กระบือสื่อรัก บทนำ : ฉันกับนาย คนละรุ่นกัน
โดย : พรรณสิริ
กระบือสื่อรัก นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 4 โดย พรรณสิริ ที่อ่านได้ในเพจอ่านเอาและ anowl.co เรื่องราวของเอื้อมดาวที่ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัว เธอต้องทิ้งใบปริญญามาเป็นสาวโรงงาน ต้องขายควายเพื่อใช้หนี้ แล้วบททดสอบของชีวิตก็ทำให้รู้ว่าตัวเองแกร่งกว่าที่คิดและชีวิตไม่ต้องขึ้นอยู่กับใบปริญญาเสมอไป
รถโดยสารประจำทางชะลอความเร็วก่อนจอดสนิท ปล่อยเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายลงสู่ริมทางหลวงข้ามจังหวัด
เอื้อมดาวย่ำเท้าต่อไปบนถนนดินลูกรังที่ต่อลงจากเส้นทางหลัก กดโทรศัพท์หาบิดาซึ่งนัดหมายไว้ว่าจะออกมารับแต่ยังไม่เห็นแม้เงา เจ้าตัวฟึดฟัดมาตั้งแต่เช้าเนื่องจากไม่เคยต้องนั่งรถประจำทางจากเมืองหลวงกลับบ้านเองเลยสักครั้ง แต่วันนี้มีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างที่ทำให้บิดาไม่สามารถไปรับบุตรสาวคนโตหัวแก้วหัวแหวนได้
“เอื้อมถึงแล้วเหรอลูก โอบขับรถออกไปได้พักใหญ่แล้ว เดี๋ยวคงถึง”
“โอบขับรถเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อปล่อยให้ขับออกมาคนเดียวได้ยังไง” เจ้าตัวเสียงหลง เนื่องจากโอบบุญน้องชายคนกลางเพิ่งขึ้นชั้น ม.สี่ อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำใบขับขี่ได้
“เปล่าน้องไม่ได้ขับเอง มีเพื่อนขับให้ไม่ต้องเป็นห่วง”
ยังไม่ทันได้วางสายก็เหลือบไปเห็นรถกระบะที่บรรทุกหญ้ามาเต็มท้ายรถวิ่งปุเลงมาถึง คนขับเหยียบเบรกเสียงดังพรืดจอดสนิทเบื้องหน้าเด็กสาว
คนนั่งข้างคนขับเปิดประตูยื่นหน้าออกมารับ“พี่เอื้อมรอนานไหม กระโดดขึ้นมาเลย เบียดๆ กันไปหน่อยนะ”
“กระเถิบไปอีกหน่อย พี่มีกระเป๋ามาด้วย” เอื้อมดาวใช้กระเป๋าเป้ดันตัวน้องชาย
เด็กหนุ่มตัวผอม ผิวขาวเปลี่ยนเป็นแดงจัดจากการตากแดดทั้งวัน หน้าตาดูมอมแมมแต่สดชื่น รีบขยับเบียดคนขับตามคำสั่งพี่สาว
เอื้อมดาวปิดประตูรถพลางปรายตามองคนขับ สีผิวเข้มๆ ตัดกับสีสดของเสื้อฮาวายที่สวมอยู่ดูราวกับอีกาคาบพริก เด็กสาวย่นจมูกให้กับแฟชั่นที่ดูไม่เอาไหนเสียเลยก่อนเปรยออกมา “เพื่อนโอบดูไม่น่ามีใบขับขี่นะ”
โอบบุญหัวเราะ “ดินอายุสิบแปดเท่าพี่เอื้อมนั่นแหละ เรียนปอวอชอปีสองแล้ว ฉันจะเรียกมันว่าพี่แต่มันไม่ยอมบอกว่าฟังแล้วแก่”
เมื่อหาข้อติไม่ได้อีก นักเรียนชั้น ม.หกจากเมืองหลวงจึงนั่งคอแข็งไปตลอดทางกระทั่งถึงแปลงไร่นาสวนผสมของบิดา
ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำลังยืนชี้ไม้ชี้มือ คุมคนงานมุงหลังคาโรงเรือนปลูกใหม่ริมบึงน้ำ เอื้อมดาวถลาลงจากรถ ไม่ทันสังเกตเห็นสัตว์สี่เท้าตัวหนึ่งที่จ้องคนแปลกหน้าตาเป็นมันอยู่ข้างพุ่มไม้
“พ่อจ๋า! เอื้อมมาแล้ว”
ขณะที่เจ้าตัวตะโกนโหวกเหวกโบกไม้โบกมือให้บิดา เจ้าตัวที่ซุ่มอยู่ก็พุ่งเข้าใส่ เด็กสาวไม่ทันตั้งตัวตกใจสุดขีดเซถลาไปยังริมตลิ่งก่อนที่จะพลัดกลิ้งตกลงไปในบึงน้ำ
“เอื้อม!”
“พี่เอื้อม!”
ทั้งบิดาและน้องชายถลามายังริมตลิ่งโดยพร้อมเพรียง
เอื้อมดาวจมอยู่ในน้ำลึกแค่เข่า เมื่อเห็นควายตัวย่อมๆ ที่กำลังส่ายหัวไปมาทำท่าฟึดฟัดกำลังจะพุ่งตามลงมาถึงกับร้องเสียงหลง
“ชู่วววววว! หนูน้อยไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องตกใจไป”
คนที่ตั้งสติได้ก่อนกลับเป็นเพื่อนของน้องชาย เขากระโดดลงมาคว้าเชือกที่สนตะพายจมูกมันไว้
ควายเหมือนจะเข้าใจภาษาคน รั้งฝีเท้าไว้และยอมให้จูงกลับขึ้นไปผูกกับโคนต้นกันเกราที่มีใบหร็อมแหร็ม
“หอมเงินมันตื่นเต้นที่ได้เจอลูก” บิดาไต่ลงตลิ่ง หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะยึดท่อนแขนบอบบางของบุตรสาวคนโปรด ประคองให้ยืนขึ้น
ไต่กลับขึ้นมาได้ เอื้อมดาวหันมองน้องชายและเพื่อนสนิทของเขาอย่างคาดโทษ
“โทษทีพี่เอื้อม ฉันกำลังจะบอกแต่ไม่ทัน พี่เล่นพุ่งลงจากรถไปก่อน” โอบบุญเห็นพี่สาวซึ่งเปียกปอนไปทั้งตัว ผมที่ถักเป็นเปียไว้หลุดลุ่ย ถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
“ยังมีหน้ามาขำอีก เกือบตายแล้วรู้ไหม ควายของโอบเหรอ” พี่สาวพ่นไฟใส่น้องชายเป็นชุด
“ใช่ เป็นตัวเมียชื่อหอมเงิน พ่อซื้อให้ สวยไหม ดูสิสะโพกแน่นเชียว” น้องชายเผ่นแผล็วขึ้นไปคร่อมบนหลังที่หนั่นไปด้วยก้อนเนื้อสีดำมันปลาบ ก่อนตบก้นควายสาวเบาๆ
“หาของเล่นใหม่ไปเรื่อย เดี๋ยวก็เบื่อ เลี้ยงแพะรอบก่อนยังป่วยตายยกคอกเลย” เอื้อมดาวเบ้ปากเป็นเชิงปรามาส
ในสายตาของเธอ โอบบุญรักสัตว์ก็จริง แต่ด้วยนิสัยหยิบโหย่งจึงเลี้ยงอะไรไม่ได้นาน ถ้าไม่ล้มหายตายจากก็พานเบื่อไปเสียก่อน
“ไม่เบื่อหรอก รอบนี้รับรองได้ ให้ดินเป็นพยาน” โอบบุญหันไปพยักพเยิดกับคนที่ยืนพิงสีข้างของควายอย่างสบายอารมณ์
“เบื่อก็เอามาทิ้งไว้ที่คอก เดี๋ยวข้าเลี้ยงให้สบายมาก” ดวงตาเด็กหนุ่มวาวแสงขึ้นด้วยรู้สึกขบขันเล็กๆ กับท่าทางถือดีของคนในชุดนักเรียน
โอบบุญเล่าให้ฟังว่าพี่สาวเรียนเก่งติดหนึ่งในห้าของจังหวัด สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังในกรุงเทพฯ ได้ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล ทำให้ทุกคนในบ้านเกรงใจไม่เว้นแม้แต่บุพการี
ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำตัวเหมือน ‘แม่แก่’ ทั้งที่อายุไล่เลี่ยกับเขา
“เพื่อนโอบก็เลี้ยงควายเหมือนกันเหรอ” เอื้อมดาวถามอย่างขวางๆ ไม่ชอบใจสายตาที่เขามองมา เหมือนเธอเป็นเพื่อนเล่นรุ่นราวคราวเดียวกับน้องชาย
“มือโปรเลยแหละ ดินรับช่วงต่อคอกควายจากพ่อผู้ใหญ่เดช ไงล่ะ ฉันได้พี่เลี้ยงดีใช่ไหม”
“อ้อ เป็นเด็กเลี้ยงควายนั่นเอง ถึงว่าทำไมดูคมเข้มนัก” เจ้าตัวหมดความสนใจในตัวเพื่อนน้องชายหลังจากได้ข้อสรุป หันไปหาบิดา “พ่อกลับบ้านเถอะ เอื้อมอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแทบแย่แล้ว แฉะไปทั้งตัว”
“เอ้า ไปสิ แม่รอกินข้าวอยู่ แล้วโอบล่ะ จะกลับเลยไหมหรือจะอยู่ดูหอมเงินก่อน”
“พ่อกับพี่เอื้อมกลับก่อนเลยไม่ต้องรอกินข้าวเย็น เอาหอมเงินเข้าคอกแล้วฉันจะไปนั่งเล่นกับดินสักพักค่อยกลับ” เด็กหนุ่มบุ้ยใบ้ไปยังแปลงนาที่อยู่ติดกันซึ่งเป็นที่ตั้งคอกควายของดินแดน
“อย่ากลับดึกนักล่ะ” บิดาเตือนอย่างไม่จริงจังก่อนจะควงแขนบุตรสาวไปที่รถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ
ขึ้นนั่งข้างคนขับได้ เอื้อมดาวไขกระจกลง เหลียวมองน้องชายที่กำลังเรียนรู้วิธีจูงควายจากเพื่อนสนิทอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เดี๋ยวจะคอยดูว่าจะเห่อได้สักกี่วัน”
“รอบนี้พ่อว่าโอบเอาจริง เอื้อมก็ช่วยเชียร์น้องหน่อย น้องจะได้มั่นใจในตัวเองเหมือนเอื้อมยังไงล่ะ” บิดาลูบศีรษะเปียกหมาดๆ ของบุตรสาวคนโตอย่างรักใคร่
เด็กสาวเชิดหน้าน้อยๆ พึงพอใจเมื่อได้รับคำชม “แต่โอบก็ควรจะโฟกัสที่เรื่องเรียนเป็นหลัก จะมามัวสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ไม่ได้หรอกนะจ๊ะ ขึ้นมอสี่แล้ว ต้องเริ่มคิดถึงเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เดี๋ยวจะเตรียมตัวไม่ทันเอา” เด็กสาวประท้วง
“บ้านเราเอื้อมเรียนเก่งแค่คนเดียวก็พอ ส่วนน้องๆ พ่อไม่ได้คาดหวังหรอก อาจจะเรียนเก่งสู้เอื้อมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอให้เอาตัวรอดได้ เป็นคนดีมีความสุขพ่อก็พอใจแล้ว”