Going to the sun, ทัณฑ์รักพยาบาท บทที่ 4 : ในกระแสกาล
โดย : ณารา
Going to the sun, ทัณฑ์รักพยาบาท นวนิยายแนวลึกลับฆาตกรรม โดย ณารา เรื่องราวของ คีรี แพตเตอร์สัน กับการเดินทางย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตและวิญญาณของหญิงสาวที่พบเจอ เมื่อเขาได้เข้าพักในห้องหมายเลข 404 ห้องต้องห้ามที่ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยว นวนิยายออนไลน์สนุกๆ เรื่องนี้ #มีให้อ่านที่อ่านเอา
****************************
– 4 –
ไม่มีใครตอบได้ ว่าทำไมชายในภาพจึงมีใบหน้าเหมือนคีรีราวกับแกะ รอยถึงได้ถามตั้งแต่วันแรกที่พบกันว่าคุ้นหน้าเขามาก
คีรีสอบถามรอยเกี่ยวกับคริส ชายที่อยู่ในภาพ และรอยในวัยแปดขวบเวลานั้น จำได้แค่ว่าคริสเป็นแขกของบิดาที่มาพักกับครอบครัวของเขาบ่อยๆ และเป็นคนงานก่อสร้างถนนที่ติดตามเจ้านายมาทำงาน กับอเล็กซ์ทุกสัปดาห์ หลังทำงานก็พักผ่อนเหมือนแขกคนอื่น จึงมีเวลาขี่ม้าตกปลากับโรเบิร์ต จนสนิทสนมกัน
เขารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปคาดคั้นรอย ด้วยยังเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่องอะไรของผู้ใหญ่ เขาขออนุญาตยืมภาพถ่ายใบนั้นกลับโรงแรม และไม่ว่าจะดูกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังคิดว่าชายคนนั้น หน้าตาเหมือนเขาราวกับคนเดียวกัน พอไม่รู้จะหันหน้าหาใคร เขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ถึงมารดา และรอสายไม่นานเลย ท่านก็รับขึ้นมา ทักทายเสียงสดใส
“เป็นไงบ้างลูก เที่ยวสนุกไหม”
“สนุกครับแม่ วิวสวย อากาศดี” เขาตอบ หากรู้สึกเลยว่า เสียงไม่ค่อยร่าเริงอย่างที่ควรจะเป็น
“มีอะไรหรือเปล่าลูก” คนเป็นแม่รู้สึกในน้ำเสียงทันที “ทำไมแม่ฟังเหมือนลูกกำลังไม่สบายใจยังไงไม่รู้”
“นิดหน่อยน่ะครับแม่ แค่มีเรื่องรบกวนจิตใจ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ไขยังไง”
“เรื่องอะไรรึ เล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ เผื่อจะช่วยให้ลูกระบายออกมาได้บ้าง”
“ครับ คือผมตั้งใจโทรหาแม่ก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ จำได้ว่าแม่เคยเล่าเรื่องคนไทยเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดใช่ไหมครับ”
“ใช่ คนไทยเชื่อแบบนั้น ว่าแต่อะไรทำให้ลูกสนใจเรื่องนี้ได้ล่ะ”
“คือ เรื่องมันแปลกมากครับแม่ จนผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง”
“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า แม่ไม่ได้รีบไปไหน” ปลายสายหัวเราะคล้ายปลอบใจ ทำให้คีรีต้องหัวเราะตาม
“ครับแม่” เขาพึมพำ ก่อนจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึงโรงแรมให้มารดาฟัง จนกระทั่งเรื่องรูปภาพที่ยังถืออยู่ในมือ “แม่ว่ามันแปลกไหมล่ะครับ ที่ฝันเห็นตัวเองอยู่ในอดีต สวมเสื้อผ้าสมัยโน้น และยังมีภาพถ่ายยืนยันอีก”
“ก็แค่คนที่หน้าตาเหมือน มันยืนยันอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าแค่เหมือนและไม่มีความผูกพันกัน ทำไมผมถึงต้องฝันคืนแล้วคืนเล่า ผมคิดว่า ผมจะต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขาทางใดทางหนึ่งแน่ๆ ผมอาจจะเป็นคนในสมัยโน้นที่กลับชาติมาเกิด เพราะรอยบอกว่า คนงานก่อสร้างถนนจ้างคนจีนมาทำงานเป็นจำนวนมาก ผมอาจจะเป็นคนหนึ่งในนั้น”
ปลายสายถอนใจแผ่วเบา
“เอางี้ ถ้าลูกไม่สบายใจ แม่จะไปทำบุญที่วัดให้ดีไหม ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณของผู้หญิงคนนั้น หากว่าบังเอิญมาเกี่ยวข้องกับลูกทางใดก็ตาม ก็ขอให้เธออโหสิกรรมให้ลูก และถ้าไม่สบายใจมากๆ ก็ไปพักที่อื่นแทน ไม่อยู่ที่นั่น ก็คงจะไม่ฝัน”
“แต่ผมจ่ายเงินไปแล้ว”
“แล้วลูกคิดว่ามันคุ้มกับที่ต้องแลกกับความไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะจ๊ะ”
“แต่ผม…” เขางึมงำ แต่รีบปิดปากทันที หากท่านรู้ว่าเขาคิดถึงอะมานดาและยังอยากฝันเห็นเธออีก มารดาจะต้องไม่ชอบใจ
“เอาเถอะ เดี๋ยวแม่จะเตรียมอาหารไปทำบุญที่วัดวันพรุ่งนี้ให้กับดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนที่นั่น หวังว่าผลบุญจะช่วยลดความอาฆาตแค้นลงไปได้บ้าง”
“ครับแม่ แล้วแม่เชื่อไหมล่ะครับ ว่าผมเป็นคนสมัยโน้นกลับชาติมาเกิด”
“แม่ก็คิดว่าอาจจะเป็นไปได้ ลูกถึงได้มาเกี่ยวข้องกับที่นี่อีก เอาเป็นว่านะ เราทำบุญให้กับพวกเขา คงจะอโหสิกรรมให้กันได้บ้าง…”
“…แต่ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะฆ่าคนได้” เขาพูดเสียงอ่อย
“โธ่…ทำไมพูดแบบนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นในอดีต เขาจะใช่ลูกในอดีตชาติหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือถ้าจริง เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว จะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่ได้ เขาอาจจะมีเหตุผลของเขา”
“ผมไม่เข้าใจ…”
“คริส…ฟังแม่นะลูก” คนเป็นแม่ไม่สบายใจเลย น้ำเสียงของบุตรชายทำให้หล่อนกังวล “แม่ว่าลูกกลับมาพักผ่อนที่บ้านดีไหม ไม่ว่าในอดีตจะเกิดอะไรขึ้น มันก็ผ่านไปแล้ว แม่ไม่อยากให้ลูกคิดถึงและทำให้วันพักผ่อนของลูกต้องพังลงเพราะเรื่องที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้”
คีรียังเงียบ
“อย่าห่วงเรื่องเงินเลยนะ เดี๋ยวแม่จ่ายให้เอง ถ้าลูกยังอยู่ที่นั่นก็จะต้องวนเวียนอยู่กับความฝันและกังวลใจ เชื่อแม่นะลูก”
“อย่าห่วงเลยครับ” เขาพูดออกมาในที่สุด “ผมจะพยายามคิดเรื่องนี้ให้น้อยลง แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
“แม่ว่าลูกหมกมุ่นกับมันมากเกินไปหรือเปล่า ถ้าออกมาจากที่นั่น อาจจะทำให้ลูกลืมมันไป อย่างน้อย ก็ไปพักที่โรงแรมอื่นก็ได้ ไม่ต้องเสียดายเงินหรอก”
“ครับแม่ ผมขอคิดดูก่อน ถ้าผมไม่สบายใจจริงๆ ก็คงจะเปลี่ยน” เขาบอก เพื่อให้มารดาสบายใจ
“คริส…”
“ครับแม่”
“แม่รู้ว่าลูกไม่สบายใจ แต่อย่าปล่อยให้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรามาทำลายการพักผ่อนของลูก และแม่ไม่สนหรอกว่าในอดีตจะเกิดอะไรขึ้น หรือลูกจะเกี่ยวข้องหรือไม่ แม่แค่ต้องการให้ลูกของแม่มีความสุขเท่านั้น เข้าใจไหมลูก”
“ครับแม่ ขอบคุณมากครับ”
“กลับไปนอนคิดให้ดีนะลูก เรามาพักผ่อน เราก็ควรจะต้องหาวิธีพักผ่อนอย่างเต็มที่ จิตใจจะได้สดชื่นสดใสเวลากลับมาทำงานอีกครั้ง”
“ครับแม่ ถ้างั้นผมควรจะรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้จะเดินป่าเส้นทางรอบทะเลสาบ ต้องออกแต่เช้า”
“ดีลูก จิตใจจะได้ปลอดโปร่ง ราตรีสวัสดิ์ แม่รักลูกนะ”
“ผมก็รักแม่ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับแม่” คีรีวางสาย รู้สึกสบายใจขึ้นหลังได้คุยกับมารดา ท่านพูดถูก เรื่องในอดีตเกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว เขาไม่มีทางแก้ไขได้ และชายที่มีหน้าตาเหมือนเขาจะเป็นฆาตกรหรือไม่ และฆ่าคนด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาในเวลานี้
ดังนั้นก่อนนอน เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งในความมืดมิด
“อะมานดา…ถ้าคุณได้ยิน ก็ขอให้รู้ไว้ว่าผมไม่ได้สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ผมไม่รู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร หากผมเป็นคนที่ฆ่าคุณจริง ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วย และได้โปรดยกโทษให้ผม อย่าเป็นวิญญาณที่จมอยู่ในความแค้นจนไม่ยอมไปเกิดเลยนะ”
ลมวูบหนึ่งพัดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาจนม่านปลิว คีรีคล้ายได้ยินเสียงร้องไห้ดังลอยมาตามลม เสียงนั้นเย็นยะเยือกจนเขาขนลุกไปทั้งตัว
“ผมจะต้องทำอย่างไร ถึงจะทำให้คุณคลายความแค้นลงได้”
ลมพัดเข้ามาในห้องแผ่วเบา เสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นเสียงฮัมเพลงแทน เขาจึงบอกอีกครั้ง
“ผมจะนอนแล้วนะ ถ้าคุณอยากให้ผมช่วยทำอะไรให้คุณหลุดพ้นไปจากตรงนี้ก็มาเข้าฝันผมดีๆ ก็แล้วกัน ถ้ามาหลอกหลอน ผมก็อาจจะต้องวิ่งหนีเหมือนคนอื่นๆ” เขาขู่ไปในตัวเสร็จสรรพ หากหูไม่ฝาด เขาได้ยินคล้ายเสียงหัวเราะคิกคักแทน
คีรีส่ายหน้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจ ว่าตนคิดและกังวลมากไปจนได้ยินเสียงลมและหรีดหริ่งเรไรกลายเป็นเสียงร้องไห้และเสียงหัวเราะไปเสียอย่างนั้น เขาตบหมอนให้ฟูแล้วทิ้งตัวลงนอน หลับตาและบอกตัวเองให้หลับ มิเช่นนั้นวันพรุ่งนี้จะไม่มีแรงเดินขึ้นเขาตลอดทั้งวัน
น่าแปลกที่คืนนี้ไม่มีเสียงร้องไห้ คีรีนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน มีฝันเพียงเล็กน้อยว่าเขากำลังเดินป่าชมภูเขาและทิวทัศน์ด้วยความสุขใจ
ภายในห้องที่มืดมิด…เงาดำเคลื่อนมาใกล้เตียง…และก้มมองคนที่กำลังนอนหลับสนิท…ดวงตาแดงก่ำจ้องร่างบนเตียงนิ่ง น้ำตาสีเลือดค่อยๆ รินไหล
…ช่วยด้วย…ช่วยฉันด้วย…ช่วยฉันด้วย…คริส คุณเท่านั้นที่จะช่วยฉันได้…
คีรีตื่นแต่เช้าด้วยความกระปรี้กระเปร่า เป็นค่ำคืนที่นอนหลับสบายกว่าหลายๆ คืนที่ผ่านมา จึงรู้สึกสดชื่นและเตรียมตัวสำหรับเดินป่าด้วยอารมณ์ที่สดใสยิ่ง หลังเก็บข้าวของลงเป้เรียบร้อย ก็ลงไปซื้ออาหารเช้าและแซนด์วิชสำหรับกลางวัน แอปเปิล ส้มและกล้วยอย่างละลูกสำหรับเป็นอาหารว่างช่วงพัก น้ำบรรจุในกระติกเต็มสองขวดเสียบไว้ที่ช่องด้านข้างของเป้ หลังจากสำรวจทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทาง
ก่อนเข้าสู่ถนนเส้นทางเดินเท้า เขาผ่านไปทางบ้านของรอย ก็เห็นชายชรากำลังตัดดอกไม้ในสวนอันเป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อนำไปประดับแจกันในโรงแรม พอรอยเงยหน้าเห็นเขา ก็โบกมือ
“เฮ้ อรุณสวัสดิ์คริส ออกแต่เช้าเลยนะ”
“ครับ ผมไม่อยากกลับมาเย็นเกินไป หรือถ้าชอบตรงไหนก็อาจจะชมวิวนานหน่อยครับเพราะเผื่อเวลาไว้แล้ว”
“ดีครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“อ้อ อย่าลืมพกสเปรย์ไล่หมีไปด้วยนะครับ ได้ยินว่าพักนี้มีนักท่องเที่ยวเจออยู่สองสามคน”
“ไม่ลืมครับคุณลุง ทั้งกระดิ่งทั้งสเปรย์” เขายกไม้ที่มีกระดิ่งห้อยติดตรงใกล้มือจับให้ชายชราดู ด้วยธรรมชาติของหมีก็อยากหลีกหนีจากมนุษย์เช่นกัน พอได้ยินเสียงคุยหรือเสียงกระดิ่งมาแต่ไกล ก็มักจะหลบไปให้ไกลจากเสียง นักท่องเที่ยวจึงต้องมีอุปกรณ์เตรียมพร้อม
“ครับ” รอยพยักหน้ารับ และโบกมือให้ชายหนุ่มอีกครั้ง คีรีก้มศีรษะแล้วออกเดินเข้าสู่เส้นทางเท้ารอบทะเลสาบ ระหว่างทาง ยังสามารถแยกไปเส้นทางอื่นได้หลายทางให้เลือกทั้งระยะใกล้และไกล
ช่วงแรก เขาเห็นนักท่องเที่ยวเดินร่วมไปบนเส้นทางเดียวกันอยู่ประปราย พอเจอทางแยก นักท่องเที่ยวก็แยกไปอีกทางที่เป็นเส้นทางที่ระยะสั้นกว่า ยิ่งไกลออกไปเท่าไร ก็มองเห็นนักท่องเที่ยวน้อยลงเท่านั้น ผ่านไปครึ่งวัน เขาก็รับรู้ว่าเดินอยู่ตามลำพังบนเส้นทางเหนือยอดเขาเล็กๆ ริมทะเลสาบ จากมุมนี้ มองเห็นโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชัดเจน เขาจึงนั่งพักเหนื่อยและกินอาหารกลางวันตรงนั้นเอง เสร็จแล้วจึงมองหามุมถ่ายภาพสวยๆ รวมทั้งภาพของโรงแรมที่อยู่ไกลออกไป
พักจนหายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินทางต่อ เพราะยังต้องเดินอีกหลายชั่วโมงจนกว่าจะถึงโรงแรม วิวสวยๆ บวกกับลมเย็น อากาศสดชื่น ทำให้เขาหลงลืมสิ่งที่หมกมุ่นอยู่ในความคิดมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทะเลสาบสีฟ้าใสแจ๋ว ผืนน้ำสะท้อนภูเขาฝั่งตรงข้ามราวกับกระจก ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ นี่แหละที่คีรีต้องการในช่วงวันพักผ่อน นอกจากจุดนี้แล้ว ยังมีอีกหลายเส้นทางที่เขาเคยเห็นในรูป ที่เดินขนานไปกับทะเลสาบกลางหุบเขา บนเส้นทางที่จะพาเดินขึ้นไปจนถึงธารน้ำแข็งหรือเกลเชียร์ ที่ยังคงเหลืออยู่ หากเวลาที่ผ่านไป อุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นทุกปี ก็ทำให้ธารน้ำแข็งลดขนาดลงอย่างน่าใจหาย ในอุทยานแห่งนี้ยังคงเหลืออีกสองแห่งที่นักเดินเขาสามารถเดินขึ้นไปชมได้ในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักเดินป่า และเขาก็วางแผนที่จะไปในอาทิตย์หน้าหลังจากเก็บเส้นทางใกล้ๆ โรงแรมจนครบแล้ว
เส้นทางลงเขายังคงเงียบสงบ นานๆ จึงจะมีนักเดินเขาสวนทางมาสักกลุ่ม เขาทักทายและส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร และเดินต่อไป มองจากเส้นทางและทิศของดวงอาทิตย์ที่ลดต่ำลง ก็บอกให้รู้ว่าเขากำลังเดินเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเส้นทาง ที่จะวนไปสู่โรงแรมทางฝั่งตรงข้ามจุดเริ่มต้นของเขาในตอนเช้า รอยบอกว่ามีโรงงานไฟฟ้าที่ใช้ความแรงของกระแสน้ำตกปั่นไฟ เป็นโรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโรงแรมเพื่อผลิตไฟฟ้าที่ใช้ในบริเวณหุบเขา ป้ายชี้บอกทาง คีรีมองนาฬิกา เขายังมีเวลาเพราะเดินได้เร็วกว่าที่คิดตลอดทั้งวันที่ผ่านมา จึงตัดสินใจเลี้ยวไปชมโรงปั่นไฟและน้ำตกที่รอยบอกว่าสวย
เส้นทางมุ่งหน้าเข้าสู่เขตลำธารมีป่าที่หนาแน่นกว่าตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน อากาศเย็นสดชื่นใต้ร่มไม้หนา กลิ่นหอมของธรรมชาติพัดโชยเข้าจมูก เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดติดกันหลายครั้ง อารมณ์ดีและสมองปลอดโปร่งด้วยธรรมชาติบำบัด พอใกล้ถึงโรงไฟฟ้า เขาเห็นป้ายบอกทางขึ้นไปเหนือน้ำตก มีภาพถ่ายพร้อมระยะทาง และคำอธิบายว่าบนนั้นมีน้ำตกสวยงามอีกหลายชั้น ความโลภของคนโหยหาธรรมชาติ ทำให้เขาตัดสินใจก้าวขึ้นไปทางแยกทันที เส้นทางคราวนี้ นอกจากจะเป็นป่าที่หนาทึบขึ้นแล้ว เส้นทางยังแคบและเป็นก้อนหินใหญ่แซมบางช่วง เฟิร์นและตะไคร่น้ำเกาะอยู่บนก้อนหินและต้นไม้ที่ล้มลงสองข้างทางหนาแน่น เขาก้าวขึ้นไปตามเส้นทางเรื่อยๆ นับก้าวที่สม่ำเสมอ คำนวณคร่าวๆ ว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีก็คงจะถึงน้ำตกชั้นแรก
เสียงสวบสาบตรงข้างตัวทำให้คีรีชะงักงัน พอหันมองก็เห็นลูกหมีโผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ วินาทีนั้น เขาตัวเย็นวาบ…หากลูกหมีอยู่ตรงนี้ แม่ของมันจะต้องอยู่ไม่ไกล เขารีบเขย่ากระดิ่งในมือ ลูกหมีรีบผลุบหัวหายไปแล้วหมุนตัววิ่งหนี คีรีโล่งใจ วางไม้ลง เพื่อจะได้หยิบสเปรย์ไล่หมีออกจากเป้เผื่อจะต้องใช้ยามจำเป็น
เขาเพิ่งวางเป้ลงบนพื้น ยังไม่ทันจะเปิดซิปเมื่อได้ยินเสียงคำรามดังลั่น พอหันไปด้านหลัง คีรีก็ผงะที่เห็นแม่หมีกริซซี่ยืดตัวยืนสองขาสูงค้ำศีรษะ ส่งเสียงดังกึกก้องมาจากทิศทางที่ลูกของมันเพิ่งวิ่งหนีไป เขี้ยวของมันแหลมโค้ง น้ำลายเหนียวไหลย้อยลงมาข้างปาก มันคงเข้าใจว่าลูกถูกทำร้ายถึงได้วิ่งหนี และสัญชาตญาณของความเป็นแม่ก็รีบปกป้องลูกทันที
แม่หมีทำไปตามสัญชาตญาณ และไม่เข้าใจว่าคีรีไม่ได้คิดจะทำร้ายลูกของมัน พอลดสองขาหน้าลงแล้ว ก็วิ่งตะกุยสี่เท้าพุ่งตรงเข้ามาหาคีรีทันที
ชายหนุ่มไม่ทันแม้แต่จะหยิบสเปรย์ออกจากเป้ หรือแม้แต่เวลานี้เสียงกระดิ่งก็คงไม่ช่วย เขาทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้นและออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เสียงน้ำหนักเท้าของแม่หมีกระแทกลงบนพื้นดึงก้องอยู่ในหู หรืออาจจะเป็นเสียงฝีเท้าของตัวเองด้วยซ้ำที่โสตประสาทของเขาที่กำลังตื่นตระหนกสุดขีดแยกแยะไม่ออก ลมหายใจของคีรีหอบฮัก แต่ก็หยุดวิ่งไม่ได้ หากช้าไปเพียงแค่ก้าวเดียว ก็หมายถึงชีวิตที่ต้องจบลง
คีรีเหลียวมองด้านหลัง เห็นหมีตัวสีน้ำตาลเข้มตะกุยพื้นอยู่ห่างจากตัวของเขาไปไม่ถึงเมตร ตรงหน้าเป็นช่องทางโล่ง…ที่เขารู้แก่ใจว่ามันคืออะไร แต่เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด เมื่อกระโดดลอยละลิ่วลงไปกลางช่องทางน้ำตกที่ไหลจากหน้าผา เสียงแม่หมีคำรามด้วยความโกรธแค้นที่ฝ่ามือที่ฟาดออกไป พลาดโอกาสตะครุบเหยื่อไปแค่เสี้ยววินาที และได้แต่มองร่างที่ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำที่บ้าคลั่งด้วยความเสียดาย
ทว่า…มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากที่ควรจะเป็น…เพราะไม่มีเสียงร่างตกกระแทกน้ำ ทุกอย่างเงียบกริบราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หากสัตว์เดรัจฉานอย่างแม่หมีไม่ได้รู้เรื่องราว มันคำรามเป็นการส่งท้าย ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาลูกหมีแล้วพากันเดินกลับเข้าป่าด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ร่างของคีรีร่วงหล่นจากที่สูงราวกับไม่มีวันสิ้นสุด…เขามองแอ่งน้ำสีเขียวมรกตใต้ร่าง คิดว่าชีวิตคงจะจบสิ้นเพียงแค่นี้แน่ หากระหว่างที่ร่างกำลังร่วงลงเกือบแตะผิวน้ำ เขารู้สึกคล้ายกำลังพุ่งผ่านแรงอัดอากาศบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยสายตา มันช่วยผ่อนความเร็วและแรงจากการตกลงจากหน้าผาลงอย่างน่าประหลาด มันหนาแน่นจนรู้สึกถึงลำตัวที่ถูกบีบรัดและอึดอัด หากเพียงเสี้ยววินาที ร่างของเขาก็กระแทกผิวน้ำและจมดิ่งลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว ร่างหมุนคว้างราวกับเศษผ้ากลิ้งหลุนๆ ใต้กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก สองมือพยายามไขว่คว้าหาหลักยึดเหนี่ยว สายตามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากน้ำและก้อนหินมากมาย หากยังหยุดตัวเองไม่ให้ไหลไปตามกระแสน้ำไม่ได้ แล้วทันใดนั้นศีรษะก็กระแทกเข้ากับก้อนหินใต้น้ำ และสลบไปในทันที
“เฮ้ย มีคนลอยมา” ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงดังเมื่อเห็นเสื้อสีขาวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางน้ำที่เชี่ยวกราก…หิมะละลายเพราะอากาศที่ร้อนจัดกว่าปกติของปี ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลมาที่เขื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องรีบปล่อยน้ำให้ไหลลงไปสู่ทะเลสาบมากขึ้น มิเช่นนั้นเขื่อนผลิตไฟฟ้าอาจเสียหายได้
ขณะที่คนงานกำลังตรวจดูที่ต้นน้ำ ที่จะไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ปั่นไฟ คนงานคนหนึ่งก็เห็นร่างของใครคนหนึ่งลอยมาแต่ไกล
“ศพหรือเปล่า” คนหนึ่งถาม
“แกสองคนไปดูสิว่าเขาตายหรือยัง” หัวหน้าคนงานสั่ง ชายสองคนจึงกระโดดข้ามก้อนหินไปใกล้ร่างที่กำลังไหลมาตามน้ำที่มีปริมาณมากกว่าปกติ คนหนึ่งจับกิ่งไม้ใกล้ๆ และจับมือเพื่อนที่เอื้อมลงไปคว้าเสื้อของคนที่ลอยน้ำมา พอคว้าเสื้อได้ก็ดึงขึ้นมาบนก้อนหินที่กำลังเหยียบ พอร่างพ้นน้ำแล้ว ชายที่จับกิ่งไม้ก็ช่วยกันยกร่างขึ้นมาบนฝั่ง ก่อนจะแตะนิ้วเข้ากับชีพจรตรงข้างลำคอ
“ยังไม่ตายครับและยังหายใจ แต่หัวแตก คงจะกระแทกหิน”
“พวกนายเคยเห็นเขาแถวนี้หรือเปล่า” หัวหน้าถาม ชายทั้งสองจับใบหน้าของเขาพลิกไปมา และสบตากัน ก่อนคนหนึ่งจะบอก
“ไม่เคยครับ พวกเราไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
หัวหน้าคนงานพยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือส่งสัญญาณให้พาตัวคนเจ็บไปที่โรงแรมเพื่อส่งไปให้พยาบาลประจำโรงแรมตรวจดูอาการต่อไป
คีรีลืมตามองเพดานสีขาวอย่างงงๆ กลิ่นยาและน้ำยาฆ่าเชื้อที่อบอวลในจมูกบอกให้รู้ว่าเขากำลังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง หากฉากผ้าที่กั้นระหว่างเตียงดูโบราณกว่าโรงพยาบาลที่เขาเคยเห็นทั่วไปที่ปกติจะใช้ม่านรูดรอบเตียง
เสียงคุยกันดังขึ้นพร้อมเสียงประตูเอี๊ยดอ๊าดประหนึ่งบานพับเก่าจนขึ้นสนิม แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็เดินอ้อมฉากมายืนที่ปลายเตียงจ้องเขาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“ตื่นแล้วหรือพ่อหนุ่ม” นางพยาบาลร่างเล็กใบหน้ายิ้มแย้ม ดูใจดีทักทาย เขากระซิบตอบ
“ครับ” เสียงนั้นแหบแห้งในลำคอ หล่อนหยิบขวดแก้วตรงหัวเตียงรินน้ำใส่แก้ว และช่วยประคองเขาดื่มน้ำ
“ค่อยๆ ดื่มนะ เดี๋ยวสำลัก”
คีรีจิบน้ำไปสองสามอึก สายตามองชายสามคนที่ยืนปลายเตียง ก่อนจะพึมพำขอบคุณนางพยาบาล
“คุณไม่ใช่แขกของโรงแรม” ชายคนหนึ่งมีหนวดหนาเหนือริมฝีปาก ดูแปลกตากว่าที่เคยเห็นคนทั่วไปไว้หนวดแบบนี้ และเครื่องแต่งกายแบบนี้…
“ผมเป็นแขกของโรงแรมครับ” เขาค้าน เสียงยังคงแหบจนแทบไม่ได้ยิน
“คุณพักห้องไหน”
“สี่ศูนย์สี่ครับ ผมชื่อคริส”
“วันนี้ชั้นสี่ไม่มีคนพักนะครับ” ชายคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่า แต่งกายในชุดยูนิฟอร์มบอก คีรีจำไม่ได้ว่า เป็นชุดของพนักงานที่เขาเคยเห็นหรือไม่ และไม่ได้สนใจเรื่องชุดมากไปกว่าสิ่งที่ได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้ ผมจองห้องนั้นตลอดทั้งเดือนสิงหา จะไม่มีชื่อผมได้ยังไง”
สายตาของชายเหล่านั้นมองเขาคล้ายดูแคลน…คีรีสัมผัสได้ ก่อนคนที่มีหนวดโง้งจะบอก
“นี่เพิ่งจะเดือนเมษา คุณจองเดือนสิงหาก็ยังไม่ถึงเวลาอยู่ดี”
“คุณว่าอะไรนะ” คีรีลุกพรวดพราด แทบไม่ใส่ใจอาการปวดตุบตรงข้างศีรษะเพราะตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้” ชายคนเดิมทำเสียงหงุดหงิด และชี้ไปที่หน้าต่าง “หิมะยังตกข้างนอก มันจะเป็นเดือนสิงหาไปได้ยังไง”
คีรีมองตาม เห็นหิมะกำลังโปรยปราย…เขาใจหายวาบ
“จริงค่ะ ฉันยืนยัน วันนี้วันที่ 7 เดือนเมษายน ค.ศ.1925” นางพยาบาลร่างเล็กช่วยตอบ
หากคีรีไม่ได้นอนอยู่บนเตียง เขาคงจะเข่าทรุด…ใครกำลังเล่นตลกกับเขา หรือมีกล้องซ่อนอยู่แถวนี้และเขากำลังอยู่ในรายการล้อกันเล่นแน่ๆ
“เอาละ เมื่อฟื้นแล้ว คุณก็ออกไปจากที่นี่ได้” ชายหนวดโง้งไล่อย่างไม่เกรงใจ
“แต่ผมเป็นแขกของที่นี่ ผมจ่ายเงินแล้ว คุณจะไล่ผมไม่ได้”
“เอ๊ะ คุณนี่ยังไง ก็ผมบอกแล้วว่าห้องสี่ศูนย์สี่ไม่มีคนพัก ห้องราคาแพงขนาดนั้น คนจะพักต้องเป็นระดับเศรษฐี…” ชายผู้นั้นปรายตามอง คราวนี้เหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง
“ผมมีเงินจ่าย ผมจะกลับไปเอาบัตรเครดิตที่ห้อง แพงแค่ไหนผมก็จ่ายไหว” เขาเหวี่ยงขาลงจากเตียง พยาบาลเข้ามาประคองเมื่อเห็นเขาเซไปหลายก้าว
ชายสามคนหันมองหน้ากัน เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด แต่นางพยาบาลก็แทรกขึ้น
“ให้เขาพักที่นี่ก่อนเถอะคุณทิม เขายังเดินไม่ไหวเลย”
“เขาไม่ใช่แขกของโรงแรม และไม่ใช่พนักงานที่นี่” ชายที่ชื่อทิมบอก “ผมให้เขารักษาตัวที่นี่ไม่ได้หรอก”
“ถือว่าฉันขอร้องเถอะนะ แค่คืนนี้เพียงคืนเดียว พอเขาดีขึ้น ฉันก็จะให้เขาไปจากที่นี่” นางพยาบาลบอก เสียงเข้มงวดขึ้น ใบหน้าอ่อนโยนเปลี่ยนไป ดวงตาแข็งกร้าวจนอีกฝ่ายต้องอ่อนลง
“ก็ได้ครับ แค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้นนะครับ”
นางพยาบาลพยักหน้ารับ และบอก
“งั้นถ้าพวกคุณหมดธุระกับเขาแล้วก็กลับไปทำงานต่อได้แล้ว ตรงนี้ฉันจัดการเอง”
ทิมโบกมือพาลูกน้องออกไป นางพยาบาลร่างเล็กดันเขากลับไปนั่งบนเตียง
“นอนพักก่อนเถอะนะพ่อหนุ่ม คุณหัวแตก อย่าเพิ่งขยับมาก เดี๋ยวแผลจะปริ”
เขานอนลงอย่างว่าง่าย เพราะเชื่อว่าหล่อนหวังดีกับเขาจากใจจริง แต่ก่อนที่หล่อนจะจากไป เขาก็เรียกไว้
“คุณครับ ช่วยบอกผมอีกครั้งเถอะครับว่าวันนี้คือวันที่เท่าไร”
“ได้สิ วันนี้วันที่ 7 เมษายน ปี ค.ศ.1925 ว่าแต่คุณไปทำอะไรที่น้ำตก เส้นทางนั้นยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในช่วงนี้”
“ผมเอ่อ…” เขายังมึนกับคำตอบ…หิมะที่นอกหน้าต่างเป็นหลักฐานว่าเขาไม่ได้กำลังอยู่ในรายการล้อกันเล่น และรอบตัว ข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นแบบสมัยโบราณเหมือนอยู่ในฉากหนัง แต่เขายังจะไม่ด่วนสรุป จนกว่าจะออกไปจากห้องนี้
“คุณเป็นคนก่อสร้างถนนหรือเปล่า” หล่อนถาม “ฉันรู้ว่าบริษัทก่อสร้างรับสมัครคนงานเพิ่มอีกเท่าตัวจากปีก่อนเพราะกำลังจะเริ่มต้นก่อสร้างเส้นทางบนเขา คุณมาสมัครงานใช่ไหม”
เขาได้แต่ส่ายหน้า…ไม่เข้าใจสักอย่างที่หล่อนพูด
“เอาเถอะ คุณนอนพักก่อนดีกว่า ฉันจะลงไปเอาอาหารมาให้ จะได้กินยา พรุ่งนี้ค่อยหาทางกันต่อไป”
เขาได้แต่พยักหน้า นางพยาบาลสาวใหญ่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมอก และก้มมองพร้อมรอยยิ้มให้กำลังใจ
“คุณจะต้องพักผ่อนมากๆ แผลจะได้หายเร็วๆ”
เขายิ้มตอบ และหล่อนก็หมุนตัวเดินอ้อมฉากกั้นเตียงจากไป ปล่อยให้เขานอนมองรอบกาย สมองอันมึนงงค่อยๆ รับรู้อย่างไม่เต็มใจว่า เขาอาจย้อนเวลากลับมาในปี 1925 แล้วจริงๆ