แก้วฟ้าล้ง บทที่ 5 : เปรต
โดย : มาลา คำจันทร์
แก้วฟ้าล้ง โดย มาลา คำจันทร์ เรื่องราวการรอคอยคนรักให้กลับคืนมาเพื่อชดใช้หนี้กรรม หนี้ความรักที่ผูกพันมาแต่ชาติปางก่อน หากแต่เวลาแห่งการรอคอย จะแลกด้วยชีวิตของชายทุกคนที่นางจะกลืนกินจนกว่าเจ้าผู้นั้นจะกลับมา “แก้วฟ้าล้ง” นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
*****************************
นกกายังไม่ร้อง ไก่ยังไม่ขัน ทั้งบ้านยังไม่มีใครตื่น แต่คนเข้าผ้าเหลืองไปแต่เมื่อสิบขวบตื่นแล้วตามความเคยชิน ถูกฝึกฝนเคี่ยวกรำมายาวนานจนคุ้นเคย ราวตีสี่ นาฬิกาเรือนใหญ่ที่โถงกุฏิตีดังโต่งๆๆๆ หากเณรรูปใดยังไม่ตื่น หลวงลุงจะเอาด้ามไม้กวาดฟาดฝาห้อง ตีสี่ครึ่งทุกคนต้องพร้อมในพระวิหาร สวดมนต์ทำวัตรเช้าราวครึ่งชั่วโมงแล้วนั่งสมาธิ
ต้องขัดสมาธิเพชรเท่านั้น แนวทางของครูบาคำตันวัดสันป่าเหมือดแตกต่างจากแนวทางวัดอื่นๆ สองมือก็ไม่วางซ้อนกันบนตัก หากแต่ประสานนิ้วทั้งแปดเข้าด้วยกัน นิ้วแม่โป้งซ้ายทับนิ้วชี้ขวา นิ้วแม่โป้งขวาวางทับนิ้วโป้งซ้าย เพ่งใจจ่อที่นิ้วโป้ง
“ครูให้มาอย่างนี้ เณรเอ๋ย”
“ผู้ใดเป็นครูของครูบาเจ้า”
“ชีป่าตนหนึ่ง ครูบามีบุญได้ไหว้ท่านแต่เมื่อเริ่มธุดงค์ปีแรกๆ โน่นแล้ว ท่านบ่แม่นตุ๊พระอย่างเรา แต่เป็นชี”
“เดี๋ยวก่อน ครูบาเจ้า เฮาเป็นตุ๊พระ ไปไหว้ชี บ่ผิดหรือ”
“ผิดหยัง”
“ผิดวินัย”
ท่านผู้เป็นครู ผู้สืบทอดแนวทางสมถกรรมฐานมาจากฤษีชีไพรถอนหายใจยาวๆ
“ไหว้ก้อนอิฐก้อนดิน ไหว้ต้นไม้ ก็ยังไหว้กันลุบ ๆ ไหว้คน ไหว้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไหว้ผู้สั่งสอนถ่ายทอดธรรมแก่เรา เป็นใดถึงไหว้บ่ได้” ท่านย้ำคำ “ที่สำคัญ เราไหว้ครู ไหว้ธรรม บ่แม่นไหว้คน”
“อีกข้อข้าสงสัย เป็นใดตุ๊พระอย่างเฮา ไหว้คนบ้านบ่ได้”
“ศีลเราสูงกว่าท่าน บ่ควรไหว้ท่าน ผู้ศีลสูงไหว้ผู้ศีลต่ำ จะเป็นอัปมงคลแก่ผู้ศีลต่ำ”
“ข้าเข้าใจละ ครูบา”
นึกคิดคำนึงไปถึงปีแรกๆ ที่เข้าผ้าเหลือง ยังเป็นเด็กอยู่มาก ที่ซนๆ ประสาเด็กก็มีอยู่มาก อย่างเอาส้มโอหล่นมาต่างแทนลูกบอลแล้วเล่นเตะกันไปจนฝุ่นฟุ้งเป็นต้น แต่ครูบาท่านเคี่ยวกรำเรื่องสมาธิมาก เคี่ยวกรำเป็นพิเศษก็คือไอ้หนานแสงแก้วในวันนี้นี่เอง ท่านนึกคิดอย่างไรไม่รู้ ท่านถือไม้เท้าก้าวเข้ามาในเขตบ้านขอต่อพ่อกับแม่เอาไปเข้าวัด ท่านว่าอาจเป็นไอ้ผู้นี่แล้วที่จะสืบทอดแนวทางสลักเพชรไปในวันข้างหน้า
ปีแรกๆ หัดนั่งสมาธิก็มีขลุกขลักอยู่บ้าง แต่นานเข้าก็เริ่มชิน นั่งได้นานๆ ใจคอไม่ว่อแว่แส่ส่าย ครูบาเองเฝ้าใฝ่ใจถึง สังเกตสังกาสอดส่องดูแลมาโดยตลอดจึงก้าวหน้าได้เร็ว ตอนเมื่ออายุได้ราวสิบห้าปี นั่งนิ่งในท่าเดิมได้เป็นชั่วโมง
ราวตีสี่ หลานเหลนโหลนของหมื่นคำม่วนในอดีตกาลไกลลิบพรวดพราดลุกออกมาจากที่นอน
เหมือนฝัน ไม่ใช่เหมือนฝันแต่ฝันไปจริงๆ ฝันเท่านั้น แต่เป็นฝันที่เหมือนจริงมากเหลือเกิน
ยังเย็นเยียบเฉียบชื้น น้ำคืนน้ำค้างพร่างพรมห่มไพรหนักหน่วง ไฟในกองมอดดับ เหลือแต่ถ่านคุแดงแสงหมอง เพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสองขดตัวกลมเหมือนลิ่น สงสารเพื่อน โดยเฉพาะคือรุ่งรวี เป็นผู้หญิง แถมตัวเล็ก แต่ร่างกายกลับแข็งแรงเกินคาด ล่วงมาถึงเช้าวันนี้ยังไม่ส่ออาการเป็นหวัดเป็นไอหรือเป็นไข้เหน็บหนาวแต่ประการใด
กรำลม กรำฝน น้ำป่าถล่ม ผลุนผลันออกมากระโจมใหญ่หลังเดียวที่นอนร่วมกันทั้งหมด น้ำซัดตูมมาตอนนั้น รุ่งรวีแม้ไม่เคยเรียนลูกเสือหรือเคยเข้าหลักสูตรรักษาดินแดนอย่างนักเรียนชาย แต่ร่างกายแข็งแรง สติก็ดีมากๆ ไม่ร้องกรีดหวีดว้ายเลย
ตรงข้ามกับสาวอีกคน
สลัดหัว ไม่อยากนึกคิดถึงเธอในทางร้าย
แกะกระดุมเสื้อแจ๊กเก็ตยีนส์เท่ๆ ถอดออกจากตัว เอาไปห่มคลุมให้สาวร่างบางผู้เหมือนน้องของเพื่อน ไม่รู้สึกรู้สาเลย หากจะลักหลับก็ง่ายดายอย่างยิ่ง แต่ชายชาตรีอย่างเขามีหรือจะลักหลับ หยิ่งเกินไปที่จะทำอย่างนั้น
กู…ไอ้หล้าฟ้าลั่น
ลูกพ่อเลี้ยงคำสี หลานพ่อเลี้ยงคำแสน เหลนโหลนหลีดหลี้ของหมื่นคำตวงหมื่นคำม่วน สืบสาวยาวลึกเข้าไปอีก ผีเหง้าเค้าโคตรกูชื่อว่าเจ้าสายฟ้าม้าน
กูเองหากอยากนอนสาว สาวต้องเต็มใจให้กูนอน ไม่ได้อวดตัวเลย กูนอนสาวมาแต่ม.ศ.๒ อยู่มาถึงวันนี้ กูมั่นใจว่าในหมู่เพื่อนร่วมชั้นเรียน ไม่มีใครได้นอนสาวเท่ากู
ไอ้ยะล่ะ เคยนอนสาวละยัง
คิดว่าไม่นะ กำแพงดงกำแพงดิน…แหล่งสาวขายตัวพวกนั้นมันเองก็คงพอจะรู้จัก แต่พ่อแม่มันเข้มงวดมาก โรคหนองใน โกโนเรีย ซิฟิลิสอะไรนั่น มีหรือที่พ่อแม่มันจะไม่มีความรู้
ไอ้ษิตล่ะ แล้วก็…ชลลดา
แวบไหวไปถึงสาวอกใหญ่ก้นใหญ่เขียนคิ้วทาปากเคลือบสีที่เล็บ แค่นึกก็คึกจนคับตุงแล้ว
หล่อนอยากเกาะกู คิดผละจากไอ้ษิตมาเกาะกูเพราะไอ้ษิตไม่รวยจริง
ยาก…ยากมากอีหนู ที่จะเกาะพี่
ยังอยู่ที่โถงเรือนด้านหน้า จุดเทียน ไหว้พระ น้อมนิ่งสำรวมใจ วันนี้จะเข้าป่าไปกับพ่อเลี้ยงผู้มีบุญคุณล้นเหลือต่อพ่อแม่และตน ได้อยู่ดีกินดี สุขสงบร่มเย็นมาโดยตลอดเพราะท่าน ได้เข้าผ้าเหลืองก็เพราะท่าน ได้เมียก็เพราะท่าน ตลอดมาไม่มีทุกข์ร้อนค่อนเคืองอันใดมาแผ้วพานเลย หากพ่อไม่หมดกรรมสิ้นอายุไปเสียก่อน ก็คงยังอยู่ในวัด เป็นตนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้ศรัทธาชาวบ้านใส่บาตรทำบุญ ได้พากเพียรเขียนอ่านพระธรรมคำสอนสืบอายุพระพุทธศาสนา แก่กล้าขึ้นมาก็อาจได้เป็นครูบาเจ้าวัด เป็นตนศีลตนธรรม.ให้ชาวบ้านได้ใส่ข้าวบาตรแล้วอิ่มอกอิ่มใจว่าได้บุญ แต่ว่าบุญผ้าเหลืองหมดลงเสียแล้ว แม้ยังอาลัยอยู่แต่ก็ตัดใจได้
ย้อนนึกไปถึงครั้งหนึ่ง ก่อนจะสึกสักปีสองปี ยามเยือกเย็นใกล้แจ้ง เดือนคืนเพ็ญยังค้างฟ้า ครูบาท่านมาเคาะประตูเรียก
“ตุ๊แก้ว ตื่นๆ”
“เช้าอยู่ ครูบา”
“ตื่น บอกหื้อตื่น บ่ได้ถามว่าเช้าบ่เช้า”
“มันหนาว”
“บ่ได้ถามว่าหนาวบ่หนาว ลุกเร็วพลันบัดนี้ เปิดประตูห้อง”
อาจสักตีสามเท่านั้นกระมัง ยังไม่ถึงเวลาตื่น อยากนอนต่ออีกสักชั่วโมงแต่ผู้เฒ่าเจ้าวัดคุกคามให้ลุกไปถอดกลอนประตู ท่านเองคลุมผ้าบิดลูกบวบ มีสังฆาฏิพาดบ่าเรียบร้อยเหมือนจะเดินทางออกจากวัด ท่านบังคับตนให้ห่มดองครองผ้า พาดสังฆาฏิเหมือนท่าน แล้วให้พาท่านลงบันได วัดทั้งวัดเงียบงับหับเสียงกันไปหมด เดือนคืนข้างแรมแก่ขึ้นฟ้ามาอยู่ปลายตาล ไม่ได้เดินไปทางหน้าวัด แต่ท่านนำหน้าขากะเผลกเล็กน้อยไปทางหลังพระวิหาร นึกแปลกใจ ท่านจะปันคาถาอาคมอันใด หรือจะพาไปพิจารณาอสุภกรรมฐานที่ป่าช้านอกเขตกำแพงวัด แต่ไม่ใช่ ท่านพาไปถึงท้ายวัดรกครึ้มด้วยต้นไม้ลุงไม้ไฮใหญ่ๆ สูงๆ ก็หยุด
“ครูบาพาข้ามาเยียะหยัง”
“มาดูเปรต”
“ฮุ่ย” พระหนุ่มสะดุ้ง “มาดูเปรต มีอันใดน่าดู ข้าบ่ดู”
“ต้องดู มีแต่ตุ๊ผู้เดียว จะโผดผายเผตตนนี้ได้ เสวยทุกขเวทนามานานมาก ทุกข์ทรมานลำบากมาแต่ก่อนตาย บาปกรรมสาหัส ครูบาเองก็โผดบ่ได้”
“เป็นใดครูบาโผดบ่ได้”
“ครูบาบ่ใช่สายเลือดเดียวกันกับมัน”
“ข้ากับเปรตผู้นั้นสายเลือดเดียวกันหรือ”
“หับปากไว้ก่อน เขากำลังจะมา”
หนาวนัก อากาศเหมือนจะเยือกเย็นลงไปอีก กลัวไหม ก็กลัวอยู่แต่ไม่มากเพราะเชื่อมั่นในบุญศีลบุญธรรม บุญเมตตาบารมีแห่งครูตน ท่านปลุกลุกคุกคามให้ตื่นแต่ดึกก็เพื่อจะพามาดูเปรตตนหนึ่ง อาจมีแต่เขานี่เองที่พอจะโปรดเปรตน่าเวทนาตนนั้นได้
เป็นเปรตผู้ใดหนอ ทำบาปทำกรรมอันใดไว้หนอ
“มาละยัง ครูบา”
“บอกว่าหับปาก บุญเขาน้อย น้อยมาก เสียงปากคนเราจะทำให้เขาคุมร่างไม่ได้”
“ขอถามคำเดียว เปรตตนนี้ทำบาปอะไรไว้”
“มันลักพระแก้วหยกไปขาย”
สูดลมหายใจลึกๆ ยืนอยู่ข้างหลังท่าน มือหนึ่งจับชายจีวรท่านไว้เพื่อยึดเอาเป็นที่พึ่ง อีกมือตั้งพนมกลางอกนึกหาบุญกุศลที่ได้ทำมาจะแผ่บุญให้เปรต
ช้าๆ เนิ่นนานมาก เปรตค่อยก่อร่างเป็นหมอกสีเทาเบาบางแล้วค่อยเข้มขึ้น ไม่มีเสียงกู่โหยโอยโอด ไม่มีเสียงกรอกรีดหวีดหวิวอย่างครูเป่านกหวีดเรียกนักเรียนเข้าแถว สีเทาค่อยทึบขึ้นพอมองเห็นรูปร่างแต่เห็นหน้าไม่ชัดเจนนัก
ผีเหง้าเค้าเครือ บรรพบุรุษฝ่ายใดกันแน่หนอ
ผอมสูง ซี่โครงบาน ท้องแฟบ หน้าซีดขาว เบ้าตาหล่มลึก
กองไฟไม่ลุกแรงนัก เพราะฟืนหาได้ในที่ใกล้เป็นไม้ปลายกิ่งปลายก้านที่หักตกลงมา เนื้อไม้ไม่มาก เนื้อไม้ไม่แน่น เผาไหม้ไม่นานก็วอด ยังไม่มีความถนัดจัดเจนเรื่องป่าดงพงพีอะไรมากนัก ประสบการณ์ตรงๆ ก็มีแต่กิจกรรมพักแรมวิชาลูกเสือสมัยมัธยมต้น ก่อไฟพอได้ ของกินได้ในป่าก็พอรู้จักแต่ไม่ถนัดจัดเจนอย่างลูกป่าลูกดอยที่กำเนิดเกิดในดงดอยทั้งหลาย มาเที่ยวป่าหนนี้… ไม่ใช่ มาเที่ยวบ้านนอกหนนี้ที่จริงก็ไม่อยากมาเท่าไร แต่เธออ้อนจนใจอ่อน
ไอ้ยะเอ่ยชวน พ่อมันได้ปืนกระบอกใหม่ ไอ้ยะอยากลองปืนจึงเอ่ยชวน เขาเองก็เผลอพูดกับชลลดา เธอสนใจ ลงทุนถึงขั้นหอมแก้มเขาให้พามาด้วย ออกจากตัวเมืองมาด้วยกันสี่คนด้วยรถไอ้ยะ พ่อมันรวย เป็นถึงเจ้าของโรงบ่มใบยา ส่วนพ่อแม่เขาเองเป็นครู ฐานะเงินทองพอส่งลูกเรียนหนังสือโรงเรียนดีๆ ได้ แต่ไม่ได้มีเงินทองเหลือเฟืออย่างพ่อไอ้ยะและพ่อไอ้ฟ้าลั่น คบหากันในหมู่เพื่อนร่วมชั้นเรียนสี่ห้าคน เขาเองดูด้อยที่สุดในเรื่องเงินทอง แต่มีจุดเด่นเป็นข้อชดเชยคือหัวดี เรียนหนังสือเก่ง ไอ้พวกนั้นต้องพึ่งพาเขาไม่ว่าวิชาเคมี ชีวะ เรขา พีชะ ตรีโกณ…อะไรพวกนี้
ไอ้พวกนั้นหล่อๆ รวยๆ ทั้งนั้น สาวๆ ติดกรอ แต่เขาเอง…ไม่อยากพูดเลย
“ษิต”
มีเสียงเรียกจากข้างหลัง ครางหือแทนคำขานรับ เหลียวกลับไปมอง ชลลดาลุกมานั่งร่วมกองไฟ
“ยังอีกนานกว่าจะสว่าง ลุกมาทำไม”
“มันหนาว เรา…เหมือนจะเป็นไข้ ปวดหัว ปวดเนื้อตัวไปหมด”
“มียาไหม”
“ไม่มี”สาวชอกช้ำตกน้ำตกท่าส่ายหน้า แววตาดูร่วงโรย “ไม่นึกว่าจะเจออะไรร้ายๆ อย่างนี้ เลยไม่เตรียมมา”
“มานั่งนี่สิ”
ตบที่นั่งข้างตัว คว้าเป้ ค้นหายาตามซอกกระเป๋า เป็นยาแก้ปวดแก้ไข้ในชุดยาสามัญประจำบ้านทั่วไป
“ขอโทษนะ”
ยื่นมือไปแตะหน้าผากเธอ ตัวร้อน มีไข้แน่ ๆ รูดยางยืดที่รัดห่อปากถุงพลาสติก เอาแผงยาแก้ปวดหัวตัวร้อนออกมา แกะยาเม็ดหนึ่งยื่นให้ แฟนคนแรกรับไปใส่ปากแล้วรับกระติกน้ำเทลงกลั้วคอ
“ขอบคุณมากษิต ขอบคุณ”
“เรา…กอดไว้นะ”
“กอดเถิด กอดแน่นๆ” ปากเธอสั่น หน้าซีดขาวจนริมปากเขียว “กอดอย่างเดียวนะ เรา…กลัว”
“กอดอย่างเดียว นี่คือคำมั่นสัญญาของลูกเสือเอก” หนุ่มอ่อนตัวเล็กเตี้ยที่สุดในกลุ่มชูสามนิ้วขึ้น “เสียชีพอย่าเสียสัตย์ นี่คือมอตโต้ของลูกเสือ”
แกะกระดุมเสื้อแจ๊กเก็ตยีนส์ตัวหนาเนื้อผ้าแน่นคลุมไหล่ให้เธอก่อนแล้วรวบกอด กอดไว้แน่น รู้สึกหยิ่ง รู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ภาคภูมิใจมากๆ
อยากสูบบุหรี่ เลียนแบบมาดเท่ๆ ของไอ้ฟ้าลั่น
แม้จะหลับไปทีหลังผัว แต่อุ่นเฮือนก็มักตื่นก่อนเสมอ ถูกฝึกฝนให้ตื่นก่อนพ่อก่อนแม่มาแต่นมเริ่มตั้งเต้าโน่นแล้ว สมัยแต่ก่อน ลูกหญิงบ้านใดเริ่มเป็นสาว แม่ก็จะฝึกให้รู้จักลุกมานึ่งข้าวเป่าไฟแต่ไก่ยังตบปีกโก่งคอขัน โตมาอีกนิดจะถูกฝึกให้ปั่นฝ้ายทอหูก ตักน้ำตำข้าว ครัวแลงแปลงกิน อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดก็พร้อมจะออกเรือนได้แล้ว
อุ่นเฮือนออกเรือนเมื่ออายุยี่สิบ เมื่อยังเป็นสาวก็อู้บ่าวอยู่สองสามคน สมัยแต่ก่อน เมื่อค่ำยามคืน ผู้ใดเป็นสาวก็มักจุดตะเกียงหรือตามไต้รอพี่อ้ายชาวบ่าวมาแอ่วมาอู้ อยู่เปล่าอยู่ดายก็ปั่นฝ้าย ทอผ้าหรือเย็บปักถักร้อยไปด้วย สาวผู้ใดไม่หมั่นเวียกหมั่นการ เอาแต่นั่งส่องหน้าตัวเองอยู่หน้ากระจก ก็อาจได้อยู่เป็นสาวจนเฒ่าเพราะบ่าวบ่สู้คือไม่ชอบ อุ่นเฮือนเองเป็นคนขยัน อาจสืบเชื้อสืบสายมาจากแม่จากยาย อยู่เปล่าอยู่ดายไม่เป็น มักหานั่นหานี่ทำเสมอ แม้เมื่อพ่อเลี้ยงคำแสนกับแม่เลี้ยงสีทาขึ้นเรือนมาทาบทามสู่ขอ ก็ยังอยู่เปล่าอยู่ดายไม่เป็น แม้เมื่อได้เป็นแม่เลี้ยงตามยศศักดิ์หน้าตาของผัว ก็ยังตำหูกทอผ้า เข้าครัวแปลงกินอยู่นั่นเอง
ไม่อยากมีคนใช้อีกเลย โดยเฉพาะคนรับใช้สาวๆ
ลงจากเตียง เดินโหย่งด้วยปลายเท้าออกมา ถูกฝึกฝนมาเช่นนี้จากแม่ เปิดประตูห้อง หับตามหลังเบาๆ เกรงใจคนหลับคนนอนคือผัว ออกจากเรือนทางด้านหลัง เรือนไฟอยู่ปลายชานใกล้ร้านน้ำมีแสงไฟแลบออกมา แสงดาวพี่สาวไอ้หล้าตื่นมานึ่งข้าวเป่าไฟก่อนแม่ อายุยี่สิบสี่แล้ว เป็นสาวเทื้อเรื้อรังคาเรือน แสงดาวไม่พึงใจหนุ่มผู้ใดเลย พ่อแม่ก็เลยไม่ได้เขยเล็กเอามาไว้ใช้บ่าใช้แรง
“ไยลุกก่อนแม่ วันนี้”
“อี่พ่อจะพาคนเข้าป่า ต้องนึ่งข้าวไหใหญ่ ดาวเลยลุกมานึ่ง”
“เอ็งอย่าดูแคลนแขนแม่ ข้าวไหใหญ่กว่านี้แม่ก็ปลงได้”
“แม่ไปดูย่าเถอะ”
“อือ”
ย่าของลูกก็คือแม่ของผัว อยู่มาจนถึงวันนี้นางก็ยังซาบซึ้งในหัวใจ อ้ายคำสีเป็นแม้หน้าตาไม่หล่อเหลาแต่เป็นลูกคนมั่งมี สาวที่อ้ายคำสีหมายตาไว้ครั้งนั้นใช่มีนางเพียงผู้เดียว มีสาวอื่นอีกหลาย นางเองก็คิดๆ ฝันๆอยู่ เหมือนกันว่าจะได้ผัวเป็นหนุ่มหล่อร่ำรวยชื่อคำสี แต่คนที่ฝันอย่างนี้ใช่มีแต่นางคนเดียว แต่พ่อเลี้ยงคำแสนกับแม่เลี้ยงสีทากลับเลือกนาง
ลงจากเรือนทางบันไดหลัง เลาะเลี้ยวไปตามทางเดินเส้นน้อยเข้าสู่ส่วนลึกของสวน พ่อผัวกับแม่ผัวย้ายลงจากเรือนหลวงไปอยู่เรือนน้อยท้ายสวนหลายปีอยู่เหมือนกัน ท่านว่าเรือนหลวงขึ้นยากลงยาก แข้งขาคนเฒ่าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกลัวตกกระได แต่ลึกๆ ลงไป เหมือนจะมีเรื่องผีสางคำสาปคำแช่งอันใดสักอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง นางเองไม่รู้รายละเอียดมากนัก ไม่กล้าถามพ่อผัวแม่ผัว ครั้นถามจากผัว พ่อไอ้หล้าก็ว่าสูเข้าเรือนมาเป็นสะใภ้ อย่ารู้ไปเลย
พ่อเลี้ยงคำแสนไม่เข้าวัดมาสี่สิบกว่าปีแล้ว เกี่ยวข้องอันใดกับเรือนหลังหลวงหลังน้อยหรือไม่ สะใภ้ผู้ชื่ออุ่นเฮือนไม่รู้ แต่แม่เลี้ยงสีทาเข้าวัดแทบทุกวันศีลวันธรรม เพิ่งหยุดสักสองสามปีมานี่เองเพราะข้อแข้งข้อเข่าไม่ค่อยดีแล้ว
พ่อเลี้ยงคำแสนตายลับดับไปได้สี่ห้าปี ทุกข์ทรมานก่อนตายหลายปี แต่แม่เลี้ยงสีทายังอยู่เรือนน้อยปลายสวนตามเดิม ลูกหลานชักชวนให้คืนเรือนหลวงก็ไม่ยอมกลับคืน อยู่มาวันนี้แม่เลี้ยงอายุได้แปดสิบสองปี แข้งขาไม่ค่อยดีแต่ลุกยากนั่งยาก ยามตื่นนอนจะลุกยากเป็นพิเศษ ลูกหลานจึงมาใฝเฝ้าดูแลแต่เช้า
“อี่แม่”
“หือ อุ่นเฮือนหรือ นึกว่าแสงดาว”
“อี่ดาวเฝ้าข้าวไหหลวง อี่เฮือนเลยมารับใช้ใฝ่เฝ้าแทน”
“ขึ้นมา”
ขึ้นเรือน บันไดเรือนมีเพียงสามขั้น เป็นเรือนน้อยใต้ถุนเตี้ยเหมาะกับคนเฒ่าคนแก่ สี่ห้าปีก่อนหมดลมหายใจ พ่อเลี้ยงคำแสนเป็นโรคลึกลับอะไรบางอย่าง ลูกชายคนโตของนางกับผัวเอาไปหาหมอถึงโรงพยาบาลในเมืองเชียงใหม่ ไปหลายหนแต่ไม่หาย หมอก็ตกยามาให้กินก็ไม่หาย ก่อนตายคลั่งเพ้อเลอะเลือนไม่ได้สติ กระเสือกกระสน ดิ้นรนกระวนกระวายถอดจิตลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงสีทาเหมือนจะนึกได้อันใดสักอย่าง ให้คนไปนิมนต์ครูบามากลางดึกกลางดื่น ครูบาปันสรณคมน์ ปันศีลปันพรแล้วว่าไปตามกรรมตามเวรเถิดพ่อเลี้ยง ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งทุกข์ พ่อเลี้ยงถึงถอดจิตได้
นางเองได้ใส่ใจใฝ่เฝ้าพ่อผัวแม่ผัวด้วยดีมาตลอด ปีท้ายๆพ่อผัวนอนติดเตียง นางเองเป็นคนเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวไม่รังเกียจเลย นึกแต่ว่าพ่อผัวแม่ผัวก็เหมือนพ่อเกิดแม่เกิดตามคำพ่อแม่สั่งสอน
พ่อผัวแม่ผัวรักนางมาก ไม่ลำเอียงเข้าข้างอ้ายคำสีอันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสองเฒ่าเลย
เมื่อวิวาทบาดหมางกันรุนแรงครั้งนั้น