แก้วฟ้าล้ง บทที่ 1 : ดงนางแก้ว

แก้วฟ้าล้ง บทที่ 1 : ดงนางแก้ว

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

แก้วฟ้าล้ง โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราวการรอคอยคนรักให้กลับคืนมาเพื่อชดใช้หนี้กรรม หนี้ความรักที่ผูกพันมาแต่ชาติปางก่อน หากแต่เวลาแห่งการรอคอย จะแลกด้วยชีวิตของชายทุกคนที่นางจะกลืนกินจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะกลับมา “แก้วฟ้าล้ง” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

“พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง ไผอยู่บ้านพ่อง”

“อยู่ ” อุ่นเฮือนตอบจากใต้ถุนบ้าน “กูอยู่ พ่อเลี้ยงก็อยู่ ไผน่ะ มีธุระอันใด”

“ข้าไอ้หัด ชาวบ้านห้วยเขาะ ไอ้หล้ากับหมู่มันหายเข้าดงนางแก้วไปแล้ว แม่เลี้ยงเหย”

ได้ยินคำว่าไอ้หล้าหายเข้าดงนางแก้ว แม่เลี้ยงอุ่นเฮือนก็หน้ามืดจนต้องยื่นมือไปเกาะเสาเรือน พ่อเลี้ยงคำสีอยู่บนเรือนได้ยินไม่ชัด รีบลงเรือนมาถาม

“มึงว่าอะหยัง  ไอ้หัด”

“ไอ้หล้าพาหมู่มันพากันไปนอนริมห้วย”ผู้มาจากบ้านห้วยเขาะรายงานซ้ำกับที่รายงานต่อกำนัน “ไผห้ามก็บ่ฟัง ตกดึกฝนตกหนักน้ำหลาก น้ำซัดเข้าดงนางแก้วไปแล้ว พ่อหลวงให้มาแจ้งต่อกำนัน กำนันเลยให้ข้ามาบอกต่อพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงอีกที”

ได้ความชัดเจน ชายวัยราวหกสิบผมหงอกขาวแซมดำก็ใจหายวาบ น้ำซัดไอ้หล้ากับพวกหายเข้าดอยดงหล่งหลวงอันเป็นที่อยู่ของนางแก้วไปแล้ว

นางแก้วดุร้าย

นางนอนตายหงายหน้าสู่ฟ้า รอการกลับมาของชายผู้หนึ่ง

นางจะกินชายทุกคน

จนกว่าเจ้าผู้นั้นจะกลับมา

หันไปมองเมีย อุ่นเฮือนตั้งสติได้แล้ว แสงดาวผู้ลูกสาวเอายาหอมยาลม ยาดมยาหม่องรออยู่ใต้จมูกแม่ คำสีชักสายตาจากเมียหันหน้าไปทางทิศตะวันตก บ้านห้วยเขาะอยู่ทางนั้น ดงนางแก้วอยู่ลึกเลยเขตห้วยเขาะเข้าไปอีก อยู่ควบสองเมืองคือเมืองม่านและเมืองไทยเรานี้

“ยินดีนักไอ้หัด ที่มาส่งข่าว   แสงดาว” หันไปบอกลูกสาวที่ยังเป็นสาวค้างคาเรือนจนอายุยี่สิบกว่า “ปันน้ำอ้อยน้ำตาลแก่ไอ้หัดแล้วเป็นเพื่อนแม่เอ็งไปก่อน พ่อจะไปขอพ่อเจ้าสายฟ้าม้านลงส่อง”

ผู้มั่งคั่งร่ำรวยจนคนเรียกว่าพ่อเลี้ยงเรียกเอาหนานเสากับน้อยทัดคนสนิทติดไต่ไล่หลังไปยังหอพ่อเจ้าสายฟ้าม้าน เป็นหอใหญ่ใหม่งามปลูกไว้ยังหย่อมไม้หมู่หนึ่งแทบกลางหมู่บ้าน  ท่านเป็นพ่อเจ้า เป็นผีใหญ่ผีหลวงดูแลรักษาคนทั่วทั้งตำบลสันป่าเหมือด อ่านทักทำนายร้ายดีแม่นยำชำงัดชำงาด เชื่อมั่นนับถือกันมาแต่ชั่วรุ่นปู่ของพ่อเลี้ยงคำสีโน่นแล้ว

คำสีเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยเกือบจะที่สุดของตำบลสันป่าเหมือด เป็นผัวของอุ่นเฮือน เป็นพ่อของไอ้หล้า

ไอ้หล้าลูกรักกับหมู่ฝูงพรรคพวกเพื่อนมันโดนน้ำห้วยซัดหายเข้าดงนางแก้ว สังหรณ์ว่าจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี จะร้ายแรงแข็งกล้าสักเท่าใดหนอ พอจะผ่อนร้ายให้กลายเป็นดีได้ไหม ขอพ่อเจ้าได้โปรดชี้ช่องบ่องทางด้วยเถิด

ไอ้หล้าหนอ…ไอ้หล้าลูกรัก เอ็งไม่รู้เลยหรือว่าดอยดงหล่งหลวงแห่งนั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับชาย

นางแก้วมีอีกชื่อว่านางแก้วกินชาย

นางหลับตาตายหงายหน้าสู่ฟ้า รอการกลับมาของเจ้ากุมารผู้หนึ่ง เมื่อใดที่เจ้ากุมารผู้นั้นไม่กลับมา นางจะกินชายไปเรื่อย ๆ กินไปจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะคืนหานาง

ไอ้หล้ากับพวกพลัดหลงเข้าไป นางจะไว้จะวางหรือ

 

บ่ายแก่ ไก่ขันเหงาๆ เงาไม้ทอดยาวไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับดวงตะวัน ร้อนแล้งแดดแรง แต่บ่ายสามบ่ายสี่โมงหมู่ไม้ทอดเงายาว ความร้อนก็ค่อยลดลง ความเย็นก็ค่อยเพิ่มขึ้น หนุ่มหนึ่งรูปร่างไม่สูงใหญ่กระไรนักวางจอบพิงโคนไม้ ออกจะผอมบางด้วยซ้ำหากเทียบกับคนอายุราวซาวสี่ซาวห้าทั่วไป

หนุ่มนั้นชื่อว่าแสงแก้ว เป็นผัวนางบัวหอม เป็นลูกนางคำแผ้วกับนายคำคง

ปลดผ้าโพกหัวมาเช็ดเหงื่อ เอากระบวยจ้วงน้ำในหม้อมาดื่มชดเชยเหงื่อที่ออกจนชุ่มโชก  ถากถางเถาหญ้าแห้งฝ่อได้เยอะมากวันนี้ ขุดรากถากโคนออกมาหมด  ที่เป็นเครือเป็นเถาอาจฝ่อ แต่ใต้ดินลงไป รากและเหง้ายังไม่ตาย รอฝนใหม่มา มันจะลากเลื้อยพัวพันกันยากจะสะสาง

เรือกสวนยามแล้งสงบเงียบ นั่งอยู่นิ่งๆ พอจะรั้งใจลงรวมก็มีเสียงกรอบแกรบไม่ไกลตัว ลืมตาขึ้น นกกางเขนตัวหนึ่งกระโดดหย็องแหย็งเข้ามาจิกกินปลวก ขยับตัวนิดเดียวนกก็บินหนี ไม่มีเจตนาจะช่วยชีวิตปลวก ไม่มีเจตนาจะขับไล่นกกางเขน ไม่อยากล่วงล้ำคลองกรรมใครเลย

กรรมใครกรรมมันเถิดนกเอ๋ย กูเองก็ยังไม่รู้เลยว่าสืบไปข้างหน้า กูจะสุขมากขึ้นหรือทุกข์มากขึ้น

“บ่มีสุขหรอกเณร มีแต่ทุกข์ พระเจ้าเราสอนว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิด มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่นั้นที่ดับไป ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม”

“บ่มีสุขเลยหรือ ครูบาเจ้า”

“บ่มี สามโลกนี้เหยียบลงเถิด บ่มีที่ใดที่บ่มีทุกข์ พระเจ้าเราบอกอย่างนั้น”

“ข้าบ่เข้าใจ”

“ยังหนุ่มยังน้อยอยู่ ค่อยภาวนาไปเถิด วันหนึ่งจะเข้าใจ”

ย้อนนึกไปถึงคำครูผู้สั่งสอนตนมาแต่ตัวเล็กตัวน้อยแล้วทอดถอนใจ เสียดาย ไม่มีโอกาสได้พากเพียรรู้ให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ก็ต้องสึกออกมาเสียก่อน

เหงื่อมุด ชักเท้าพาดทับกันในวิถีสลักเพชร เรียกกันในวัดสันป่าเหมือดว่าสมาธิแบบสลักเพชร เป็นวิธีพิเศษเฉพาะที่ครูบาได้ออกจากป่าแล้วเอามาสอนอยู่ในวัด เท้าขัดกันในท่าขัดสมาธิเพชร หลับตาลง สางมือแปดนิ้วเข้าด้วยกันเป็นฝาหับ นิ้วโป้งซ้ายทับบนนิ้วชี้ขวา นิ้วโป้งขวาทับหลังนิ้วโป้งซ้ายเป็นท่าหับตัน อันนี้ละสลักเพชร

“เป็นใดถึงเรียกสลักเพชรเจ้า ครูบา”

“เหมือนเราหับประตูแล้วใส่สลัก แต่อันนี้เป็นสลักเพชร แน่นหนากล้าแกร่งกว่าเหล็กกว่าหิน ครูบาอาจารย์เจ้าจึงเรียกว่าสลักเพชร”

สูดลมหายใจลึกๆ ไล่ลมออกทางรูจมูกซ้ายสามหน ไล่ลมออกทางรูจมูกขวาสามหนเป็นการทดสอบคลองลมตามแนวคำสอนพิเศษจำเพาะของวัดสันป่าเหมือด  ลมโล่งดีทั้งสองคลอง ยังไม่ทันได้ไต่คลองลมลงสู่ท้อง เสียงเรียกหาร้อนรนดังมาแต่ไกล หนุ่มค่อนไปทางผอม หน้าออกจะเหลืองเล็กน้อยหลุดจากภวังค์ ขานรับแล้วเหลียวกลับ บัวหอมสาวเท้าถี่ ๆ มาหา จึงรีบทักท้วง

“อย่าลุกลนฟั่งฟ้าว” บอกว่าอย่าเร่งรีบ “จะท่าวล้มก้มหงายอันตรายต่อลูก”

“ห่วงด้วยหรือ …ลูกข้า”

“อย่าลูกข้าลูกเอ็งเลย มีหยังหือบัวหอม  ยายเป็นลมหรือ”

“บ่แม่น” บัวหอมหอบหายใจ เอามือกุมท้องหัวสาวที่ป่องนูนเห็นรูปแล้ว “พ่อเลี้ยงใช้ให้อ้ายหมานมาเรียกพี่หนานว่าเร็วๆ”

ลุกละจากร่มไม้ทอดเงายาว สาวเท้าไปสู่เรือนไม้สักหลังไม่ใหญ่โตนักแต่มั่นคงแข็งแรงดี ปลูกมานานก่อนตนเกิดโน่นแล้ว  เป็นเรือนที่พ่อเลี้ยงคำสีปันให้พ่อกับแม่อยู่ดองครองร่วมเป็นผัวเป็นเมียแก่กัน

พ่อเลี้ยงคำสีมีพระคุณล้นหัวล้นเกล้า

แต่เดิมท่านเป็นพ่อค้างัวต่างมาก่อน พ่อของท่านก็เป็นพ่อค้างัวต่าง  แต่ปู่ของพ่อท่านเหมือนจะเป็นพ่อกำนัน ตระกูลท่านใหญ่โตสูงส่ง สืบเชื้อสืบสายพญานาหมื่นนาแสนมาหลายชั่วคน ตระกูลท่านผายแผ่บารมีกว้างขวางครอบคลุมสันป่าเหมือดทั้งตำบล อาจแผ่ผายออกไปถึงตำบลอื่นด้วยซ้ำ  แสงแก้วเองได้เข้าสู่ร่มเงาพระบวรพุทธศาสนาก็เพราะบารมีท่านปกแผ่ ท่านรับเป็นพ่อออกหลวงหรือเจ้าศรัทธาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดทั้งมวล

“เรื่องหยังหือ อ้ายหมาน”

“บ่ฮู้ ถามพ่อเลี้ยงเอาดีกว่า เร็วหน่อยเอ็ง”

ไม่ต้องขึ้นเรือนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ก้าวเร็วๆ ตามลูกเขยพ่อเลี้ยงไปสู่เรือนหลังหลวงกว้างใหญ่ ตะวันพาดต่ำเกือบลับแล้วที่หลังดงดอยด้านตะวันตก ดอยดงหล่งหลวงแถบนั้นเรียกกันว่าดงนางแก้ว นางผ่ายผอมตรอมตายหงายหน้าสู่ฟ้า นางเคียด นางแค้น  นางตรอมตรมขมไหม้ ตราบใดเจ้ากุมารผู้นั้นไม่กลับไปหานาง นางจะกินชายทุกคนที่พลัดหลงเข้าดงดอยย่านนั้น

คนแก่คนเฒ่าเล่าสืบกันมาอย่างนั้น

ถึงเรือนหลังหลวงกว้างใหญ่หนึ่งในสองหลังของหมู่บ้าน หลังหนึ่งคนเรียกว่าเรือนพญา หลังนี้คนเรียกว่าเรือนหลวง

สมานตะโกนไปก่อนว่าไอ้หนานแก้วมาแล้ว หนานหนุ่มไม่ทันจ้วงกระบวยตักน้ำล้างเท้า เจ้าเรือนหลวงก็เรียกเร่งให้รีบขึ้นไปบนชานหลัง ท่านกับลูกน้องสามสี่คนนั่งอยู่ที่ยกพื้นบนชาน พอซัดตาเห็นเขา ผู้กว้างขวางยิ่งใหญ่ในตำบลก็กวักมือเรียกให้เข้าร่วมวง ตักยาดองยื่นให้ มิไยเขาจะปฏิเสธว่าศีลข้อสุราข้ายังถืออยู่ ก็ยังยัดเยียดใส่มือจนได้

“พ่อเลี้ยงเรียกข้ามาทำไมหรือ”

“มีแต่เอ็ง ไอ้หนาน เอ็งผู้เดียวเท่านั้นที่จะเอาน้องเอ็งออกมาได้”

“น้องข้า…” งงๆ อยู่ กับถ้อยคำพ่อเลี้ยง “ไอ้บุญทองน้องข้ามันเข้าร่องเข้ารูอันใด ถึงว่ามีแต่ข้าเอามันออกมาได้”

“บ่แม่นไอ้บุญทองแต่เป็นไอ้หล้า” กลอกตา เสยกเหล้าซด “หน่อแลกหน่อ เนื้อแลกเนื้อ พ่อเจ้าว่าอย่างนั้น ไอ้หล้าหลุดหลงเข้าดงนางแก้ว พ่อเจ้าว่ามีแต่เอ็งจะเอามันออกมาได้” ตบเหล้าเข้าปากอีกจอก วางแก้วแล้วเอื้อมสองมือมาบีบไหล่ไอ้หนุ่มวัยลูก น้ำเสียงส่อแววพลุ่งพล่านคลุมเครือ “พ่อขอร้องเอ็ง ไอ้หนาน เอาน้องเอ็งออกมา”

“ไอ้หล้าบ่แม่นน้องข้า”

“น้องเอ็ง…” พ่อเลี้ยงขมใจอะไรบางอย่าง รีบกล้ำกลืนลงไปเสีย “เอาเถอะ ถึงไอ้หล้าไม่ได้เกิดจากท้องคำแผ้วแม่เอ็ง แต่ขอให้นึกเสียว่ามันเป็นน้องได้ไหม มีแต่เอ็งไอ้หนาน มีแต่เอ็งผู้เดียวจะช่วยมันออกมาได้”

 

ฟ้าแลงแสงลับ นาฬิกามิโด้ราโด้เรือนโก้ราคาแพงมากบอกเวลาไม่ถึงหกโมงเย็นด้วยซ้ำ แต่หุบห้วยกลับเหือดแสงเพราะดอยสูงบังไว้ ตะวันยังไม่ตก ยังเห็นแสงฉายต้องปลายไม้ใหญ่สูงทางฟากตะวันออก แดดอ่อนเหลืองเหมือนตะวันเป็นไข้ ไม่ใช่หน้าหนาว ยังไม่เข้าต้นฝนดีนักด้วยซ้ำ แต่พอแดดรอนอ่อนแสง อากาศกลับเย็นลงฮวบฮาบ เหม็นสาบเหม็นสางบางอย่างโชยมากับลม

สาบสาง  สาบเสือ…

ตะครั่นตะครอ หนาวๆ เย็นๆ เหมือนจะเป็นไข้ ขนลุกอยู่วาบๆ ข่มใจบอกว่าไม่กลัว แต่ลึกๆ ก็ยังกลัว หลายครั้งหลายหนอยากเอื้อมมือไปเกาะชายเสื้อคนเดินนำหน้า แต่มานะทิฐิบางอย่างห้ามไว้

“พักกันก่อนดีไหม” สาวผู้เดินกลางระหว่างหนุ่มทั้งสองเอ่ยอ่อนๆ เชิงหารือ “ ซัก…ห้านาทีสิบนาที”

“หาที่หาทางก่อน”

หนุ่มคมเข้มผู้เดินนำหน้าขยับสายเป้บนบ่า ยกมือเลยไปเสยปีกหมวกตามความคุ้นชิน ลืมไปว่าหมวกหนังแสนเท่แบบคาวบอยโดนน้ำซัดหายไปแล้ว

หยุดเท้ารอ หันหน้ากลับมา ทอดตามองหน้าตาน่าเอนดูเหมือนเด็กของเพื่อนสาว ขยับมือ จะเอื้อมไปแตะเพื่อปลุกปลอบให้กำลังใจ แต่เห็นท่าทีบางอย่างคล้ายถือตัว ถือดี ก็เลยชะงัก

“อีกนิดเดียว  อีกนิดนะมุ่ย  ไหวไหม”

“ไหว”

เหนียวหนับเหนอะหนะ บุกป่าฝ่าดงกันทั้งวัน ถลอกปอกเปิกกันถ้วนหน้า เคราะห์ยังดีที่ไม่มีใครแขนขาหักเหี่ยง  อยากอาบน้ำ แต่เกรงจะจับไข้เพราะอากาศอบอ้าวแกมอับชื้นไม่น่าไว้วางใจ ร้อนใจไปถึงเพื่อนอีกสองคนที่ยังตามหาไม่พบ พลัดไปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน หรือพลัดไปคนละแห่ง อยู่คนละแห่ง ไม่อาจคาดเดาได้เลย

น้ำป่ารุนแรง น่ากลัวกว่าที่คิด หากฟ้าลั่นไม่เหนี่ยวสายกระเป๋าที่คล้องไหล่ไว้ มุ่ยหรือชื่อจริงว่ารุ่งรวีเองก็คงถูกน้ำซัดหายไปอีกคน

“ชลลดากับภูษิต ไม่รู้อยู่พร้อมกันหรือไม่”

“ยากจะเดา” วันปิยะญาติผู้พี่รั้งแขนเธอก้าวตามฟ้าลั่น “ขอภาวนา ให้อยู่รอดปลอดภัยเหมือนพวกเรา”

แดดรอนอ่อนลับไปทุกขณะ นกกากล่าวเกริ่นกู่ร้องเหมือนเรียกกันกลับรัง หุบใหญ่ทางฝั่งนี้ค่อนข้างทึบ เดาเอาว่าน้ำคงซัดเพื่อนอีกสองมาสู่ด้านนี้จึงตามหา แต่ตั้งแต่ติดตามกันมา ยังไม่พบร่องรอยอะไรเลย

“อดทนนะ ไปต่อนะ แข็งใจอีกนิดเดียว” ลูกรักหล้าชายของพ่อเลี้ยงคำสีแม่เลี้ยงอุ่นเฮือนกวาดตาไปมาแล้วตัดสินใจ “ข้ามห้วยกลับไปดีกว่า ฝั่งนี้ทึบเกินไป อันตราย”

“กูก็ว่า” วันปิยะมีอาการโล่งอก “ มันทึบ มันแน่น เหมือนไม่เคยมีคนเข้าถึงมาก่อน”

“ฝั่งห้วยส่วนนี้ อยู่ในเขตประเทศพม่า ผู้คนอาจเบาบางกว่าทางฝั่งเรา”

“โห…” รุ่งรวีอุทาน ท่าทางเหมือนท้อแท้ อิดโรย “เรารุกล้ำอาณาเขตประเทศเพื่อนบ้านมาแล้วหรือ ไม่รู้ตัวเลย”

“ชายแดนด้านนี้ยังไม่การปักปันชัดเจน พ่อเราว่าอย่างนั้น เพียงแต่ยึดถือกันคร่าวๆในระดับท้องถิ่นว่ายึดเอาแนวห้วยเขาะเป็นเส้นแบ่งแดน”

ตะวันรอนอ่อนลับไปเกือบมิด ข้ามลำห้วยแห้งๆ กลับคืนมายังฝั่งเดิมกันอีก เมื่อคืนตอนดึก น้ำหลากหลั่งถั่งท้นเหมือนเขื่อนแตก แต่ตอนนี้กลับแห้งเหมือนเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นเพียงฝัน

แต่มันไม่ใช่ฝัน มันเป็นความจริง

แต่ก็อยากให้เป็นเพียงความฝันมากกว่า

สาวผู้เดียวยังคงเดินกลางระหว่างเพื่อนชายทั้งสอง ไม่ใช่เพื่อน เรียกเป็นคำรวมๆ ว่าเพื่อนพอได้ ว่าโดยศักดิ์ฐานะที่เป็นจริง คนคุมหลังคือวันปิยะเป็นญาติผู้พี่ ไม่ใช่พี่ก็เหมือนพี่แท้ๆ เพราะเติบโตมาด้วยกัน คนนำหน้าคือเพื่อนซี้ร่วมห้องเรียนเดียวกันของวันปิยะ ชื่อว่าฟ้าลั่น เคยเห็นหน้าเห็นตาอยู่บ้างที่บ้านพี่ยะ แต่ไม่สนิทกันนัก

“ตรงนั้นน่าจะเหมาะ” เลยจากฝั่งห้วยมาอีกไกล ฟ้าลั่นชี้ไปที่ลานว่าง “โล่งๆ ลมอาจแรง แต่เสือสางใดๆ ยากเข้าถึงได้โดยเราไม่รู้ตัว”

“มีเสือจริงหรือ ฟ้าลั่น”

รุ่งรวีก้าวตามไปถี่ ๆ วันปิยะปิดท้าย ฟ้าลั่นยังคงก้าวยาวๆ พูดต่อโดยไม่หันหน้ามาหาเพื่อนจากในเมืองทั้งสองคน

“ป่าลึกดึกดงขนาดนี้ หากเก้งกวางมี เสือก็ควรต้องมี” หยุดเท้ารอ กล่าวต่อเหมือนปลุกปลอบให้กำลังใจ  “แต่มุ่ยอย่ากลัวเกินไป ชื่อว่าเสือ ใช่ว่าเห็นคนก็กระโจนตะปบ เสือไม่หิวไม่กิน  อาหารไม่หมดเสือไม่ล่า”

“ข้อนั้นพอรู้ คุณหมอบุญส่ง เลขะกุลเหมือนเขียนไว้ในหนังสือธรรมชาตินานาสัตว์” สาวตัวเล็กผอมบางตามทัน หอบหายใจเล็กน้อย “แต่…บอกตามตรงเลย บางทีความรู้ก็ลบล้างความกลัวไม่ได้”

“ก็บอกแล้ว ห้ามแล้วว่าอย่ามา” หนุ่มร่างโปร่ง ผอมบางกว่าคนแรกย่นจมูก “ห้ามบ่น ห้ามงอแง แล้วก็…ห้ามบอกแม่ว่าพี่ยะแอบสูบบุหรี่”

“บอกไปนานแล้ว ป้ารู้นานแล้ว พี่ยะ”

“ว้า…”

“แสงจะหมดฟ้าแล้ว” ฟ้าลั่นตัดบท “เร็วหน่อย ต้องตัดไม้ หาฟืน ก่อไฟ จะไม่ทัน”



Don`t copy text!