ละเล่นลานรัก บทที่ 4 : หาทางเข้าหา

ละเล่นลานรัก บทที่ 4 : หาทางเข้าหา

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

หญิงสาวเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องที่คาดว่าหินก้อนนั้นจะต้องตกอยู่ภายใน เธอใช้มือเคาะประตูหลายที แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดให้ได้ยินคล้ายกับไม่มีการเคลื่อนไหวจากเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย

จากภาพที่คนยื่นแขนมาปิดหน้าต่างยังติดตาจนถึงบัดนี้ ทำให้แน่ใจว่าต้องไม่ใช่ห้องร้างไร้คนอยู่ เธอจึงออกแรงตบประตูให้เกิดเสียงดังยิ่งกว่าเดิม เผื่อผู้ที่อยู่ด้านในจะหูตึง

แม้รู้สึกแสบมือ แต่ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เพราะเชื่อมั่นว่าเจ้าของห้องต้องอยู่ในห้อง

เมื่อไม่เห็นผลอันใด ระหว่างที่เธอกำลังชั่งใจจะไปตามตัวบุพการีให้มาร้องเรียกลูกชาย ประตูห้องที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออกเพียงเล็กน้อยพร้อมกับเสียงถามจากเจ้าของห้องที่เหมือนจะไม่สบอารมณ์

“มีธุระอะไรกับผมหรือแม่”

ปรียานุชบอกจุดประสงค์ของตนทันที เพราะเริ่มจะเกรงใจคนที่อยู่อีกฟากฝั่งของบานประตู

“พี่มาขอก้อนหินที่ถูกโยนเข้ามาในห้องศิลป์ พอจะเห็นบ้างไหม”

ประตูห้องถูกปิดทันทีที่เธอพูดจบ

ไขศิลป์คงจะยังไม่พร้อมเจอหน้าผู้ใด จึงกลับเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัว

หญิงสาวเริ่มถอดใจ คงไม่ได้ก้อนหินคืนกลับมาและรู้ดีว่าอาจจะยากเกินรับมือ ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดใจคุยกับเธอ

ก่อนที่จะตัดสินใจหันหลังให้บานประตูและคนในห้อง ประตูก็ถูกเปิดออกอีกหนซึ่งกว้างกว่าตอนแรก พร้อมทั้งมีแขนยื่นออกมาให้เห็น โดยมีสิ่งที่เธอต้องการอยู่บนฝ่ามือของเจ้าของห้อง

“นี่ใช่ไหม” เสียงถามจากชายหนุ่ม

“ใช่จ้ะ พี่ขอบคุณมากนะศิลป์ที่หาเจอ” ปรียานุชพูดด้วยความดีใจ แต่บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าดีใจเพราะได้ก้อนหิน หรือดีใจที่อีกฝ่ายยอมคุยกับเธอ

หญิงสาวเดินเข้าไปหยิบหินก้อนนั้น แต่ก่อนที่จะคว้ามาไว้ในมือ ชายหนุ่มรีบกำก้อนหิน แล้วนำแขนกลับเข้าไปในห้อง

จากนั้นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นโดยพลัน

ไขศิลป์ก้าวขาออกมายืนให้เธอเห็นจะจะตา ด้วยท่าทีที่ไร้ความประหวั่นพรั่นพรึง ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ แอบแฝงในแววตา อีกทั้งยังจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างคนยิ้มยาก

พอเธอได้เห็นเขาชัดเจนกว่าเมื่อวานที่เดินชนกัน ด้วยท่าทีนิ่งเฉยของอีกฝ่ายจึงพอมีเวลาพิจารณาไปตามที่เห็น

ไขศิลป์มีรูปร่างผอมสูง ไม่ค่อยจะบึกบึนอย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ใช่คนขี้โรคซึ่งมีร่างกายผ่ายผอมอ่อนแอง่าย เธอไพล่ไปนึกถึงตามข่าวลือ แต่ดูยังไง ในสายตาเธอก็ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เขาจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนสติไม่ดี มีโรคร้าย ติดยา หรืออะไรทั้งหลายแหล่ ไขศิลป์ก็เหมือนคนปกติทั่วไปที่อาจมีบางอย่างไม่ปกติซ่อนอยู่ภายในซึ่งเธอเคยเห็นมาบ้างแล้ว และคงมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับรู้ ถ้าไม่ทำความเข้าใจอีกฝ่ายให้ถ่องแท้

ปรียานุชส่งยิ้มให้อย่างกับผู้ใหญ่ที่มีความโอบอ้อมอารี หวังสร้างความไว้ใจให้อีกฝ่าย พร้อมเอ่ยถาม “จำพี่ได้ไหม พี่ปรีเองนะ”

ชายหนุ่มยังไม่มีรอยยิ้มแย้มแม้แต่น้อยราวกับมุมปากนั้นหนักมากจึงยากที่จะยกขึ้น

ตั้งแต่เขาออกมายืนให้เธอได้เห็นหน้ากันก็ยังจ้องมองเธอไม่วางตา พอไม่นาน ไขศิลป์จึงเริ่มพูดให้ได้ยินด้วยเสียงเรียบ

“แม่ให้พี่มาคุยกับผมใช่ไหม แต่ไม่ต้องใช้แผนปัญญาอ่อน แกล้งโยนหินเข้าห้องผมเพื่อจะได้คุยกันหรอกครับ”

เธอไม่วายตกใจกับถ้อยคำที่ได้รับฟัง รีบแก้ต่างในส่วนที่ไม่เป็นจริง แม้ครึ่งหนึ่งจะมีเรื่องถูกต้องก็ตาม “ไม่ใช่อย่างที่ศิลป์คิดนะ พี่กำลังนั่งเล่นหมากเก็บกับหลาน พอดีมีหลานอีกคนโยนหินเข้าห้องของศิลป์ พี่ก็มาขอก้อนหินคืนให้หลานแค่นั้นเอง”

ปรียานุชเห็นรอยยิ้มเยาะจากใบหน้าของชายหนุ่มที่คาดว่าเธอคงพูดไม่จริง

“หมากกงหมากเก็บอะไร พี่อย่ามาอ้างกับผมเลย”

“เป็นการละเล่นไทยที่…” เธอพยายามจะอธิบายให้เข้าใจ แต่ไขศิลป์พูดแทรกขึ้นมา

“ผมรู้จักแต่เกมคอมพิวเตอร์ หน้าจอ คีย์บอร์ด หูฟัง พี่อย่าพูดอะไรเลย อยากได้ก็เอาไป ก้อนหินธรรมดาแบบนั้นจะเล่นสนุกได้ยังไง เล่นอะไรกันไม่เข้าท่าเลย” ชายหนุ่มยื่นก้อนหินส่งให้เธอ

ปรียานุชรีบคว้ามาไว้ในมือ แม้ภายในใจจะเริ่มเคืองขุ่นกับวาจาซึ่งเหมือนจะดูถูกกัน

ก่อนเธอจะโต้แย้งด้วยคำใด ไขศิลป์ก้าวถอยหลังเข้าไปในห้อง ปิดประตูใส่หน้าเธออย่างจัง จบการสนทนาและเข้าสู่โลกของเขาที่ไม่มีใครกวนใจโดยเฉพาะคนอย่างเธอ

หญิงสาวเริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนกับการกระทำของคนรุ่นน้องที่ไม่มีสัมมาคาระวะต่อกันบ้างเลย

“คอยดูนะ พี่จะทำให้ศิลป์รู้ว่ายังมีอะไรที่สนุกกว่าการเล่นเกมในคอมพิวเตอร์ อย่าเป็นกบในกะลาที่ไม่รู้อะไรหน่อยเลย” เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนใส่ประตูราวกับเจ้าของห้องยืนอยู่ตรงหน้า

ก่อนที่ปรียานุชจะผละออกไป ประตูก็ถูกเปิดแย้มออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อให้เสียงคนพูดที่อยู่ในห้องดังเข้าหูเธอ

“พี่รู้ได้ไงว่าผมไม่รู้อะไรเลย โลกในอินเทอร์เน็ตมีอะไรให้รู้ตั้งเยอะแยะ ถ้าพี่อยากจะคุยกับผมดีๆ ก็ไม่จำเป็นต้องอ้างโน่นอ้างนี่ หรือไม่ต้องเสียแรงปาก้อนหินเข้าห้องผมหรอก อย่าคิดว่าผมจะไม่รู้ทันพี่สิ”

เธออยากบอกว่าเข้าใจผิด แต่อ้าปากไม่ทัน เพราะประตูปิดสนิทเมื่อชายหนุ่มพูดคำสุดท้ายจบลง

ปรียานุชมีใจฮึดสู้ หลังจากได้ยินคำกล่าวของเขา

พี่จะช่วยศิลป์เอง…ถ้อยคำที่คิดอยู่ในใจ แม้อยากจะให้เจ้าของห้องรับรู้แต่คงยากเหลือเกิน

เธอหันหลังกลับไปมองห้องของไขศิลป์อีกครั้ง ก่อนจะก้าวขาลงบันไดเพื่อกลับบ้านของเธอ หากไม่เจอผู้ใหญ่ทั้งสองคนบริเวณหน้าบ้านเหมือนตอนที่เดินเข้ามา

พอคล้อยหลังเธอเพียงเล็กน้อยก็มีรถยนต์คันหนึ่งมาจอดตรงด้านหน้าประตูของบ้านที่เธอเพิ่งเดินจากมา หญิงสาวจึงย้อนกลับไปแอบเมียงมองแขกผู้มาเยือน

ปรียานุชเห็นชายหนุ่มคนที่เคยเห็นในเช้าวันก่อน กำลังเปิดประตูเดินเข้าไปด้านในอย่างคนคุ้นเคยกับบ้านหลังนั้นเป็นอย่างดีโดยไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ

เรื่องราวที่เคยได้ยินจากเพื่อนสาวก็เข้ามาในความนึกคิด จนเริ่มโอนเอียงที่จะเชื่อตามคำพูดของธารทิพย์จากการได้เห็นชายคนนั้นมาเยือนบ้านของศศิถึงสองวันติดกัน

ถ้าคนเราไม่ใช่คนพิเศษของกันและกัน คงไม่อยากเห็นหน้ากันทุกวันจริงไหม

ก่อนที่จะเริ่มวางแผนเพื่อช่วยไขศิลป์ เธอต้องทราบประวัติของรุ่นน้องข้างบ้านเสียก่อน

ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมเปิดใจเล่าไปตามความจริง หรือผู้เป็นแม่ก็ไม่มีข้อมูลลูกชายให้เธอล่วงรู้บ้างเลย ดังนั้นคงเหลืออีกหนทางเดียวที่อาจจะได้เรื่องได้ราวคือต้องสอบถามจากคนที่คาดว่าเป็นหวานใจของเขา เพราะถ้าคนรักกันจริงก็ย่อมอยากเห็นคนที่รักนั้นมีชีวิตดีขึ้นแน่นอน

ปรียานุชครุ่นคิดหาวิธีที่จะเข้าไปพูดคุยกับผู้ซึ่งเป็นแขกประจำของชายหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้าน

 

เมื่อไม่มีเสียงโต้ตอบใดๆ ลอดผ่านประตูให้ได้ยินอีกแล้ว ไขศิลป์จึงค่อยๆ แย้มบานประตู สอดส่องสายตามองหาหญิงสาวที่มาขอก้อนหินคืนจากเขา แต่ไม่เจอเธออยู่ตรงที่ที่เคยเห็น

หลังจากปิดบานประตูจนสนิทอีกครั้ง เขาพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกที่ผ่านพ้นสถานการณ์เมื่อสักครู่มาได้

ไขศิลป์ยินยอมพูดคุยกับเธอเพราะอยู่ในบ้านตัวเอง และยังจำได้ว่าเธอคือพี่สาวข้างบ้านที่เคยเป็นเพื่อนเล่นด้วยกัน ก่อนจะได้เจอเพื่อนในโรงเรียน

หากความคิดแวบแรกเกิดขึ้นทันควันหลังจากได้ยินเสียงของเธอ จึงต้องเอ่ยปากแบบรู้ทันแผนการตื้นๆ เช่นนั้น

ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากคุยกับเขาก็คงไม่ปาก้อนหินเข้ามาในห้องนอน เพื่อจะได้เจอหน้ากัน

เพราะหลายวันก่อนไขศิลป์แอบได้ยินมารดาพูดกับบิดาซึ่งไปขอให้เธอช่วยทำสิ่งใดสักอย่าง โดยมีเขาเข้าไปข้องเกี่ยว

ชายหนุ่มยังไม่ทันจะลงนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่ตั้งจอคอมพิวเตอร์ไว้ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกหน เขาจำต้องเดินไปเปิดประตูพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างคนเริ่มไม่สบอารมณ์

“จะเอาอะไรจากผมอีก หินก็ให้ไปแล้ว ถ้าอยากคุยกันมากนัก ขอกันดีๆ ก็ได้”

“ฉันเอง แกเล่นเกมในคอมแล้วแพ้หรือไงก็เลยพาลมาลงที่ฉัน” เป็นเสียงของฐานินซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่จากกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนในมหาวิทยาลัย

เขาไม่เอ่ยคำใด หลังจากรู้ว่าไม่ใช่คนตามที่คาดการณ์ไว้

ฐานินเข้าเรื่องทันที “จำงานที่ฉันมาบอกไว้เมื่อวานได้ไหม ฉันลองพยายามแล้ว เพราะไม่อยากให้พลาดงานนี้ แต่ลูกค้าก็ยืนยันว่าต้องคุยกับตัวแกโดยตรง”

“ฉันอยากได้ ตอนนี้ไม่มีงานให้ทำแล้ว” เขาบอกเพื่อนถึงเรื่องที่ยังคิดไม่ตก

“แกควรออกจากบ้าน ไปดีลงานด้วยตัวเอง”

“ฉันลองแล้ว แต่ทำไม่ได้ แกไม่รู้หรอกว่ามันน่ากลัวแค่ไหนกับการที่ฉันต้องไปยืนเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน”

ไขศิลป์มองเพื่อนชายแสดงสีหน้าเห็นใจกันในทุกครั้งที่พูดถึงปัญหาของตัวเองซึ่งยังแก้ไขไม่ได้สักที

“ฉันแค่แวะมาบอกให้รู้ว่าลูกค้ายังรอแกอยู่ เพราะฉันอ้างว่าแกติดทำงานอื่น ยังพอมีเวลานะ ฉันคงช่วยได้เท่านี้จริงๆ”

“ขอบใจมากที่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็น”

“สักวันแกจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้นะศิลป์” ฐานินยกมือจับบ่าเขาคล้ายให้กำลังใจกัน “ถ้าตัวแกเองยังทำไม่ได้ คนอื่นอาจจะช่วยแกได้ก็ได้นะ”

คำพูดของเพื่อนทำให้ไขศิลป์เริ่มฉุกคิดกับสิ่งที่เป็น

เพราะที่ผ่านมาคาดว่าจะหายเองได้ แต่ยิ่งปล่อยไว้นานจนรู้ตัวอีกทีก็ยากเกินแก้ไขด้วยตัวเอง อาจถึงเวลาแล้วที่ต้องพึ่งผู้อื่น เพื่อให้มีชีวิตอย่างคนทั่วไป

เพียงแค่ตอนนี้เขาคิดว่าจะต้องเดินออกไปพบเจอผู้คนแปลกหน้า อาการต่างๆ ก็ส่อแววเกิดขึ้นกับร่างกาย ดังนั้นจึงยอมยกธงขาวไว้แต่เนิ่นๆ จนสุดท้ายต้องล้มเลิกความคิด

ชายหนุ่มควรทำอย่างไรเพื่อให้ได้งานและมีเงินจุนเจือครอบครัวต่อไป



Don`t copy text!