Going to the sun, ทัณฑ์รักพยาบาท บทที่ 3 : ครอบครัวหลุยส์
โดย : ณารา
Going to the sun, ทัณฑ์รักพยาบาท นวนิยายแนวลึกลับฆาตกรรม โดย ณารา เรื่องราวของ คีรี แพตเตอร์สัน กับการเดินทางย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตและวิญญาณของหญิงสาวที่พบเจอ เมื่อเขาได้เข้าพักในห้องหมายเลข 404 ห้องต้องห้ามที่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว นวนิยายออนไลน์สนุกๆ เรื่องนี้ #มีให้อ่านที่อ่านเอา
****************************
– 3 –
คีรีเดินตามเสียงร้องไห้ในความฝัน ต้นสนสูงใหญ่เป็นเงาตะคุ่มตรงหน้า เขาไม่กล้ากดสวิตช์เปิดไฟฉายในมือ ด้วยตนก็มีชนักปักหลัง เสียงคนทะเลาะกันเงียบไปแล้ว หลงเหลือแต่เสียงร้องไห้แผ่วเบา เขาเดินไปจนถึงต้นไม้ที่มีเงาของหญิงสาวยืนอยู่
เธอสวมเสื้อคลุมสีดำ กำลังเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า เขารีบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้ หากเสียงกิ่งไม้หัก ก็ทำให้เธอหันมาทันที
“ใคร?”
“เอ่อ…ขอโทษครับ ผมเอง” เขาก้าวออกไปจากที่ซ่อน “ผมขอโทษ ไม่ได้คิดจะละลาบละล้วงครับ แค่ได้ยินเสียงร้องไห้ จึงมาตรวจดูความเรียบร้อย…เอ่อ…คุณโอเคหรือเปล่าครับ”
“ฉันสบายดี” เธอสูดจมูก เชิดคางขึ้นคล้ายกับไม่อยากเสวนากับเขา คีรีก้าวถอยหลัง และก้มศีรษะ
“ครับ ถ้าอย่างนั้น คุณจะกลับโรงแรมเลยหรือเปล่าครับ ผมจะคอยดูแลความปลอดภัยให้คุณ”
เธอสะบัดหน้าพรืด แล้วออกเดิน คีรีเดินตามหลังไปห่างๆ จนกระทั่งเข้าเขตแสงไฟ เขาก็แยกไปอีกทาง…หากในใจยังสงสัยยิ่งนักว่าใครกันที่ทำให้เธอต้องร้องไห้…
ความฝันยังไม่จบเพียงเท่านั้น ภาพต่อมาที่เห็นคือเขายืนอยู่ท่ามกลางคนงานชายนับร้อย รวมทั้งเครื่องมือและเครื่องจักรสำหรับการก่อสร้าง ทุกคนสวมเสื้อผ้ามอมแมม ฝุ่นเขรอะไปทั้งตัว พอมองไปข้างหน้าก็รู้ถึงเหตุผลที่ต้องมายืนรวมตัวกันอยู่ตรงนี้
รถยนต์สองคันแล่นมาจอดตรงหน้ากระท่อมอันเป็นที่ตั้งสำนักงานชั่วคราวของทีมงานก่อสร้างถนนจากฝั่งตะวันออก ชายและหญิงอายุราวห้าสิบก้าวลงจากรถลินคอล์นสีดำ ที่บัดนี้ข้างรถและล้อเต็มไปด้วยฝุ่น หากเสื้อสูทและชุดกระโปรงที่ตัดเย็บอย่างดีของทั้งสองยังคงสะอาดสะอ้าน รถคันที่ตามมา หลังจากจอดสนิท ก็มีหญิงสาวสองคนและเด็กชายอายุราวสิบขวบก้าวลงมาท่าทางกระตือรือร้น
สายตาของหญิงสาวในชุดสีฟ้ากวาดสายตามองกลุ่มพนักงาน คีรียืนตะลึงไปหลายวินาที ก่อนที่คนข้างๆ จะถองศอกเข้าข้างเอว ตามด้วยเสียงหัวเราะครืนใหญ่ เขาจึงรีบหลบตา แก้มร้อนผ่าวเมื่อได้ยินเสียงกระเซ้าว่าไม่รู้จักเจียมตัว
หญิงสาวอีกคนในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนอยู่ข้างกายน้องสาว สายตามองไปทางกลุ่มหัวหน้าผู้คุมงาน ใบหน้าราบเรียบมีรอยยิ้มคลี่ออกบางๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนลง แต่เขาไม่เห็นชายคนไหนยิ้มตอบเธอเลยสักคน
แขกผู้มาเยือนทักทายหัวหน้างาน ก่อนจะเดินมาทักทายคนงานที่ยืนรวมกลุ่มอยู่ตรงนั้นพอเป็นพิธี จากนั้น หัวหน้าของพวกเขาก็โบกมือไล่คนงานกลับไปทำงานตามเดิม ส่วนแขกทั้งห้าก็เดินไปตรวจดูสถานที่ราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้านก็ไม่ปาน
คีรีเดินกลับไปทำงานที่ละมือมาเมื่อครู่ เครื่องไม้เครื่องมือที่ถูกส่งมาเพิ่มเติม ทั้งรถบรรทุก รถแทร็กเตอร์จอดเรียงราย คนงานช่วยกันลำเลียงอุปกรณ์ลงจากรถบรรทุกอย่างแข็งขัน
คนงานบางส่วนกำลังปรับหน้าดินเพื่อสร้างถนนต่อจากทางราบที่มาสิ้นสุดตรงเชิงเขา ขณะที่เส้นทางที่จะตัดขึ้นไปบนเขาจะต้องรอการตัดต้นไม้ ระเบิดเขาและวัดระดับ ก่อสร้างตามแบบต่อไป
ครอบครัวหลุยส์เดินดูงาน หากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เหล่าผู้หญิงก็เริ่มเบื่อ จึงไปนั่งตรงใต้เต็นท์ที่จัดเตรียมไว้ พร้อมขนมและเครื่องดื่มเย็นฉ่ำไว้คอยบริการ
คีรีคอยเหลียวมองไปทางครอบครัวผู้บริหารหลายครั้งอย่างห้ามไม่ได้ หญิงสาวคนสวยเป็นเป้าสายตาของผู้ชายทุกคนรอบกาย เธอน่ารักสดใส ส่งยิ้มให้กับทุกคนอย่างเป็นมิตร หัวใจของเขารู้สึกแกว่งๆ ที่เห็นรอยยิ้มนั้นแม้จะรู้ว่าเธอไม่ได้ยิ้มให้กับเขาก็ตาม
สักพัก ฟิลลิปก็ให้คนงานมาเรียก คีรีเดินไปพบ ก็ได้รับคำสั่งให้พาลูกสาวและลูกชายของอเล็กซ์ไปดูการทำงานของรถตักและรถบดถนนที่ถูกส่งมาใหม่ล่าสุด เด็กชายอยากขึ้นไปขับ ขณะที่หญิงสาวในชุดสีฟ้าก็สนใจอยากรู้เช่นกัน ส่วนหญิงสาวอีกคนไม่มีท่าทีสนใจ แต่นั่งกับมารดาในที่พักแทน
ฟิลลิปแนะนำตัวเขาสั้นๆ ก่อนที่จะให้คีรีพาทั้งสองไปยังรถคันใหม่เอี่ยม แล้วพาเด็กชายแอนโทนีขึ้นไปนั่งข้างๆ เพื่อสาธิตการใช้งาน
“ขอบคุณมากนะคะที่ไม่เบื่อพวกเรา” หญิงสาวบอกหลังจากแอนโทนีได้ทดลองควบคุมภายใต้การดูแลของเขาอย่างใกล้ชิดอยู่นาน พอเบื่อแล้วก็กระโดดลงจากรถ วิ่งไปหาพี่สาวที่ยืนคอยอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี” เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย “หากไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปทำงานก่อน”
“เดี๋ยวค่ะ”
“ครับ” เขาชะงักเท้าที่กำลังจะออกเดิน
“คุณเคยขึ้นไปบนเขาโน่นหรือเปล่าคะ”
เขามองตามมือของหญิงสาว ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ครับ เคยขึ้นไปกับคุณฟิลลิปหลายครั้ง”
“ฉันอยากเป็นผู้ชายจัง ถ้าฉันเป็นผู้ชาย ฉันคงจะเลือกเรียนวิศวะ จะได้มาช่วยงานบริษัทของพ่อ และคงจะได้ขึ้นไปสำรวจบนเขานั่นด้วยตัวเอง ฉันได้ยินพนักงานที่โรงแรมบอกว่า ข้างบนสวยมาก ราวกับอยู่บนสวรรค์”
“สวยครับ เอาไว้ถนนสร้างเสร็จแล้ว คุณก็คงจะได้เห็นด้วยตัวเอง” เขาตอบยิ้มๆ
“ถ้าอีกหน่อยผมโต ผมจะเรียนวิศวะ ผมจะพาพี่ขึ้นไปเที่ยวเอง” แอนโทนีตอบ ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองหัวเราะกับท่าทางจริงจังของเขา
“จ้า พ่อคนเก่ง โตมาแล้วอย่าลืมสัญญาที่ให้กับพี่ไว้ก็แล้วกัน”
แอนโทนียิ้ม คนเป็นพี่สาวยีหัวเด็กชายเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอก
“อาฟิลลิปบอกพ่อว่า มีคนงานใหม่ที่เก่งมาก คอยช่วยงาน ท่าทางคงจะเป็นคุณนี่เองสินะคะ”
“เออ…ครับ ผมพอจะมีความรู้นิดหน่อย”
ดวงตาสีฟ้าสดใสมองเขาอย่างไม่เชื่อในคำถ่อมตัวนั้น หากตอบกลับ
“ทำไมฉันรู้สึกว่า…คุณดูเก่งกว่าที่พูดนะ”
เขาได้แต่ยิ้ม แต่ไม่ตอบกระไร เสียงเรียกหญิงสาวจากด้านหลัง ทำให้เธอหันกลับไปพร้อมเด็กชาย บอกว่ารถม้าที่จะพาขึ้นไปบนเขาพร้อมแล้ว เธอจึงหันกลับมาบอก
“ฉันไปก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้ง” แล้วเธอก็จับมือน้องชายวิ่งไปที่รถเทียมม้าสองตัว ด้านหลังเป็นที่นั่งสองแถว มีแผงไม้กั้นกันตก ปกติใช้ขนเสบียงกรังขึ้นไปบนเขา แต่วันนี้ได้บริการผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไปชมสถานที่
คันด้านหน้า อเล็กซ์นั่งกับคณะทำงาน คันหลังสำหรับสมาชิกในครอบครัว หญิงสาวชุดฟ้าโบกมือให้เขาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มหวาน…คีรียิ้มตอบ…หัวใจของเขาฟูฟ่องด้วยความสุขใจ มองรถม้าของเธอแล่นขึ้นเขาไปตามถนนลูกรังและเลี้ยวโค้งไปตามเส้นทาง…
ประวัติของถนนอยู่ในมือของคีรี หากหลังจากฟังไกด์อธิบายแล้วยังต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ก็อ่านได้ในเอกสารที่แจกให้กับลูกทัวร์ เขานั่งอยู่ด้านหลังสุดของรถบัสนำเที่ยวสีแดงสดเปิดประทุน เป็นรถบัสนำเที่ยวบนถนนสายนี้ ทั้งออกจากฝั่งตะวันตก และตะวันออกของอุทยานแบบไปเช้ากลับเย็นวันละหลายเที่ยว
รถบัสมารับผู้โดยสารที่โรงแรมของเขาตั้งแต่เช้าตรู่ และไล่แวะไปรับนักท่องเที่ยวอีกหลายโรงแรมก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นเขา
เส้นทางช่วงแรกเป็นทางราบ หากมองไปข้างหน้าก็เห็นภูเขาสูงอยู่ไม่ไกล ผ่านไปสักพัก ก็เริ่มเข้าสู่เขตเขาสูง ซึ่งไกด์สาวก็อธิบายว่า ถนนบนเขาที่มีระยะทางยาวถึงยี่สิบเอ็ดไมล์ ซึ่งเป็นการตัดถนนที่ยาวนานมากและมีอุปสรรคมากมาย เริ่มต้นสำรวจเส้นทางภูเขาใน ค.ศ.1924 และเริ่มต้นก่อสร้างในฤดูร้อนปีถัดมา หากด้วยฤดูหนาวอันยาวนาน และมีช่วงเวลาทำงานเพียงไม่กี่เดือนต่อปี กว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ก็อีกแปดปีต่อมา
พอขึ้นเขาไปแล้ว เขาก็มองเห็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามริมหน้าผา และมีแนวก้อนหินเป็นแผงกั้น สลับกับไม้ท่อนแข็งแรงกันรถไถลตกลงไปในเหวลึกไปตลอดแนวถนนขนาดสองเลนไม่กว้างไปกว่ายี่สิบฟุต แน่นอนว่ามีการจำกัดขนาดและน้ำหนักของรถที่ใช้ถนนเส้นนี้ และพอเข้าโค้งก็จะเห็นว่า มีแนวหินแข็งแรงช่วยรับน้ำหนักถนนและป้องกันดินถล่มในช่วงที่เป็นหน้าผาสูงชัน และยังต้องสร้างสะพานเพื่อเป็นทางให้น้ำตกที่มีมากมายตลอดเส้นทางลอดผ่านใต้ถนน ถือว่าเป็นการตัดถนนอันสุดแสนวิบากอย่างที่ไกด์พูดจริงๆ
หูของเขาก็ฟังบรรยาย สายตามองไปข้างหน้าก็เห็นภูเขาสูง บนยอดเขามีหิมะปกคลุม ทางขวามือก็เห็นหุบเหวลึก จนคีรีนึกชมความมานะของผู้คนในอดีตว่าด้วยเทคโนโลยีในสมัยนั้น คงจะทำงานด้วยความยากลำบาก หากยังได้ถนนที่สวยงามและรักษาธรรมชาติเอาไว้อย่างเต็มที่แบบนี้ได้
เมื่อถึงจุดชมวิวและเส้นทางเดินป่ายอดนิยม ไกด์ก็จะชี้ชวนให้ลูกทัวร์ดู รวมถึงยอดเขาที่มองคล้ายใบหน้าบูดบึ้ง อันเป็นที่มาของชื่อถนน ป่าซีดาร์โบราณที่มีเส้นทางเดินในระยะสั้นๆ และน้ำตกริมถนนน่าตื่นตาตื่นใจ
เขาจดจำเส้นทางเดินป่าไว้หลายเส้นทาง ตั้งใจว่าจะเดินสำรวจให้ได้โดยเฉพาะเส้นทางเดินป่าไปสู่กรินเนลล์ เกลเชียร์ซึ่งระดับความยากขั้นสูงสุด ไกด์แนะนำว่าจะต้องมีสภาพร่างกายที่แข็งแรงทั้งมีระยะทางไกลและสูงชัน มิเช่นนั้นจะเดินไปไม่ถึงภูเขาน้ำแข็งอันเป็นจุดหมายปลายทาง
แล้วเขาก็หวนคิดถึงความฝันเมื่อคืนอีกครั้ง เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าได้ยินเสียงร้องไห้ แต่ก็ไม่ดังจนปลุกเขาตื่น แต่ก็ทำให้ฝันถึงเรื่องราวของสองพี่น้องและไม่เข้าใจอีกเช่นกันว่า ทำไมถึงได้ฝันเห็นพวกเธอทุกค่ำคืน แถมยังรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในช่วงเวลานั้นจริง หรือว่าเขาจะเป็นคนในอดีตกลับชาติมาเกิด…
ไร้สาระน่า เขาเถียงตัวเองในใจ…แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ฝันเรื่องราวในอดีตไม่หยุดหย่อนนับตั้งแต่เข้าพักที่โรงแรม ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรู้ เพราะยิ่งฝัน ก็ทำให้เขาอยากรู้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่รู้จะไปหาคำตอบทั้งหมดได้จากใคร จึงกลายเป็นความอึดอัดและหงุดหงิดรำคาญใจ แม้เขาจะมีความสุขและหัวใจเบิกบานที่ฝันเห็นอะมานดา แต่พอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ก็ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวขึ้นมาทันที
ในความฝันเขารู้สึกถึงความแตกต่าง…เขาช่างต่ำต้อยเมื่อเทียบกับลูกมหาเศรษฐีอย่างครอบครัวหลุยส์…แต่มันมีอะไรเชื่อมโยงระหว่างเขากับอะมานดากันล่ะ ถึงทำให้ฝันถึงเธอทุกคืน หรือเป็นเพราะเธอเป็นวิญญาณที่คอยหลอกหลอนผู้ชายและทำให้เขาหลงรักภาพในจินตนาการ
คีรียอมรับว่าเขาคิดถึงเธอแทบตลอดเวลานับตั้งแต่ฝันในครั้งแรก นับวันก็ยิ่งผูกพันทั้งที่เธอไม่มีตัวตนอยู่ในโลกปัจจุบัน แล้วเขาจะฝันถึงเธอไปเพื่ออะไร
ไกด์นำเที่ยวจอดรถให้เดินไปที่น้ำตกระยะใกล้ๆ เขาพยายามปัดความคิดเกี่ยวอะมานดาออกจากหัวและสนใจกับทิวทัศน์ตรงหน้า แต่หลายครั้งตลอดที่เหลือของวัน จิตใจก็ยังว่อกแว่กไปคิดถึงอะมานดาจนได้ พอรถบัสมาจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าโรงแรม เขาก็ตัดสินใจเดินไปหารอย แต่พอมองเวลาก็ชักไม่สบายใจว่าอาจจะค่ำเกินไปที่จะมารบกวนชายชรา เขาเกือบจะเดินกลับแล้ว แต่หางตาแลเห็นชายชราเพิ่งเดินกลับจากท่าเรือของโรงแรม แถมยังโบกมือทักทาย
“อ้าวคุณคริส ไปเที่ยวบนเขา สนุกไหม”
“สนุกครับ สวย อากาศดี ผมถ่ายรูปมาเพียบเลย” เขาบอกพร้อมรอยยิ้ม
“ดีครับ คงจะได้ไอเดียว่าจะเดินป่าเส้นทางไหนบ้าง”
“ครับ” เขาพยักหน้ารับ และยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าเขาอยากเจอรอยเพราะเหตุใด อาจเป็นเพราะสิ่งที่กังวลอยู่ในใจ มีเพียงรอยคนเดียวเท่านั้นกระมังที่พอจะระบายให้ฟังได้ จึงชวนคุย “คุณลุงไปพายเรือหรือครับ”
“เปล่า ลุงออกไปเดินเล่น ไปดูต้นไม้ดอกไม้แล้วก็เดินเล่นไป ได้เห็นแขกเห็นนักท่องเที่ยวมีความสุขลุงก็พลอยมีความสุขไปด้วย ว่าแต่คุณเถอะ จะเดินไปหาผมที่บ้านหรือเปล่าถึงมาทางนี้”
“อ้อ…ครับ” เขายิ้มเจื่อนๆ “ผมอยากหาเพื่อนคุยน่ะครับ เลยลองเดินมาดูเผื่อว่าลุงจะว่าง”
“ว่างสิ ไม่ได้ไปไหน เดินเล่นเสร็จแล้วกำลังจะเดินกลับ ถ้าคุณไม่มีแผนที่จะทำอะไรเย็นนี้ ก็ไปนั่งคุยกับผมที่บ้าน” รอยเชิญชวน คีรีดีใจรีบตอบรับ และเดินเคียงข้างชายชราที่ยังแข็งแรงไปยังกระท่อมหลังน้อย คราวนี้รอยเชิญแขกเข้าไปนั่งในบ้านแทนบาร์บิคิวที่สวนเหมือนครั้งก่อน พร้อมกับรินไวน์มาต้อนรับ “ดื่มสักหน่อยนะครับ ไวน์เย็นๆ กินกับสเต๊กปลากับมันบด ผมทำไว้ มาทานด้วยกัน”
“ขอบคุณมากครับ คราวหน้าผมซื้อไวน์มาด้วยดีกว่า มากินของลุงบ่อยๆ รู้สึกไม่สบายใจเลย”
“อย่าคิดมากครับ ผมดีใจเสียอีกที่มีเพื่อนคุย ยิ่งวันนี้ลูกชายไม่อยู่ อยู่คนเดียวก็เบื่อ”
“ขอบคุณอีกครั้งครับ ผมกำลังคิดว่า บางที ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่มาเที่ยวคนเดียว” เขาถอนใจเฮือก
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ก็…ผมรู้สึกเหงาๆ จิตใจห่อเหี่ยวยังไงก็ไม่รู้ครับบอกไม่ถูก ทั้งที่เมื่อก่อนก็แบกเป้ไปเที่ยวคนเดียวบ่อยๆ ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน”
“ถ้าคุณเหงาก็แวะมาหาผมได้เลยครับ ผมยินดีเป็นเพื่อนคุย”
“ขอบคุณลุงอีกครั้งครับ” เขายิ้มให้ชายชราด้วยความตื้นตัน และช่วยหยิบจานที่เจ้าบ้านหยิบปลาจากในเตาอบและตักมันบดกับผักหลายชนิดราดน้ำเกรวี่ไปวางบนโต๊ะ “ว่าแต่ ผมมาแย่งอาหารของลุงหรือเปล่าครับ ผมเกรงใจ”
“อย่าคิดมาก ปลาที่เราไปตกด้วยกันนั่นแหละ ปกติเวลาผมทำสเต๊กก็ชอบอบไว้หลายๆ ชิ้น ไว้กินหลายมื้อ แก่แล้ว ไม่อยากเสียเวลาทำบ่อย”
“กินปลาเยอะๆ ดีต่อสุขภาพครับ ดูคุณลุงสิ ยังแข็งแรงราวกับหกสิบ เดินเหินยังคล่องแคล่ว”
รอยหัวเราะชอบใจกับคำชม เขานั่งตรงโต๊ะอาหาร คีรีจึงนั่งฝั่งตรงข้ามตามหลังเจ้าบ้าน
“ก็เป็นเพราะผมทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก พาทัวร์ขี่ม้า เดินเขา พายเรือ สารพัดถือว่าเป็นความโชคดีที่งานได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดูอย่างคุณแอนโทนี อายุมากกว่าผมแค่สองปี แต่เป็นเพราะทำงานอยู่แต่ในออฟฟิศ หลังๆ มาก็เจ็บออดๆ แอดๆ และเสียชีวิตไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน”
“ครับ ผมก็อ่านข่าวนั้นเหมือนกัน”
“คุณสนใจข่าวของคุณแอนโทนีเหมือนกันหรือครับ”
“ผมก็แค่อยากรู้เรื่องครอบครัวหลุยส์น่ะครับ หลังจากที่คุยกับลุงในวันนั้น”
“อ้อครับ ผมสงสัยจริงๆ ว่าอะไรทำให้คุณสนใจเรื่องของครอบครัวหลุยส์ขนาดนั้น ตั้งแต่ผมทำงานมา ส่วนใหญ่แขกก็ถามเรื่องการเสียชีวิตพี่น้องหลุยส์ แต่ไม่เห็นจะมีใครเจาะลึกไปถึงครอบครัวของพวกเขามาจนถึงปัจจุบันเลยนะครับ”
คีรีอดหัวเราะไม่ได้ เพราะนั่นมันเป็นสิ่งที่เขาคิดมาตลอดทั้งวันเช่นกัน
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ผมถึงได้อยากรู้เรื่องของพวกเขานัก”
“ว่าแต่…คุณยังนอนหลับสบายดีทุกคืนไหมที่ห้องนั้น”
“คือ…บอกไม่ถูกครับ ผมก็นอนหลับนะครับ แต่ยังได้ยินเสียงร้องไห้ และยังฝันแปลกๆ”
“แปลกยังไงหรือครับ”
“ผมฝันเห็นอะมานดาและเรื่องราวของเธอ เหมือนกันตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลานั้นครับ”
“ขนาดนั้นเชียวรึ”
คีรียิ้มแห้งๆ
“ผมก็ไม่ค่อยสบายใจหรอกครับ เลยอยากหาเพื่อนคุย และคุณลุงก็เป็นคนเดียวที่จะคุยกับผมเรื่องนี้ได้”
“ก็เอาสิ ผมก็ชอบเล่าเรื่องในอดีต แต่ลูกๆ ผมบ่นว่าเบื่อ” รอยหัวเราะชอบใจ “ว่าแต่คุณฝันเห็นอะไรงั้นรึ”
“ผมฝันว่าครอบครัวหลุยส์เดินทางไปเยี่ยมที่ไซต์งานก่อสร้างถนนครับ มีการเลี้ยงอาหารต้อนรับ และอะมานดากับน้องชายก็ไปดูการทำงานของรถบดถนน และผมเป็นคนสาธิตการทำงานของมันให้น้องชายเธอครับ”
“คุณคิดมากเกินไปหรือเปล่า อาจจะอ่านประวัติการก่อสร้างถนนก่อนนอน แล้วก็เก็บไปฝัน หรือไม่ก็ดูภาพที่โรงแรม เพราะมีภาพของการสร้างถนนในตอนนั้นด้วย”
คีรีนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้า
“นั่นสิครับ เป็นไปได้ เลยเอาตัวเองเข้าไปฝันด้วยเป็นตุเป็นตะ”
“เอางี้ดีกว่าถ้าคุณสนใจ กินข้าวเสร็จแล้ว ผมจะค้นอัลบั้มภาพถ่ายของพ่อมาให้ดู ผมกำลังเก็บข้าวของและรื้อข้าวของเก่าๆ จะเอาไปบริจาค พวกรูปภาพก็จะเอาไปให้อุทยานเผื่อจะมีประโยชน์บ้าง และเก็บไว้ให้ลูกหลานดูต่างหน้านิดหน่อย ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาคอยเก็บตอนผมตายไปแล้ว”
“เป็นความคิดที่ดีครับ บ้านของคุณลุงหลังเล็กก็จริง แต่ก็จัดเป็นระเบียบมาก”
“ผมไม่ค่อยมีสมบัติพัสถานเท่าไรหรอก เมียผมตาย ผมก็บริจาคไปเยอะแล้ว เหลือของใช้ส่วนตัวไม่มาก ก็มีรูปถ่ายสมัยของพ่อที่น่าจะมีประโยชน์กับคนรุ่นหลังที่สนใจไว้ศึกษา พยายามอยู่อย่างเรียบง่ายที่สุดเพราะไม่อยากเป็นภาระของลูก อายุขนาดนี้แล้ว คืนนี้อาจจะหลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็ได้ ใครจะรู้ ใช่ไหม”
“ครับ” คีรีชื่นชมความคิดของชายชราที่ปล่อยวางความยึดติดในชีวิตลงไปมาก และดูพร้อมที่รับมือวาระสุดท้ายของชีวิตได้ดี ทั้งสองทานอาหารไม่อ้อยอิ่ง เสร็จแล้วคีรีช่วยเก็บจานไปล้าง ขณะที่เจ้าของบ้านเดินไปที่ตู้เก็บของตรงห้องรับแขก และเปิดตู้ไม้ดึงอัลบั้มออกหลายเล่ม พอคีรีเดินมาสมทบ ก็บอก
“พ่อของผมจัดภาพเป็นระเบียบมาก และเขียนด้านหลังรูปทุกใบว่าถ่ายวันที่เท่าไรและคนในภาพเป็นใคร และอัลบั้มในช่วงปีหนึ่งพันเก้าร้อยยี่สิบถึงสามสิบอยู่ในเล่มนี้”
รอยยื่นอัลบั้มปกสีแดงที่สันซีดจางเพราะความเก่าให้คีรี บนปกเขียนปี ค.ศ.จัดหมวดหมู่ สิบปีมีภาพถ่ายเพียงแค่นี้ เป็นเพราะสมัยก่อนโน้น กว่าจะตั้งกล้องถ่ายภาพแต่ละทียุ่งยากและวุ่นวาย กล้องกับฟิล์มก็มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร กว่าจะตั้งกล้องถ่ายรูป ทั้งล้างฟิล์มแต่งภาพ สารพัด ถือเป็นงานใหญ่ ดังนั้น พ่อของรอยมีภาพแค่นี้ก็นับว่ามากแล้ว
รอยถืออัลบั้มภาพอีกเล่มมานั่งข้างๆ และบอก
“นี่เป็นภาพสมัยก่อนหน้า หายากมากๆ ตั้งแต่โรงแรมเริ่มก่อตั้ง ภาพโรงเลื่อยถูกระเบิดราบเป็นหน้ากลองที่ติดไว้ที่โรงแรม พ่อก็เก็บไว้ในนี้ด้วย”
“ครับ” เขาตอบรับ และมองภาพตั้งแต่แรกเริ่มก่อสร้าง
“นี่เป็นผู้บริหารของเกรทนอร์ทมาเห็นทะเลสาบแห่งนี้ขณะก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางเอ็มไพร์ บิวเดอร์ (Empire Builder) ก็ตัดสินใจสร้างโรงแรมที่นี่ทันที เพราะเห็นวิวสวยเหมือนประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และถึงกับเรียกที่นี่ว่าสวิตเซอร์แลนด์ออฟอเมริกา”
“เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดเลยครับ เพราะมันสวยมากจริงๆ”
รอยยิ้ม และเปิดอัลบั้มอีกหน้า
“นี่เป็นคณะผู้บริหารบริษัทก่อสร้างถนนและกรมอุทยานมาประชุมที่นี่ ก่อนถนนจะเริ่มต้นก่อสร้างในอีกไม่กี่ปีต่อมา ตอนนั้นลูกๆ ของคุณอเล็กซ์ยังเด็กมาก แต่มีภาพถ่ายครอบครัวของผู้บริหารที่หน้าทะเลสาบด้วย แต่พ่อของผมถ่ายกับพนักงานโรงแรมในวันเดียวกัน”
จบอัลบั้มเล่มแรก คีรีก็ยื่นเล่มที่อยู่ในมือให้รอย เพราะชอบฟังเขาเล่าเบื้องหลังของรูปภาพเหล่านั้น
“ปี 1920 การก่อสร้างก็เริ่มต้น แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือถนนบนเขา คุณฟิลลิปเป็นหัวหน้าโครงการ ภาพนี้ เขาถ่ายกับพ่อตอนออกไปขี่ม้าด้วยกัน”
คิ้วของคีรีขมวดเข้าหากันทันที ที่เห็นชายสองคนบนหลังม้า
“มีอะไรหรือครับ” รอยเห็นแขกเงียบไป ก็เงยหน้าจากภาพ
“ผมเคยเห็นเขามาก่อน ในความฝัน หน้าตาท่าทางแบบนี้เลย”
“งั้นรึ ภาพที่โรงแรมไม่น่าจะมีรูปของคุณฟิลลิป หรือถ้ามีก็เป็นภาพหมู่ ไม่น่าจะเห็นหน้าตาชัด คุณแน่ใจหรือว่าฝันเห็นคนในภาพนี้”
“ครับ เขาตัวผอมสูง หน้าตาเคร่งขรึม จริงจัง” เขามองภาพชายที่ไว้หนวดเหนือริมฝีปากและขริบเป็นระเบียบ เหมือนที่เห็นในฝันไม่มีผิด
“น่าแปลก…” รอยพึมพำ และเปิดหน้าต่อๆ ไป จนกระทั่งถึงภาพชายสามคนถือปลาตัวโตยืนที่ท่าเรือ ทั้งสามฉีกยิ้มกว้าง ภูมิใจกับผลงานของตน แล้วรอยก็เงยหน้าขึ้นมองเขาสลับกับชายในภาพ “คุณว่า…เขาเหมือนคุณไหม”
คำถามนั้นทำให้คีรีต้องเพ่งมองภาพขาวดำ…เส้นขนในกายลุกซู่…ที่เห็นชายที่ยืนเคียงข้างฟิลลิปและโรเบิร์ตมีใบหน้าเหมือนเขาราวกับคนเดียวกัน รอยดึงภาพออกจากอัลบั้ม และพลิกดูด้านหลัง
โรเบิร์ต ฟิลลิป และคริส เดือน สิงหาคม 1925
รอยอุทาน
“ไม่ใช่แค่หน้าเหมือน เขายังชื่อเดียวกับคุณอีกด้วย!”