แก้วฟ้าล้ง บทที่ 4 : หน้าที่เอ็งมี

แก้วฟ้าล้ง บทที่ 4 : หน้าที่เอ็งมี

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

แก้วฟ้าล้ง โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราวการรอคอยคนรักให้กลับคืนมาเพื่อชดใช้หนี้กรรม หนี้ความรักที่ผูกพันมาแต่ชาติปางก่อน หากแต่เวลาแห่งการรอคอย จะแลกด้วยชีวิตของชายทุกคนที่นางจะกลืนกินจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะกลับมา “แก้วฟ้าล้ง” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

ได้ขนมสองสามชิ้น ลงไปยัดท้องที่เกือบจะกลวงโบ๋ เรี่ยวแรงก็ค่อยฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง  ความว้าเหว่สิ้นหวัง ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนแทบบ้าลดลงไปตั้งแต่ได้ยินเสียงกู่เพรียกเรียกหา กู่ตอบ เดินตามเสียงกู่จนพบแสงไฟ ดีใจแทบร้องไห้ออกมาอีก ตามแสงไฟมา พบภูษิต ไม่พบคนอื่น แต่เอาเถอะถึงจะเป็นหลักอ่อนที่คว้าไว้ก่อน ไม่ใช่หลักใหญ่ที่หวังไต่ไปถึง แต่มันก็ยังดีกว่าซมซานไปคนเดียวกลางป่าเปลี่ยวมืดดำแถมเป็นกลางค่ำกลางคืน

แปลกจริงหนอ หลุดรอดเสือสางช้างป่ามาได้อย่างไรหนอ

กลัว หวาดหวั่นพรั่นพรึงไปสารพัด เกิดมาไม่เคยนอนคนเดียวกลางเปลี่ยวกลางป่า หลับตาลงก็เหมือนผีโหงผีห่ามันย่องมาใกล้ ข่มใจให้หลับ เคลิ้มๆ พอจะหลับก็สะดุ้งตื่นพรวดพราด

ตีนเท่าประตูบ้าน ตีนเท่าใบตาลมันกระทืบลงมา

“ษิต”

ช้อนตาขึ้น มองหน้าอ่อนๆ ที่ยังเหลือเค้าเด็กอยู่มาก ค่อยขยับตัวออกจากอ้อมแขนของเขา มองไปมองมา มองขึ้นบนฟ้ามืดดำ ยังหวาดอยู่ว่าเท้าเท่ากระด้ง เท่าใบตาล บางทีก็เทาบานประตูโบสถ์จะกระทืบลงมา

“ษิตเคยได้ยินไหม…เรื่องนางแก้ว”

“ได้ยินผิวเผิน ห่างไกล มาได้ยินหนักแน่นก็ที่พ่อหนานอ้ายเล่าให้ฟังนี่แหละ”

นึกไปค่ำวันก่อนที่ชานหลังบ้านพ่อหลวงเทศ กินข้าวกินเหล้ากัน พ่อหนานอ้ายเป็นผู้รู้ผู้หลักคนหนึ่งของของบ้านห้วยเขาะ แกมีเรื่องเล่ามีนิทานตำนานมากมายอยู่ในพุง

“ดาเคยได้ยินแต่เรื่องนางแก้วกินผัว ยายเล่าให้ฟัง เรื่องนางแก้วกินชายไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“พ่อหนานอ้ายว่านางชื่อนางแก้วกู่หา นางกู่หาชายคนหนึ่งชื่อว่าอ้ายฟ้าล้ง นัยว่าเป็นผัวรักของนาง  แต่ถูกนางมนุษย์แย่งผัวไป”

“ชื่ออะไรน้า…นาง…นางเทพปัญญา…”

“ไม่ใช่ นางเทพกัญญา แปลว่านางเทวดาหรือนางทิพย์ก็พอได้ เทพกัญญาเป็นคน อ้ายฟ้าล้งก็เป็นคน แต่แก้วกู่หาเป็นยักษ์ เรื่องยักษ์รักคนมีดาษดื่นในวรรณคดี”

“นางแก้วกู่หามันไล่กระทืบดา”

“ดาอาจจับเอาเรื่องนางแก้วกู่หาไปสร้างเป็นภาพ เป็นเรื่องเป็นราว ยักษ์แย็กอะไรไม่มีจริงหรอก  สมัยนี้แล้วดา”

“แต่นางไล่กระทืบดาจริงๆ นะ ษิต ไม่ได้แต่งเรื่องเอาเอง กลัวมาก ตัวสูงใหญ่คับฟ้า หน้าถมึงถึง นึกว่าจบสิ้นแล้ว โชคดีกลิ้งตกร่อง รอดมาหวุดหวิด ษิตมีพระไหม เราอยากได้ ขอยืมห้อยคอได้ไหม มันไม่มีที่อุ่นใจ”

หนุ่มลูกข้าราชการมองหน้าเซียวๆ ซีดๆ น่าสงสารของเพื่อนสาวคนแรกในชีวิต ขยับตัว ถอดสร้อยเงินห้อยพระเครื่ององค์น้อยออกมาคล้องคอให้เธอ

ชลลดากราบลงที่หัวไหล่เขา กราบจากใจจริง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งกราบลงที่อกอย่างเคยกราบเสี่ยพงศ์เสี่ยปิง

รู้สึกดีต่อเขาขึ้นมาอีกมากมาย

 

“ไปนอนได้แล้วเณร ปิดประตูเสีย ครูบาก็จะนอนละ”

แม้ไม่ดึกนัก แต่บ้านสันป่าเหมือดสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจรยังเป็นนายกรัฐมนตรีก็สงบสงัดกันเกือบสิ้น แทบไม่ได้ยินเสียงคนเลย อาจมีบ้างเสียงหมาเห่า เสียงงัวควายขากคออยู่ในคอก อาจมีบ้างเสียงลมพัดพร้าว เสียงกระดิ่งติงๆ ยามลมต้องจากพระวิหาร บางคืนก็มีเสียงบ่าวแถ่วแอวบางขับร่ำทำนองแอ่วสาว  ดึกดับคนนอน ดาวค่อนไก่ขัน อาจมีเสียงคลุมเครือครืนครางอยู่บ้าง

เขาว่านางผู้นั้นถอนใจ

นางผู้ผิดหวัง ผู้คลั่งแค้น  ผู้ถมหนาถักแน่นด้วยโมหะ อวิชชา

นางปองกินชายหลาย กินชายทั้งโลก

เรื่องราวเล่าลือหนโลกเขาว่าตราบใดเจ้าผู้นั้นไม่คืนกลับไปหานาง นางจะกินชายไปเรื่อยๆ กินไปจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะใจอ่อนยอมกลับไปอยู่ร่วมกินร่วมกับนาง เขาว่าอย่างนั้น

“ปูผ้าแล้วไปนอนเถอะเณร อย่าลืม ไหว้หาคุณพระเจ้าพระธรรม คุณพ่อคุณแม่”

เณรรับใช้ประจำตัวดึงฟูกปูนอนผืนบางให้ตึง เรียกว่าผ้าแหล็บ เป็นผ้าฝ้ายทอเองกว้างราวช่วงแขนเศษยาวราวสองเมตร เอาผ้าสองผืนมาประกบกัน ตีตะเข็บเย็บขอบสามด้าน เหลือไว้ด้านหนึ่งยังไม่เย็บตรึง เอายวงฝ้ายมายัดใส่ เกลี่ยให้หนาบางเสมอกันไปทั้งผืนแล้วปักเป็นตาๆ ห่างกันราวสองข้อนิ้วกันยวงฝ้ายเคลื่อน เสร็จสรรพเย็บตะเข็บด้านที่เหลือ ใช้เป็นเครื่องปุนอนของพระเณรเถรชีทั่วไป

เณรปูผ้าแหล็บกับพื้น ลาดผ้าปูทับ จัดหมอนและผ้าห่มถูกที่ถูกทางแล้วกราบลาถอยหลังออกจากประตู ครูบาผู้เฒ่ายังนั่งอยู่  วัดสันป่าเหมือดทั้งวัดเงียบสงบ สันป่าเหมือดเป็นชื่อหมู่บ้านมาก่อน ต่อมาเมื่อทางราชการอำเภอท่านตั้งตำบลขึ้นมา ตำบลเลยได้ชื่อว่าตำบลสันป่าเหมือดตามชื่อบ้าน วัดตั้งขึ้นก่อนตำบล แต่ก็ตั้งหลังหมู่บ้าน ก็เลยได้ชื่อว่าวัดสันป่าเหมือดตามชื่อบ้าน

พระและเณรลูกวัดเหมือนจะเร้นตัวเอนหลังกันหมดแล้วแต่ท่านผู้เฒ่าเจ้าวัดยังนั่งหลับตาภาวนาอยู่ที่เดิม ชื่อว่าครูบาคำตัน อายุได้เกือบเก้าสิบแล้ว ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว  เข้าผ้าเหลืองมาแต่อายุสิบสองปี บวชเป็นเณรร่ำเรียนเขียนอ่านอักขระนโมจนคล่องแคล่ว เติบโตขึ้นได้เรียนสมถกรรมฐานทั่ว ๆ ไป เมื่อราว ๆวัยกลางคน ไปได้สมถวิถีแบบหนึ่งมาจากในป่าแล้วเอามาสั่งสอนให้แพร่หลาย กลายเป็นมรรควิธีแบบวัดสันป่าเหมือด คนทั่วไปเขาเรียกว่าสมถะสลักเพชร

สมถะก็คืออุบายหรือวิธีที่ทำให้ใจสงบลึกซึ้ง ครูของท่านว่าท่านเข้าถึงฌานได้เร็ว แต่ท่านว่าศิษย์ของท่านเข้าถึงฌานได้เร็วกว่า

หากไม่สึกเสียก่อน พระหนุ่มชื่อแสงแก้ว ยกจากสมถะเข้าสู่วิปัสสนาได้แน่นอน

แต่ก็จำเป็นต้องสึกออกไป มีเหตุปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง อิทัปปัจจยตา…เพราะสิ่งนั้นเกิด สิ่งนี้จึงเกิด มันเกี่ยวเนื่องกันมา หากพ่อเอ็งไม่ตาย เอ็งก็ไม่สึก หากเอ็งไม่สึก บุพกรรมแต่เมื่ออดีตกาลนานยาวอาจยืดเยื้อเรื้อรังต่อไปอีกเท่าไรไม่รู้ จะเป็นทุกข์เป็นภัยแก่คนไปอีกเท่าไรก็ไม่รู้ เจ้าผู้นั้นกับนางเทพกัญญาเกิดตาย ตายเกิดมาแล้วหลายชาติ แต่นางผู้ก่อบาปก่อกรรมหนักหนาสาหัสยังไม่ยอมตาย นับวันบาปนางยิ่งหนา โมหะยิ่งครอบงำนางหนัก กุศลกรรมนางไม่ก่อ ก่อแต่อกุศลกรรม โลกก็จะคว่ำเหงี่ยงเอียงลงไปทางมืดทางดำเรื่อยๆ

อาจเป็นเอ็งนี่แล้วไอ้หนานเอ๋ย

คลี่คลายบุพกรรมอันนั้นให้ได้ในชาตินี้เถิด แก้บ่วงกรรมอันนางผูกไว้หนาแน่นให้ได้ในชาตินี้เถิด ชาติหน้าชาติใหม่ เอ็งอาจขยับเข้าใกล้พุทธภูมิได้สมใจใฝ่มัก

 

แม่ และยายเข้าห้องใหญ่ไปแล้ว เหย้าเรือนเซาเสียง  เรือนนี้มีห้องนอนสองห้อง ห้องใหญ่แต่เดิมพ่อกับแม่ใช้ร่วมกัน ห้องเล็กให้ยายกับอีหล้าใช้ ส่วนเขากับบุญทองน้องชายคนถัดนอนกับตาที่ซอกเรือนทางด้านหลัง ต่อมาเขาเข้าผ้าเหลืองยาวนานไปแต่อายุสิบขวบ  สึกออกมาโดยไม่อยากสึก ถ้าหากว่าบุญทองน้องคนถัดไม่ออกเรือนไปมีเมียเสียก่อน ก็คงไม่สึก

“ถึงวาระก็ต้องเป็นไปตามกรรม”ท่านผู้ขอเอาตนไปเข้าวัดกล่าวไว้เมื่อตนจำใจสึก “สึกออกไปก็ใช่ว่าจะภาวนาบ่ได้ เพียงแต่มันติดขัดขลุกขลักกว่าอยู่ในผ้าเหลืองเท่านั้น หน้าที่เอ็งมี อาจเป็นเอ็งนี่แล้วที่ต้องทำหน้าที่ จงทำให้ได้ ทำให้สำเร็จ”

“หน้าที่อันใด ครูบาเจ้า”

“วันหนึ่งเอ็งจะรู้”

ปลดดาบแขวนข้างฝาเรือน ฉวยตะเกียงกระป๋องลุกจากโถงเรือนไปสู่ชานหลัง  แม่กับยายเงียบงับหับเสียงอยู่ในห้องใหญ่ บัวหอมก็เงียบอยู่ในห้องเล็ก อาจยังไม่หลับแต่ก็เงียบงับหับปาก เดินลัดซอกเรือนที่เคยนอนกับตาไปยังชานหลัง คิดถึงตาอยู่บ้าง แต่น้อยกว่าคิดถึงพ่อเพราะตาตายก่อนหน้านานแล้ว

วางตะเกียงกระป๋อง ซนฟืนเข้าชิดกัน เอาฝอยไม้ไผ่โปะลงไปให้เกิดควันไล่ยุง ถือดาบพร้อมฝักไปยังหม้อน้ำใช้ปลายชาน เป็นดาบเก่า ดาบดี  สืบสายกันมาแต่เมื่อไรแล้วไม่รู้ อยู่กับบ้านเรื่อยมา เมื่อพ่อตาย บุญทองจะเอาไปทั้งดาบและปืนแต่แม่ว่าเอาแต่ปืนไปเถอะ ดาบนี้แม่ขอไว้เผื่อลัดดาได้ผัวเข้าบ้าน จะได้สืบดาบคุ้มครองป้องกันเหย้าเรือน

แต่ว่าแม่ไม่ทันได้เขยเข้าเรือนก็มีคนมาขอลัดดาออกจากเรือนไปเป็นสะใภ้เรือนอื่นเสียก่อน  ฝ่ายโน้นเขามีลูกคนเดียว หากออกเรือนมาเป็นเขยเรือนนี้ ทางนั้นก็ไม่มีใครดูแลเมื่อพ่อแม่แก่เฒ่า

“พี่หนาน…”

“บอกว่าให้นอนเสีย ลุกมาทำไม”

“ไม่ได้พูดออกปาก บัวหอมก็คงนอนไม่หลับคืนนี้…”ลดเสียงลง เหมือนกลัวแม่ผัวจะได้ยิน “พี่ไปแล้วอาจไปลับ  ไม่ได้กลับมา”

“สมใจเอ็งไหม”

“พูดอะไรอย่างนั้น” เมียที่พ่อเลี้ยงปันให้ซุ่มเสียงเครือๆเหมือนสะเทือนใจ “บัวหอมไม่ใช่ยักษ์มารเผตผี จะได้แช่งให้…ให้พี่หนานตาย”

“อยู่กินกันมาจนถึงวันนี้ คำหนึ่งเอ็งไม่เคยเรียกพี่ว่าผัว”

 

แม้อายุจะย่างเข้าปีที่หกสิบแล้ว ผมบนหัวหงอกกับดำพอๆกันแต่พ่อเลี้ยงศักดิ์ศรีก็ยังดูดีเหมือนคนอายุสักห้าสิบเศษ ชื่อเดิมว่าคำสี เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ แต่ในสมัยจอมพลป.พิบูลย์สงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านมีความเห็นว่าผู้ชายควรมีชื่อเป็นชาย ผู้หญิงควรมีชื่อเป็นหญิง ชื่อว่าคำสีเป็นคำกลางๆ ไม่บอกความเป็นชายเป็นหญิงในตัวก็เลยเปลี่ยนเป็นศักดิ์ศรีตามแนวนิยมของท่านนายกรัฐมนตรี แต่คนทั่วไปก็ยังเรียกว่าพ่อเลี้ยงคำสีตามเดิม

พ่อเลี้ยงดูหนุ่มกว่าอายุ อาจเป็นผลมาจากได้เลือดเนื้อเชื้อไขอันดีมาจากพ่อแม่ ประกอบกับการเป็นคนชอบออกเหื่อออกแฮงมาโดยตลอด เลือดและเนื้อในตัวในตนจึงยังดีอยู่ เมื่อยังเป็นหนุ่มน้อยอายุไม่เต็มยี่สิบก็เดินด้วยตีนติดตามพ่อขึ้นล่องท่องทางระหว่างเชียงใหม่กับมะละแหม่งแล้ว สมัยนั้นรถราหายากมาก ถนนหนทางระหว่างเมืองก็ยังเป็นทางตีนหรือทางเดินด้วยเท้าอยู่เลย พ่อเป็นพ่อค้างัวต่าง เอาข้าวของเครื่องค้าใส่ลงในต่างแล้วยกต่างขึ้นต่างหลังวัวขึ้นค้าล่องขาย พ่อเป็นพ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงก็คือคนรวย คนมีฐานะ มีทรัพย์สินเงินทองมากพอจะเลี้ยงผู้คนหลวงหลายได้  แกเองเติบโตขึ้นมาก็ได้สืบอาชีพค้างัวต่างจากพ่อ  ฐานะเงินทองแน่นหนามั่นคง เพิ่งเลิกค้างัวต่างเมื่อหลังสงครามญี่ปุ่นนี่เอง

“ยังไม่นอนหรือสู จะลุกไปไหนอีก”

“ไปสูบมูลี”

ลงจากเตียงทางด้านข้าง ออกจากห้องนอนไปสูบบุหรี่ที่ปลายชาน ฟ้ามืด ดาวดกดวงเต็มฟ้า แผ่นฟ้าทางบ้านห้วยเขาะมีแนวดอยขึงขวางอยู่ทางหลัง ระหว่างบ้านห้วยเขาะไปถึงแนวดอยด้านหลังที่พอมองเห็นรำไรเป็นดงนางแก้ว

ดงนางแก้วเป็นถิ่นแถวลี้ลับและลึกล้ำดำมืด เป็นที่พรึงพรั่นหวั่นกลัวของคนทั่วไป พ่อเลี้ยงเองไม่ถึงกับกลัวแต่ก็เกรง ยำเยงเกรงใจนางแก้วไม่ต่างจากคนทั่วไป

ไม่จำเป็นไม่มีใครอยากผ่าน โดยส่วนตัวของพ่อเลี้ยงเอง ไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องผ่านไปทางดงนางแก้ว เส้นทางค้าขายของแกไม่ผ่านไปทางแถวนั้น แต่คนอื่นๆ หากจำเป็นต้องผ่านก็ต้องหาฤกษ์งามยามปลอดเป็นยอดแห่งฤกษ์และยามทั้งหลายเสียก่อน ต้องประกอบพิธีขอขมายำเยงเกรงใจนางแก้ว บุ่มบ่ามเข้าไป มักประสบเหตุเภทภัยที่คาดไม่ถึง

ไอ้หล้าไม่รู้ความข้อนี้เลยหรือ

มีสาวเข้าร่วมหมู่ถึงสองคน  เป็นไปได้หรือไม่ ไอ้หล้านอนกับสาวเรียบร้อยแล้ว

เป็นไปได้สูง ไอ้หล้าเจ้าชู้เหมือนพ่อ ที่เหนือกว่าพ่อคือรูปหล่อเพราะได้หน้าตาแม่มันมาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ  เสน่ห์มันแรงกว่าพ่อด้วยซ้ำ อายุเพียงสิบห้า สาวก็ทอดร่างลงให้มันนอนแล้ว

ห้าวกล้าเกินไปลูกเอ๋ย คนบ้านเราถือสานัก เข้าป่าเข้าดงต้องงดเว้นเมถุน

โล่งๆ ลมโกรกแรง ไม่มีเต็นท์ผ้าใบใหญ่หนาป้องกันลมฝนเหมือนอย่างคืนก่อน นอนกันที่หาดห้วยทรายงามข้างลำห้วย เต็นท์กว้างพอจะบรรจุคนได้ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แต่มาคราวนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้น คุ้นหน้ากันดี มีแปลกหน้าคนเดียวคือแฟนไอ้ษิต

แฟน คำนี้ยิ่งใหญ่

นักเรียนชายคนใดใช้คำนำหน้าว่านายแทนเด็กชาย จะต้องขวนขวายหาแฟนให้ได้ ใครมีแฟนถือว่าแน่ โก้ เท่ เป็นหนุ่มแนวหน้า  ใครหาไม่ได้เป็นหนุ่มตกชั้น ยิ่งนานก็จะยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ

ไอ้ษิตอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม อาจเพราะมันอายุน้อยกว่าเพื่อน ตัวเล็กกว่าเพื่อน เสื้อผ้าอาภรณ์อ่อนค่ากว่าเพื่อน มันจีบใครก็ไม่ติด เพิ่งได้แฟนคนแรกชื่อชลลดา คบหากันมาสี่ห้าเดือน ท่าทางดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไร ไม่รู้จะยืดยาวหรือไม่ บัดนี้ทั้งคู่พลัดหลงไป ไม่รู้ว่าหากันพบหรือไม่ อาจบาดเจ็บหรือป่วยไข้…

“หรือไม่ก็อาจตาย”

วันปิยะโพล่งขึ้นมา ฟ้าลั่นปรามด้วยสายตา

“คนพื้นเมืองถือสา อย่าพูดอย่างนี้ จะเป็นลาง”

“ห่วงมัน ปืนมันก็ไม่มี”

“เสือหมีกูไม่กังวลเท่าไร แต่…มันมีบางอย่าง แม้แต่ปืนก็ฆ่าไม่ตาย”

“เราพอรู้ว่านายพูดถึงอะไร…” สาวแบบบางไว้ผมหางม้า มองหน้าเพื่อนของญาติผู้พี่ตรงๆ  “ถามตรงๆ เลยนะฟ้าลั่น เรากับนายอาจไม่สนิทกัน แต่ไม่อยากให้คิดว่าเราเป็นอื่น ไม่คิดว่าเราเป็นเพื่อนจงคิดว่าเราคือน้องของพี่ยะ นายกับชลลดาแอบมีอะไรกันแล้วใช่ไหม”

ผู้สืบเชื้อมาจากผู้มากด้วยบารมีแห่งตำบลล้วงซองบุหรี่ออกมาแต่กลับชะงักเพราะสะดุ้งต่อคำถามแหลมคมของสาวผมยาวแต่รวบเหมือนหางม้า

“ไม่มี” หนุ่มหล่อเท่ติดจะเย่อหยิ่งลำพองในรูปโฉมหยิบเอามวนหนึ่งมาจุดสูบ “ถามทำไมเรื่องนี้”

“เราคิดถึงข้อห้ามความเชื่อที่เรียกว่าขึด”

“อือ” ญาติผู้เหมือนพี่ชายเอามือลูบคาง “น่าคิด”

ป่าเขาเซานิ่ง หมู่ไม้รายรอบแต่ละต้นชูลำสูงสล้าง เว้นที่ว่างเป็นปริมณฑลราวยี่สิบตารางวา มีไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านยื่นยาวคลุมพื้นพออาศัยพักพิงได้ ไม่มีสาดเสื่อเจือลาดลงนอน ทุกอย่างหายไปกับสายน้ำ ได้มาแต่ผ้าเสื้อติดเนื้อตัวกับที่ยังยัดอยู่ในเป้ประจำตัว น้ำมาแรง น้ำมาเร็ว ไม่ใช่หน้าน้ำ ยังไม่เข้าหน้าฝน ฝนห่าเดียวไม่ควรเทน้ำลงจากฟ้าจำนวนมหาศาลจนท่วมลบกลบหาด เหมือนไม่ใช่ฟ้าฝนปกติตามฤดูกาล แต่เป็นฝนที่เกิดจากขึด

ขึดคืออาเพศอาถรรพณ์ที่เกิดจากการฝ่าฝืนในสิ่งต้องห้าม  หากละเมิด จะเกิดผลเสียหายร้ายแรงต่อตัวเองและคนอื่น ขึดมีหลายข้อ ข้อหนึ่งคือที่ถือสาเวลาเข้าป่าห้ามผิดผี

ผิดผีคือการประกอบกามกิจระหว่างชายหญิง

“ไม่มีจริงๆ นะ”

“แล้วทำไมไม่คิดว่าเกิดจากไอ้ษิตกับชลลดา”

“ภูษิตไม่ทันชั้นเชิงชลลดา ยายนั่น…เรานึกถึงนางร้ายในละครทีวี”

“อาจเป็นพี่ยะ” วันปิยะเอาปลายมีดพับแคะขี้ไคลแถวด้ามปืน “มุ่ยก็เห็นกับตาไม่ใช่หรือ ยายนั่นยั่วพี่ยะ”

“ไม่ใช่ยั่วพี่ยะ แต่ยั่วมุ่ย” หัวเราะเบาๆ เหมือนเห็นขำ “ยั่วโทสะน่ะ ไม่ใช่ยั่วยวนกวนสวาทอย่างนางร้ายในละคร อาจคิดว่ามุ่ยกับพี่เป็นแฟนกัน”

ลมโกรกแรง หมู่ไม้ส่ายไหวดังอู้ๆ ควันไฟลู่ไหวมารมหน้า ลูกสาวอาจารย์วิทยาลัยครูขยับตัวเปลี่ยนที่หนีควัน นึกไปถึงผู้พลัดหายอีกสองคนแล้วหนักใจ ไม่อยากคิดต่อ กลัวจะกลายเป็นซากไปเสียแล้ว



Don`t copy text!