ละอ่อนบ้านบน บทที่ 3 : อวิชชาต่อดำ

ละอ่อนบ้านบน บทที่ 3 : อวิชชาต่อดำ

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

เมื่อครั้งความเจริญยังไม่ย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ภูตผีดีร้ายและความเชื่อหลากหลายยังวนเวียนอยู่รอบกาย ผีกับคนอะไรน่ากลัวกว่ากัน ผีมีจริงหรือไม่ ผีคือะไรกันแน่ ‘ละอ่อนบ้านบน’ คือนวนิยายเรื่องล่าสุดโดย มาลา คำจันทร์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ ๒๕๕๖ จะพาคุณไปสำรวจเรื่องราวส่วนลึกในใจของผู้คนและในใจของตัวเราเอง

บ่ายแก่ แดดสอดแสงแทงลอดเข้าทางหน้าต่างด้านใต้เป็นลำเฉียง ฝุ่นละอองเล็กๆ คลุ้งลอยตัดแดดเป็นผืนคล้ายผืนผ้าควันไฟที่ยายเคยเอ่ยถึง ยายว่าบางมาก เหมือนควันไฟที่แดดส่องผ่าน เอาถวายเข้าวัดไว้เป็นผ้าเช็ดหน้าพระเจ้า

คำว่าพระเจ้า หมายถึงพระพุทธเจ้า บางทีก็หมายถึงพระพุทธรูป ผู้ใดได้ถวายผ้าอ่อนควันไฟไว้เป็นผ้าเช็ดหน้าพระเจ้า ยายว่าเกิดใหม่ชาติใด จะมีหน้าอันงามเหมือนเทวดา

เสียงเกราะผูกคอควายดังเกลาะแกละๆ อยู่ทางหลังบ้าน บ้านเราเป็นเรือนไม้สักหลังไม่ใหญ่มากนัก มีสามห้องนอน ห้องใหญ่สุดเป็นห้องนอนตากับยาย อีกห้องพ่อกับแม่นอนร่วมกัน อีกห้องพี่สาวสองคนใช้ร่วมกัน บุญส่งกับไอ้อ้ายนอนด้วยกันที่โถงหลัง ถัดจากโถงหลังออกไปเป็นชานหลังบ้าน มักเรียกกันว่าชานฝนเพราะไม่มีหลังคาคลุมไว้ มักเป็นที่กินข้าวกินปลา เป็นที่สุมหัวกันหลังกินข้าวแลงแล้ว เป็นที่ตากผ้าห่มมุ้งหมอน ตากพริก ตากหยูกยารากไม้ของตา

“พ่อหนาน พ่อหนาน อยู่ไหม”

อยู่มาวันหนึ่งมีเสียงเรียกหาตาอยู่ทางหน้าบ้าน เสียงหมาเฒ่าเห่าขู่ ตาตะโกนตอบออกไปว่า

“อยู่ ไผน่ะ”

“สมศรี เมียอ้ายมีงึกงักบ้านสันผักหวาน ดูหมาให้ด้วย พ่อหนาน”

“ไอ้หล้า ลงไปดูหมา”

หมาบ้านเรามีสามตัว หัวโจกเป็นหมาผู้ดำตัวใหญ่ อันที่จริงมันไม่ดุแต่หวงที่ หากผิดกลิ่นหรือได้กลิ่นคนกลิ่นหมาที่มันไม่คุ้นเคยจะเห่า มันเห่าเสียงดัง ชอบแยกเขี้ยวขู่ คนไม่รู้ก็เลยนึกว่ามันดุ แต่เวลามันลอดรั้วลอดราวออกไปนอกบ้าน มันก็ไม่ไปเห่าขู่แยกเขี้ยวใส่ใคร บางทีมันก็ตามพี่ชายไปยิงนกตกปลา ไปเลี้ยงงัวเลี้ยงควาย เวลานั้นบ้านเรามีควาย 4 ตัว มีวัวคู่หนึ่ง เป็นควายของครอบครัวเรา ไม่ใช่ควายรับจ้างเลี้ยงอย่างทองอินทร์

เอ่ยถึงทองอินทร์เพื่อนผู้อาภัพ ทองอินทร์กับแม่ของมันตายในวันเดียวกัน ทองอินทร์ตายก่อน เรื่องร้ายรุนแรงเกิดขึ้นตอนบ่ายแก่ๆ บุญส่งยังเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆ อำเภอ ปีนั้นเหมือนจะอยู่ ม.ศ.3 เกือบจบมัธยมต้นแล้ว ทองอินทร์ยังรับจ้างเลี้ยงควาย ได้ลูกควายตัวหนึ่งก็ค่อยฟูมฟักรักเลี้ยง พอขายได้ก็ขายออกไป ทองอินทร์รับจ้างเลี้ยงแม่สารพัด อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดร้อนอกตกใจอย่างไรบอกไม่ถูกเกี่ยวกับแม่ บ่ายวันนั้นไอ้ศักดิ์ตัวร้ายแอบไปข่มขืนพี่คำแพง สมศักดิ์มันร้ายมาแต่เด็กๆ ชอบเขกหัวเตะก้นหรือผลักคนอื่นตกร่องตกรูอยู่ตลอด เมื่อจบ ป.4 ออกมาแล้วก็ยังหิงสาราวีทองอินทร์อยู่ พอมันอายุราว 16 ก็มีข่าวว่าชอบไประรานรังควานคนนั้นคนนี้จนโดนเขาตีหัวแตก มันลักหมูลักไก่จนเป็นที่เอือมระอาหนาใจของพี่น้องชาวบ้านไปทั่ว เงินในตู้บริจาคที่วัดมันก็ลักเอาไป เขาว่าอย่างนั้น

บ่ายวันนั้นมันดอดไปข่มขืนพี่คำแพงเพราะรู้ว่าทองอินทร์ไม่อยู่ แต่ทองอินทร์สังหรณ์ใจบางอย่างจึงกลับบ้าน เพื่อนผู้อาภัพเข้าขัดขวางแต่สู้แรงมันไม่ได้จึงถูกแทงตาย มันข่มขืนแม่ของทองอินทร์จนสำเร็จความใคร่แล้วฆ่าปิดปาก มันหลบหนีไปเลย หนีหายไปจากหมู่บ้านนานยาวเกือบยี่สิบปี ทิ้งภาระข้างหลังให้พ่อแม่เดือดร้อนนอนไม่หลับอยู่หลายปี มันหลบลี้หนีหายไปไหนไม่มีใครรู้ข่าว ไม่มีใครติดตามถามถึง นานๆ ก็มีข่าวลอดพุ่มลอดพงมาถึงบ้านลุ่มบ้านบนว่ามันไปเข้าขบวนการลักลอบขนเฮโรอีนข้ามแดน บ้างก็ว่ามันไปติดคุกติดคอกอยู่ทางเชียงใหม่ บ้างก็ว่ามันไปตายในคุกบางขวางโดนท่านยิงเป้าที่กรุงเทพฯ โพ้น ไม่มีใครรู้ชัดเจนว่าระหว่างหนี มันไปก่อบาปก่อกรรมอะไรหรือไม่ มันอาจหนีกฎหมายพ้น แต่มันก็หนีบาปกรรมไม่พ้น มันกลับคืนมายังหมู่บ้าน แล้วมันก็ถูกผีหลอกผีหลอนจนคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือน

“อยู่ไหนมันก็เอาแต่นั่งคู้เข่าเอามือขึ้นกุมหัวว่ากลัวๆ ข้ากลัวแล้ว” อันนี้เป็นคำแม่เล่า

“กลัวอะไร” อันนี้เป็นคำถามของบุญส่งเมื่อเป็นครู อายุราว 30 ปี

“กลัวผีพี่แพง พี่แพงผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อมัน” พี่สาวคนโตช่วยเสริม “ผีพี่แพงเฮี้ยน บางคืนมีคนเห็นเขาสองคนแม่ลูกจ่องจูงกันเดินป้วนเปี้ยนไปมาหลังวัด บางคืนได้ยินเสียงกรีดร้องแค้นคลั่งเดือดดาล บางคืนได้ยินเสียงพี่แพงแช่งด่าว่าไม่ได้เอามึงถึงตายกูไม่ยอมไปเกิด ลูกกูไปทำอะไรให้มึง มึงฆ่าลูกกูทำไม”

“แล้วไอ้ศักดิ์ตัวร้ายมันตายอย่างใด”

“มันเอามีดปักอกตัวเองตาย” แม่รีบเล่า อาจกลัวพี่สาวจะแย่งพูด “เหมือนที่มันเอามีดปักอกไอ้ทองอินทร์กับอีแพง”

เรื่องราวต่างๆ ที่เอามาเล่า บุญส่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ประมวลมาจากหลายปากหลายคำ ไม่ได้เห็นกับตาตัวเองสักอย่าง

“ขึ้นมา เดือดเนื้อร้อนใจเรื่องใด จะให้พ่อหนานช่วยอะไรหรือ”

ตาเรียกผู้มาหาเมื่อได้ยินเสียงกระบวยจ้วงน้ำแล้วล้างเท้า จะเรียกว่ากระบวยก็ไม่ตรงนัก กระบวยมักทำจากกะลามะพร้าว แต่ที่หม้อน้ำล้างเท้าเรามักเอาน้ำเต้าแห้งผ่าครึ่งมาใช้แทนกระบวย คนบ้านลุ่มบ้านบนไม่ค่อยมีใครใช้กระบวยกะลามะพร้าวตักน้ำล้างตีน ใช้น้ำเต้าแห้งเป็นพื้น

พี่สมศรีเมียอ้ายมีงึกงักล้างเท้าแล้วก็ขึ้นเรือนทางบันไดหน้า ตัวเองอ้อมเรือน บุญส่งอ้อมไปขึ้นทางบันไดหลัง แล้วค่อยเลาะซอกระหว่างห้องนอนมานั่งเยี่ยมแยงแฝงฝาเผื่อตาจะเรียกใช้

ตาชื่อพ่อหนานสิน เคยบวชเป็นเณรห้าพรรษา อุปสมบทเป็นพระสิบพรรษา สึกออกมาเป็นครอบเป็นครัวอยู่กินกับยายได้ลูกสามสี่คน แม่เป็นลูกสาวคนเล็กไม่ได้แยกครอบครัวออกไปเหมือนลุงกับป้า พื้นบ้านเรียกว่าลูกสืบเรือนต้องอยู่ดูแลพ่อแม่จนแก่เฒ่าลาโลก ลูกสืบเรือนจะได้มรดกพิเศษที่ลูกคนอื่นไม่ได้คือเรือนอันหมายถึงตัวเรือนและที่บ้าน

พ่อเข้ามาเป็นเขยไม่ได้เอาไร่นาวัวควายติดตัวมา เอามาแต่บ่าไหล่เรี่ยวแรง ความขยันขันแข็ง ความอดทนมานะพยายาม พ่อเป็นคนดิบคือคนธรรมดาไม่เคยเข้าผ้าเหลือง พ่ออ่านหนังสือไม่ได้ แม่ก็อ่านหนังสือไม่ได้ แต่ตาอ่านได้เพราะได้บวชเรียน

ตานั่งบนที่นั่งถักด้วยฟางข้าวเป็นแผ่นกลมแบนแน่นหนา ปูทับด้วยผ้าฝ้ายพื้นเมืองสีตุ่นๆ ถัดหลังตาเป็นหีบไม้สักสองสามใบใส่ตำรับตำราและเครื่องยาหลายอย่าง ถัดไปเป็นเสาเรือน มีหิ้งพระตอกติดเหนือเสา พระเจ้าบนหิ้งเป็นพระไม้ สลักขวักเขี่ยมาจากกิ่งไม้โพธิ์ที่หักหล่นลงมาเอง ตาว่าตาแกะเองกับมือ เอาใส่ในบาตรที่ต้องห้อยในวันเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระ เชื่อถือกันว่าจะศักดิ์สิทธิ์ร่มเย็นดีมาก

“ข้าเจ้าขอพ่อหนานเมตตาด้วยเถิด” พี่สมศรียกมือขวาไหว้ มือข้างซ้ายอยู่ในผ้าคล้องคอที่น่าจะเป็นผ้าผูกคอลูกเสือมาก่อน สีหน้าอาการขัดๆ ฝืนๆ คล้ายข่มกลั้นทุกขเวทนาบางอย่างอยู่ “สุดสิ้นปัญญาข้าแล้ว ไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว นอกจากพ่อหนาน”

“เข้ามา”

คนบ้านสันผักหวานเปลี่ยนท่านั่งจากพับเพียบเป็นคุกเข่าแล้วค่อยขยับเข้าไปยังส่วนลึกของโถงเรือนอันเป็นที่นั่งรับแขกของตา ตาลดตาลงมองปลายมือซ้ายซีดๆ ที่พ้นผ้าห้อยคอ สีหน้าแววตาสลดลง

“เป็นอะไร สมศรี”

“มันปวด สามวันแล้วพ่อหมอ บ่ไหว ปวดจนใจจะขาด เอายาใดมาใส่มากินใส่ก็บ่หาย จึงมารบกวนพ่อหมอ”

“ขอดูหน่อยซิ”

คนบ้านสันผักหวานใช้มืออีกข้างค่อยๆ ร่นผ้าผูกคอลูกเสือสีเหลืองให้ผืนผ้ารั้งขึ้นไปทางต้นศอก ไม่ค่อยสะดวกนัก ตาเรียกให้ยายมาช่วย แต่คนที่มาจากชานหลังเป็นแม่ แม่ช่วยร่นผ้าคล้องคอผืนนั้นขึ้นไปถึงข้อศอก แววตาพ่อหนานสินผู้เฒ่าเจ้าเรือนสลดวูบลง

“ใจคนหนอ ใจดำอำมหิตขนาดนี้ ไม่พ้นจะตกนรกทั้งเป็น”

ตาขยับเข้าไปดู ใกล้ๆ ท่อนแขนของพี่สมศรีตั้งแต่เหนือข้อมือขึ้นไปเรื่อแดง แดงเข้มยิ่งขึ้นเมื่อใกล้ถึงข้อศอก มีตุ่มแดงยกนูนอยู่ถัดจากพับศอกลงมาเล็กน้อย แดงดำก่ำแก่น่ากลัว ปลายตุ่มขบหนองขาวใกล้ปริแตก เหนือพับศอกขึ้นไปเป็นสีดำคล้ำ ดำกว่าแขนท่อนล่าง ดำเหมือนถ่านไม้ดำๆ ที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์

“เอ็งโดนต่อดำ”

“แม่นแล้วพ่อหนาน ข้าเจ้าขุดขี้กุ่ง (1) จู่ๆ ต่อดำตัวใหญ่ก็บินมาต่อยพับศอก เจ็บจนหน้ามืดวูบเลย พ่อหนาน”

“มันบ่แม่นต่อดำธรรมดา แต่เป็นอวิชชาต่อดำ”

“อวิชชาต่อดำ มันเป็นอย่างใด พ่อหนานเจ้า”

“เป็นของอันร้ายอันกาจ ประกอบขึ้นจากตัวต่อ ชิ้นเน่า หนองผีกับคุณไสยร้ายกาจนอกศาสนา มุ่งเอาถึงตาย”

“ผู้ใด มุ่งเอาข้าเจ้าถึงตาย”

“อย่าถามเลย พ่อหนานตอบบ่ได้”

 

โพล้พลบพระลบลับ สีแสงแดงช้ำก่ำแก่สาดขึ้นจากม่อนดอยด้านหลังหมู่บ้าน นกแก้วนกกาบินข้ามฟ้าเป็นหมู่ ยายกับพี่จันทร์เพ็ญช่วยกันเรียงใบพลูเป็นแหลบๆ หนึ่งแหลบมีสิบใบ ครบสิบแหลบก็มัดด้วยก้านกล้วยผ่าตามยาวเรียกว่าหนึ่งมัด มัดหนึ่งหากขายเองได้ 50 สตางค์ แต่หากมีคนมารับเอาไปขายต่อที่ตลาดประจำอำเภอจะได้ 40 สตางค์ ตลาดอยู่ไกลออกไปราวสามสี่กิโลเมตร หากมีแต่พลูอย่างเดียวแล้วเอาไปขายตลาดก็ไม่ค่อยคุ้ม แต่หากมีกล้วยสุกกล้วยดิบ ตองกล้วยหรือผักไม้ไซ้เครืออื่นๆ สมทบไปด้วยก็พอจะคุ้มกับการเดินไปเดินกลับ

แม่กับพี่จันทร์ทิพย์ช่วยกันกกแกงแต่งกินอยู่ยังครัวไฟที่ย้ายลงไปข้างล่าง แต่เดิมครัวไฟก็อยู่บนเรือน แต่พอหลานๆ โตขึ้น จำเป็นต้องมีพื้นที่หลับนอนเพิ่มขึ้น ตาจึงย้ายครัวไฟลงไปปลูกแปลงเป็นเอกเทศอยู่ถัดชานหลังลงไป ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างถาวรทำจากอิฐหรือไม้กระดาน แต่เป็นโรงเรือนไม้ไผ่หลังคามุงใบตองตึง

พี่ชายกับพ่ออยู่ในคอกงัว บุญส่งและตาอยู่ในคอกควาย ช่วยกันเก็บกวาดขี้เฟื้องขี้ฟางสุมไฟให้ควาย ตาแก่แล้วแต่ยังแข็งแรง ตาว่าตาอยากอยู่เงียบๆ กับไอดินกลิ่นแดดน้ำฟ้าสายฝนและพระเจ้าพระธรรมคำสอนในศาสนา ไม่อยากเดือดร้อนวุ่นวายอะไรเลย ไม่อยากย่ามยุ่งสุงสิงกับใครหรืออะไรเลยนอกจากกายกับใจอันเป็นกองทุกข์ทั้งมวลแห่งตน

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้องกับใครหรืออะไรเลย ตาว่าอย่างนั้น

“แม้แต่พระฤษีอยู่แต่ในถ้ำที่นอกฟ้าป่าหิมพานต์” ตาเคยเล่าขำๆ ให้หลานคนเล็กฟัง “นานๆ ก็ยังต้องออกมาหาเผ็ดหาเค็มกินที่ในเมือง บางตนเหาะออกมา ผ่านบ้านคนเมืองคน เหลือบตามองต่ำเห็นสาวชาวป่าแก้ผ้าอาบน้ำ ฤษีตกลงดินดังโพละ”

“ไผเอากงยิงฤษีกา? พ่ออุ๊ย”

หลานน้อยถามว่าใครเอาหนังสะติ๊กยิงฤษีหรือ ตาหัวเราะหึๆ

“บ่แม่น แต่ฌานเสื่อม พอฌานเสื่อม ฤทธิ์ที่ได้จากฌานก็เสื่อม เหาะๆ อยู่ก็ตกโพละลงดิน ที่อันฤษีตกลงมาเรียกว่าป่าอิสิปตนะ แปลว่าป่าฤษีตก”

“ป่าอิสิปตนะ ที่พระเจ้าเราเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์นั้นกา? พ่ออุ๊ย”

“แม่นละ ครูบาเจ้าตนลับว่า อิสิ หรืออิสีแปลว่าพระฤษี ปตนะ แปลว่าตก”

ปากว่ากล่าวกับหลานชาย แต่ตากลับเอี้ยวตัวหันหน้าไปทางวัด ยกมือไหว้ประกอบ ครูบาอินทามรณภาพไปนานร่วมเจ็ดแปดปีแล้ว แต่ตาผู้เป็นลูกศิษย์สืบทอดวิชาหยูกยาอาคมก็ยังจดจำรำลึกถึงท่านอยู่ตลอด

“วิชาเราเอาไว้ผ่อนทุกข์ บ่แม่นเพิ่มทุกข์” ตามักย้ำถึงปณิธานของครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครูบามงคลเป็นต้นมา “สัตว์โลกเรานี้เต็มไปด้วยทุกข์ อย่าพึงเพิ่มทุกข์แก่ท่าน พึงแก้ไขเยียวยาให้ท่านหายทุกข์ จะเป็นกุศลอันประเสริฐ เป็นการบำเพ็ญเมตตาบารมี พระพุทธเจ้าสอนว่าเมตตัญจะ สัพพโลกัสมิง มานสัมภาวเย อปริมาณัง… พึงจำเริญเมตตาแผ่ไปในโลกบ่มีประมาณ ผู้จำเริญเมตตาจะเป็นผู้บ่มีเวร บ่มีศัตรู  ตื่นก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข เป็นคนอยู่ก็เป็นสุข ตายไปแล้วก็เป็นสุข… ทัสสเนนะ สัมปันโน… ผู้จำเริญเมตตาหากถึงพร้อมด้วยความเห็นชอบ… กาเมสุ วิเนยย เคธัง บ่หมกมุ่นในกาม นะ หิ ชาตุ คัพภเสยยัง ปุนเรตีติ… ย่อมบ่กลับมานอนในท้องแม่อีก…เข้าใจหรือไม่”

“บ่เข้าใจ”

“แปลว่าบ่กลับมาเกิดอีก ความหมายก็คือผู้จำเริญเมตตาจนถึงที่สุด ข้ามภพข้ามชาติได้ ไปได้ถึงนิพพาน หากประกอบด้วยความเห็นชอบคือสัมมาทิฏฐิ”

“สัมมาทิฏฐิคืออะหยัง ตา”

“ความเห็นอันถูกต้อง”

ควายลองเขาโกกเกกๆ ควันขี้หญ้าลอยขึ้นอ่อนๆ ผู้หลานเห็นตาหันหน้าไปทางวัด ยกมือไหว้แล้วมีสีหน้ายิ้มๆ ก็สงสัย

“พ่ออุ๊ย ยิ้มเยียะหยัง”

“นึกถึงครูบาเจ้า” ตาหมายถึงครูของท่าน “นึกถึงแล้วใจเป็นสุขก็เลยยิ้มออกมา ครูบาเจ้าอยู่พู้น”

“อยู่ไหน”

“บนฟ้า”

“ตาจะขึ้นฟ้าไปอยู่กับท่านไหม”

“ยาก คงยาก หมู่เฮาคนบ้านแปดเปื้อนบาปกรรมได้ง่าย ยากยิ่งจะได้ขึ้นฟ้า ขอแต่ได้กลับมาเกิดเป็นคนก็ดีแสนดีแล้ว อย่าได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรตเป็นผี เป็นเป็ดไก่หมูหมา วัวควายช้างม้าเลย มันหลง”

“หลงอย่างใดหือตา”

“จิตมันสัมผัสพระธรรมคำสอนบ่ได้ มันบ่ฮู้ทางไปอันประเสริฐที่เรียกว่าสุคติ”

“ทางไปอันประเสริฐเรียกว่าสุคติหรือ”

“อือ เหมือนคำสอนว่า สีเลน สุคติงยันติ สีเลน โภคสัมปทา สีเลน นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสทเย”

“บ่รู้เรื่องสักคำ”

“ค่อยฟังไป ใหญ่ขึ้นมาก็รู้”

จวบจนมืดค่ำพระลบลับดับแสง เวียกงานประจำวันเมี้ยนหมดจึงค่อยได้กินข้าวพร้อมกันที่ชานบนเรือน แบ่งเป็นสองวง วงชายสี่คน วงหญิงสี่คนพอดิบพอดี ไม่ใช่เอาเพศเป็นตัวกำหนด แต่มันบังเอิญลงตัวอย่างนั้น คนแปดคนจะนั่งล้อมขันโตกใบเดียวมันเกะกะกีดขวางกันไปหมด สี่คนกำลังเหมาะ

หลังข้าวแลงไม่นาน ไอ้อ้ายพี่ชายคนโตเป็นหนุ่มแล้วริแอ่วสาวจึงลงเรือนไปกับหมู่กับฝูงคนบ้านเดียวกัน พี่เพ็ญคนถัดมาก็ริเป็นสาว แต่สาวจะลงเรือนไปแอ่วบ่าวไม่ได้ ได้แต่รอแต่ผู้บ่าวมาแอ่วมาหา แต่ว่าพี่เพ็ญเมื่อปีนั้นยังไม่มีใครมาหมายตา ช่วงหลังข้าวแลงแสงลับ บุญส่งมักขลุกกับตาอยู่ที่โถงหน้า แม่กับยายกับพี่สาวทั้งสองมักอยู่ที่โถงหลังซีกตะวันตกซึ่งแต่เดิมเคยเป็นครัวไฟหรือห้องครัวมาก่อน ส่วนโถงหลังฟากตะวันออกเป็นที่นอนไอ้อ้ายพี่คนโตและบุญส่งน้องคนเล็ก วันใดไอ้อ้ายไม่ไปแอ่วสาวก็มักขลุกกับพ่อที่ตั่งใต้ถุนบ้าง อยู่แถวกองไฟที่สุมไว้ไล่ยุงให้วัวควายบ้าง หลังข้าวแลงตามักไหว้พระสวดมนต์ คนอื่นไม่ค่อยมาร่วมสวดสักเท่าใดนัก เว้นแต่หลานชายคนเล็กเพราะติดตา

“อวิชชาต่อดำ” หลานชายพาดพิงถึงเหตุการณ์ตอนเย็นที่พี่สมศรีกุมแขนข้างซ้ายบวมเป่งมาหาตา “รุนแรงร้ายกาจอย่างใดหือ พ่ออุ๊ย”

“หากแก้บ่ได้ก็ถึงตาย มันมุ่งเอาตาย ก่อนตายเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส”

“ผู้ใดทำคุณไสยร้ายกาจขนาดนี้ใส่พี่สมศรี”

“เอ็งถามทำไม ก็บอกแล้วว่าตาตอบไม่ได้”

“ไม่รู้ หรือตอบไม่ได้”

“ตอบไม่ได้”

“แสดงว่าตารู้”

“ฉลาดนะ เอ็งนี่”

“ก็สอบได้ที่หนึ่งทุกที ฉลาดหรือไม่ก็ไม่รู้ละ”

ทำแก้มพองเหมือนลิงอมมะขามป้อม รู้สึกตัวพองเหมือนอึ่งอ่างพองลม เป็นอย่างนี้ทุกทีที่เย่อหยิ่งลำพองในคุณสมบัติข้อนี้ สอบไล่จบชั้น ป.4 ปีนี้ หากคะแนนสูงเกิน 85% ครูบรรจงว่าจะส่งไปสอบชิงทุนเด็กฉลาดของอำเภอ พ่อว่าหากสอบชิงทุนได้ พ่อจะให้เรียนต่อ ป.5 หากชิงทุนไม่ได้ จบ.ป.4 ให้ช่วยพี่ชายเลี้ยงควาย

เสียงวัวคำรามโอ้ๆ ในลำคอเหมือนมันคันคอ วัวมีสองตัวเอาไว้ลากเกวียน ควายมี 4 ตัว หากไม่ขายออกไปเลยอาจมีเป็นสิบเพราะเลี้ยงสืบกันมาแต่ก่อนที่พ่อจะเข้ามาเป็นเขยเรือนนี้แล้ว ควายหงานหรือควายผู้คู่หนึ่งเอาไว้ไถนา ควายแม่หรือควายตัวเมียพ่อเพิ่งซื้อขายแลกเปลี่ยนมาจากแม่ควายตัวเดิมเมื่อสองปีก่อน มันคลอดลูกควายอ่อนออกมาตัวหนึ่งแล้ว บุญส่งหมายตาว่าหากสอบชิงทุนไม่ได้ ไม่ได้เรียนต่อ ป.5 ขออาสาเลี้ยงควายแม่ลูกเท่านั้นเพราะมันไม่ดุไม่ดื้อ ส่วนควายหงานทั้งคู่คงสู้มันไม่ไหว ทั้งใหญ่ทั้งแรงทั้งดื้อให้พี่ชายดูแล

“ตายังไม่ตอบเลย ผู้ใดทำคุณไสยอันร้ายกาจใส่พี่สมศรี”

“จะรู้ไปทำไม รู้แล้วเอ็งได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ขนาดอีสมศรีมันขอรู้ ตายังไม่ให้มันรู้ รู้แล้วไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่โทษ”

“โทษอย่างใด”

“ใจมันรู้ ใจมันจะเคียด จะพยาบาท จะแก้แค้น อันนั้นเป็นพลังฝ่ายดำ จะไปเสริมพิษอวิชชาต่อดำให้รุนแรงยิ่งขึ้น ต่อให้มีหมออย่างตาอีกสิบคนก็รักษาชีวิตมันไว้ไม่ได้ ตาจึงไม่ให้มันรู้ มันไม่รู้ว่าใครทำอวิชชาต่อดำใส่มัน มันก็ไม่รู้จะไปเคียดใคร พยาบาทใคร แก้แค้นใคร อันนี้เป็นพลังฝ่ายขาว จะไปหนุนฤทธิ์ยาให้มันพลันห่อมพลันหาย”

แม้ยังอ่อนวัยไร้เดียงสาอยู่มาก แต่ได้ฟังคำตาก็เหมือนจะตระหนักรับรู้ได้ถึงความหมายของคำว่าพลังฝ่ายดำพลังฝ่ายขาว ตาว่าอวิชชาต่อดำเป็นคุณไสยนอกพุทธศาสนา ร้ายกาจ รุนแรง มุ่งตายหมายฆ่า

ผู้ใดหนอ คิดมุ่งร้ายหมายขวัญพี่สมศรีถึงขนาดเอาถึงตาย แต่ตาไม่ยอมให้รู้ ก็จนปัญญาที่จะรู้

มารู้เอาภายหลัง เมื่อคนผู้นั้นกระเซอะกระเซิงซมซานมาขอความช่วยเหลือจากตา

 

เชิงอรรถ :

(1) ขี้กุ่ง=จิ้งหรีด

 



Don`t copy text!