
แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
เมื่ออาไช้อายุได้ห้าเดือนบ้านลานมะเกลือก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เป็นสาวน้อยผิวขาวดวงตากลมโตน่ารักน่าเอ็นดู ส่วงผิดหวังเล็กน้อยแต่ทำใจได้อย่างรวดเร็ว เขามีลูกชายสองคนแล้ว มีลูกสาวสองคนก็น่าจะดีเหมือนกัน สลับกันไปชายหญิงชายหญิงดูเป็นมงคลคู่ดี แต่เถ้าแก่หนุ่มก็อดเย้ายามที่อุ้มลูกสาวคนใหม่ครั้งแรกไม่ได้ว่า
“ตัวขาดทุนสามหมื่นมาอีกแล้ว”
คนพูดแค่ล้อเล่นตามคำอ้างของอาเตี๋ยจั๊กคุ้งเท่านั้น ตอนเอ่ยก็พูดไปยิ้มไป แต่คนฟังถึงกับแอบไปร้องไห้ด้วยความน้อยใจ กุ้ยเตียงเช็ดน้ำตากับหมอน สัญญากับตัวเองว่าหล่อนต้องมีลูกชายอีกคนหรืออีกหลายๆ คนให้ได้
ส่วงตั้งชื่อลูกสาวคนที่สองว่าฉื่อฮวง ส่วนชื่อไทยที่จะไปแจ้งทางอำเภอนั้นคราวนี้เถ้าแก่หนุ่มเตรียมตัวไว้พร้อม เขาไปหาเจ้าอาวาสวัดชัยมงคลเพื่อขอชื่อไทยความหมายดีๆ ให้ลูกสาวคนใหม่ หลวงพ่อตั้งชื่อเด็กน้อยว่าสุวิไล มีความหมายว่าหญิงงามที่ดี จากนั้นก็เหมือนเป็นธรรมเนียมของเด็กๆ บ้านลานมะเกลือว่า เด็กผู้ชายจะใช้คำนำหน้าว่าวิ ส่วนผู้หญิงจะมีคำนำหน้าว่าสุ
หลังคลอดอาฮวง กุ้ยเตียงนอนโรงพยาบาลอยู่สองคืนก่อนพาลูกสาวคนใหม่กลับบ้าน ฉื่อย้งตื่นเต้นกับน้องที่น่ารักเหมือนตุ๊กตายิ่งกว่าอาไช้ แต่ผู้เป็นมารดากลับหงุดหงิดและหดหู่ หล่อนคลอดลูกสาว สามีไม่ว่าไม่ตำหนิสักคำ ทว่าคนบ้านโบ๊เบ๊แต่ละคนแสดงสีหน้าไม่ดีกันเลย เตี่ยมาเยี่ยมหลานแต่กลับถอนใจเฮือกๆ ม้านิ่วหน้ากังวลพวกน้องสะใภ้ก็พากันมองหล่อนด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ แต่ร้ายที่สุดคงหนีไม่พ้นพี่สะใภ้เจ้าปัญหาของหล่อน รายนั้นมองหน้าลูกสาวเกิดใหม่ของกุ้ยเตียงแล้วบ่นว่า
“ทำไมไม่เกิดเป็นผู้ชายนะ ตอนท้องก็เห็นท้องแหลมอยู่ ทำไมกลายเป็นเด็กผู้หญิงไปได้” จากนั้นก็จับบทบ่นแม่ของเด็กน้อยต่อว่า “อาเตียง…ลื้อนี่ทำไมไม่คลอดลูกผู้ชาย พืชพันธุ์บ้านลื้อมีแต่ลูกชายหลานชายทั้งนั้น ม้ามีลูกชายตั้งสามคนมีลื้อเป็นลูกสาวคนเดียว แล้วดูอย่างอั๊วสิ ลูกชายล้วนๆ คลอดกี่คนๆ ก็ลูกชาย พวกอาจูอาเค็งก็มีลูกชายเยอะมีลูกสาวคนเดียวพอ แต่ทำไมลื้อเอาแต่ออกลูกสาว”
“เรื่องแบบนี้อั๊วกำหนดเองได้หรือซ้อ” กุ้ยเตียงตอบกลับอย่างฉุนเฉียว “สวรรค์ให้มาแบบไหนก็เป็นแบบนั้น ลูกคนนะซ้อไม่ใช่หุ่นไม่ใช่ตุ๊กตาจะได้เหลาไม้หรือปั้นดินออกมาตามความต้องการได้ ถ้าชี้นิ้วเลือกได้โลกนี้คงมีแต่ผู้ชายไม่มีผู้หญิงแล้ว อีกอย่างม้ามีลูกชายสามคนแต่มีลูกสาวสองคนเหมือนกัน พี่สาวคนโตอั๊วตายตั้งแต่เล็กซ้อถึงได้ไม่รู้จัก ม้าน่ะมีตั่วเฮียแล้วมีลูกสาวอีกสองคนถึงจะมีน้องชายอีกสองคน ไม่ใช่คลอดกี่คนๆ ก็ลูกชายสักหน่อย อั๊วก็เหมือนม้าแหละมีลูกชายคนโตลูกสาวสองคนแล้วก็มีลูกชาย”
คำพูดท้ายๆ คือความหวังอย่างสุดหัวใจของหญิงสาว หล่อนคงเป็นเหมือนม้า มีลูกสาวก่อนสองคนแล้วหลังจากนั้นก็มีแต่ลูกชาย
“อั๊วลืม” หลีมุ่ยยอมรับ น้องสาวคนโตของสามีจากไปเร็ว ในบ้านมีภาพแค่ใบหรือสองใบเท่านั้น นี่ถ้าน้องชายทั้งสองไม่ได้เรียกกุ้ยเตียงว่าหยี่แจ้ คนก็คงลืมกันไปหมดแล้วว่าครอบครัวนี้มีลูกสาวสองคน “มัวแต่เป็นห่วงแทนลื้อ เจ็บใจแทนลื้อด้วยที่เด็กนั่นได้ลูกชายแต่ลื้อได้ลูกสาว”
หญิงสาวมองพี่สะใภ้ด้วยสายตาที่ทั้งประหลาดใจและอ่อนใจ หล่อนถามว่า
“ถามจริงๆ เถอะซ้อ ซิ่วเฮียงไปทำอะไรให้ซ้อไม่พอใจ ซ้อถึงได้ตั้งแง่ตั้งงอนกับเด็กมันนัก”
หลีมุ่ยชะงัก คำถามนี้หล่อนไม่เคยถามตัวเองเลย รู้สึกแต่ว่าไม่ชอบหน้าเด็กนั่น ว่ากันตามตรงแล้วแม่ซิ่วเฮียงนั่นก็ไม่ได้เลวเกวอะไร ท่าทางเสงี่ยมหงิมไม่มีปากมีเสียง แต่ผิดที่มาเป็นเมียเถ้าแก่ส่วงอีกคน ทุกวันนี้ร้านที่โบ๊เบ๊รับเสื้อผ้าจากลานมะเกลือมาขายในราคาต้นทุน แรกๆ ขายเสื้อกางเกงผ้าปังลิ้น หลังๆ พอรสนิยมผู้คนเปลี่ยนโรงงานทางสมุทรปราการตัดเย็บเสื้อผ้าแบบตามสมัยนิยม ส่วงก็แบ่งส่งขายที่ร้านโบ๊เบ๊จำนวนไม่น้อย สร้างกำไรให้ร้านเป็นกอบเป็นกำจนร้านข้างๆ พากันอิจฉาตาร้อน แม้ร้านจะอยู่ในกงสี แต่คนที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดย่อมเป็นบุ่งทงที่เป็นลูกชายคนโต และมีกำไรไม่น้อยที่หลงๆ มาเข้ากระเป๋าสะใภ้ใหญ่
แม้จะรู้กันเต็มอกว่าหลีมุ่ยแอบหยิบเงินจากกงสีไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร หญิงสาวเองก็ภาคภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน…หล่อนน่ะ…เป็นหญิงมีวาสนาแท้ๆ แต่งเข้าบ้านมาก็คลอดลูกชายให้ตระกูลสามคนติดๆ กัน อย่าว่าแต่น้องสามีเลยคู่สะใภ้อีกสองคนก็ทำแบบหล่อนไม่ได้ ดังนั้นหลีมุ่ยจึงกร่างหนัก และเอารัดเอาเปรียบน้องชายน้องสะใภ้ของสามีโดยไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ในครอบครัวนี้จะมีก็แต่กุ้ยเตียงที่หลีมุ่ยเกรงใจเพราะหวังพึ่งพาสินค้าจากส่วง หล่อนคิดว่าถ้ากุ้ยเตียงกับส่วงรักใคร่อยู่กินกันอย่างราบรื่น ส่วงก็คงมีน้ำใจให้บ้านเดิมของเมียยอมไม่มีกำไรส่งสินค้าดีๆ ราคาทุนให้ร้านโบ๊เบ๊ไปตลอด ดังนั้นการเข้ามาของซิ่วเฮียงทำให้หญิงสาวกังวล กลัวว่าความสำคัญของกุ้ยเตียงในใจส่วงจะลดลงแล้วส่งผลกระทบมาถึงการส่งสินค้า
นี่คือเหตุผลจริงๆ ที่หลีมุ่ยพยายามผลักดันคนของหล่อนไปเป็นเมียรอง และเป็นเหตุผลที่ทำให้หล่อนไม่ชอบซิ่วเฮียง แต่เมื่อเอ่ยหล่อนกลับพูดว่า
“เด็กนั่นไม่ได้ทำอะไรอั๊ว แต่อั๊วเป็นห่วงลื้อ” หรืออันที่จริงคือห่วงผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัวเป็นที่สุด “ลื้อเป็นคนใจกว้าง ไม่ว่าจะเป็นใครลื้อก็ทำดีกับเขาไปหมด แล้วคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นสงบเสงี่ยมเจียมตัวแบบนั้นใจอาจจะวางแผนไปถึงไหนๆ แล้วก็ได้ แล้วนะ…แม่ซิ่วเฮียงคนนี้เหมือนลูกดกไม่เบา ลูกจากผัวแรกนี่เพิ่งสองขวบกว่าสามขวบไม่ใช่หรือ นี่ได้ลูกชายคนที่สองแล้ว อีกหน่อยคงมีคลานตามกันออกมาเป็นขบวน ถ้าไม่ระวังลื้อกับลูกๆ จะไม่มีสิทธิมีเสียงในลานมะเกลือเอา”
“ซ้อคิดมากเกินไปแล้ว ถึงอั๊วจะมีลูกสาวสองคนแต่อั๊วมีลูกชายคนโตของบ้าน ไม่ว่าอั๊วหรือซิ่วเฮียงจะมีลูกชายอีกสักกี่คนก็ไม่มีใครชิงตำแหน่งของอาไท่ไปได้ อีกอย่างนะ…ไม่ว่าจะลูกแม่ไหน เด็กก็เกิดมาแซ่เดียวกันเป็นตระกูลเดียวกันครอบครัวเดียวกัน โตขึ้นก็ต้องช่วยกันทำมาหากินสานต่องานของอาส่วง เด็กจะรักกันหรือตีกันมันอยู่ที่พ่อแม่สั่งสอน อั๊วไม่รู้ว่าซิ่วเฮียงสอนลูกเป็นไหม แต่อั๊วมั่นใจว่าอั๊วทำได้ อาส่วงก็ทำได้เช่นกัน ฉะนั้นซ้อไม่ต้องห่วงครอบครัวอั๊ว”
“เฮ้อ ไอ้เรารึหวังดีแท้ๆ แต่คนเขาไม่รับก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน” หลีมุ่ยทำท่าเสียดมเสียดาย
กลับมาอยู่บ้าน ส่วงเห็นว่าสองบ้านมีเด็กเล็กเด็กอ่อนรวมกันสี่คน แม้กิจการของลานมะเกลือจะซบเซาไปบ้าง แต่โรงงานที่สมุทรปราการกับร้านที่สะพานหันกำลังรุ่งเรือง เมียสองคนก็ต้องคอยช่วยดูแลงานเท่าที่ช่วยได้ ดังนั้นเขาจึงจ้างพี่เลี้ยงเด็กเพิ่มคนหนึ่ง พี่เลี้ยงชื่อเกียวคนนี้ดูแลอาฮวงเป็นหลักและช่วยดูแลลูกสองคนโตเป็นครั้งคราว ส่วนอาไช้นั้นซิ่วเฮียงเลี้ยงเองโดยมีเง็กซิมคอยช่วย แต่ถ้าช่วงไหนพวกหล่อนยุ่งดูแลไม่ได้ซิ่วเฮียงก็จะอุ้มอาไช้มาฝากเลี้ยงที่บ้านลานมะเกลือ
หลายครั้งที่ซิ่วเฮียงมองย้อนกลับไปในอดีต หญิงสาวมักจะนึกถึงช่วงเวลานี้เสมอ รู้สึกว่าเป็นช่วงที่ชีวิตเรียบง่ายและสงบสุขที่สุด หล่อนมีสามีที่รักใคร่เอ็นดู มีหยี่แจ้ที่ใจกว้างและไม่เคยกลั่นแกล้งรังแกหรือกดดันใดๆ หล่อนมีลูกชายสองคนแม้คนหนึ่งอยู่ไกลตัวแต่อาไช้นั้นอยู่ใกล้ตัว ได้เลี้ยงดูได้เห็นลูกเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างชื่นใจ
กุ้ยเตียงเองพอเวลาผ่านไปสักหน่อยก็พอทำใจเรื่องมีลูกสาวคนที่สองได้ในระดับหนึ่ง หญิงสาวยุ่งกับงานขายหน้าร้าน แต่ถ้ามีเวลาก็มักลากโอ่ยแจ้ไปเล่นไพ่นกกระจอกตามบ้านเพื่อน แน่นอนว่าต้องเล่นอย่างระวังและรู้เวลากลับบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงไม้เรียวของเถ้าแก่ส่วง วันไหนถ้าไม่เล่นไพ่หล่อนก็ไปดูหนัง กุ้ยเตียงชำนาญเรื่องหนังและโรงหนังมาก หล่อนมีความเชื่อของตัวเองในการเลือกหนังและเลือกโรงฉายแถมยังสอนซิ่วเฮียงที่เป็นพวกมือใหม่หัดดูว่า
“โรงหนังนี่ฉายหนังไม่เหมือนกันนะ ถ้าจะดูหนังจีนหนังกำลังภายในต้องดูที่โอเดี่ยน หนังรักต้องไปดูที่กรุงเกษม หนังแขกไปดูที่เท็กซัส ส่วนหนังไทยโน่นเลย…ไปเฉลิมกรุง”
โรงหลังๆ กุ้ยเตียงไม่ค่อยชอบดูเท่าไหร่เพราะหญิงสาวฟังภาษาไทยได้บ้างแต่ไม่ถนัด พูดก็พูดแต่ภาษาจีนเป็นหลัก บางทีไปดูหนังไทยหรือหนังที่พากษ์ภาษาไทยมักจะมีคำพูดที่ไม่เข้าใจ เลยไม่สนุก ไม่เหมือนกับดูหนังจีน
ส่วนส่วงนั้นไม่ชอบดูหนังแต่ชอบดูงิ้ว ปกติเขามักเป็นคนติดบ้าน ถ้าไม่ทำงานก็จะพักอยู่ที่บ้าน แต่ถ้ามีเวลาว่างมีวันหยุดเถ้าแก่หนุ่มมักจะพาครอบครัวไปกินข้าวตามร้านอาหารใหญ่ๆ ถ้าอารมณ์ดีก็จะพาเด็กๆ ไปเล่นที่สวนลุมพินี แต่งิ้วนั้นเด็กๆ ไม่ชอบดู ชายหนุ่มจึงไม่ค่อยได้พาลูกๆ ไปดูงิ้วเท่าไหร่
และสำหรับซิ่วเฮียง…ไม่ว่าจะหนังจีนหนังไทยหนังแขก จะงิ้วหรือจะลิเกหล่อนดูได้หมด อันที่จริงที่สุพรรณก็มีการแสดงหลายอย่างเหมือนของกรุงเทพฯ แต่สมัยซิ่วเฮียงยังเด็ก หลีกังไม่ยอมให้ลูกสาวไปดูงิ้วดูละเม็งละคอนที่ไหน เขาเข้มงวดมากกลัวลูกสาวจะพลัดหลงกลัวว่าโตขึ้นแล้วอยากจะไปเป็นพวกเต้นกินรำกิน สรุปคือซิ่วเฮียงได้ดูมหรสพต่างๆ น้อยครั้งมาก อาเส่งไม่ชอบอะไรที่เสียงดังเบียดเสียดผู้คน เขาชอบอ่านหนังสือทำการบ้านทำงานเงียบๆ อยู่กับบ้าน ดังนั้นอาเส่งก็ไม่ได้ดูอะไรเหมือนพี่สาวคนโต มาถึงซิ่วเซียง…น้องสาวคนเล็กของบ้านที่โชคดีที่สุด ตอนหล่อนเกิดเหล็กกล้าหลีกังที่แข็งกับลูก ๆ สองคนโตเริ่มถูกกาลเวลาลนให้อ่อนลงบ้างแล้ว ซิ่วเซียงเองก็ช่างประจบมารดา ดังนั้นพอจะขอไปเที่ยวงานเทศกาลหรือไปดูหนังกลางแปลงดูงิ้ว…เจ้าหล่อนก็พัวพันกับเซียมลั้งไม่เลิกไม่รา ทั้งออดอ้อนทั้งมีน้ำตา สุดท้ายม้าก็ใจอ่อนพาหล่อนไป
ส่วนตอนที่อยู่มหาชัย…อย่าให้พูดถึงหนังถึงลิเกอะไรเลย แค่ทำบุญหรือไปงานวัดพิกุลก็กันไม่ให้ซิ่วเฮียงไป อ้างว่าพาไปก็ขายหน้าชาวบ้าน อยากทำบุญหรือ…ทำกับข้าวไปดีๆ เดี๋ยวพิกุลกับวาสนายกไปถวายพระที่วัดเอง
‘ทำกับข้าวถวายกับไปถวายเองกับมือบุญเท่ากัน จะโผล่หน้าไปทำไม คนอื่นเขาถามว่ามึงเป็นใครกูตอบไม่ถูก อยู่บ้านนี้แหละเดี๋ยวบุญก็ลอยมาหามึงเอง’ อดีตแม่ผัวซิ่วเฮียงเคยพูดไว้แบบนั้น
ดังนั้นซิ่วเฮียงเลยเหมือนคนเก็บกด มีโอกาสได้ดูมโหรสพต่างๆ ถ้าไปได้หล่อนไป กุ้ยเตียงชวนดูหนังหล่อนก็ไป เถ้าแก่ส่วงชวนไปดูงิ้วหล่อนก็ไป วัดชัยมงคลมีงานวัดมีลิเกมาเปิดวิก หล่อนก็อุ้มลูกจูงอาย้งประกบข้างด้วยเง็กซิมไปดูลิเก ดูจนอาย้งกลับมาเปิดวิกลิเกที่บ้านลานมะเกลือ บังคับให้พี่ชายเล่นเป็นพระเอก อาย้งเล่นเป็นนางเอก น้องสองคนที่ยังพูดยังเดินไม่คล่องยังถูกจับขึ้นเวทีหมด ส่วงดูความโกลาหลที่พระเอกลิเกใส่มงกุฎกระดาษโรยกากเพชรปักขนนกหน้าตาบูดเบี้ยวไม่เต็มใจ ตัวประกอบทั้งเดินทั้งคลานไปทั่วโดยไม่สนใจนางเอกที่ควบตำแหน่งผู้กำกับไปในตัวแล้วอดถามไม่ได้ว่า
“ทำไมเล่นลิเก ทำไมไม่เล่นงิ้ว เป็นคนจีนต้องเล่นงิ้วสิ”
จากนั้น ‘นายทุนส่วง’ ก็ออกทุนซื้อง้าวไม้กระบี่ไม้ทาสีสดใสให้นักแสดง แถมยอมให้เอาผ้าแพรเพลาะสีสดใสผืนใหญ่มากั้นเป็นฉากโรงงิ้วด้วย
โรงงิ้วเปิดแสดงในบ้านลานมะเกลือต่อจากวิกลิเก แต่น่าเสียดายเปิดแสดงได้ครั้งเดียว เมื่อง้าวของพระเอกฟาดใส่หน้าผากแม่นางกระบี่แดงครั้งเดียวได้เลือดอาบ คณะงิ้วแต้จิ๋วเลยจำต้องปิดตัวลงพร้อมเสียงร้องไห้จ้าของนางเอก
นายทุนสำนึกผิดเพราะถูกมารดาของพระเอกนางเอกงิ้วเอ็ดไปหลายคำ ดังนั้นเขาจึงชดเชยให้บรรดานักแสดงที่ไม่มีโรงแสดงด้วยการซื้อรถจี๊ปถีบสีเขียวคันใหญ่ให้ลูกๆ สี่คนได้เล่นได้ถีบในบริเวณลานปูนกลางบ้าน
เด็กๆ ชอบกันมากโดยเฉพาะฉื่อไท่ที่ชอบมากกว่าใคร เขาจะเป็นคนถีบล้อหมุนพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่ว น้องเล็กนั่งข้างๆ ที่นั่งคนขับได้ แต่ถ้าฉื่อย้งอยากเป็นคนขับต้องรอให้เขาเบื่อก่อน เด็กหญิงน้อยใจเหมือนกันแต่ทำอะไรไม่ได้เพราะพี่ชายได้รับการตามใจมากกว่าเจ้าหล่อน ดังนั้นจึงต้องอดทนรอให้ถึงรอบตัวเองได้เล่นอย่างสงบ
แต่ถึงต้องรอหรือแบ่งกันนั่นข้างฉื่อไท่ เด็กๆ ก็สนุกกันมากและรักรถจี๊ปถีบคันนั้นมาก
เนิ่นนานหลังจากนั้น ฉื่อย้งไปเห็นรถถีบของเล่นเด็กยุคใหม่ที่ทำจากพลาสติกลักษณะบอบบางก็นึกถึงจี๊ปคันเก่าขึ้นมาได้ เลยถามซิ่วเฮียงว่า
“เฮียงแจ้จำรถจี๊ปทหารที่เตี่ยเคยซื้อให้พวกเราได้ไหม จำได้ว่าคันใหญ่มากนั่งได้สองคนข้างหลังรถจี๊ปมีถังใส่น้ำมันด้วย เหมือนจริงสุดๆ แต่จำไม่ได้ว่ามันหายไปไหนแล้ว”
“มันพัง” ซิ่วเฮียงตอบได้ แม้เวลาผ่านไปหลายสิบปีความทรงจำของหล่อนยังดีอยู่ “เล่นกันหลายปีหลายคนจนเพลาหัก เป็นสนิมทั้งคันด้วย พอไม่มีใครเล่นเล่นไม่ได้ด้วยแม่เธอเลยยกให้พวกซาเล้งรับขายของเก่าไป”
“เสียดายนะ ถ้าอยู่ถึงตอนนี้ล่ะขายเป็นของเก่าได้ราคาดีเลย”
“ถ้าอะไรๆ ยังอยู่ตอนนี้ก็มีราคาทั้งนั้นแหละ เสียดายที่มันไม่อยู่ไง ถ้าไม่พังจนต้องทิ้งก็ขายไปหมดแล้ว” ซิ่วเฮียงตอบพร้อมยิ้มกว้างจนดวงตายิบหยี
รถจี๊ปเขียวคันนั้นผุพังไปหลายปีแล้ว ซิ่วเฮียงเองก็จำรายละเอียดของตัวรถจริงๆ ไม่ได้ แต่ที่หญิงสาวจำได้แม่นคือความรู้สึกต้องการในตอนนั้น ตอนที่เห็นเด็ก เล่นรถจี๊ปแล้วหัวเราะกันอย่างร่าเริง…หล่อนคิดถึงหาญจับใจ อยากจะซื้อรถแบบนี้สักคันให้หาญ ลูกคงชอบ แต่น่าเสียดายรถราคาสูงเกินความสามารถหล่อนจริงๆ จะขอให้ส่วงซื้อให้สักคันก็รู้สึกมากเกินไป ดังนั้นซิ่วเฮียงจึงอยากรับหาญขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯด้วย
พอดีในปีนั้นอาเส่งสอบคัดเลือกเข้าคณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ ซิ่วเฮียงถือโอกาสที่กลับบ้านไปฉลองข่าวดีของน้องชาย บอกกับหลีกังที่ดีอกดีใจ…แทบจะที่สุดของชีวิตว่า
“เตี่ย ไหน ๆ อาเส่งต้องมาอยู่กับเฮียงที่ลานมะเกลือแล้ว เฮียงพาอาหั่งไปเข้าโรงเรียนเด็กเล็กที่กรุงเทพฯ เลยดีไหมจ๊ะ เตี่ยจะได้ไม่ต้องห่วงหลาน ยังไงๆ ก็มีอาเส่งช่วยเฮียงดูแล”
หล่อนเสนอแบบนี้เพราะคุยกันไว้ตั้งแต่เส่งเข้าไปสอบคัดเลือกแล้วว่า ถ้าสอบได้คณะที่เลือกไว้จะให้พักอยู่ที่บ้านต้นชมพู่กับซิ่วเฮียง เพราะประหยัดไม่ต้องไปเช่าหออยู่เอง อาหารการกินก็กินข้าวบ้านทั้งอร่อยและสะอาด แถมเดินทางสะดวกสามารถเดินไปเรียนได้ไม่ต้องนั่งรถประจำทางให้เสียเงินเสียทอง
พอเส่งสอบติดจริงๆ ซิ่วเฮียงที่ดีใจจนหน้าบานไม่แพ้ม้าและเตี่ยก็รีบจัดห้องพักในบ้านห้องหนึ่งเตรียมไว้ให้น้องชาย ส่วงเองก็นิยมคนเรียนเก่ง ตัวเขารักการเรียนเป็นที่สุด ตอนยังเด็กได้ร่ำเรียนหนังสือมาไม่น้อย ฝีมือคัดหนังสือเขาถือว่าดีทีเดียว เสียดายแต่เมื่ออพยพมาเมืองไทยตอนอายุสิบสาม ชายหนุ่มต้องทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้อง ไม่มีเวลาและโอกาสได้เรียนสูงๆ อย่างที่ใจปรารถนา ทำได้เพียงแค่ทบทวนวิชาความรู้เดิมๆ และยังฝึกเขียนหนังสืออยู่อย่างไม่ย่อท้อ ทุกวันนี้จึงสามารถอ่านออกเขียนได้ เจรจาติดต่อค้าขายได้ไม่ติดขัด ดังนั้นพอรู้ว่าน้องชายของหมวยน้อยสอบติดหมอฟัน เขาก็ชื่นชม ดีใจกับครอบครัวของซิ่วเฮียง แถมยังเสนอว่า
“เรื่องเรียนของอาเส่ง อั๊วออกทุนเรียนให้จนเรียนจบเอง เตี่ยกับม้าจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องหาเงินให้อาเส่งเรียน”
ครอบครัวซิ่วเฮียงปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่ส่วงยืนกรานจะมอบทุนให้อาเส่ง เขาว่า
“การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในการศึกษา อั๊วเสียดายชีวิตนี้ไม่ได้เรียนสูงๆ อาเส่งมีโอกาสก็เรียนแทนอั๊วด้วยแล้วกัน”
“เถ้าแก่มีลูกหลายคน อีกหน่อยมีลูกหลานเรียนให้เต็มบ้านเต็มเมืองแน่” หลีกังเอ่ยปากชื่นชมลูกเขย
ส่วงกลับหัวเราะ เขาตอบว่า
“เรื่องอนาคตไม่มีใครรู้ ที่เห็นหลายคนนี่จะมีอยากเรียนสูงๆ กี่คนยังไม่รู้เลย อั๊วไม่รอแล้วให้อาเส่งเรียนไปก่อน ลูกๆ ที่เหลือถ้าใครอยากเรียนอั๊วก็จะส่งเรียนหมด เรียนสูงๆ ชีวิตจะได้สบายไม่ลำบาก”
สุดท้ายหลีกังหน้าบานสั่งลูกชายว่าอนาคตต้องกตัญญูกับพี่เขยและพี่สาวให้มากๆ
ซิ่วเฮียงเห็นเตี่ยเบิกบานมีความสุข แถมยังอยู่ในช่วงเกรงใจหล่อนกับส่วง เลยลองเสี่ยงเอ่ยขอพาหาญไปเลี้ยงที่กรุงเทพฯ ขึ้นมา นึกว่าหลีกังจะใจอ่อนยอมปล่อยมือจากหลานชายคนโต แต่ที่ไหนได้พอหลุดปากออกไปเท่านั้น รอยยิ้มของบิดาเลือนหายไปทันที
หลีกังมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา ตอบกลับอย่างไม่พอใจรุนแรงว่า
“อาเส่งก็จะไปอยู่กับลื้อแล้ว ใจคอจะพาอาหั่งไปอีกคนหรือ ทำไมไม่พาม้าลื้อกับอาเซียงไปด้วยล่ะ ไปกันให้หมดเลยล่ะ บ้านนี้อั๊วอยู่คนเดียวก็ได้ ไม่ต้องง้อคนไม่มีน้ำใจ!” เอ็ดอึงแล้วเตี่ยก็เข้าห้องนอนปิดประตูตามหลังโครมใหญ่
ซิ่วเฮียงมองตามอย่างมึนงง หันกลับมาเห็นมารดามองมาเหมือนตำหนิ หญิงสาวก็ร้อนตัวเอ่ยขึ้นว่า
“ม้า อาหั่งน่ะลูกเฮียงนะม้า”
“ลูกลื้อแต่เตี่ยลื้อเลี้ยงมา เฮ้ออาเฮียงเอ๊ยเข้าใจเตี่ยลื้อหน่อยเถอะ นอกจากหลงหลานแล้วเตี่ยลื้อยังห่วงกลัวอาหั่งไปอยู่กับลื้อแล้วจะถูกคนอื่นรังแก…”
“คนอื่นที่ไหนกันม้า ลูกๆ เถ้าแก่อาไท่กับอาย้งเป็นเด็กดีทั้งคู่…” แม้อาไท่จะเอาแต่ใจอยู่สักหน่อยประสาลูกชายคนโตที่เป็นเหมือนราชาของบ้าน แต่นิสัยเด็กชายก็ไม่เลวร้ายอะไร อาจจะเกเรบ้างบางครั้งแต่ไม่ใช่อันธพาลตัวน้อย จะว่าไปเขาค่อนข้างอดทนกับน้องๆ ด้วยซ้ำโดยเฉพาะกับอาย้งที่โตคู่กันมา “อาไช้ก็ยังเด็กแถมยังเป็นน้องจะกลั่นแกล้งอะไรอาหั่งได้กัน”
“เตี่ยลื้อก็กลัวไปเรื่อยนั่นแหละ…” หาเหตุผลทุกอย่างเพื่อไม่ให้ลูกสาวพรากหลานชายสุดรักสุดหวงไปจากอก แต่เซียมลั้งก็ตำหนิสามีได้ไม่เต็มปาก เพราะใจหล่อนเองก็คิดเหมือนเขา ส่งลูกชายไปเรียนกรุงเทพฯ ก็อยากเก็บหลานชายไว้ใกล้ตัวให้ชื่นชูใจ “ตอนนี้อีกำลังมีเรื่องดีใจ อย่าเพิ่งทำให้เตี่ยลื้อเสียอารมณ์เลย เรื่องอาหั่งเดี๋ยวม้าจะค่อยๆ ช่วยพูดกับเตี่ยลื้อให้ ตอนนี้ปล่อยให้อีดีใจกับเรื่องอาเส่งไปก่อนนะ นะเฮียง…”
ซิ่วเฮียงไม่มั่นใจในคำพูดของมารดาเท่าไหร่ เพราะคราวก่อนและคราวก่อนหน้านั้นเซียมลั้งก็ปลอบหล่อนแบบนี้ แต่ไม่เคยเห็นมีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อย ครั้งนี้หญิงสาวตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องหาทางพาหาญไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯให้ได้
โชคไม่ดีที่ความตั้งใจเป็นเรื่องหนึ่งส่วนความจริงนั้นกลับเป็นอีกเรื่อง เพราะไม่ว่าซิ่วเฮียงจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถรับหาญมาอยู่ด้วยได้ อย่างครั้งนี้ยังไม่ทันงัดข้อกับหลีกังสำเร็จอุปสรรคใหญ่ก็พุ่งเข้าใส่ซิ่วเฮียงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
วันนั้นซิ่วเฮียงไปที่ร้านสะพานหันเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้อาเส่ง เพราะหลังจากวันมอบตัว เสื้อชุดนักเรียนไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว นิสิตต้องมีเครื่องแบบใหม่ พวกเข็มตราหัวเข็มขัดซื้อจากทางมหาวิทยาลัย ส่วนเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงขายาวสามารถหาซื้อกันเองได้ หญิงสาวเลยมาเดินดูซื้อเสื้อเป็นของขวัญให้น้องชาย
หล่อนเพิ่งเดินออกจากร้านอึ้งซุ้ยหลีได้ไม่ถึงร้อยเมตรก็มีเสียงตะโกนเรียกอย่างตื่นเต้นว่า
“พี่เฮียง ใช่พี่เฮียงจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นนึกว่าตาฝาดแต่ตอนนี้ไม่ผิดตัวแล้ว”
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 38 : หมากฝรั่งบุหรี่
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 37 : พิราบขาว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 36 : คนนอก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 35 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 2)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 34 : ผู้ชนะ (ตอนที่ 1)
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 33 : คดในข้องอในกระดูก
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 32 : สัญญาที่ไม่เป็นธรรม?
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 31 : แม่ม่ายลูกกำพร้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 30 : ฟ้าถล่ม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 29 : ลูกชายลูกชาย
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 28 : ไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 27 : เด็กน้อยของซิ่วเฮียง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 26 : สันดานคนยากจะเปลี่ยน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 25: รถจี๊ปสีเขียว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 24 : หวังดีเกินไป รักเกินไป
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 23 : เรื่องที่เข้ากันได้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 22 : หยี่แจ้ โอ่ยแจ้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 21 : แต่งงาน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 20 : สู่ขอ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 19 : ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 18 : เห็นขี้ดีกว่าไส้
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 17 : กระต่ายก็กัดเป็น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 16 : เลิกกับผัวแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 15 : ปุ๋ยดีไม่ควรปล่อยให้ไหลลงนาผู้อื่น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 14 : ลานมะเกลือ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 13 : ศาลองค์แป๊ะกง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 12 : เข้ากรุง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 11 : ส้วมที่แตกแล้ว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 10 : บ้าน
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 9 : หันหลังกลับ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 8 : พยอม
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 7 : หมดสิ้น
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 6 : หาญ
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 4 : ดอกไม้ผ้า
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว
- READ แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง