จากฮันกังถึงเจ้าพระยา บทที่ 2 : ฮันแจคัง
โดย : นาคเหรา
จากฮันกังถึงเจ้าพระยา นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอา โดย นาคเหรา เมื่อชะตากรรมพาให้ฮันแจกังมาสู่อยุธยา ดินแดนอันสงบร่มเย็นที่ปกครองโดยพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อบททดสอบใหม่เปิดฉากขึ้นทันทีที่พม่าบุกกรุง ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร อ่านออนไลน์ได้ใน anowl.co
**************************
ฮันแฮซูคิดถึงเรื่องที่เขาเคยคุยกับลูกชายและลูกสะใภ้เมื่อคราวก่อน ในขณะที่เจ้าหลานตัวดีกลับยิ้มกลบเกลื่อนจนตาหยี จนต้องแกล้งตีสีหน้าดุใส่แทน เหตุจากสามสี่วันก่อนแม่ครัวจองทำอาหารที่มีแต่ไก่ พอมาวันนี้มีเค้าว่าจะได้กินไก่อีกมื้อ เห็นทีเขาคงต้องพูดอะไรออกไปบ้าง
“เจ้าล้อเล่นกับชีวิตสัตว์อีกแล้วนะ แจคังสัตว์พวกนี้เกิดมาให้คนจับกินก็นับว่าเป็นกรรมของมันแล้ว นี่เจ้ายังจะเอามันมาลองเข็มเล่นไม่ได้หรอกนะ เจ้าเจ็บปวดเป็น มันก็เจ็บปวดเป็น คนเรามีหนึ่งชีวิต สัตว์ก็มีหนึ่งชีวิต เจ้ามาทำแบบนี้ ปู่ไม่ชอบใจนัก”
ฮันแฮซูเอ่ย ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเจ้าตัวดี ที่พยายามแสร้งยิ้มกลบเกลื่อนเมื่อเขาทำตาดุใส่
“ท่านปู่รู้ได้เช่นใดขอรับ ว่าหลานจะเอาไก่ไปทำอะไร” แจคังเถียงพลางเอากระบอกเข็มที่ขโมยมาจากหอวินิจฉัยโรคยัดใส่อกเสื้อซ่อน เด็กชายฉีกยิ้มจนผู้เป็นปู่อ่อนใจ
“หึ ทำไมจะไม่รู้ เจ้าน่ะ มันคิดอะไรเหมือนคนอื่นเสียเมื่อไหร่ อ่านตำรายังไม่แตกฉาน เรียนฝังเข็มได้ไม่เท่าไร ก็ริอ่านจะทดสอบวิชาเสียแล้ว ทางที่ดีปู่ว่าเจ้าน่าจะไปอ่านและศึกษาตำรายาอีกหน่อย อายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น ยังมีเรื่องที่เจ้าต้องเรียนรู้อีกมากมาย”
“โธ่…ท่านปู่ก็ หลานก็แค่อยากทดสอบอะไรบางอย่างเท่านั้น ไม่ได้รึขอรับ”
เสียงถอนหายใจไล่ลมออกจากอกนั้นมา เมื่อสบตากับปู่ เขาก็รู้ว่าท่านไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำเลยสักนิด ตอนนี้แม้จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ใบหน้าของฮันแจคังเริ่มสลดลง เพราะจากท่าทางเช่นนี้ท่านปู่ต้องไม่พอใจมาก แต่เพราะท่านเป็นคนสำรวม การแสดงออกจึงเยือกเย็นแม้ในเวลาไม่พอใจก็จะมีสีหน้าท่าทางที่ราบเรียบจนคนอื่นจับไม่ได้ เด็กชายมารู้สึกตัวอีกทีก็คือมืออบอุ่นของท่านมาแตะที่ศีรษะ เขาถึงยิ้มออกอีกครั้ง
“ปีหน้าเกล้าผมซังทู (1) ได้แล้วนะ”
“แสดงว่าหลานเริ่มเป็นหนุ่ม ท่านปู่ควรหาผู้หญิงมาแต่งงานกับหลานได้แล้ว”
“เจ้าตัวสูงกว่าเอวปู่นิดเดียวอยากมีเมียเสียแล้ว แก่แดดแก่ลมเชียวนะ รู้อยู่แล้วว่าที่บ้านของเรามีกฎ หากศึกษาตำราสมุนไพรไม่แตกฉานห้ามเรียนวิชาแพทย์ เจ้าจะแต่งงานได้ก็ต้องแตกฉานวิชาแพทย์ตามกฎของบ้าน ตัวแค่นี้ทำไมถึงอยากมีเมียเล่า ปู่ขอถามหน่อยเถิด”
“ก็ลูกของใต้เท้ายูข้างบ้าน เขากำลังจะแต่งงานนี่ขอรับ หลานเห็นว่าการแต่งงานเป็นเรื่องน่าสนุกมีคนมากินเลี้ยง มีอาหารมากมาย และมีขนมกิน”
“เฮ้ย…คุณชายน้อยบ้านนี้อยากมีเมียเพราะตะกละเห็นแก่กิน ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะไปอ้อนแม่ครัวจองมากกว่า”
“แล้วทำไมบ้านเราต้องตั้งกฎเช่นนี้ด้วยขอรับ หลานเคยได้ยินอาจารย์โมที่สำนักศึกษาเล่าให้ฟังว่า พระราชาของเราก็แต่งงานตอนพระชนมพรรษาสิบเอ็ดพรรษา อดีตพระราชาหลายพระองค์ก็ทรงอภิเษกสมรสเร็วเช่นกัน พวกลูกขุนนางที่มีหน้ามีตาหน่อยก็แต่งงานเร็วทั้งนั้น ไม่อยากให้หลานมีเมียเร็วๆ รึขอรับ…ท่านปู่”
“เรามีหน้าที่ที่สำคัญกว่านั้นน่ะสิ ปู่เองตอนอายุเท่าเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่พอโตมาแล้วก็เข้าใจทุกอย่าง และคิดว่าคนฉลาดเช่นเจ้าถึงไม่บอกตอนนี้ต่อไปก็คงรู้เอง เอาเป็นว่าตั้งใจเรียนรู้ให้มาก เป็นหมอรักษาคนได้เมื่อไหร่ ค่อยคิดเรื่องจะเป็นเจ้าบ่าว เข้าใจไหม”
“ขอรับ ท่านปู่”
“แล้วการเรียนของหลานเป็นเช่นใดบ้างล่ะแจคัง จำไว้นะหลานปู่ การอ่านเรียนเรื่องภาษาจีนนี้สำคัญมาก ต้องอ่าน เขียน และพูดให้ได้ เพราะตำรายาที่บันทึกมาล้วนเขียนมาจากภาษาจีนทั้งนั้น เจ้ายังต้องเรียนอีกหลายปีทีเดียว จดจำเรื่องจุดฝังเข็มและสมุนไพรได้เก่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่หมอควรมีก็คือ…”
เสียงนั้นขาดหายไปในลำคอ เมื่อมือน้อยของหลานชายยื่นมาจับมือเขาไว้พลางเอ่ย
“แค่รู้จักฝังเข็มและรู้สรรพคุณยาถือว่าเป็นหมอได้หรือยังขอรับ ท่านปู่”
“เป็นได้แต่ยังไม่ใช่หมอที่ดี คนเป็นหมออันดับแรกต้องมีใจเมตตาธรรมต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์เจ้าก็ต้องมีสิ่งนั้นให้เขา การที่เจ้าจับไก่มาฝังเข็มเล่น รู้ไหมมันเป็นการทรมานสัตว์และจบลงที่ความตาย มันไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหรอกนะหลาน”
“แต่หลานก็กำลังทดสอบจุดฝังเข็มอยู่นะขอรับท่านปู่ จะฝังเข็มได้ต้องรู้จุดชีพจร รู้ตำแหน่งของอวัยวะภายใน รู้การไหลเวียนเลือดและลมปราณ” แจคังอดเถียงไม่ได้
“แต่ไก่ก็ตายใช่หรือไม่ เจ้าอย่าเอาความรู้ที่ได้เรียนมาทดสอบกับชีวิตของสัตว์เล่นสิ กว่าจะฝังเข็มได้แม่นยำสักจุด ก็ต้องเรียนรู้เรื่องระบบภายในร่างกาย รู้ร้อนรู้เย็นก่อน หากเจ้าฝังเข็มให้ไก่ตายได้ ต่อไปก็จะฝังเข็มให้คนตายได้เช่นกัน ศึกษาร้อยรอบก็ยังไม่พอ พันรอบก็ยังไม่พอ และถ้ารู้ไม่จริงก็อย่าทำแบบนี้อีก”
คนเป็นปู่เอ่ยแกมดุ เด็กชายกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เขาก้มหน้าลงน้อยๆ พลางเอ่ย
“หลานอยากเป็นหมอรักษาพระราชาเหมือนท่านปู่ หมอที่ใช้เข็มเล่มเดียวรักษาได้ทุกโรค หลานอยากเป็นเช่นนั้น” เด็กชายบอกอย่างมุ่งมั่น ดวงตายาวรีสดใสเงยหน้ามองผู้เป็นปู่ เมื่อวานเขาได้ยินนักเรียนหมอฝึกหัดที่มาอยู่ที่บ้านเพื่อเรียนวิชาพูดเรื่องกูชิมจีฮเว ก่อนจะรวบรวมความกล้าเพื่อถามปู่ออกไปว่า
“กูชิมจีฮเวคือการฝังเข็มแบบไหนรึขอรับท่านปู่”
“แล้วเจ้ารู้เรื่องกูชิมจีฮเวได้เช่นใด”
“ก็หลานได้ยินนักเรียนแพทย์ฝึกหัดเล่าว่าคนที่สามารถฝังเข็มที่เรียกว่ากูชิมจีฮเวได้ คือหมอที่สามารถรักษาได้ทุกโรค มีคนบอกกับหลานว่าท่านปู่สามารถทำได้ แต่ท่านพ่อยังทำไม่ได้ เพราะเหตุนี้ท่านปู่ถึงไม่ยอมให้ท่านพ่อไปสอบเป็นหมอหลวงรักษาพระราชา” ฮันแฮซูได้ยินเช่นนั้นก็บอกให้บ่าวที่ชื่อยอนเดินตามมาเงียบๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้หลานชายที่ยังดูสงสัยอยู่
“ไหนๆ ก็จะเล่าแล้ว ปู่ไม่ได้กีดกันบิดาของเจ้าให้ไปสอบหรอกนะ แต่บิดาของเจ้าไม่ไปสอบเองต่างหาก ที่จริงเขาเองก็แตกฉานเรื่องฝังเข็มไม่ด้อยไปกว่าปู่เลยสักนิด แต่เพราะว่าเขาอยากเป็นหมอรักษาชาวบ้านต่างหาก”
ฮันแฮซูเห็นหลานชายตั้งใจฟังจึงพูดต่อไปว่า
“แต่จำไว้นะหลาน ไม่ว่าจะเป็นหมอของพระราชาหรือประชาชนยากไร้ มือของหมอก็จะไม่เลือกคนไข้ แต่จะช่วยฉุดรั้งให้คนไข้หลุดจากความเจ็บปวดและความตายได้ พ่อของเจ้าเขาสามารถไปสอบหมอหลวงได้ แต่เขาชอบเรียนเรื่องสมุนไพรเพื่อรักษาโรคใหม่ๆ มากกว่า เขาว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับคนทั่วไปในวันหน้า การอยู่ในวังแม้หน้าที่สำคัญแต่ขาดอิสระ เขาเลยไม่ไปสอบแต่มารักษาชาวบ้านแทน”
“จริงๆ หรือขอรับ แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงไม่มีใครบอกหลานล่ะขอรับ”
“ก็เพราะเรื่องนี้เป็นความลับน่ะสิ คนเรานะหลาน คนรักมีคนเกลียดมี คนอยากให้เราได้ดีมีน้อย แต่คนที่กลัวเราได้ดีมีมาก บางครั้งถึงเราไม่โอ้อวดฝีมือ แต่หากคนพวกนั้นอยากจะหาเรื่องหาราว แค่ความสามารถที่โดดเด่นก็เป็นภัยกับตัวได้ เรื่องนี้พ่อเจ้าเขาเก็บไว้เป็นความลับ”
พอได้ฟังเช่นนั้นแจคังก็ภูมิใจนัก ที่พ่อเป็นคนมีความสามารถและคิดถึงส่วนรวมมากกว่าอย่างอื่น เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะถามปู่ต่อว่า
“แต่หลานก็สงสัยขอรับ จริงๆ แล้วหลานสามารถฝังเข็มลงในตัวไก่ได้ห้าครั้ง แต่พอครั้งที่หกไก่ก็ตาย เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลย นั่นเป็นเพราะอะไรหรือขอรับ”
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่รู้ความหมายของการฝังเข็มรักษาโรคจริงๆ น่ะสิ เอาละ ยอนไปช่วยเขายกหม้อยาไปให้คนป่วยสิ บอกให้ลูกชายของข้าดูแลคนป่วยไปก่อนสักครึ่งชั่วยาม แล้วข้าจะตามไป” ยอนก้มลงก่อนจะวิ่งไปที่เรือนต้มยา ในการนั้นที่ปู่ไม่พูดไปเพราะเห็นว่ายอนคงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ฮันแฮซูจึงพูดกับหลานชายต่อว่า
“ถึงจะเรียนรู้เรื่องการแพทย์มาบ้าง แต่เจ้าก็ไม่ควรฝังเข็มลงบนตัวไก่แบบนี้ ความรู้ของเจ้าเพียงรักษาโรคทั่วไปได้แต่ยังไม่สามารถจ่ายยา หรือฝังเข็มให้ใครได้ เรียกว่าเป็นหมอรักษาโรคพื้นฐานได้ เพราะจากที่ปู่รู้เจ้ายังไม่รู้ศาสตร์การฝังเข็มลึกซึ้งดีพอ คนที่เป็นหมอได้ต้องรู้จุดชีพจรทั้งหมดก่อน เจ้าอ่านเรียนและรู้สรรพคุณสมุนไพรได้เกือบหมด แต่ยังอ่อนเดียงสานัก หากปู่จะให้เจ้ายืนในตำแหน่งหมอเวลานี้”
“แล้วหลานสามารถเป็นหมอได้เมื่อใดขอรับ” แจคังถามด้วยความวิตก ปู่พยักหน้าพลางพูดต่อ
“เจ้าเป็นได้…ช้าหรือเร็วไม่ได้ขึ้นกับอายุหรอก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหัวใจของเจ้าว่าจะย่อท้อต่อความเจ็บป่วยของคนทั่วไปไหม พร้อมที่จะสละเวลาทำงานหนักเพื่อรักษาชีวิตของคนทั่วไปได้หรือไม่ คนเป็นหมอต้องมีใจเมตตา รู้จักเสียสละเสียก่อน หากใจพร้อมการเรียนรู้ของเจ้าก็เป็นไปได้เอง” แจคังฟังปู่พูดเข้าใจได้ไม่ครบถ้วนดีนัก ใบหน้าที่มีแววฉงนนั้นทำให้ฮันแฮซูยิ้มเอ็นดูหลานบางๆ
“แล้วคนเป็นหมอหลวงต้องเป็นอย่างไรขอรับ หรือต้องฝังเข็มได้เก่งและรักษาโรคได้ทุกโรค”
“มีทุกข้อที่เจ้ากล่าวมา และมีมากกว่านั้นคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้เอง”
ฮันแฮซูตอบ เขาอยากจะอธิบายว่าการรักษาโรคทุกชนิดต้องอาศัยความรู้ส่วนหนึ่ง อาศัยประสบการณ์เพื่อการวินิจฉัยโรค แต่หลานชายก็พูดขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจว่า
“แต่อย่างน้อยท่านปู่ของหลานก็ฝังเข็มเดียวรักษาทุกโรคได้ ไม่เช่นนั้นพระราชาคงไม่ให้เสื้อคลุมสีแดงและบอกว่าท่านคือหมออันดับหนึ่งของโชซอนหรอกขอรับ”
“แต่กระนั้นเราก็ไม่ควรหลงใหลในลาภยศที่ได้มา ต่อให้ฝังเข็มได้เก่งและแม่นยำในทุกจุดหรือรักษาได้ทุกโรค ก็จำเป็นต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทุกวัน เพราะโรคภัยใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ เมื่อรักษาได้ก็ต้องเรียนรู้เรื่องสมุนไพรให้แตกฉาน เจ้าอ่านตำรามามากพอแล้ว ต่อจากนี้ปู่จะสอนวิชาแพทย์ให้เจ้า ต่อไปเจ้าต้องเดินเข้ามาที่หอวินิจฉัยโรคพร้อมกับปู่ เรื่องฝังเข็มปู่ก็จะสอนเจ้าเอง”
“จริงหรือขอรับ ท่านปู่จะสอนหลานจริงหรือขอรับ” แจคังตาโต
“จริงสิ แล้วต่อไปจงฝึกฝนให้มาก เจ้าก็จะสามารถเป็นหมอที่ใช้เข็มเดียวรักษาได้ทุกโรค เจ้าต้องตั้งใจเรียนให้มากๆ ล่ะ”
“ขอรับท่านปู่”
แจคังรับคำผู้เป็นปู่อย่างมีความสุข เขาคิดในใจว่าหากสูงใหญ่กว่านี้ เขาต้องได้สวมชุดเป็นหมอเหมือนท่านปู่ เหมือนท่านพ่อ และพี่ใหญ่แน่ๆ เด็กชายผู้มีดวงตายาวรีสุกใสมองไปยังเรือนพยาบาล มองภาพคนป่วยที่มารับการรักษา และก้มมองดูมือทั้งสองของตน พลางคิดในใจว่า
‘สองมือนี้แหละ จะฉุดรั้งผู้คนจากความเจ็บปวดและความตายให้ได้ในสักวัน’
เชิงอรรถ :
(1) การไว้เกล้าผมของชายชาวเกาหลี