แก้วฟ้าล้ง บทที่ 3 : ไอ้หล้าฟ้าลั่น

แก้วฟ้าล้ง บทที่ 3 : ไอ้หล้าฟ้าลั่น

โดย : มาลา คำจันทร์

แก้วฟ้าล้ง โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราวการรอคอยคนรักให้กลับคืนมาเพื่อชดใช้หนี้กรรม หนี้ความรักที่ผูกพันมาแต่ชาติปางก่อน หากแต่เวลาแห่งการรอคอย จะแลกด้วยชีวิตของชายทุกคนที่นางจะกลืนกินจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะกลับมา “แก้วฟ้าล้ง” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

ฟ้าลั่นลูบเช็ดลำกล้องลูกซองเดี่ยวจนแวววับ ยกส่องเล็งแลกับกองไฟจนพอใจ เอาใส่ซองหนังแล้ววางพิงกับโขดหิน รุ่งรวีรวบผมให้เข้าที่แล้วเอายางยืดรัดไว้ที่ท้ายทอย วันปิยะเอาปืนกระบอกใหม่พ่อเพิ่งได้มาไม่นานออกมาตรวจตราบ้าง ยังไม่คล่อง เพิ่งเคยลองครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง ลองแต่เป้านิ่ง ตัววิ่งตัวไหวยังไม่เคยลอง กะว่าเข้าป่าคงได้นั่งห้างกับเพื่อน เพิ่มพูนประสบการณ์ป่าดงพงพีเป็นชายชาตรีเชี่ยวชาญหาญกล้า แต่ว่าทุกอย่างไม่เป็นไปดังใจคิด รุ่มร่ามรุงรังเพราะรุ่งรวียืนยันจะมาด้วยให้ได้  หนักไปกว่านั้น ภูษิตดันหนีบเอาชลลดาพ่วงเข้ามาอีกคน

ไฟยังลุกแรงดีอยู่ ก่อไว้กองเดียว สองกองสามกองไม่จำเป็น ฟ้าลั่นให้ความมั่นใจกับเพื่อนชาวเมืองทั้งสอง เขาเองแม้เข้าไปเรียนในเมืองตั้งแต่จบป.๔ แต่ใช่ว่าจะอยู่แต่ในเมืองตลอดปีตลอดชาติ ปิดเทอมก็กลับบ้าน หยุดยาวก็กลับบ้าน ติดสอยห้อยตามพี่เขยขึ้นห้างส่องสัตว์ไม่รู้กี่สิบครั้งสิบหน อยู่ป.๗ ไรหนวดยังไม่ขึ้นเขียวดี ก็ยิงเก้งตัวแรกได้แล้ว

อยู่ม.ศ.๒ ไร อายุราวสิบห้า ก็ได้นอนสาวแล้ว

มีเสียงคำรามกระหึ่มดังมาแต่ไกล ฟ้าลั่นไหวตัวเร็วที่สุด แต่ไม่ทันขยับตัวก็มีอีกเสียงแทรกซ้อน เหมือนกวางหรือเก้งตระหนกผกเผ่น สาวไว้ผมหางม้าเอื้อมมือไปกุมแขนญาติผู้พี่เหมือนยึดเอาเป็นที่พึ่ง วันปิยะตบต้นแขนเบาๆเหมือนให้กำลังใจ

“ไม่มีอะไร” เขาปลอบ “เสือล่ากวาง ไม่เกี่ยวกับเรา”

“เสือกรู้ด้วย ไอ้ยะ” ฟ้าลั่นวางปืน เอามือควานกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ต “นึกว่าจะเก่งแต่เตะบอล”

“กูอ่านเพชรพระอุมา สนุกมากนะมึง เคยอ่านไหม”

“กูไม่ชอบอ่านหนังสือ”

“แล้วมึงชอบอะไร”

“ปืน…แล้วก็…”ลดเสียงลง ชำเลืองไปทางสาวผมม้าหน้ายังใสเหมือนเด็กม.ศ.๓ “ผู้หญิง”

“อย่านะโว้ย นี่น้องกู”

“กูรู้ กูรับรองได้ไอ้ยะ กูไม่คิดอย่างนั้นกับน้องเพื่อนเด็ดขาด”

ล้วงเอาบุหรี่มาจุด เลียนมาดเท่ๆ ของดาราวัยรุ่นหนังฝรั่ง วันปิยะยื่นมือเข้าหา

“กูขอด้วย”

“ไม่ติดก็อย่าสูบเลยวะ เปลือง”

ลูกชายเจ้าของโรงบ่มใบยามองลูกสาวอาจารย์วิทยาลัยครูแล้วตีหน้าอ้อนว่าอย่าบอกแม่นะ สาวน้อยหน้าใสพยักหน้า ก็พอจะรับได้ว่า พวกผู้ชายเข้าสู่วัยหนุ่มมักริสูบบุหรี่ พี่ชายเธอก็เป็น

เอาเส้นด้ายพันนิ้วมือ เอาเข็มจิ้ม เสียงเสือสางช้างร้ายเงียบหายไปหมดแล้ว ขอให้เป็นคืนสุดท้ายเถิด ขอให้พบเพื่อนอีกสองคนในวันพรุ่งนี้เถิด พบแล้วออกป่าไปเลย ไม่อยากยุ่งอะไรด้วยแล้ว ป่าดึกดงดำ เพิ่งครั้งแรกก็โดนแล้ว รุนแรงมาก  น้ำป่ามาแรง ไหลหลากถากเชี่ยว ไม่ใช่หน้าฝน แต่ฝนตกหนักได้อย่างไร

นึกไปถึงเรื่องราวเล่าขานผ่านปากตายาย เวลาเข้าป่า ชาวบ้านถือสาที่สุดเรื่องขึด

ขึดคือข้อห้าม

ขึดข้อร้ายแรงที่สุดคือการประกอบกิจหญิงชาย

อาจจะเป็นชลลดากับภูษิต

หรือฟ้าลั่นกับชลลดา

อาจเป็นไปได้ ฟ้าลั่นรูปหล่อ ปราดเปรียว มีแรงดึงดูดทางเพศรุนแรง เธอเองยังยอมรับเลยว่าแอบชอบ ก็แค่แอบชอบเท่านั้นนะ ไม่เคยคิดจะเข้าไปเกาะแกะเกี่ยวพัน คนอย่างฟ้าลั่นไวไฟ เข้าใกล้อันตราย

ส่วนชลลดา…ไม่รู้สิ ไม่ชอบเลย ดูดัดจริต จัดจ้าน ทำตัวอ้อยอิ่งสำอาง ชอบอ่อยผู้ชาย

 

ออกจากวัดกลับมาถึงบ้าน แม่กับยาย กับเมียสาวพ่อเลี้ยงปันให้ยังรอกินข้าวอยู่ แม่เป็นหม้ายมาสี่ปี ส่วนเขาเองสึกออกมาได้สามปี แต่แรกก็คิดว่าจะอยู่ในผ้าเหลืองไปเรื่อย ๆ เพราะมีความสุขสงบร่มเย็นดี แต่กลับต้องสึกออกมาเพราะพ่อหมดบุญกระทันหัน   ส่วนบุญทองน้องถัดออกเรือนไปเป็นเขยเรือนอื่นก่อนหน้านั้น ไม่มีใครใฝ่เฝ้าปกป้องแม่และยายกับน้องสาวคนเล็กจึงต้องสึกออกมา

อยู่มาวันหนึ่ง สักครึ่งปีผ่านมานี่เอง พ่อเลี้ยงก็ให้ลุงน้อยทัดมาเรียกตนไปพบ

“พ่อเลี้ยงจะหื้อข้าเยียะหยังกา?” แสงแก้วถามว่าจะให้ทำอะไรหรือ “จึงบอกหื้อข้ามาหา”

“อยากได้เมียไหม ไอ้หนาน”

“อยากกลับเข้าวัดมากกว่า แต่กลับเข้าไป บ่มีไผเลี้ยงแม่กับยาย”

 “ถามว่าอยากได้เมียไหม บ่ได้ถามว่าอยากกลับเข้าวัดไหม”

“ก็…ก็อยากได้อยู่เหมือนกัน แต่ไปเป็นเขยเรือนอื่น แล้วไผจะมาเลี้ยงแม่กับยายข้า”

 “บ่ต้องไปเป็นเขยเรือนอื่น แต่พ่อเลี้ยงจะหาลูกสะใภ้เข้าเฮือนแก่แม่เอ็ง บัวหอม ออกมานี่”

ท่านหันไปทางตัวเรือน สาวน้อยนางหนึ่งออกมา นั่งก้มหน้างุดๆ อยู่ตรงพื้นชาน

“พ่อเลี้ยงจะให้เอ็งไปเป็นลูกใภ้อี่คำแผ้ว เป็นเมียไอ้หนานแก้วผู้นี้ เอ็งจะว่าอย่างใด”

“บ่ว่าอย่างใด”บัวหอมหันหน้ามามองเขาแวบหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้น แล้วก้มหน้าลงตามเดิม “แล้วแต่พ่อเลี้ยง”

“เอ็งล่ะ ไอ้หนานแก้ว”

“ข้า…”

ลังเล ตอบไม่ได้ ตอบไม่ถูก ท่าทีบางอย่างของบัวหอมทำให้ไม่ค่อยแน่ใจ

 

“ยักษ์…เราเห็น  ตีนนางเท่าบานประตู ไล่กระทืบเรา”

“นางยักษ์หรือ”

“ใช่ๆ สูงใหญ่คับฟ้า ษิตไม่เห็นหรือ ไม่โดนกระทืบอย่างเราหรือ”

“ไม่เห็น ไม่มีนี่ ยักษ์เยิกที่ไหนกัน”

ภูษิตสวมกอด แต่ชลลดาเอามือกันไว้ หนุ่มใหม่เพิ่งใช้คำว่านายนำหน้าได้สองปีฮึดฮัดๆ เป็นอะไรไปอีกวะ ก่อนมาสันป่าเหมือดยังออดยังอ้อนกูเหมือนแมวเคล้าแข้งเคล้าขาอยู่เลย

สาวรุ่นพี่แต่เรียนหนังสือระดับเดียวกันขยับเข้าหากองไฟ ได้ยินเสียงกู่ก่อนเห็นแสงไฟ รีบกู่รับ เร่งตีนตามเสียงกู่ที่ได้ยิน เห็นแสงไฟแต่ไกล ดีใจยิ่งกว่าได้รองเท้า ได้กระเป๋า ได้เสื้อผ้าชุดใหม่จากเสี่ย รอดตายแล้ว มีไฟก็ต้องมีคน หวังให้เป็นฟ้าลั่น หนุ่มหล่อเท่เข้มคมสมชายชวนใฝ่หา แต่กลับกลายเป็นหนุ่มหน้าอ่อนอายุน้อยกว่าสองปีที่เหมือนจะรวยแต่ไม่รวยจริง

แต่ถึงอย่างไร ก็ยังดีกว่าไปพบโจร

หนุ่มตัวเล็กกว่าเพื่อน อายุน้อยกว่าเพื่อนแต่เรียนเก่งกว่าเพื่อนซนฟืนเข้ากลางไฟ ลังเลนิดหน่อย แล้วค่อยล้วงเป้หยิบขนมห่อหนึ่งยื่นให้ ชลลดารับไป ลืมกล่าวขอบอกขอบใจก็ฉีกกกระดาษแก้วห่อหุ้มแล้วกินเลย

“มันเป็นอย่างไร นางยักษ์ตัวใหญ่สูงคับฟ้า”

“อย่าเอ่ยถึงได้ไหม” หวาดระแวง ชำเลืองไปมา “ขึ้นบกได้ เรานอนหงายพาดแผ่หมดแรง เท้าเท่าใบตาลกระทืบเรา เรา…กลัว”

ห่อตัว สั่นสะท้าน ขยับตัวเข้าหา เอาแขนเขามากอดไว้ ภูษิตยื่นแขนว่างอ้อมไปโอบ คราวนี้เธอไม่ขัดขืน ไม่กีดกัน

“อย่ากลัว เราอยู่ที่นี่”

รู้สึกหยิ่งๆ รู้สึกยิ่งใหญ่เหมือนพระเอกหนังคาวบอยเท่ๆ ช่วยนางเอกพ้นจากมืออินเดียนแดงที่กำลังจะถลกหนังหัว

 

“ครูบาว่าอย่างใด ไอ้หนาน” ยายถามเป็นคนแรก

“กินข้าวกันก่อน” ชายเดียวในร่มเรือนรวบรัดตัดบทแล้วหันไปหาเมีย “พี่หนานบอกเอ็งหลายหนแล้วบัวหอม บ่ต้องรอ ถึงมื้อข้าวแลงงาย เอ็งต้องกิน บ่ต้องห่วงพี่ ห่วงลูกในท้องเอ็งก่อน”

“พี่หนาน…”

บัวหอมลำคอตีบตันจนเสียงแหบ หลุดปากออกไปได้แค่นั้นก็หันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาที่มันรื้นๆ ขึ้นมา

พี่หนาน พี่จะรู้ไหม ลูกในท้องข้า ไม่ใช่ลูกพี่

ลุกเข้าไปในครัวไฟ ยกขันโตกสะพายกล่องข้าวเหนียวออกมา คำแผ้วรับต่อแล้ววางถาดสังกะสีต่างแทนขันโตกจริงๆ ลงบนหน้าเสื่อ เรือนนี้อยู่ด้วยกันสี่คนแต่กล่องข้าวใช้ใบเดียว นางคดข้าวเหนียวส่วนหนึ่งใส่จานแล้วเลื่อนไปใกล้มือแม่ มืดค่ำเต็มคืนมานานแล้ว หมู่บ้านเริ่มสีนงเข้าหลับเข้านอน ความเคลื่อนไหวลดน้อยถอยลงไปแล้ว ไม่เหมือนบ่ายแก่เมื่อไอ้หัดชาวห้วยเขาะมาแจ้งกำนันว่าไอ้หล้าลูกพ่อเลี้ยง หลานพ่อกำนันพาพรรคพวกหมู่ฝูงของมันพลัดหลงเข้าดงนางแก้ว ตอนนั้นความเคลื่อนไหวตื่นเต้นแพร่เต็มหมู่บ้าน

ไอ้หล้าอายุสิบแปดแล้ว เรียนหนังสืออยู่ในเมืองพู้น ช่วงนี้เห็นว่าปิดเทอมโรงเรียนยังไม่เปิด เขาเลยนัดกันมาปิ๊กนิกปิ๊กแน็กอันใดไม่รู้ ท่าทางจะเป็นลูกผู้มั่งผู้มีในเมือง เขาขับรถเข้ามา แล้วพากันเข้าห้วยว่าจะไปลองปืนอะไรทำนองนี้  จับพลัดจับผลูอีท่าไหนไม่รู้ พลัดหลงเข้าดงนางแก้ว ดงอื่นดอยใดไม่หลง หลงเข้าหล่งหลวงชื่อดงนางแก้วก็ยากแล้วจะรอดกลับมา

ป่าดงหล่งหลวงแถวนั้นเป็นแดนอาถรรพณ์  เป็นแดนต้องสาป

นางแก้วสาปแช่งไว้ก่อนตาย

นางแค้นเคียดหลาย ชายใดพลัดหลงเข้าไป นางกินหมด

ลูกพ่อเลี้ยงไม่รู้หรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ อาจรู้ แต่ไม่เชื่อ หมู่เขาเป็นนักเรียน เรียนหนังสือหนังหาปัญญามากล้น เขาคิดไม่เหมือนเรา

“ครูบาว่าอย่างใดไอ้หนาน” นางคำแผ้วถามลูกชายคำถามเดิมที่แม่ถามก่อนกินข้าว

“ท่านว่ากลัวก็ตาย บ่กลัวก็ตาย” รอแม่ปั้นเอาข้าวใส่ปากเป็นคนที่สองเขาถึงกิน “ถึงที่ตาย อยู่ไหนก็ตาย บ่ถึงที่ตาย อยู่ไหนก็บ่ตาย”

“แล้วพี่หนาน…” บัวหอมหันหน้าหาผัว ไม่กล้าสบตาตรงๆ “จะไปตามหา…ลูกหล้าพ่อเลี้ยงหรือไม่”

“ไป”

“ข้าไม่อยากให้ไปเลย พี่ไป…อาจไม่ได้กลับมาเห็นหน้าลูกข้าในท้อง”

“อี่หอม”

นางคำแผ้วฟาดหลังลูกสะใภ้ดังฉาด ไม่ใช่ทุบตีทำร้าย แต่นางตกใจ กลัวคำร้ายจะกลายเป็นลาง

 

เรือนหลังหลวงอาจมีหลายหลัง แต่หลังที่มียกพื้นกลางชานและมีหลังคามุงครอบมีอยู่หลังเดียว ตัวเรือนและชานพ่อเลี้ยงคำแสนเป็นผู้สร้าง แต่ศาลายกพื้นกลางชาน พ่อเลี้ยงคำสีผู้ลูกปลูกแปลงเพิ่มเติมภายหลัง วันเวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังมั่นคงแข็งแรงดี

พ่อเลี้ยงคำสีเป็นลูกคนเดียวของพ่อเลี้ยงคำแสน เป็นหลานพ่อกำนันคำปัน เป็นเหลนหมื่นคำตวง เชื้อสายนี้สืบมายืนยาวแต่สมัยที่หมื่นคำม่วนรับพระราชอาชญาเจ้าหลวงเชียงใหม่มาปลูกแปลงแต่งสร้างสันป่าเหมือดให้เป็นบ้านเมืองเมือง

เมินนานมากแล้ว สองร้อยสามร้อยปีผ่านมาแล้วกระมัง

สามสี่วันก่อน ศาลายกพื้นบนชานหลังแห่งนี้เป็นที่ต้อนรับเพื่อนนักเรียนจากในเมืองของไอ้หล้า เขาขี่รถมาด้วยกันสี่คน เป็นชายสองหญิงสอง  เขาพูดจากันเป็นคำไทย ไม่พูดคำเมือง บางทีก็โต้ตอบกันเป็นคำฝรั่งอังกิดที่คนอย่างพ่อเลี้ยงคำสีและแม่เลี้ยงอุ่นเฮือนฟังไม่ออก เขานอนเรือนนี้คืนหนึ่ง ตกยามสายกินงายอิ่มแล้วก็เข้าลึกดึกดงไปทางห้วยเขาะ ก็ยังได้กำชับไอ้หล้าไปว่าให้แวะเรือนพ่อหลวงบ้านห้วยเขาะก่อน อย่าได้ถือตัวว่าเป็นเหลนพ่อกำนันคำปันเป็นหลานพ่อเลี้ยงคำแสน เป็นลูกพ่อเลี้ยงคำสีมั่งมีด้วยสินทรัพย์นับแสน อย่าได้อวดเบ่งอวดกล้าว่าสืบเชื้อสายมาจากหมื่นคำม่วน ชายชาญทหารกล้าผู้รับพระราชอาชญาเจ้าหลวงมาฟื้นฟูกู้กอบสันป่าเหมือดให้เป็นบ้านเป็นเมือง  ให้อ่อนน้อมค้อมหัวต่อท่าน อย่างน้อยๆ ท่านก็เป็นถึงพ่อหลวงหรือผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านห้วยเขาะ

วางใจ แต่ไม่นึกเลยว่าจะผิดพลาดจนได้ บ่ายแก่วันนี้ไอ้หัดบ้านห้วยเขาะมาแจ้งต่อกำนันคำสอนญาติผู้พี่แล้วเลยมาบอกกล่าวข่าวสารต่อตนเพราะตนเป็นพ่อไอ้หล้า ใจหดใจหายจนเย็นวาบที่ท้ายทอย ไม่รีบแล่นไปหากำนัน แต่เร่งไปสู่หอพ่อเจ้าสายฟ้าม้าน แล้วให้คนใกล้ชิดติดตามไปขอแม่อุ๊ยแก้วผู้เป็นม้าขี่หรือร่างทรงอัญเชิญท่านลงประทับ ท่านเป็นผีเจ้านาย เมื่อยังเป็นคนอยู่บนโลกก็เป็นเจ้าเป็นนายเชื้อสายใหญ่ยศผู้หนึ่ง ร่วมตระกูลมูลเหง้าเดียวกันกับเจ้าเจ็ดตนพี่น้องผู้กอบกู้เอกราชคืนแก่ล้านนา เจ้าสายฟ้าม้านเป็นขุนแก้วขุนหาญรบเรียงเคียงไหล่เจ้าเจ็ดตน เมื่อหลับตาตายวายชีพก็ได้มาเป็นผีเจ้านายปกป้องดูแลลูกหลานและชาวบ้านสันป่าเหมือดแทบทั้งตำบล ปู่เคารพนับถือท่านมาก พ่อก็เคารพนับถือ คำสีเองเชื่อถือศรัทธาท่านสุดจิตสุดใจมาแต่เมื่อยังเป็นพ่อค้างัวต่างเมื่อวัยยังหนุ่มยังน้อยโน่นแล้ว

“นอกเรือนยุงชุม เข้ามา พ่อไอ้หล้า”

เมียเรียก ไม่อยากขัดใจ คำสีได้เมียดี เมียเดียวที่พ่อแม่สู่ขอ แต่เมียอื่นอันเป็นเมียลับเมียพราง เมียแรมทางห่อข้าวพ่อแม่ไม่รู้ มีรู้อยู่เพียงคนเดียว พ่อแม่เสียใจ อุ่นเฮือนเองก็เสียใจเคียดแค้น ออกยักษ์ออกมารเหมือนไม่ใช่อุ่นเฮือนคนเดิม

คำสีมีลูกเกิดจากท้องอุ่นเฮือนห้าคน ไอ้หล้าฟ้าลั่นเป็นลูกคนเล็กเรียนอยู่ม.ศ.๕ที่โรงเรียนในเมืองพู้น หมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะส่งไปเรียนการเมืองการปกครองมหาวิทยาลัยในกรุงเทพตามคำแนะนำของนายอำเภอและท่านปลัด เมื่อจบออกมามันจะได้เป็นเจ้าคนนายคน อาจไม่ได้เป็นพญา เป็นขุนหมื่นขุนแสนเหมือนผีเหง้าเค้าโคตรอย่างหมื่นคำม่วนหมื่นคำตวง แต่อาจได้เป็นปลัดอำเภอ ได้เป็นนายอำเภอ เป็นปลัดจังหวัด เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดตามแบบแผนการปกครองแผนใหม่ ไม่ใช่การปกครองแผนเดิมเมื่อเมืองเชียงใหม่ยังมีเจ้าหลวงเจ้าชีวิตเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง

“ดับไฟเถอะแม่ไอ้หล้า”

“ข้านอนบ่หลับ  พ่อกำนันไม่ไปหรือ พูดจากันว่าอย่างใดเมื่อยังกินเหล้า ข้าได้ยินบ่ชัด”

“ข้าเองเป็นคนบอกอ้ายคำสอนเองว่าข้าจะเป็นใหญ่ในหมู่คนติดตามเข้าไป อ้ายคำสอนถึงเป็นกำนันแต่ก็แก่แล้ว แก่กว่าข้าห้าหกปี หัวเข่าก็บ่ค่อยดี มอบอำนาจให้ข้ากะเกณฑ์พ่อหลวงเทศกับชาวห้วยเขาะก็พอ คงไม่ร้ายแรงอะไรหรอกสู พ่อเจ้าสายฟ้าม้านระบุบอกออกปาก ไอ้หล้ารอดออกมาได้แน่ หาก…หากลูกอี่คำแผ้วติดตามเข้าไป”

“ข้าถามแท้ๆ เถอะสู” อุ่นเฮือนมีอาการคล้ายอะไรติดคอเมื่อผัวเอ่ยชื่อนั้น “ หน่อแลกหน่อ เนื้อแลกเนื้อที่พ่อเจ้าออกปาก หมายความว่าอย่างใด”

“ก็…เอาหน่อไปแลกหน่อ เอาเนื้อไปแลกเนื้อ”

ผัวลดเสียงลง ตอบคำคลุมเครือ อุ่นเฮือนนิ่งไป

นึกคิดภายในสับสน ผัวนางเป็นชายเจ้าชู้กรุ้มกริ่มมาแต่ยังหนุ่ม ปางเมื่อยังเป็นอ้ายคำสีค้างัวต่างระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองมะละแหม่ง อ้ายคำสีก็แอบมีเมียลับเมียพราง เมียแรมทางห่อข้าวหลายคน มีแต่นางเท่านั้นที่เป็นเมียแต่ง เมียที่พ่อเลี้ยงคำแสนกับแม่เลี้ยงสีทาสู่ขอมาขึ้นเรือน

นางภาคภูมิใจ

แต่ที่นางเสียอกเสียใจก็มีมากมายเหมือนกัน

“มัน…จะตายไหม” นางกลั้นใจถาม กลัวจะได้คำตอบอย่างที่กลัว

“พ่อเจ้าบ่บอก”

“อย่ามีใครตายเลย ถึงไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อไขในตัวในตนแห่งข้า ก็ขออย่าให้มันตายเลย พ่อเจ้าปกปักรักษามันด้วยเถิด”

อุ่นเฮือนยกมือไหว้ใส่หัว คำสีพลิกตัว หันหน้าไปอีกทาง

ขมในใจ ขมขึ้นในคอ



Don`t copy text!