต่อเมื่อใกล้รุ่ง แต่ดาวยังดื่นดวงช่วงโชติ ดาวส่องบนฟ้า ไฟส่องบนดิน แสงไฟวอมแวมจากตะเกียงกระป๋องบ้าง ไต้บ้าง เทียนบ้าง ไฟเรือนไฟลานบ้าง ประเทศชาติบ้านเมืองสมัยนั้นเขื่อนยันฮีสร้างเสร็จหลายปีแล้ว แต่ไฟฟ้ายังเดินทางมาไม่ถึงตำบลสันป่าเหมือด หลังตะวันลับจึงไม่มีแสงสีวิทยาศาสตร์ใดๆ นอกจากแสงดาวแสงเดือนเพื่อนฟ้า
ไกลไปโพ้น ภูดอยด้านดงนางแก้วทอดทะมืนห่างไกล นางอาดูรเดียวดาย นอนหงายแหงนหน้าก้องกู่สู่ฟ้า
อ้ายฟ้าล้ง…
ลมแรงมาก ลมลากเอาเปลวไฟไหวเอนลงต่ำ ตีไฟกองใหญ่ข่มขู่เสือสางสัตว์ร้าย หนุ่มสาวสามคนนั่งรอบกองไฟไม่สบายปลอดโปร่งนัก ตกน้ำตกท่า ไม่ใช่… น้ำป่าท่วมลบกลบกลืนหนีแทบไม่ทัน ฟ้าลั่นทันรู้ตัวก่อนเพื่อน ตะโกนปลุกทุกคนว่าน้ำมา คว้าเป้คว้าปืนได้ก็พุ่งพรวดออกจากเต็นท์ รุ่งรวีตัวเล็กที่สุดในกลุ่มแต่กลับตามติดออกมาเป็นคนที่สอง ไม่ทันดูแล้ว น้ำมาถึงแล้ว คว้าแขนเธอได้ก็ลากขึ้นเนิน วันปิยะตามมา แต่ภูษิตกับชลลดาดิ้นเดือกเสือกสนหายไปในสายน้ำ
ภูษิตเป็นผู้ชาย ผ่านหลักสูตรลูกเสือเอกเหมือนเขากับวันปิยะ ถึงจะตัวเล็กกว่าเพื่อนแต่ร่างกายก็แข็งแรงพอเพียง คงเอาตัวรอดได้สบาย
ห่วงแต่ชลลดา
รูปร่างอาจสูงใหญ่กว่ารุ่งรวี แต่ท่าทางกรุยกรายฉายโฉบเป็นสาวสำอางโฉม ชวนให้คิดไปว่าน่าจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“มึงเคยพบแฟนไอ้ษิตมาก่อนไหม ไอ้ยะ”
“เพิ่งเคยเห็นหน้าก็ครั้งนี้ ไอ้ษิตมันโอ่ๆ อยู่เหมือนกันว่ามีแฟนแล้ว แต่กูเพิ่งเคยเห็น”
“เห็นว่าเรียนอยู่การช่างหญิง” รุ่งรวีนึกไปถึงถ้อยคำพูดคุยกันคืนแรกที่บ้านของฟ้าลั่น “อยู่ปีหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยเรียนพาณิชย์มาก่อนแต่ไม่ชอบเลยลาออก”
“เป็นสาวพาณิชย์มาก่อนหรือ มิน่า…มิน่า”
“มิน่าอะไร ฟ้าลั่น”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
อุบอำงำความไว้เสีย ถ้อยคำบางอย่างไม่สะดวกปากจะพูดจาต่อหน้าผู้หญิง เขาเองกับรุ่งรวีไม่สนิทกันนัก รู้แต่ว่าเธอเป็นญาติผู้น้องของวันปิยะ เรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด เขาเอง วันปิยะและภูษิตก็เรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนชายประจำจังหวัด
ท้องร้องอยู่จ๊อก ๆ กินไม่อิ่มไม่เต็มมาแต่มื้อแรกของวัน ข้าวปลาอาหาร ข้าวสารข้าวสุกที่เมียพ่อหลวงเทศบ้านห้วยเขาะจัดให้หายไปกับสายน้ำ โชคยังดีอยู่บ้างที่ขนมไข่ขนมปัง ของกินจุบๆ จิบๆ ของรุ่งรวีมีกระดาษแก้วห่อหุ้มจึงไม่เปียกยุ่ยเละเทะ พอได้กล้ำกลืนปะทะปะทังกันไป ก็ใครจะไปรู้ได้เล่า หัวค่ำลมพัดโกรกเย็นสบาย ดาวขึ้นเต็มฟ้า ฟ้าร้องครางครืนอยู่บ้างแต่ห่างไกลมาก กินเหล้าเมามึน ตกดึกน้ำเหนือกลับกระโจนคึกๆ เหมือนกองทัพม้าพุ่งมา แล้วน้ำก็กรากกลบลบทั้งเต็นท์พักนอนและข้าวของที่ขนกันมา
“ความผิดเราเอง” ลูกชายผู้มั่งคั่งถอนใจยาว “ขอโทษนะ ขอโทษจากใจจริง ประมาทเกินไป กางเต็นท์ริมห้วย”
“หากผิดก็ผิดร่วมกัน”ลูกชายเจ้าของโรงบ่มใบยาสูบมองมามองไป “เราเองก็มีส่วนตัดสินใจ แต่…ใครจะไปนึกรู้ ยังไม่เข้าหน้าฝน ฝนดันตกหนักเหมือนฟ้ารั่ว ฝนห่าเดียวน้ำป่าทะลักเหมือนเขื่อนแตก บุญเท่าไรแล้ววะไม่มีใครแขนหักขาหัก ห่วงแต่ไอ้ษิตกับชลลดา เป็นไงบ้างไม่รู้”
“ภูษิตไม่เท่าไร อย่างน้อยก็เป็นผู้ชาย” สาวร่างบางเริ่มเอาเส้นด้ายพันนิ้วมือ “แต่ชลลดา…”
นั่งอยู่นิ่งๆ แต่หัวจิตหัวใจไม่ยอมหยุดนิ่ง จะเข้าคืนแล้ว จะอีกกี่วันกี่คืนกันยังไม่รู้ หิวก็สุดจะหิว หิวแหบแสบท้องแทบหมดแรง กลัวก็สุดจะกลัว ไม่เคยกลัวเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต
“ฟ้าลั่น….”
มีแต่เสียงลั่นๆ ๆ ๆ ๆ อื้ออึงสะท้อนกลับ เรียกหาชื่ออื่น ไม่ว่าจะเป็นภูษิต รุ่งรวีหรือวันปิยะแต่ไม่เคยมีเสียงขานรับ ฟ้าลั่นดูจะเป็นเสาหลักให้เกาะยึดได้ดีที่สุดเพราะสูงใหญ่แข็งแรงที่สุด เป็นเจ้าถิ่นเจ้าที่คุ้นเคยป่าดงพงพียิ่งกว่าวันปิยะกับภูษิตรวมกันเสียอีก
ข้อสำคัญ ฟ้าลั่นหล่อ หรู เท่ ร่ำรวยจริงๆ
เรียกหา กู่ร้องจนคอจะแตก ไม่มีเสียงตอบรับเลย เหมือนจะโดนฝ่าตีนเท่าบานประตูกระทืบตายกันหมดแล้ว มีแต่ตนที่กระเสือกกระสนพลิกกลิ้งลงห้วยได้หวุดหวิด
“แม่ขา…”
ซบหน้ากับฝ่ามือ ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลแล้ว คิดถึงแม่ขึ้นมา แม่จ๋า ทำไมไม่กลับมาหาหนู หนูอยากให้แม่กอด หนูอยากกอดแม่
กะปลกกะเปลี้ย สะบักสะบอมบอบช้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจ หิวแหบแสบท้องผ่อนคลายลง เพราะอะไรไม่รู้ ไม่อยากคิด อยากรู้แต่ไม่ชอบคิด จะถามไถ่ใครได้ตอนนี้ น้ำซัดตูมเดียวแตกกระเจิง จมน้ำ เดี๋ยวคว่ำเดี๋ยวหงาย ว่ายน้ำไม่เป็น สำลักน้ำจนพุงกาง นึกว่าจะตายในน้ำเสียแล้วแต่รอดออกมาได้เหมือนปาฏิหาริย์ ซมซานควานหาหมู่ฝูง สมเพชเวทนาตัวเอง
ทำไมกูต้องต้องมาตกระกำลำบากถึงขนาดนี้ ทำไมเสี่ยปิงเสี่ยพงศ์ไม่ส่งเสียกูเรียนจนจบแล้วค่อยจากไปหรือไม่ก็รอกูหาเสี่ยใหม่พบก่อนแล้วค่อยไปได้หรือ
หลับตาลง แต่หลับตาคราวไรก็เหมือนมีเท้าใหญ่กว่ากระด้งไล่กระทืบ
ร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง เรียกหาไม่รู้กี่หน ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ฉันกลัว ฉันทำผิดอะไร ทำไมเท้าใหญ่อย่างเท้ายักษ์ไล่กระทืบฉัน คนอื่นโดนกันบ้างไหม ฉันผิดอะไร ฉันไม่ผิดนะ ฉันแค่คิด…คิดไม่ดีบ้างเท่านั้นเอง แต่ฉันไม่เคยด่าใคร ไม่เคยทำร้ายใครนะ
สะบัดหัว ไม่อยากคิดต่อ ไม่อยากคิดอะไรแล้ว ไม่อยากคิดอะไรเลย อยากกอดแม่ อยากให้แม่กอด อยากกลับบ้าน แต่บ้านที่จะให้กลับ…
กลับไม่มี
ภูษิตเลาะล่องท่องลงมาตามแนวลำห้วย สอดส่ายสายตามองตามตลิ่ง ไม่พบร่องรอยใครเลย ไม่ว่าฟ้าลั่น วันปิยะ ชลลดาหรือรุ่งรวี น้ำซัดตูมเดียว กวาดทุกอย่างลงห้วย ห่วงชลลดา กำลังคบหาจีบเธอเป็นแฟน เธอโดนน้ำกวาดไปก่อน เขาคว้าแขนแต่คว้าไม่ติด เธอจมหายไปต่อหน้าต่อตา เขาพุ่งตัวตาม น้ำฟาดน้ำฟัดตูมตามแตกก้อง ผลุบๆ โผล่ๆ จมๆ ฟูๆ พยายามประคับประคองตัวให้ดีที่สุด ขึ้นฝั่งได้ก็หมดแรง เหมือนจะหลับไปเลย
สะบักสะบอม ถลอกปอกเปิก ก็ยังดีที่แขนขาไม่หัก ไม่บาดเจ็บอะไรมากมายแต่ถลอกปอกเปิกมีบ้างห่วงแต่เธอ คนอื่นๆดูเหมือนปลอดภัยกันหมดแล้ว หนีน้ำขึ้นตลิ่งทัน แต่ชลลดาช้าที่สุด เขาเองหากจะเอาตัวรอดแต่เพียงลำพังก็พอได้ แต่เธอ…เธอผู้ที่เขากำลังจีบเป็นแฟน จะทิ้งขว้างได้อย่างไร
“วู้”
ป้องปากกู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไร้เสียงตอบรับ เป็นไปไม่ได้ น้ำซัดเขาห่างจากกลุ่มเพื่อนร่วมสิบกิโลเชียวหรือถึงไม่ได้ยินเสียงของกันและกัน พวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เกาะกลุ่มกันอยู่ หรือกระจัดกระจายจากกันไปคนละทิศละทาง
“พ่อ แม่”
ยกมือจบ สูดลมหายใจลึกๆ พ่อกับแม่อย่าห่วงษิต พ่อแม่รักษิต ษิตก็รักพ่อรักแม่ ษิตกลับไปหาพ่อกับแม่ได้แน่ ษิตเชื่อมั่น
ว้าเหว่อยู่บ้าง แต่ไม่ว้าวุ่น เรียนร.ด.ยังไม่จบ แต่อย่างน้อยกูก็จบลูกเสือเอกละวะ วิชาดิ้นรนเอาตัวรอดในป่าครูก็สอนไว้เยอะแยะ กูไม่ตายหรอก แต่ไม่รู้มีใครตายหรือไม่
“วู้”
ก็ยังไร้เสียงตอบรับ ไม่มีแม้เสียงก้องกลับด้วยซ้ำ ดงดอยหนาแน่น ไม่มีช่องว่างให้เสียงเดินทางไป กระทบวัตถุใหญ่ๆ อย่างหน้าผาแล้วสะท้อนกลับ หิวขึ้นมา เสาะหาของกินได้ตามธรรมชาติก่อน ขนมไข่ขนมปังนั่นนี่เก็บไว้ก่อน กระทั่งเย็นก็ยังหาใครไม่พบสักคน ปลุกปลอบตัวเองให้เข้มแข็ง ก่อไฟ ใช้ความรู้ในวิชาลูกเสือมากกว่าใช้ประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน เข้ามาเรียนหนังสือในเมืองตั้งแต่มัธยมต้น อยู่หอพักเรื่อยมา เสาร์อาทิตย์พ่อเอามอเตอร์ไซค์เข้ามารับกลับบ้าน ปิดเทอมถึงจะได้อยู่บ้านนานยาวกับพ่อแม่
“โตขึ้นษิตจะเป็นอะไร”
จะเป็นครู เหมือนพ่อเหมือนแม่”
“อย่าเป็นครูเลยลูก งานหนัก เงินเดือนน้อย ษิตต้องเป็นหมอ หรืออย่างน้อยก็วิศวกร ไม่ต้องมาลำบากอย่างพ่อกับแม่”
“พอแม่มีเงินพอหรือ”
“พ่อกับแม่มีเงินเดือน”
“ข้าขอถามสักคำเถอะครูบา ทำไมต้องเป็นข้า ข้าผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยไอ้หล้าออกมาได้”
“ไผบอกมึง”
“พ่อเลี้ยงบอก”
“พ่อเลี้ยงบอกก็ควรไปถามพ่อเลี้ยง มาถามหยังกับครูบา”
“พ่อเลี้ยงว่าพ่อเจ้าสายฟ้าม้านบอก”
“มึงก็ไปถามพ่อเจ้าสายฟ้าม้าน ครูบาเป็นตุ๊เจ้า บ่แม่นพ่อเจ้า”
เณรอยู่รับใช้ใฝ่เฝ้าหัวเราะคิกคัก คนผู้เคยเป็นเณรรับใช้รุ่นพี่วุ่นวายใจ หันไปถลึงตาใส่ เณรรุ่นน้องจึงหยุด เณรสองสามรูปเล่าขานอ่านท่องพระธรรมคำสอนอยู่แจ้วๆ อยู่ที่โถงกุฏิ ตุ๊ลุงรองเจ้าอาวาสอยู่ในห้องส่วนตัวของท่าน หวนนึกถึงความเก่าความหลังครั้งยังห่มดองครองผ้าเหลือง ไม่อยากสึกเลย แต่มันจำเป็น
“ข้าขอถามอีกคำ อ้ายฟ้าล้งเป็นไผ”
“หือ… เอ็งเอาที่ไหนมาพูด อ้ายฟ้าล้ง”
“มันค้างคาใจข้าเมินนานนัก ครูบาเจ้า” ยกมือพนม สีหน้าเหมือนมีอาการอึดอัดขัดข้อง “หลายปีก่อนโน้น ย้อนไปแต่เมื่อข้าเป็นเณรโคร่งใกล้อุปสมบท เวลาเข้าสมาธิไปลึกๆ จะมีเสียงหนึ่งดังเข้าหูข้าว่าอ้ายฟ้าล้ง”
“อาจจะเป็นสัญญาเก่า ความจำได้หมายรู้เก่าแก่ดั้งเดิม อาจติดมาแต่ชาติเก่าชาติหลังล่วงแล้ว เอ็งบำเพ็ญมาแล้วหลายชาติ ไอ้หนาน”
“บำเพ็ญอะหยัง”
“โพธิจิต อือ…” ท่านหลับตาลงเล็กน้อยแล้วลืมขึ้น “ บางที บางทีเท่านั้นนะไอ้หนาน อาจเป็นเอ็งนี่แล้ว…”
“เป็นข้า? ข้าเป็นอะไร”
“ครูบาเองบ่ยังบ่แจ่มบ่แจ้งดีนัก ออกปากไปก็บ่ดี จะผิดศีล ว่าแต่เอ็งเถิด ท่านออกปากร้องขอเป็นคำอันอ่อนถึงขนาดนี้ ไม่เคยมีมาก่อนว่าพ่อเลี้ยงจะอ่อนง้อขอไผ ไม่ควรขัดขืนท่าน”
“ข้ากลัวตาย”
“ครูบาก็กลัวตาย”
“อ้าว…”
“กลัวก็ตาย บ่กลัวก็ตาย ถึงที่ตาย อยู่ไหนก็ตาย บ่ถึงที่ตาย อยู่ไหนก็บ่ตาย คนเฮาเกิดหลายหนตายหลายหน เกิดหลายชาติ ตายหลายชาติ ตายเพื่อเกิด เกิดเพื่อตาย ตายดีก็ได้เกิดดี ตายฮ้ายก็ได้เกิดฮ้าย แต่นางแก้วตายฮ้าย…
“นางตายอย่างใด ครูบาเจ้า”
“นางปาดคอตาย”