ละอ่อนบ้านบน บทที่ 4 : นรกทั้งเป็น

ละอ่อนบ้านบน บทที่ 4 : นรกทั้งเป็น

โดย : มาลา คำจันทร์

Loading

เมื่อครั้งความเจริญยังไม่ย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ ภูตผีดีร้ายและความเชื่อหลากหลายยังวนเวียนอยู่รอบกาย ผีกับคนอะไรน่ากลัวกว่ากัน ผีมีจริงหรือไม่ ผีคือะไรกันแน่ ‘ละอ่อนบ้านบน’ คือนวนิยายเรื่องล่าสุดโดย มาลา คำจันทร์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ ๒๕๕๖ จะพาคุณไปสำรวจเรื่องราวส่วนลึกในใจของผู้คนและในใจของตัวเราเอง

พ่อหนานสินกับหลวงปู่บุญเย็นเป็นลูกศิษย์ครูบาอินทา ครูบาอินทาเป็นลูกศิษย์ครูบามงคล ครูบามงคลเป็นลูกศิษย์ใครก็ไม่รู้แล้ว อาจสืบขึ้นไปถึงครูบาอาจารย์เก่าแก่แต่สมัยศึกม่านศึกเม็ง (1) โน่นแล้ว ผู้แก่ผู้เฒ่าผู้ทรงความรู้เรื่องราวหนหลังกล่าวว่าพระเถระรุ่นนั้นทรงวิชาไว้ทั้งสายขาวและสายดำ แต่กรรมฐานทางวิปัสสนาธุระอาจย่อหย่อนเพราะไม่อาจเพ่งเล็งภาวนาจนเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาได้เต็มที่ ท่านเหล่านั้นต้องทุ่มเทฝึกฝนเอาฌาน จากฌานจะไปสู่สู่ฤทธิ์อิทธิวิชา เอาไปช่วยเหลือบ้านเมืองที่ถูกศึกเสือเหนือใต้รุมรุกคุกคาม แต่ต่อมาภายหลัง บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดังเดิมแล้ว วิชาสายดำหรือไสยดำมีความจำเป็นน้อยลงก็ค่อยย่อหย่อนผ่อนคลายลงมา

“เดิมทีบ่มีคำว่าไสยขาวไสยดำ” ตาว่า “มาเรียกกันภายหลัง อันใดเป็นไปเพื่อแก้ไขเยียวยาเรียกว่าสายขาว อันใดเป็นไปเพื่อทำร้ายผู้อื่นเรียกว่าสายดำ ต่อมาสายขาวกลายเป็นไสยขาว สายดำกลายเป็นไสยดำ”

“ครูบาอินทาท่านเก่งทั้งสองสายใช่ไหมตา”

“ท่านสันทัดทั้งสองสาย แต่สายดำท่านบ่เอา”

“เป็นใดท่านบ่เอา”

“มันพาไปลงนรก”

“ตุ๊ปู่ล่ะตา”หลานชายหมายถึงตนร่มเย็นของคนทั้งบ้าน “เก่งสายใด”

“เก่งสายเสือเย็น”

ตากล่าวเล่นให้เห็นขำแต่หลานชายเมื่อวัยเยาว์ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง

“ตุ๊ปู่บุญเย็นเป็นเสือเย็นหรือตา”

“อือ ระวังไว้เน้อ ยังอ่อนยังน้อยยู่ เข้าวัดอย่าเข้าคนเดียว ระวังตุ๊เจ้าเสือเย็นจะขบหัว”

แล้วตาก็เล่าเรื่องตุ๊เจ้าเสือเย็นให้หลานฟังว่านานมาแล้วยังมีวัดร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง ทั้งวัดเหลืออยู่แต่หลวงตาแก่ๆ รูปเดียว พระเณรในวัดร่วงร้างห่างหายไปหมดเพราะตุ๊เจ้าเสือเย็นขบหัวกิน

“ตุ๊เจ้าตนนั้นเป็นเสือเย็นหรือตา”

“แม่นแล้ว ยามกลางวันก็เป็นคนเหมือนคนทั่วไป แต่ยามกลางคืนจะกลายร่างเป็นเสือออกล่าหากินคน แต่เสือเย็นตัวนี้แก่มากแล้ว ออกไปล่าไกลๆ ไม่ได้ ก็เลยลากเอาพระเณรในวัดไปกินทีละคนจนพระเณรหมดวัด ต่อมาก็ไปหลอกล่อเอาลูกชาวบ้านมาขังไว้ในวิหาร ถึงยามกลางค่ำกลางคืนก็กลายร่างเป็นเสือมากินเด็กๆ”

ก็พอรู้อยู่บ้างว่าที่ตาว่าระวังตุ๊ปู่จะเป็นตุ๊เจ้าเสือเย็นเป็นคำหลอก แต่ก็อดจะกลัวไม่ได้ จดจำรำลึกได้ว่าเมื่อยังน้อยๆ ไต่ต้อยติดตามตาหรือยายไปวัด ด้วยความซนของเด็ก ก็เคยมุดเข้าไปนั่งนั่งตักตุ๊ปู่บ้าง เอามือไประไปรั้งพวงประคำห้อยคอท่านบ้าง ท่านเองเป็นตนเมตตา ใช่เมตตาแต่ตน คนอื่นๆ รวมไปถึงหมูหมากาไก่ต่างได้รับเมตตาอาทรอ่อนเอื้อจากท่านทั้งนั้น

ตนชุ่มเย็นเป็นพระรุ่นพี่ของตา เป็นศิษย์พี่ของตา อายุมากกว่าตาเจ็ดแปดปีเห็นจะได้ ท่านอยู่ในผ้าเหลืองมาจนบัดนี้ แต่ตาเป็นพระเพียงสิบพรรษาบุญผ้าเหลืองก็หมดต้องสึกออกมาดูแลไร่นาวัวควายเลี้ยงดูพ่อแม่แก่เฒ่า ตาไม่อยากสึก แต่พี่สาวผู้เป็นลูกสืบเรือนป่วยไข้ล้มตาย ส่วนพี่เขยก็ไม่เต็มใจจะอยู่ใต้อำนาจพ่อเมียไปตลอดชีวิต จึงขอออกจากผี (2) ไปมีเมียใหม่ ทวดเห็นใจเพราะลูกเขยผู้เป็นพ่อหม้ายแต่ยังหนุ่ม ยังมีความใคร่ความอยากทางกามอยู่ ทวดอนุญาตให้ออกไปตั้งเรือนใหม่ได้ แต่ไร่นามรดกอื่นๆ ทวดไม่แบ่งให้ แต่จะเก็บไว้ให้หลานเอง

ตาสึกออกมาเพื่อดูแลทรัพย์สินทั้งหมด แล้วได้ยายเข้ามาเป็นคนปฏิบัติดูแลเวียกบ้านการเรือน เป็นคนเอาใจใฝ่เฝ้าผีปู่ย่าทางฝ่ายเราสืบมา แต่ตนชุ่มเย็นท่านไม่มีภาระผูกพันอันใด ท่านฝักใฝ่ทางสมถะและวิปัสสนา ทางสมถะท่านก็แก่กล้าถึงขั้นได้เตโชกสิณ ตาว่าอย่างนั้น ส่วนทางวิปัสสนา ไม่มีใครบอกได้ว่าท่านบรรลุถึงขั้นใด ท่านเองไม่เคยเอ่ยออกปากเลยว่าท่านได้โสดาได้สกิทาคา อนาคามีเป็นพระอริยะแล้ว ท่านว่าท่านยังเป็นสมมุติสงฆ์ บ่แม่นอริยสงฆ์

“สมถะกับวิปัสสนาต่างกันอย่างใดครับ ตุ๊ปู่”

ครั้งหนึ่งบุญส่งเคยถามเมื่อออกจากวัยเยาว์มาแล้ว ใช้คำว่านายนำหน้าชื่อหลายปีแล้ว

“สมถะคือวิธีอบรมใจไปสู่ความสงบตั้งมั่น” ผู้ที่ตนเรียกว่าตุ๊ปู่อธิบายแก่นักศึกษาวิทยาลัยครูปีที่หนึ่ง “ส่วนวิปัสสนาเป็นวิธีอบรมจิตใจให้เกิดปัญญา”

“สมถะกับวิปัสสนาแยกจากกันโดยเด็ดขาดเลยหรือครับ”

“ไม่ ก็ยังเกื้อกูลอิงอาศัยกันอยู่ ครูบาอาจารย์เจ้ากล่าวว่าสมถะกับวิปัสสนาเหมือนไม้ท่อนเดียวกัน สมถะเป็นโคน วิปัสสนาเป็นปลาย สมถะหากจำเริญดีแล้ว จะขึ้นไปสู่วิปัสสนา สมถะนำไปสู่สมาธิ วิปัสสนานำไปสู่ปัญญา เข้าใจหรือไม่ ไอ้หลานน้อย”

“ถ้าอย่างนั้นสมาธิกับปัญญาก็ไม่ใช่อันเดียวกัน”

“ไม่ใช่ สมาธิจะนำไปสู่ปัญญาตามหลักธรรมชื่อไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา”

“แล้ววิชาสายขาวสายดำที่ครูบาอาจารย์เจ้าสมัยศึกม่านศึกเม็งท่านทรงไว้ คืออะไร ไม่ใช่สมถะ ไม่ใช่วิปัสสนาหรือครับ”

“เป็นสมถะ แต่ไม่ใช่วิปัสสนา จัดเป็นสมถะได้เพราะเกิดจากสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิ บ่แม่นสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธินำไปสู่อิทธิฤทธีต่างๆ ดำดินบินบนได้ เรียกฝนเรียกลมได้ คนผู้เดียวแยกกายเป็นร้อยเป็นพันได้ เสกใบมะขามกลายเป็นต่อเป็นแตนบินไปทำร้ายข้าศึกศัตรูได้ หมู่นี้จัดเป็นอิทธิฤทธิ์ แต่บ่แม่นปัญญาเพราะบ่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ พระเจ้าเราบ่สรรเสริญ”

ย้อนไปในปี 2504 พี่สมศรีเมียอ้ายมีงึกงักถูกคนใช้อวิชชาต่อดำทำร้าย ตาเป็นคนแก้ไข ใช่แต่ตาคนเดียว ต้องใช้พลังทางเตโชกสิณของตุ๊ปู่ครูบาบุญเย็นเข้าค้ำหนุนอุ่นช่วยถึงจะสำเร็จ

อวิชชาต่อดำ รุนแรงและร้ายกาจขนาดไหน เด็กชายบุญส่งได้รู้ได้เห็นกับตาตัวเอง

พี่สมศรีอุ้มแขนซ้ายเข้าบ้านมาขอตาช่วยปัดเป่าเยียวยาวันนั้น วันรุ่งขึ้นบุญส่งกลับจากโรงเรียนถึงบ้าน แทบไม่ทันจะถ่ายชุดนักเรียนออกจากตัว ตาก็ยื่นล่วมยาให้สะพาย

“ไปกับตา”

“ไปไหน”

“สันผักหวาน”

สันผักหวานอยู่ห่างจากบ้านทุ่งตีนดอยไปราวสองกิโลเมตร คำว่าสันหมายถึงที่ดอนกลางนา หรืออาจหมายถึงพื้นที่สูงมีทุ่งนาแวดล้อมก็ได้ บ้านสันผักหวานคงมีผักหวานขึ้นมากจึงได้ชื่ออย่างนี้ มีหมู่บ้านขึ้นต้นคำว่าสันหลายแห่ง อย่างสันสะหลี สันทราย สันช้างตาย สันผักเฮือด อย่างนี้เป็นต้น

พี่สมศรีเป็นเมียอ้ายมีงึกงัก ชื่อจริงๆ ว่าบุญมี แต่คนพื้นบ้านพื้นเมืองสมัยก่อนมักจะเรียกชื่อคนแต่พยางค์ท้าย หากแก่กว่าพ่อก็เรียกลุงมี หากแก่มากๆ ก็จะเรียกอุ๊ยมี อ้ายมีคนนี้อายุสัก 38 อ่อนกว่าพ่อสักสองสามปี ส่วนคำว่างึกงักเป็นสร้อยหรือฉายาเพื่อบ่งบอกลักษณะเฉพาะ อ้ายมีคนนี้มีอาการงึกงัก คล้ายชักกระตุกยึกยักเป้นประจำ แต่ก็เป็นคนมีฐานะดีเพราะมีรถขนดินคันหนึ่งเอาไว้รับจ้างขนดินถมที่ อ้ายมีจะคุมลูกน้องไปขุดดินด้วยจอบแล้วตักใส่ปุ้งกี๋ลำเลียงขึ้นใส่รถ ค่าจ้างรายวันจำไม่ได้แล้ว น่าจะอยู่ราวๆ สี่บาท ส่วนคนขับรถดูเหมือนจะได้หกบาท แต่เดิมที อ้ายมีไม่ได้มั่งคั่งมากมายแต่โชคดีมีบุญตรงที่เป็นลูกเลี้ยงรอดคนเดียวของพ่อแม่จึงได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมด แต่ก็อาภัพที่ติดโรคสันนิบาตมีอาการกระตุกงึกงัก อ้ายมีไม่ได้เข้าโรงเรียนเหมือนคนส่วนมากในยุคสมัยนั้น แต่ก็มีความคิดอ่านหรือมีสติปัญญาพอสมควร จึงขายไร่นาวัวควายบางส่วนแล้วซื้อรถต่อกระบะเรียบร้อยแล้วมารับจ้างขนดินจึงค่อยมีเงินทองขึ้นมา

“คนแต่ก่อนอาจมีทรัพย์สิน แต่ไม่ค่อยมีเงินมีทอง” พ่อเป็นคนอธิบายเรื่องนี้แก่ลูกชายคนเล็ก “เงินทองเป็นของหายาก สร้างเองไม่ได้ แต่ทรัพย์สินสร้างเองได้ อย่างไร่นาก็อาจบุกเบิกเอาเองได้ วัวควายก็อาจเริ่มต้นจากรับจ้างเลี้ยงแล้วค่อยได้งัวน้อยควายน้อยมาเป็นสมบัติ”

อ้ายมีค่อยมีเงินทองมากขึ้น นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่สมศรีโดนคนใช้อวิชชาต่อดำทำร้าย ภายหลังต่อมาก็มีอีกคนที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น

 

“ตุ๊พี่จำได้ไหม เมื่อเรายังหนุ่ม ครูเราเคยเอ่ยถึงอวิชชาต่อดำ”

“จำได้เลาๆ มันนานแล้ว เกือบสี่สิบปีแล้วกระมัง เหมือนว่าอวิชชานี้แต่ก่อนแต่เดิมบ่มีในเมืองเรา แต่แพร่ลามเข้ามาจากเมืองม่าน”

“เมืองม่าน?” เด็กชายชั้น ป.4 สอดปากระหว่างท่านผู้เฒ่าทั้งสอง “หมายถึงประเทศพม่าหรือ”

“อันเดียวกันนั้นละ” ตาตอบ “คำเมืองว่าเมืองม่าน คำไทยว่าประเทศพม่า”

เป็นยามสายๆ แดดงายเข้มแข็ง วัดมังคลารามยังสงบสงัดเงียบดี ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคุยกันที่โถงรับแขกบนกุฏิหลังใหญ่ ส่วนกุฏิส่วนตัวของหลวงพี่เมฆอยู่ลึกเข้าไปทางหลังวัดด้านเหนือ วันนั้นเหมือนจะเป็นวันเสาร์ วันอาทิตย์หรือวันสำคัญอะไรสักอย่างที่โรงเรียนหยุด ตาคงคลางแคลงหรือค้างคาใจอะไรบางอย่างจึงเอาผ้าขาวพาดบ่าอุ้มพานไม้ไผ่ทาชาดสีแดงคล้ำออกจากบ้าน เห็นอย่างนี้ก็รู้ได้ว่าตาไปวัด บุญส่งน้อยจึงไต่ต้อยติดตามหลามหลังตาไป

สองสามวันก่อน ตามตาไปเยียวยาแก้ไขตุ่มพองหนองฝีที่ท่อนแขนพี่สมศรี หัวฝีที่กลัดหนองจนขาวบวมเป่งขึ้นเต็มที่ ส่วนที่แดงก็แดงมาก ส่วนที่ดำก็ลามสูงลึกเข้าไปเกือบถึงรักแร้ของเมียอ้ายมีงึกงัก ตาว่าอาการอย่างนี้ไม่มีใดต้องคลางแคลงสงสัยอีกแล้ว อวิชชาต่อดำแน่นอน ตอนนี้ไข่ของต่อดำที่มันหยอดไว้ในแขนคนเคราะห์ร้ายกำลังฟักเป็นตัว…เหมือนไข่ของต่อทั่วไปที่มันหยอดไว้ในตัวตั๊กแตนหรือจิ้งหรีด เหยื่อยังไม่ตายเพียงแต่สลบหรือเป็นอัมพาตไปเพราะพิษของต่อ…หนอนต่อจะกัดกินภายในของเหยื่อทั้งที่เหยื่อยังไม่ตาย เหยื่อทำอะไรไม่ได้เลย จะเจ็บปวดทรมานมาก หากเป็นคนก็คงจะร้องขอความตายเร็วๆ ตาว่าอย่างนั้น

หนอนต่อจะอยู่ในร่างเหยื่อ จะกินภายในของเหยื่อ เติบโตอยู่ในตัวเหยื่อจนจนเหยื่อตาย แล้วหนอนต่อจะกลายเป็นตัวต่อมุดออกมา

ฝีขบหนองเต็มที่ ตาเอาหนามเค็ดเค้าสะกิดหัวฝี หนองเป็นก้อนขาวขุ่นเกือบเท่าปลายก้อยหลุดออกมา เลือดแดงเลือดดำไหลออกมา ตาเสกน้ำมนต์ให้กิน แล้วเอายาประกอบด้วยเกล็ดลิ่น กระดองปลาฝา และหัวยาบางอย่างคล้ายหัวหญ้าแห้วหนูให้หลานชายฝนกับฝาหม้อใช้น้ำข้าวมวก (3) เป็นน้ำประสาน ฝนจนเจ็บหัวแม่มือ แล้วให้ลูกสาวพี่สมศรีซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพี่จันทร์เพ็ญเอายาทาแขนให้แม่ของเธอ

“ผัวเอ็งไม่อยู่หรือ สมศรี”

“ไม่อยู่ ไปขนดิน” คนไข้ของพ่อหมอหนานสินตอบแล้วเบนสายตามองไปไกล “สามสี่คืน สี่ห้าคืน ค่อยกลับมานอนบ้านสักครั้ง”

“ยานี้เก็บไว้ให้ดี หากปวดก็เอามาทาอีก หากแห้งก็หยอดน้ำข้าวมวกลงไป” ตาเก็บตัวยาทุกอย่างลงถุงผ้าใบน้อยแล้วเอาซุกล่วมยา “สองสามวันก็หาย หากไม่หาย เอ็งไปหาพ่อหนานที่บ้านบน”

“ขอข้าได้รู้สักน้อยเถิดพ่อหนาน ไผผู้ใดใช้อวิชชาต่อดำทำร้ายข้า”

“พ่อหนานตอบบ่ได้” ตายังยืนยันคำเดิม

 

สองสามวันถัดมาพี่สมศรีก็ให้น้องชายแกเอาซ้อนรถถีบปั่นขึ้นไปบ้านบน ฝีกลับมาคุหนองอีก ตาเองร้อนใจ เห็นว่าลำพังความรู้ความสามารถของตาอาจรักษาชีวิตเมียอ้ายมีงึกงักเอาไว้ไม่ได้จึงไปปรึกษาศิษย์ผู้พี่ แต่ครูบาบุญเย็นไม่เก่งทางยา แต่เข้าเตโชกสิณเพ่งเล็งธาตุไฟให้เข้มแข็งแรงกล้าได้ ท่านได้สืบทอดทางกรรมฐาน ส่วนวิชาอาคมสายขาวสายดำใดๆ ท่านไม่ถนัด วิชาสายขาวตาเป็นผู้สืบทอด ส่วนวิชาสายดำครูบาอินทาท่านไม่สอนให้แก่ใครเลย แต่ตำราวิชายังเก็บไว้ อาจหวังว่าจะมีใครสักคนที่เหมาะสมในภายภาคหน้า แต่ท่านก็มรณภาพไปเสียก่อน นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครเคยเห็นพับเล่มดำตำราเล่มนั้นอีกเลย

“อวิชชาต่อดำ เสกสร้างขึ้นจากตัวต่อ” สองเฒ่าสอบสวนทวนความแก่กัน “เอาต่อเขียว ต่อดิน ต่ออางรวมไปถึงต่อรังทั้งหลายก็ได้ จับเอามาให้ได้หลายๆ ตัว ยิ่งมากยิ่งดี แล้วเอามาขังรวมกันให้มันอดอยาก มันจะกินกันเอง ตัวสุดท้ายเลี้ยงด้วยเลือดคน ชิ้นเน่า หนองผี กับ…กับอะไรจำไม่ได้แล้ว” ตนชุ่มเย็นที่ชาวบ้านขนานนามให้ย่นหัวคิ้วจนเป็นร่องลึก “สุดท้ายจะกลายเป็นต่อดำร้ายกาจ ครูเราเหมือนจะว่าอย่างนี้”

“มีในพับเล่มดำของครูบาเจ้าตนลับหรือไม่ “หลวงลุงพัดถาม “ครูบากับพ่อหนานเคยอ่านหรือไม่”

“มีไหม หนานสิน”

“บ่มี ตุ๊พี่”

“แล้วผู้ใดหนอ” ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลบริหารวัดวาย่นหัวคิ้ว “ทรงอวิชชาร้ายกาจนี้ไว้”

“ผู้ทรงอวิชชานี้ใจดำอำมหิตที่สุด” หลวงปู่เป็นคนตอบ “ต้องเป็นใจที่เด็ดเอาหิริ โอตตัปปะออกจากใจได้เด็ดขาด เด็ดเอาเมตตา กรุณาออกจากใจได้เด็ดขาด ผู้ใดหนอจะใจดำอำมหิตได้ถึงขนาดนี้”

“ผู้ใดช่างมัน” ตาตัดบท “บัดนี้อีสมศรีเมียไอ้มีงึกงักคนบ้านสันผักหวานโดนเข้าแล้ว หยูกยาข้าแก้ไม่ตก ตุ๊พี่ต้องมาช่วยข้ารักษาชีวิตเมียไอ้มีงึกงัก”

“ตุ๊พี่บ่แม่นหมอยา ยาบ่ช่าง” ศิษย์พี่ของตาว่าอาตมารักษาไม่เป็น

“บ่ได้หื้อตุ๊พี่มาช่วยข้ายา แต่ข้าจะขอตุ๊พี่เข้าเตโชกสิณเอาไฟลนมันให้ออกมา”

ได้ยินคำนั้น ศิษย์ผู้สืบทอดทางฌานกสิณมาจากครูบาเจ้าตนลับก็อ้ำอึ้งไปเลย

 

ค่อนข้างฉุกละหุกคับขันแล้ว หนอนต่อในตัวพี่สมศรีเหมือนจะกัดกินลุกลามลึกเข้าไปเรื่อยๆ อ้ายมีงึกงักผัวพี่สมศรีก็ไม่อยู่บ้าน พ่อผัวแม่ผัวก็ตกตายหายลับหมดแล้ว ตาใช้ให้พ่อไปสืบความที่บ้านสันผักหวาน จึงรู้มาว่าอ้ายมีงึกงักพอเริ่มมั่งมีขึ้นมานิสัยใจคอก็เริ่มเปลี่ยนไป แอบไปมีเมียลับเมียพรางอยู่บ้านนั้นบ้านนี้ อาจเป็นผู้หนึ่งผู้ใดในหมู่เมียน้อยที่อยากเป็นเมียหลวงจึงว่าจ้างหมอม่านปล่อยต่อดำมาต่อยพี่สมศรีแล้วหยอดไข่ใส่ในแขนพี่สมศรี

ตาเองพอจะเดาได้ว่าผู้ปองร้ายหมายฆ่าพี่สมศรีน่าจะมุ่งไปที่แย่งสมบัติ แต่ตาไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นใครเพราะไม่รู้จักพื้นเพผัวเมียคู่นี้ดีนัก กระทั่งพ่อสืบรู้มา จึงเดาว่าอาจจะมีการมุ่งร้ายหมายฆ่าเพื่อจะเป็นเมียหลวงแทน แต่ไม่รู้แน่ชัดจึงออกปากไม่ได้ จะผิดศีลมุสา วาจาจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ปากจาคำใดคนไม่ยำเกรง

การแก้ไขเยียวยาเอาชีวิตพี่สมศรีคืนก็ไม่ใช่ของง่าย ต้องเอาตัวแกมาเข้าพิธีด้วย แต่จู่ๆ จะไปเอาพี่สมศรีมานอนวัดก็ไม่เหมาะสมเพราะแกมีผัวแต่ผัวไปติดพันหญิงอื่น ตาจึงใช้ให้พ่อไปพูดจาหารือพ่อแม่พี่สมศรี สองเฒ่าไม่ขัดข้อง หกเจ็ดคนรวมทั้งลูก น้องชายและพ่อแม่ของคนโดนอวิชชาชั่วร้ายมานอนค้างที่วัดกันหมด ตามแนวทางที่ตาคิดไว้ก็คือ จะต้องเอาตัวคนป่วยมานอนอยู่ใต้สายตาพระเจ้าหรือพระประธานในพระวิหาร รักษาด้วยวิชาหยูกยาอาคมของตา แต่อวิชชาต่อดำอำมหิตชั่วร้ายสุดขนาด ไม่คำนึงถึงเมตตากรุณา ไม่คำนึงถึงหิริโอตตัปปะใดๆ เลย มันรุนแรงร้ายกาจเกินความสามารถที่ตามี ตาจึงขอพึ่งคุณวิชาที่ตนชุ่มเย็นทรงอยู่ นั่นคือเตโชกสิณ ให้ท่านเพ่งเตโชกสิณเร่งธาตุไฟในร่างคนป่วยให้แข็งกล้า ความร้อนแห่งไฟจะผลักดันตัวอ่อนของต่อดำให้หันหัวคืนกลับ ไม่มุดเข้าไปกัดกินหัวใจปอมม้าม แต่จะมุดออกทางปากแผล

“ทำไมถึงไม่ทำพิธีที่บ้านพี่สมศรีล่ะ ตา”

“บ้านหลังนั้นไม่มีคุณอันใดปกป้องสักอย่าง หิ้งพระเจ้าเศร้าหมอง หิ้งผีปู่ยาไม่มี หอเจ้าที่ก็ไม่มี มิน่า อวิชชาต่อดำถึงจู่โจมถึงตัวอีสมศรีได้ง่ายดาย”

“พี่สมศรีไม่ไหว้ผีปู่ย่า ผีเจ้าที่เจ้าแดนหรือตา”

“มันมาอยู่กับไอ้มี พ่อแม่ไอ้มีขอมันมาเป็นสะใภ้ มันออกเรือนเดิมมา ผีปู่ย่าไม่ได้ติดตามมันมา มันมาเข้าผีฝ่ายผัว แต่สิ้นชั่วพ่อแม่ฝ่ายผัว ไอ้มีมันอาจเลิกละผีปู่ย่าไม่ให้เมียมันไหว้ ดีไม่ดี วัดวาก็อาจไม่ให้เมียมันไปด้วยซ้ำ หิ้งพระเจ้าจึงเศร้าหมอง”

“ยายก็เข้ามาเป็นสะใภ้เรือนนี้ ผีปู่ย่าฝ่ายยายก็ไม่ได้ติดตามมาดูแลรักษายายหรือ”

“ไม่ได้ติดตามมา ยายมาเอาผีปู่ย่าฝ่ายเรา ผีฝ่ายเราดูแลยายแทนผีเดิม ก็เหมือนพ่อเอ็งนั่นแหละ ออกจากเรือนมา ละผีปู่ย่าเดิมมา มาเข้าเรือนนี้ก็รับเอาผีเรือนนี้ ผีเรือนนี้ดูแลพ่อเอ็งแทนผีเรือนเดิม”

“แล้วทำไมต้องเอาพี่สมศรีนอนในสายตาพระเจ้า เอาไปนอนที่ศาลาไม่ได้หรือตา”

“อวิชชาต่อดำอำมหิตเชี่ยวกล้าดั่งน้ำหลาก ไม่อยู่ในสายตาพระเจ้าจะต้านทานมันไม่ได้ ใช่เพียงครูบานะเอ็ง ตุ๊อาวพัดก็ต้องสวดอิติปิโส 108 จบ ใช่ง่ายนะเอ็ง สมาธิไม่พอไม่มีทางสวดได้”

“หลวงพี่เมฆล่ะตา”

ตาทอดถอนใจ ไม่ตอบหลานชาย

 

ค่ำคืนนั้นที่วัดไม่สงบสงัดนัก แต่ก็ไม่พลุกพล่านเหมือนเมื่อมีปอยหลวงปอยลามหามแห่ พระเณรทั้งวัดแทบไม่มีใครหลับใครนอน หลวงพี่เมฆกับเณรสิทธิ์ก็ละกุฏิหลังวัดมาร่วมแต่ไม่เข้ามาในพระวิหาร เอาหน้ายื่นอยู่ที่หน้าต่างส่องตาเข้ามา หวนนึกไปถึงคืนนั้น ลุ้นเรียกเพรียกพราย หลวงพี่ห้ามไม่ให้รู้ถึงหูตุ๊หลวงและตุ๊รองเพราะอยากปกปิดเป็นความลับ แต่ลงมาถึงลานพระเจดีย์ก็พบท่านผู้เฒ่าเจ้าอาวาสเดินจงกรม

“พากันไปไหนมา”

“ไป…ไป…พาหมู่ละอ่อนเขาไปฝึกวิชา”

“ตุ๊…” ท่านทำเสียงเย็นๆ แต่เข้มงวด “พรุ่งนี้บ่ายๆ ไปหาอาตมาที่บนกุฏิ”

ท่านใช้คำว่าอาตมา เป็นการเป็นงานนัก ไม่รู้ว่าท่านเรียกไปทำอะไร อยู่มาวันนี้ดูเหมือนหลวงพี่ก็ยังไม่กล้าเข้าหน้าสบตาท่าน จึงได้แต่ยืนอยู่นอกหน้าต่างยื่นหน้าเข้ามา หลวงปู่ หลวงลุง ตา บุญส่งอยู่ในวิหาร พี่สมศรีนอนซมหันหัวไปทางพระประธานบนแท่นสูง รูปร่างหน้าตาเหมือนจะผอมซูบลงจากสองสามวันก่อนอย่างเห็นได้ชัด หน้าคล้ำ ขอบตาดำ แก้มผอม นอนห่มผ้าขึ้นมาถึงอก แขนสองข้างอยู่นอกผ้า แขนขวาปกติ แต่แขนซ้ายดูผิดสัดส่วนรูปทรงเพราะแขนท่อนล่างซูบเหมือนไม้ซีกแต่ท่อนบนบวมเป่งคล้ำดำเหมือนขาหมูที่เขาเผาแล้วแต่ยังไม่ได้ขูดหนัง ปากแผลไม่กลัดหนองอีกแล้วเพราะตาพอกไว้ด้วยยาดูดพิษดูดภัยแต่ดูเหมือนจะช่วยได้ไม่มากนัก มานึกคิดดูในตอนหลัง ตอนที่ตาขึ้นฟ้าเมืองบนไปเมินนานมากแล้ว ได้ข้อคิดว่าบางครั้งความสามารถของคนก็ไม่สำคัญเท่าจิตใจของคน

ความสามารถทางการแก้ไขเยียวยาของหมอหนานสิน ไม่สำคัญเท่าจิตใจของหมอหนานสิน

ช้านานมากนัก ตากับบุญส่งนั่งทางซ้ายของคนป่วย พ่อแม่คนป่วยนั่งทางขวา หลวงปู่นั่งขัดสมาธิเอามือวางทับกันอยู่เหนือหัวคนไข้ ท่านเองแม้ไม่ขึ้นชื่อลือชาอย่างครูบาอินทาผู้ล่วงลับ แต่ตาว่าท่านได้ฌานระดับลึก ท่านเพ่งเตโชกสิณได้ แต่ท่านกลับไม่ฝักใฝ่ทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เพราะครูของท่านห้ามไว้ จึงมาทางวิปัสสนา

แต่ตาก็เคยพูดกับหลานน้อย ตาว่าท่านสละทางฤทธิ์ แต่ใช่ว่าท่านจะแสดงฤทธิ์ไม่ได้

“มาทางวิปัสสนา คืออะไร”

“คือทำความรู้แจ้งในหัวใจพุทธศาสนา”

“หัวใจพุทธศาสนาคืออะไรหรือ ตา”

“คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

ผู้ถูกวางตัวไว้ให้สืบทอดวัดวาศาสนาเข้าสู่สมาธินานมาก พอดึกลงเณรหลายรูปหนีกลับไปนอน ลูกของพี่สมศรีเองหลับไปแล้วทางเบื้องปลายตีนของผู้เป็นแม่ บุญส่งเองก็โงกง่วงสัปหงกไปบ้าง หลวงลุงพัดยังสวดอิติปิโสไม่ครบ 108 จบ แต่แล้วหลานน้อยพ่อหนานสินก็สะดุ้งหายง่วง คนโดนอวิชชาต่อดำทำร้ายอุทานโอดโอยแล้วบิดตัวปวดร้าว ตากำปลายมือซ้ายไว้ พ่อของพี่ผู้ถูกทำร้ายหมายฆ่าด้วยคุณไสยกำปลายมือขวาไว้ แกเองดิ้นได้แต่ลำตัวกับแขนขา

แล้วมันก็ออกมา

ช้ามาก ยาวนานมาก นานเหมือนกาลเวลาไม่มีสิ้นสุด แขนซ้ายท่อนบนของคนป่วยมีความเคลื่อนไหว คล้ายหนอนตัวน้อยค่อยไต่มาทางปลายมือ ตนเมตตาของคนทั้งหมู่บ้านยังคงนั่งนิ่งแต่คล้ายท่านเองก็เหนื่อยอ่อนมาก ท่านเองแก่ชรามากแล้ว อายุ 75 ปี เข้าผ้าเหลืองมาแต่อายุ 10 ขวบ โรคาพยาธิประจำตัวมักเวียนหัวเจ็บเกล้า หากไม่จำเป็นท่านจึงไม่อยากเข้าเตโชกสิณ เพราะออกมาแล้วบางทีท่านนอนซมสามสี่วัน

พอตาว่าจะขอท่านเข้าเตโชกสิณช่วยชีวิตพี่สมศรีท่านจึงอึ้งไป

ช้ามาก นานมาก หลวงลุงพัดเองแม้เข้าเตโชกสิณไม่ได้ แต่ปากท่านก็ยังสวดท่องอิติปิโสอยู่ ไปถึงคาบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ ไม่ดังกึกก้องแต่ก็ได้ยินอยู่สม่ำเสมอ

แล้วมันก็ค่อยออกมา

หนอนต่อตัวนั้น มันค่อยออกมา

โผล่หัวออกมาก่อน มีหนวดสองเส้นชูอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่หนอน แต่เป็นตัวต่อ

ต่อดำ ดำสนิท มีพร้อมทั้งขาและปีก

ไม่ทันที่ใครจะทำอะไร ต่อดำอันเกิดจากอวิชชาชั่วร้ายก็บินออกไปจากพระวิหาร

 

“ข้าบ่ฮู้จะเอาหยังมาตอบแทนพ่อหนาน นอกจากแหวนน้อยวงนี้”

“บ่ต้องเอาหยังมาตอบมาแทน ข้าวตอกดอกไม้ น้ำขมิ้นส้มป่อยก็พอเพียงละ สมศรี”

“แหวนก้อยวงเดียวยังน้อยไปด้วยซ้ำ แต่สมบัติส่วนตัวข้า มีเพียงแหวนวงนี้เท่านั้น พ่อหนานโปรดข้าพ้นจากนรกทั้งเป็น แหวนสิบวงยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

“รู้คุณพ่อหนานก็ดีอยู่ แต่อย่าลืมคุณตุ๊หลวงกับตุ๊รอง อย่าลืมคุณวัดวาศาสนาพระพุทธเจ้า ทั้งพ่อหนาน ตุ๊หลวงกับตุ๊รองต่างได้วิชาจากวัดวาศาสนาพระพุทธเจ้า เอ็งพ้นนรกทั้งเป็นมาแล้วถือว่าบุญศีลบุญธรรมยังห่อหุ้มคุ้มครองเอ็งอยู่ แล้วเอ็งรู้ไหม ผู้ใดตกนรกทั้งเป็นแทนเอ็ง”

“ผู้ใด”

“ผู้ส่งอวิชชาต่อดำมาฆ่าเอ็ง เอ็งบ่ตาย หมู่เฮาช่วยกันผลักดันขับไล่มันออกจากตัวเอ็งได้ แต่อันที่พ่อหนานคาดไม่ถึงก็คือมันเป็นตัวต่อแล้ว ไม่ใช่แค่หนอนต่อ มันมีปีกบินได้ มันหนีออกไปทางหน้าต่าง มันจะบินไปไข่ใส่คนที่ส่งมันมา คนผู้นั้นก็มาขอพ่อหนานให้แก้ไขให้มันแต่แก้บ่ได้เพราะใจมันบ่เหมือนใจเอ็ง มันตกนรกทั้งเป็นยาวนานกว่าเอ็งสิบเท่าซาวทบ จนป่านนี้ก็ยังไม่พ้นนรกทั้งเป็นขึ้นมาได้ ตายไปก็ยังต้องไปตกนรกหลังตายอีก มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลานเถอะเอ็งเอ๋ย อย่าได้มีใจชั่วคิดร้ายต่อผู้อื่นเลย ไม่ทันตายจะตกนรกทั้งเป็น ตายแล้วยังต้องไปลงนรกหลังตาย”

“สาธุ พ่อหนานสอนดีนัก มีลูกข้าจะสอนลูกมีหลานข้าจะสอนหลาน ข้าก็พอจะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นไผ ส่วนอ้ายมี…มันไม่นอนค้างอ้างแรมที่ไหนอีกเลย พ่อหนาน”

“สาธุๆ กลับตัวกลับใจได้ก็จะพ้นนรกขุมลึก แต่นรกขุมตื้นจะพ้นบ่พ้นก็สุดแท้แต่กรรมแต่เวรไอ้มีงึกงักมันก่อมา”

 

พี่สมศรีพ้นทุกข์แล้ว อยู่ดีมีสุข หน้าตาหมดใหม่ใสงามขึ้น ส่วนคนอีกผู้ที่จ้างหมอม่านปล่อยต่อดำมาทำร้ายหมายฆ่าพี่สมศรีกลับโดนต่อดำต่อยแล้วหยอดไข่ใส่น่อง แต่แรกก็ไม่กล้ามาหาตา ไปหาหมอม่าน แต่หมอม่านกลับเมืองม่านไปแล้ว ต่อดำหยอดไข่ไว้ในตัวไม่มีใครเอาออกได้ ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ไปหาหมออื่นก็ไม่หาย สุดท้ายก็ซมซานมาหาตา ตาเองก็อยากช่วย แต่สุดความสามารถของตา หลวงปู่เองไม่อยากเข้าเตโชกสิณอีกเลยเพราะต้องใช้พลังสูงมาก ท่านแก่แล้ว ร่างกายอ่อนแอลง แต่ท่านก็พยายามเร่งเร้าเตโชธาตุในตัวผู้ป่วยให้ลุกแรง แต่เร่งไม่ขึ้นเพราะใจคนผู้นั้นไม่สามารถจะเปิดรับ

คนผู้โดนต่อดำทำร้ายตกนรกทั้งเป็นอีกนาน สุดท้ายก็ไปตายที่โรงพยาบาลในตัวจังหวัด

 

เชิงอรรถ : 

(1) สมัยศึกม่านศึกเม็ง สมัยที่ล้านนายังรบรับติดพันเพื่อปลดแอกจากพม่า ตรงกับราวๆ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินเรื่อยมาจนถึงราวปลายสมัยรัชกาลที่สามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

(2) ออกจากผี = ออกจากครอบครัว ออกจากตระกูลฝ่ายภรรยา ออกจากการคุ้มครองดูแลของผีปู่ย่าทางฝ่ายภรรยา

(3) น้ำข้าวมวก น้ำที่ได้จากการแช่ข้าวสารเหนียวให้นิ่มก่อนจะนำไปนึ่ง

 



Don`t copy text!