กระบือสื่อรัก บทที่ 4 : เพราะหัวใจบังคับกันไม่ได้
โดย : พรรณสิริ
กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป
แดดยามเที่ยงวันร้อนระอุ เอื้อมดาวแลกบัตรผ่านหน้าป้อมยาม ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดหน้าอาคารเรียนของโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด
กริ่งสัญญาณเริ่มต้นคาบเรียนในภาคบ่ายดังขึ้น นักเรียนกลับขึ้นตึกหมดแล้ว โถงทางเดินสู่ห้องพักครูฝ่ายปกครองว่างเปล่า เสียงการเรียนการสอนดังเล็ดลอดออกจากห้องตลอดทางที่เดินผ่าน
หญิงสาวหยุดหน้าป้ายประกาศเชิดชูเกียรตินักเรียนที่สอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยได้ หวังว่าปีหน้าจะมีชื่อของน้องชายติดบอร์ดนี้ ภาวนาให้เส้นทางการศึกษาของโอบบุญราบรื่นสมกับที่เธอยอมเสียสละอนาคตของตัวเองโอนย้ายหน่วยกิตกลับมาเรียนภาคพิเศษเสาร์-อาทิตย์ที่สถาบันในตัวจังหวัดและใช้วุฒิ ม.ปลายสมัครเข้าทำงานในโรงงานผลิตนมข้นหวานใกล้บ้าน
เอื้อมดาวหวังว่าโอบบุญจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลดีๆ ได้ แต่บทสนทนาทางโทรศัพท์กับครูประจำชั้นของน้องชายทำให้เธอเป็นกังวลอย่างยิ่ง
หญิงสาวหยุดหน้าห้องฝ่ายปกครอง เคาะประตูเบาๆ ก่อนเปิดเข้าไปยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนในชุดผ้าไทย
ครูฝ่ายปกครองรับไหว้ จำหน้าหญิงสาวในยูนิฟอร์มพนักงานโรงงานได้ทันที เอื้อมดาวจบชั้นมัธยมต้นจากที่นี่และเป็นนักเรียนเพียงไม่กี่คนในรุ่นที่สอบติดโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังในกรุงเทพฯ
“นั่งก่อน เป็นยังไงบ้างสบายดีนะ ไม่เจอกันหลายปีโตขึ้นเป็นกอง”
อดีตนักเรียนทรุดตัวนั่ง รู้สึกตัวลีบเล็กยามอยู่หน้าครูฝ่ายปกครองเหมือนสมัยก่อนไม่ผิดเพี้ยน
“ครูนึกว่าเราเรียนอยู่กรุงเทพเสียอีก”
“พอดีพ่อเสีย เลยต้องกลับมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลครอบครัวค่ะ”
เอื้อมดาวทำตามที่พูด เธอไปร้องขอต่อศาลเป็นผู้จัดการมรดกด้วยความเห็นชอบจากมารดา หลังจากนั้นก็จัดการโอนทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่อยู่ในชื่อของบิดาใช้หนี้สิน โดยมีผู้ใหญ่เดชช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้
หนี้สินถูกปลดเปลื้องจนหมด เหลือเงินติดบัญชีไม่ถึงหนึ่งแสน คำนวณดูจากค่าใช้จ่ายรายเดือน เงินก้อนนี้จะหมดลงภายในครึ่งปีหากไม่มีรายได้เข้ามา หญิงสาวจึงปรากฏตัวในเครื่องแบบสาวโรงงานให้ครูที่เคยสอนกันมาได้ประหลาดใจ
แววตาของคนเป็นครูอ่อนแสงลง “อืม…น้องชายเราขาดเรียนบ่อยก็คงมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้”
“ขาดเรียน…” เอื้อมดาวมีสีหน้าตระหนก “น้องแต่งตัวออกจากบ้านมาโรงเรียนทุกวันนะคะ”
พลั้งปากออกไปแล้วก็ชักไม่แน่ใจ เนื่องจากโรงงานอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม เอื้อมดาวจึงต้องออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ที่สถานีขนส่งและนั่งรถประจำทางต่ออีกทอด ช่วงเย็นบางวันก็ต้องทำล่วงเวลากลับถึงบ้านดึก แทบจะไม่เคยได้เห็นหน้าน้องชายและน้องสาว เพราะแยกกันนอนคนละห้อง
“เขาแต่งชุดนักเรียนออกจากบ้าน แต่มาไม่ถึงโรงเรียนนะ ที่เรียกผู้ปกครองมาพบจะได้รู้ ลองไปคุยกันดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มาโรงเรียน ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปโอบบุญอาจจะหมดสิทธิ์สอบปลายภาค”
เอื้อมดาวออกจากห้องพักครู แข้งขาสั่นเหมือนจะเป็นลม ทรุดตัวลงนั่งบนระเบียงหินอ่อนริมทางเดิน ไม่คาดคิดว่าน้องชายที่เป็นเด็กดี ไม่เคยเกเรออกนอกลู่นอกทางมาก่อน จะมาดีแตกในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
“โอบล่ะแม่ กลับมาหรือยัง”
เอื้อมดาวลางานครึ่งวัน จึงกลับถึงบ้านเร็วกว่าปกติทันร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับมารดาและน้องสาว แม้จะหิวจนไส้กิ่วแต่ยังถามหาน้องชายเป็นอันดับแรก
“วันนี้ค้างบ้านเพื่อน ติวหนังสือกัน”
“โอบบอก แม่ก็เชื่อง่ายๆ งั้นเหรอ” เอื้อมดาวพาลใส่
“ก็แล้วทำไมจะไม่เชื่อ โอบไม่เคยโกหก” นางสะอิ้งเถียง ผุดลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร หยิบโทรศัพท์จากหลังตู้โทรทัศน์ ไล่หาข้อความที่โอบบุญส่งมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนยื่นส่งให้บุตรสาวคนโตดู
“น้องถ่ายที่บ้านเพื่อน กำลังติวหนังสือกันอยู่”
เอื้อมดาวพินิจพิเคราะห์ภาพโอบบุญในชุดนักเรียน ถ่ายในห้องนอนของเด็กผู้ชายอีกคน ระบุไม่ได้ว่าเป็นเวลาไหน
“แม่มีไลน์เพื่อนคนนี้ของโอบไหม”
นางสะอิ้งดึงโทรศัพท์กลับไปกดไล่หา “บ้านเขาอยู่คนละทางกับบ้านเรา น้องไปติววิชาที่อ่อนกับเขาเลิกดึก กลับบ้านลำบาก”
เอื้อมดาวหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาและกดทักไป ทิ้งช่วงไปครู่ใหญ่ อีกฝั่งจึงพิมพ์ตอบกลับมา
“ได้เรื่องไหม น้องอยู่กับเขาใช่ไหม” มารดาคาดคั้น
เอื้อมดาวลุกขึ้นเดินเข้าครัวกลับมาพร้อมกล่องอาหาร เทมัสมั่นไก่ซึ่งเป็นของโปรดของน้องชายลงไป
“อยู่หรือเปล่าไม่รู้ แต่ฉันบอกให้เขาเรียกโอบมาเปิดกล้องคุยพร้อมกัน เขาบอกไม่สะดวกเดี๋ยวจะให้โอบโทรกลับ”
“เอื้อมไปเซ้าซี้แบบนี้ เดี๋ยวได้กินแหนงแคลงใจกันพอดี เขาอุตส่าห์มีน้ำใจให้น้องไปติวด้วย” มารดาบ่นกระปอดกระแปด
“ถ้าโอบโทรกลับมา แม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นะ แค่ถามไถ่ไปตามปกติ ฉันจะไปบ้านเขา เดี๋ยวก็รู้กันว่าคนของเราโกหกหรือเปล่า”
เอื้อมดาวไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าน้องชายแต่งชุดนักเรียนออกจากบ้านทุกวัน จริงๆ แล้วหายไปไหน ทำไมถึงไม่ไปโรงเรียน
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน รถมอเตอร์ไซค์ของเอื้อมดาวกลับเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน
หลังจากบุตรสาวคนโตคล้อยหลังออกไปไม่นาน บุตรชายก็โทร.กลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ดูมีพิรุธ นางปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แค่ถามย้ำให้แน่ใจว่าติวหนังสืออยู่ที่บ้านเพื่อน
“เจอน้องไหม” สีหน้านางสะอิ้งเคร่งเครียด
เอื้อมดาวส่ายหัว “เจอแต่พ่อแม่น้อง เขาบอกว่าโอบไม่เคยมาค้างที่บ้าน เทศนาลูกชายเสียยกใหญ่ที่ช่วยเพื่อนโกหก”
เอื้อมดาวไม่กล้าโทร.หาน้องชายต่อหน้าผู้ปกครองเพื่อน แค่นี้ก็อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“แม่ลองโทรหาโอบอีกที” หญิงสาวร้อนรนจนนั่งไม่ติด
“เดี๋ยวน้องจะหาว่าแม่จิกหรือเปล่า”
“แม่! จนป่านนี้แล้วจะเกรงใจไปทำไม น้องโกหก แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย วันนี้ฉันไปพบครูฝ่ายปกครองมา โอบขาดเรียนบ่อยจนจะหมดสิทธิ์สอบอยู่แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้ น้องไปโรงเรียนทุกวัน วันไหนไม่กลับบ้านก็ส่งข้อความมาบอกว่าติวหนังสืออยู่กับเพื่อน ส่งรูปมาเป็นหลักฐานด้วย”
“เอาโทรศัพท์มา ขอฉันดูอีกที” เอื้อมดาวดึงโทรศัพท์จากมือของบุพการี กดไล่ย้อนดูข้อความสนทนาระหว่างแม่กับน้องชาย พินิจพิเคราะห์รูปถ่ายแล้วก็เบ้ปาก “แม่โดนโอบหลอกแล้ว มันเวียนรูปส่งให้ดู ไม่สะกิดใจบ้างเลยหรือไง”
“เวียนรูป หมายความว่ายังไง” นางสะอิ้งมือสั่น ดึงโทรศัพท์กลับไปดูอีกรอบ เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจึงเห็นว่าเอื้อมดาวพูดถูก
นางร้อนรนต่อสายหาบุตรชาย แต่คราวนี้ปลายสายไม่รับ เงยหน้าขึ้นสบตาบุตรสาวคนโตอย่างสิ้นหวัง“เอื้อมแล้วเราจะไปตามหาน้องที่ไหน”
เอื้อมดาวหัวหมุนคล้ายจะหน้ามืด ตั้งแต่หลังเที่ยงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปพบครูฝ่ายปกครองที่โรงเรียน มื้อเย็นก็แทบไม่ได้แตะเพราะรีบรุดออกไปตามหาน้องชายตัวดี
เธอลองใช้โทรศัพท์ของตัวเองโทร.หาน้องชายอีกรอบ แต่ปลายสายไม่รับเหมือนเดิม
แม้จะโกรธแค่ไหน แต่ความเป็นห่วงเพราะติดต่อไม่ได้มีมากกว่า เอื้อมดาวเดินเข้าบ้าน ขึ้นบันไดเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของโอบบุญ โดยมีนางสะอิ้งตามติดแจอย่างร้อนใจไม่แพ้กัน
หญิงสาวสอดส่ายสายตาสำรวจโต๊ะเขียนหนังสือของน้องชายแต่ไม่พบสิ่งแปลกตา ดึงลิ้นชักพบว่าถูกล็อกไว้ จึงลองควานหากุญแจจากกล่องใส่ดินสอที่วางอยู่บนโต๊อีกรอบ เจอลูกกุญแจดอกเล็กในที่สุด
“ละลาบละล้วงรื้อลิ้นชักน้องไม่ได้นะ”
“ก็ถ้าไม่มีเบาะแสะอะไรเลย แม่จะให้ฉันไปตามหาน้องที่ไหน” พูดพลางไขลิ้นชัก ล้วงเข้าไปหยิบกล่องคุกกี้ขนาดกะทัดรัดออกมา เททุกอย่างในกล่องลงบนโต๊ะ หยิบปึกตั๋วรถโดยสารที่เรียงซ้อนกันไว้อย่างเป็นระเบียบขึ้นมาดู
“โอบไปอุทัยทำไมทุกอาทิตย์” เจ้าตัวหน้านิ่วคิ้วขมวด ไล่ดูวันที่บนหน้าตั๋ว
“ลองไปดูที่บ้านลุงเดช เผลอๆ อาจจะไปขลุกอยู่กับดินก็ได้นะ” นางสะอิ้งนึกขึ้นได้โพล่งออกมา
“ถ้าไปค้างกับดินแดนก็ไม่จำเป็นต้องเอาเพื่อนคนอื่นมาอ้าง”
“ก็น้องมันรู้ไงว่าแกไม่อยากให้คบหากับดินสักเท่าไหร่”
“แม่ไปเอามาจากไหน โอบกับดินสนิทกันมาตั้งนมนาน ทำไมฉันต้องกีดกันไม่ให้คบกันด้วย”
“จะไปรู้เหรอ ตอนโอบขอไปเรียนอาชีวะ พ่อไม่ยอม บังคับให้น้องเรียนต่อมอปลายแทน เพราะแกนั่นแหละค้านหัวชนฝา จำไม่ได้หรือไง” นางสะอิ้งรำลึกความหลัง
แม้จะไม่เห็นด้วยกับสามีและบุตรสาวคนโตในตอนนั้น แต่ด้วยความที่เป็นช้างเท้าหลังมาตลอด จึงไม่ได้คัดค้าน คิดง่ายๆ ว่าพี่น้องคลานตามกันมา สติปัญญาก็ไม่น่าจะหนีจากกันสักเท่าไร ถ้าคนเป็นพี่เรียนต่อชั้น ม.ปลายได้ น้องชายก็ย่อมเรียนได้เหมือนกัน แต่ผลการเรียนชั้น ม.สี่ทำให้รู้ว่าโอบบุญไม่ถนัดสายวิชาการสักเท่าไรแต่จะให้เปลี่ยนไปเรียนสายอาชีวะก็ทำใจไม่ได้ เพราะยึดติดกับทัศนคติที่ว่าลูกหลานเรียนจบมหาวิทยาลัยย่อมเป็นที่เชิดหน้าชูตามากกว่าจบอาชีวะ
“โอ๊ย แล้วจะทำยังไงดี แจ้งตำรวจดีไหม” มารดาเสนอแนวทางใหม่
“ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ตำรวจเขายังไม่รับแจ้งความอยู่ดี แม่รอโทรศัพท์น้องแล้วกัน ฉันจะลองไปตามที่บ้านลุงเดชดูก่อน ให้ดินช่วยหาอีกแรงด้วย”
เอื้อมดาวสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์ ขับฝ่าความมืดออกจากบ้านอีกครั้ง
“ใครมาตะโกนเรียกดึกดื่นป่านนี้วะ”
ผู้ใหญ่เดชมุดออกจากมุ้ง เมื่อได้ยินเสียงหมาเห่าเกรียวที่ใต้ถุนบ้าน ชะเง้อมองก็เห็นดวงหน้าแฉล้มยืนเกาะรั้วอยู่
“อ้าวเอื้อม มาทำอะไรดึกดื่นป่านนี้ หรือแม่ไม่สบายเป็นอะไรไปหรือเปล่า” ชายสูงวัยรุดลงบันไดมาเมื่อเห็นเป็นคนคุ้นเคย
“ขอโทษที่มากวนตอนดึก แต่ฉันอยากเจอดินหน่อย ป่านนี้โอบยังไม่กลับบ้าน โทรหาก็ไม่รับสาย เลยลองมาตามดู เผื่อน้องจะมาอยู่กับดินที่นี่”
“ดินมันไปนอนเฝ้าควายอยู่ที่คอกโน่น เอ…แต่ตอนเย็นมันกลับมากินข้าว ข้าไม่เห็นน้องเอ็งนะ”
“ขอบใจจ้ะ เดี๋ยวฉันลองไปดูก่อน”
เอื้อมดาวขี่มอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าฝ่าความมืดด้วยความหวังสุดท้ายว่าจะเจอน้องชาย ทางหลวงชนบทยามเที่ยงคืนเงียบสงัด แม้จะคุ้นชินเพราะใช้เส้นทางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ยังแอบหวั่นๆ ต้องคอยส่องกระจกมองหลังเป็นระยะ
มอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านแนวรั้วต้นกระถินที่ขึ้นสะเปะสะปะ แสงสว่างรำไรจากไฟส่องทางมองทะลุเข้าไปเห็นความรกเรื้อ ที่ดินเก่าของครอบครัวถูกเปลี่ยนมือเพื่อใช้หนี้ เจ้าของใหม่ไม่ได้เข้ามาดูแล ปล่อยหญ้าขึ้นรกอย่างน่าเสียดาย
เอื้อมดาวไม่มีเวลาร่ำไร บึ่งรถผ่านโดยทิ้งความเสียดายไว้เบื้องหลัง เพียงแค่ชั่วอึดใจ รั้วต้นกระถินก็เปลี่ยนเป็นรั้วไม้ไผ่ที่ถูกปักอย่างลวกๆ บอกให้รู้ว่าเข้าสู่อาณาเขตที่ดินของผู้ใหญ่เดชแล้ว
สุนัขวิ่งออกมาเห่ากันเกรียวเมื่อได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาจอด เอื้อมดาวบีบแตรดังๆ อย่างไม่เกรงใจเพราะโดยรอบไม่มีบ้านเรือนสักหลัง เป็นทุ่งนายาวสุดลูกหูลูกตา
หญิงสาวมองลอดผ่านประตูไม้ที่สร้างไว้หยาบๆ แค่พอกันไม่ให้คนรุกล้ำเข้าไปโดยพลการ แสงไฟที่สว่างขึ้นจากด้านในทำให้พอมองเห็นคอกควายเก่าและโรงเรือนหลังใหม่ที่ตั้งขนาบข้างกัน มีแต่เสาและโครงแต่ยังไม่มีหลังคา
เอื้อมดาวไม่ได้เจอดินแดนอีกเลยตั้งแต่เล่นน้ำสงกรานต์ เงาร่างที่ใกล้เข้ามาเหมือนจะสูงขึ้น เจ้าตัวสวมเสื้อฮาวายตัวโคร่ง ติดกระดุมเม็ดกลางอย่างลวกๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดูหน้าตาก็พอรู้ว่าถูกปลุกขึ้นจากที่นอน
“ว่าไงเจ๊ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ แถวนี้”
เอื้อมดาวไม่มีอารมณ์ถือสาวาจากวนประสาทของหนุ่มรุ่นน้อง “โอบอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
เจ้าของคอกควายซึ่งตื่นเต็มตาแล้วส่ายหัวดิก
“จริงนะ ขอฉันเข้าไปดูหน่อยได้ไหม” เอื้อมดาวกระโดดหย็องแหย็ง พยายามมองเข้าไปในคอกควายที่อยู่ห่างออกไป
“ฉันจะโกหกเจ๊ไปทำไม แต่ถ้าอยากจะเข้ามาก็เชิญ” ดินแดนเปิดประตูรั้วให้ พลางตะเพิดไล่หมาไปให้พ้นทาง
“ไม่กัดแน่นะ”
“เข้ามาเถอะน่า รับรองฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าแล้วทุกตัว” เจ้าตัวยังคงเล่นลิ้น
ด้วยความกลัวเจ้าสี่ขาที่จ้องคนแปลกหน้าอย่างไม่วางตา เอื้อมดาวเผลอเบียดตัวเกาะไหล่เจ้าของคอก
“เจ๊ ถ้าจะสิงกันเสียขนาดนี้ ขี่คอเลยดีไหม” ดินแดนเย้ากลั้วหัวเราะ
พี่สาวของโอบบุญวางท่าเหมือนเป็นรุ่นพี่หลายปี ทั้งที่จริงก็แก่กว่ากันแค่ไม่ถึงปี
“รีบๆ เดินสิ” เอื้อมดาวเสียงเขียวใส่ พลางรุนหลังหนุ่มรุ่นน้อง
เมื่อเห็นอาคันตุกะสนิทสนมกับผู้เป็นเจ้าของ เจ้าสี่ขาก็พร้อมใจกันกระดิกหางวิ่งนำหน้าเข้าสู่โรงเรือนด้านใน
คอกควายแต่ดั้งเดิมปลูกด้วยไม้ ควายสี่ห้าตัวรวมกันอยู่ก็จริงแต่แบ่งสัดส่วนพื้นที่ชัดเจน
“นายต่อโรงเรือนใหม่จะเลี้ยงควายเพิ่มเหรอ” เห็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ตรงหน้า เอื้อมดาวถึงกับลืมไปว่าดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อมาตามหาน้องชาย
“อืม…ตลาดควายสวยงามกำลังบูม ฉันสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกอย่างอยากให้พ่อหยุดเลี้ยงควายเนื้อเสียที เปลี่ยนมาเลี้ยงแบบพัฒนาสายพันธุ์ ขายพ่อพันธุ์แม่พันธุ์น้ำเชื้ออะไรทำนองนั้น”
“นายไปเอาความรู้มาจากไหน” เอื้อมดาวมองหน้าเขาอย่างทึ่งๆ
“อาชีวะมีสาขาเกษตร ไม่ใช่มีแต่ช่างกล แล้วเด็กเกษตรวันๆ ถ้าไม่อยู่กับแปลงผักก็เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ไม่มีเวลามายกพวกตีกันหรอก” ดินแดนดักคอ รู้ดีว่าพี่สาวเพื่อนมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีเท่าไรกับเด็กอาชีวะอย่างเขา
เอื้อมดาวหน้าตึง แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ดินแดนคงรู้ว่าเธอเคยปรามาสเด็กอาชีวะเอาไว้มากสมัยที่ดินแดนขอเปลี่ยนสายการเรียนก่อนขึ้นชั้น ม.ปลาย
หญิงสาวกวาดสายตาไปทั่วคอกควาย โรงเรือนใหม่เทพื้นคอนกรีต ขึ้นโครงหลังคาเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากแล้ว
“นี่คงเป็นความฝันของนายสินะ”
เอื้อมดาวรู้สึกทึ่งไม่น้อย คนจบ ปวช.เอาจริงๆ ก็เทียบเท่า ม.หก ส่วนใหญ่ไปเป็นลูกจ้างในโรงงาน ร้านสะดวกซื้อหรือห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ น้อยคนนักที่จะคิดการใหญ่ทำอะไรเป็นของตัวเอง
“ก็คงอย่างนั้นแหละ อยู่กับควายสบายใจดี อีกอย่างฉันรู้ตัวว่าไม่ชอบตอกบัตร ให้ไปอยู่โรงงาน เช้าตอกบัตรเข้า เย็นตอกบัตรออก ทำโอทีเลิกสี่ทุ่มเที่ยงคืน เป็นแบบนี้ทั้งเดือนทั้งปีแค่คิดก็จะอ้วกแล้ว”
“ถ้าเลือกได้ ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้านายตัวเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากทำงานตอกบัตรหรอก แต่เพราะมันเลือกไม่ได้ต่างหาก” เอื้อมดาวโต้กลับ เพราะรู้สึกว่ากำลังถูกพาดพิง
วุฒิ ม.หกไม่ได้ช่วยให้มีทางเลือกสักเท่าไร โรงงานผลิตนมข้นหวานที่ทำอยู่นับว่าที่ดีที่สุดแล้ว เพราะทำแค่ห้าวัน เธอจึงพอมีเวลาไปเรียนหนังสือในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ก็นับว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่ดี
“นายนอนกับควายที่นี่ด้วยเหรอ” เอื้อมดาวเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากนึกถึงงานที่ ‘เลือกไม่ได้’ อีกต่อไป
ตราบใดที่ยังไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ หญิงสาวจำเป็นต้องอดทนเพื่อครอบครัว แม้ภายในใจจะกรีดร้องด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องยืนขาแข็ง จ้องมองสายพานการผลิตที่ไหลผ่าน วนเวียนไปทั้งวัน ทุกวัน จนตัวเองก็แทบไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร
“โน่น…แท่นบรรทม” เจ้าตัวชี้มือไปยังเพิงหมาแหงนหลังคามุงจากกรุด้วยฝาไม้ไผ่เพียงสามด้าน ทำให้เห็นมุ้งที่กางครอบไว้
เอื้อมดาวก้าวยาวๆ ไต่บันไดเตี้ยขึ้นไป ตลบมุ้งดูพบแต่ความว่างเปล่า ถึงกับทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
“นายพอจะรู้ไหม โอบหายไปไหน น้องไม่กลับบ้าน โทรไปก็ไม่รับสาย ฉันลองค้นลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือเจอตั๋วรถทัวร์ไปอุทัย แต่ไม่รู้จะตามต่อยังไง”
“อุทัย?” ดินแดนฉุกคิดขึ้นได้ “สงสัยจะไปเยี่ยมหอมเงินกับหอมทองที่โชคเจริญสุขฟาร์มแน่ๆ”
“ฟาร์มอะไร” หญิงสาวขมวดคิ้ว คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“ก็ฟาร์มที่ซื้อหอมเงินหอมทองไปไงล่ะ”
“อ้าว ไปดูควายทำไมไม่บอกกันดีๆ ปล่อยที่บ้านตามหาตัวให้วุ่น” เอื้อมดาวบ่นอย่างเสียเส้น แต่สีหน้าดูโล่งขึ้น อย่างน้อยก็ได้คลี่คลายคำตอบในสิ่งที่สงสัยไปได้เปลาะหนึ่ง
“ก็ถ้าบอก เจ๊จะให้ไปไหมล่ะ มันกลัวถูกด่าน่ะสิ”
“สมควรถูกด่าไหม เล่นโดดเรียนไปจนแทบจะหมดสิทธิ์สอบ เนี่ย ฉันเพิ่งไปพบครูฝ่ายปกครองมา”
“เออ ถ้าโดดเรียนไปก็สมควรถูกด่าจริงๆ แหละ” ดินแดนพยักหน้าหงึกๆ แสร้งทำเป็นเออออแต่ตลบหลังด้วยคำพูดแทงใจดำ “แต่ก็ต้องเห็นใจหน่อย ควายสองตัวนั่นโอบรักมาก เจ๊ขายให้คนอื่นไปก็เหมือนปลิดเอาหัวใจมันไปด้วย”
เอื้อมดาวถึงกับอึ้งไป นับตั้งแต่ควายสองตัวถูกขายไป โอบบุญที่เคยร่าเริงแจ่มใสก็เงียบขรึมลง หลบหน้าหลบตาไม่ค่อยอยากเสวนากับเธอ
หญิงสาวสร้างแผลในใจให้น้องชาย ก็ไม่รู้ว่าจะกู้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องคืนมาดังเดิมได้อย่างไร
เห็นสีหน้าหดหู่ของพี่สาวเพื่อน ดินแดนก็ตระหนักว่าตนเองพูดแรงไป เขาเปิดมุ้งเข้าไปหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาเพื่อน ฟังเสียงเรียกเข้าอยู่นานจนกระทั่งปลายสายกดรับ
“ติดแล้ว” เจ้าตัวหันมาบอกคนที่นั่งรอด้วยใจจดจ่อ
เอื้อมดาวแทบจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักเพื่อนน้องชาย พยายามแย่งโทรศัพท์มาคุยเองแต่ถูกมือใหญ่ยึดข้อมือไว้แน่นจนต้องยอมแพ้
“มึงอยู่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ที่บ้านวะ เขาตามหากันให้วุ่น” ดินแดนกระโชกโฮกฮากใส่เพื่อนสนิทที่ทำตัวเหลวไหล
การสนทนาดำเนินไปสั้นๆ เอื้อมดาวไม่รู้ว่าปลายสายตอบว่าอย่างไรบ้าง
“เออ…พรุ่งนี้ก็กลับบ้านด้วยแล้วกัน”
เอื้อมดาวอาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มเผลอ โผนเข้าใส่ คว้าโทรศัพท์หมับเข้าให้ “โอบอยู่ไหน บอกพี่มา เดี๋ยวพี่ไปรับกลับบ้าน” แต่ไม่ทันเสียแล้ว ปลายสายตัดไปก่อน
“เจ๊ใจเย็นๆ หน่อยเถอะ ไปคาดคั้นมากๆ จะยิ่งเตลิดไปกันใหญ่ อุทัยก็แค่นี้เอง นั่งรถไปตดยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงแล้ว ไม่ต้องไปตามให้เสียเวลาหรอก เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ” น้ำเสียงเจ้าตัวติดจะรำคาญนิดๆ
“แต่พรุ่งนี้โอบต้องไปโรงเรียน ขืนขาดเรียนอีกจะหมดสิทธิ์สอบเอา”
“แล้วยังไง ตีหนึ่งแล้วนะ ขืนขี่มอเตอร์ไซค์ไปอุทัยตอนนี้ ได้ลงไปนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างทางแน่ๆ” ดินแดนแยกเขี้ยวใส่คนที่พูดไม่รู้ฟัง พลางกำชับอย่างอ่อนอกอ่อนใจอีกรอบ “ไปเฝ้าหอมเงินหอมทองอย่างที่คิดไว้จริงๆ ฉันคุยกับโอบแล้ว พรุ่งนี้เช้ามันจะนั่งรถเที่ยวแรกกลับ ไปโรงเรียนทันแน่นอน”
เอื้อมดาวถอนหายใจ ช่างเป็นวันที่แสนยาวนานสำหรับเธอเหลือเกิน “ฉันจะกลับบ้านได้ยังไง ไม่มีโอบไปด้วย เดี๋ยวแม่ก็ตีโพยตีพายอีก”
“เจ๊ก็บอกแม่ไปสิว่าติดต่อได้แล้ว ยากตรงไหนกัน น้องเจ๊เป็นผู้ชาย นอนที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“วันนี้โรงเรียนเรียกไปเตือน ขืนขาดเรียนอีกจะหมดสิทธิ์สอบ ถ้านึกอยากจะโดดเรียนไปไหนเมื่อไหร่ก็ได้ไม่จบมอหกขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็เรียนซ้ำอีกปี ความรู้จะได้แน่นๆ ไง” ดินแดนซึ่งอิดหนาระอาใจเต็มที ประชดกลั้วหัวเราะ
“ยังไงโอบก็ต้องเรียนมอหกให้จบ สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ จะมาทำตัวเหลวไหลไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่แบบนี้ หัวเด็ดตีนขาดฉันยอมไม่ได้ โอ๊ย ทำยังไงดีๆ”
แทนที่จะโล่งอกหลังติดต่อน้องชายได้ เอื้อมดาวกลับยิ่งวิตกจริต คว้าโทรศัพท์ออกมากดหาน้องชายแต่ปลายสายไม่รับ หญิงสาวมือไม้สั่น ต่อสายซ้ำๆ อย่างคนสิ้นหวังจนกระทั่งปลายสายกดปิดเครื่องหนี
จากที่เห็นเป็นเรื่องขบขัน ดินแดนสัมผัสได้ถึงความทดท้อลึกล้ำของคนตรงหน้า เขาถือวิสาสะรวบมือสั่นเทาที่ควบคุมไม่อยู่เอาไว้ ค่อยๆ ดึงโทรศัพท์ออกจากมือหญิงสาว “เจ๊ คืนนี้พอเถอะนะ เรารู้แล้วว่าโอบอยู่ที่ไหน ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว รอมันกลับมาก่อน ค่อยคุยกันดีๆ อย่าใช้อารมณ์ เดี๋ยวฉันจะช่วยพูดอีกแรง”
ลมแห่งความหวังพัดมาวูบหนึ่งเมื่อได้รับคำยืนยันจากเพื่อนสนิทของน้องชาย หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ส่งผ่านความรู้สึกขอบคุณผ่านทางสายตาให้คนที่กำลังกุมมือเธอเอาไว้