มะงุมมะงาหรา : มาจะกล่าวบทไป…
โดย : ภาณิณ
มะงุมมะงาหรา โดย ภาณิณ ผู้ชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก…นิยายทะลุมิติที่เล่าถึงนิสิตปริญญาโทด้านวรรณคดีไทยที่หลุดเข้าไปในวรรณคดีเรื่องอิเหนา และพยายามจะเปลี่ยนเรื่องตามวิธีคิดในแบบของตัวเองที่เป็นเด็กยุคใหม่ จึงเกิดเป็นเรื่องวุ่นวายต้องตามแก้ปัญหา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา
และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก “มะงุมมะงา…หรา” อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่ง www.groovebooks.com และสามารถติดตามข่าวได้ทางแฟนเพจของสำนักพิมพ์ @Groove publishing ค่ะ
……………………………………………………………….
-บทนำ-
น้อยคนจะตื่นนอนอย่างเจ้าหญิงในเทพนิยาย แบบที่ว่าเมื่อแรกเบิกตารับแสงแรกของรุ่งอรุณ ก็พร้อมดีดตัวลุกขึ้นกระฉับกระเฉง พลางโพล่งเพลง Someday My Prince Will Come เปิดหน้าต่างออกพบกับฟ้ากว้างสดใส ก่อนคุยตอบโต้เสียงนกร้องจิบ วันนี้จะเป็นวันที่ดีของฉันแน่ๆเลยจ้ะคุณนก
ยามตื่นสำหรับชนชั้นกลางเฉียดล่างในกรุงเทพมหานครไม่มีวันเป็นได้เช่นนั้น หล่อนเองก็ไม่ต่าง
แค่คิดว่าต้องออกไปเจอกับอะไรบ้าง ก็อยากประวิงเวลาอยู่บนเตียงให้ได้นานที่สุด ไหนจะต้องรู้สึกตัวตื่นพร้อมเสียงแตรจากรถราหนาแน่นบนท้องถนน เพียงออกจากหอก็ต้องเดินบนกระเบื้องบาทวิถีที่ไม่สม่ำเสมอ เสี่ยงที่จะเหยียบโดนระเบิดน้ำขังเปียกข้อเท้า ถ้าต้องเจอรถไฟฟ้าขัดข้อง ก็ต้องไปเผชิญกับพี่วินที่ขูดรีดค่าโดยสารปานเป็นเจ้าหนี้กันมาแต่ชาติปางก่อน อาหารการกินที่พอจะซื้อได้ไม่ขัดสนก็จำพวกปิ้งย่างริมทางที่รังแต่จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง ยังไม่นับกิจวัตรที่ซ้ำซากกันไปทุกวันอีก… ชีวิตดีๆที่ลงตัว!
ไม่อยากตื่นเลย วันนี้ก็คงเหมือนกับทุกวัน แรกเมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวตื่น มือซ้ายก็ยื่นออกเอื้อมสะเปะสะปะควานหาสมาร์ทโฟนที่ชาร์จทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงโดยไม่คิดแม้จะลืมตาขึ้น
แหมะ…
สัมผัสนั้นไม่คุ้นมือ… วัตถุที่หยิบโดนไม่ได้แข็งเย็นอย่างควรเป็น คลำดูก็ไม่ได้เป็นรูปทรงที่คุ้นชิน แต่กลับเละอุ่นหยุ่นมือ อะไร? โทรศัพท์ฉันเหลวละลายไปแล้วเพราะภาวะโลกร้อนหรือไง?
ความง่วงงุนอ้อยอิ่งยังชะลอสัมปชัญญะหล่อนเอาไว้ เมื่อตาปิดสัมผัสอื่นๆจึงกลับชัดเจนขึ้นมาแม้ยังเซื่องซึม… ไม่มีผ้าห่มอยู่บนตัว ไม่มีแอร์เย็นๆเป่าโดนหน้า สัมผัสที่หลังไม่นุ่มยวบอย่างพื้นเตียง ยิ่งเมื่อบิดขี้เกียจไปมาก็ยิ่งรู้สึกราวมีอะไรแข็งๆ เป็นเหลี่ยมตำหลัง หล่อนตัดสินใจลุกนั่ง แม้แต่เสียงนาฬิกาปลุก ยังไม่ใช่เสียงเพลงเกาหลีเร้าอารมณ์อย่างที่ตั้งไว้ แต่กลับเป็นเสียงกึกกักกึงกัง คล้ายมีใครสร้างรถไฟฟ้าอยู่นอกหน้าต่าง ทั้งที่อพาร์ตเมนท์หล่อนก็อยู่ลึกเข้ามาในซอย
ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนจากปรกติไปหมด จนต้องตัดสินใจลืมตาขึ้น พร้อมหันมองสิ่งที่หล่อนคิดว่าคือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของตัวเอง
เปล่า สิ่งที่อยู่ในมือคือก้อนเปียกเละแหยะมือ เหมือนประกอบขึ้นจากเศษกระดาษที่ถูกย่อยสลายฉีกเป็นฝอยอัดรวมตัวกันอย่างหลวมๆเป็นสีเขียวขี้ม้า… ยกมือขึ้นจ่อจมูก… ชัดเลย! ไม่ใช่แค่สี นี่ขี้ม้าจริงๆ
ตื่นเต็มตัว หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพรวด การปรับอริยาบถฉับพลันส่งผลต่อแรงดันโลหิต ทำให้ศีรษะปวดตึง มึนงง แม้ดวงตาโพลงเบิกแต่การรับรู้ความเป็นจริงกลับค่อยๆซาบซึมปรากฏ ไม่ได้รู้ตัวในทันที
อุนจิ! มีอุนจิอยู่ข้างเตียงฉันได้ไง?… เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เตียงนี่… ฉันไม่ได้นอนอยู่ในห้อง
สายตาค่อยปรับโฟกัส มองไปรอบบริเวณ ไม่มีผนังเก่าโทรม ขวามือไม่มีตู้เสื้อผ้าเก่าๆที่แทบพังลงมาได้ทุกเมื่อ ซ้ายมือไม่มีประตูห้องน้ำและทางออกไประเบียง มีแต่ต้นไม้… ต้นไม้เขตร้อนอย่างต้นไทรและต้นไผ่สูงใหญ่เขียวชะอุ่ม พื้นที่นอนอยู่ไม่ใช่เบาะนวมนุ่ม แต่เป็นพื้นหญ้า มีกรวดดินทรายเต็มไปหมด!
ตายโหง เมื่อคืนฉันเมาขนาดเข้ามานอนในสวนเลยเหรอ?… แต่สวนจตุจักรไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่…
เสียงกึงกังที่หล่อนคิดว่าเป็นคนสร้างรถไฟฟ้า ดังขึ้นเรื่อยเหมือนมีคนหมุนปุ่มเพิ่มวอลลุ่ม ไม่สิ ไม่ใช่ดังขึ้น มันเข้ามาใกล้มากขึ้นต่างหาก หญิงสาวหันมองเร็วรี่ เมื่อเห็นที่มาของเสียง หล่อนก็แทบจะเผลอยกมือขึ้นขยี้ตา
ม้า!
ไม่ใช่หม่าม้า ไม่ใช่ ม้า อรนภา… ม้าจริงๆ ม้าฮี้ๆ ม้า Horses! กำลังวิ่งห้อมุ่งหน้ามายังทิศที่หล่อนอยู่ อะไรยะ เดี๋ยวนี้ มีม้าวิ่งอยู่ในสวนจตุจักรแล้วหรือ?… เกือบจะคิดไปเช่นนั้น ถ้าไม่ได้เห็นว่าแต่ละตัว มีทั้งผ้าและเครื่องทรงบางอย่างสวมคล้ายม้าศึก!
หญิงสาวเอามือเปื้อนขี้ม้าป้ายใบไม้ใหญ่ที่หล่นอยู่ข้างๆ ผุดขึ้นยืน รีบเข้าซ่อนตัวหลังต้นไทรใหญ่ชะโงกหน้าออกมองอย่างใคร่รู้ว่าม้าพวกนั้นมาจากไหน คืออะไรกันแน่ ไม่กี่นาที หล่อนก็เห็นพวกมันชัดขึ้น มันไม่ได้วิ่งห้อมาเองอย่างไร้ทิศทาง แต่มีคนนั่งบนอานของมันตัวละคน ควบตะลุยตรงมาทางนี้
ในสวนจตุจักร… มีถ่ายหนังจักรๆวงศ์ๆสักเรื่องด้วยเหรอ?!
ชายสี่คนบนม้าแต่ละตัว สวมเสื้อแขนยาว และนุ่งผ้าสีแดงก่ำเข้ากัน ประดับทองฝังเพชรวะวับรับแสงแดดจ้า ที่เอวด้านซ้ายมีกริชห้อยไว้ บนศีรษะโพกผ้าสีแดงก่ำดูเหมือน… คนอินโดนีเซีย
สรุปนี่คือหนังอินโด ที่ถ่ายทำในสวนจตุจักรรึ?
ถ้าเป็นกองถ่ายจริง… ไหนล่ะกล้อง? หญิงสาวมองกวาดไปมาไม่ยักเห็นกล้องแม้สักตัว หรือทีมงานในกองแม้สักคน ทว่าห่างจากหล่อนไปไม่เกิน 500 เมตร ใกล้กับจุดที่พวกชายเหล่านั้นกำลังควบม้ารี่เข้ามา จู่ๆพุ่มไม้พุ่มหนึ่งตรงนั้นก็สั่นไหวโยกโยน ฉับพลัน อะไรบางอย่างก็ก้าวออกมา เดินนวยนาดมาตามทางดิน ราวอยู่ในแคมเปญเดินแบบของรายการเสาะหานางแบบชื่อดัง!
กวาง! ไม่ใช่ กวาง นางแบบจากรายการนั้น… ไม่ใช่กวาง กมลชนก กวางสี่ขามีเขา กวาง Deer!
แถมเป็นสีทอง… สี! ทอง!
ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ม็อคอัพ การก้าวเดิน จังหวะหายใจ การกระพริบตาทุกความเคลื่อนไหวดูเหมือนจริงและมีชีวิตจนไม่น่าเชื่อว่าจะพบเจอในชีวิตประจำวัน หญิงสาวแทบอยากตบหน้าตัวเองให้ตื่น… ถ้าเมื่อครู่มือไม่เปื้อนอุนจิหล่อนคงทำจริงๆ
กีบหนาของมันเหมือนทองแท่ง บนตัวมันเฉกดิ้นทองเส้นน้อยๆ ถักแทนขนไว้ทั่วร่าง เขาของมันแวววะวับเหมือนเจียจากคริสตัลชวารอฟสกี ดวงตาดำขลับอย่างเม็ดนิลน้ำดีกวาดมองลอกแล่กไปมา จนมาหยุดเข้าที่หล่อนพักใหญ่ จนหญิงสาวเกือบจะถามกลับไปเป็นเพลง “จ้องมองกันอยู่ได้ ข้องใจรึเปล่าพี่?”
ทว่าหล่อนไม่ได้ทำ เพราะเจ้ากวางมันดูโกรธ ตาดำวาวหรี่ลงเหมือนพวงบุหงาทำอะไรผิดไป ปากแสยะออกคล้ายจะพ่นผรุสวาทออกมา หากในพลันนั้น เสียงควบม้าก็ชะงักลง เจ้ากวางจึงเสมองไปอีกทิศ
ม้าสี่ตัวแรกที่หล่อนเห็นหยุดควบลงเสียตรงนั้น ม้าอีกตัวที่สง่างามกว่ามาก ก้าวแหวกวงล้อมของแถวหน้าเข้ามา มันเป็นม้าขาวตัวสูงใหญ่ ใหญ่จนคิดว่าเป็นหุ่นแอนิแมโทรนิค สวมอานสีคร่ำ ประดับทองและบุษราคัมไปทั่วจนดูทองโพลนไม่ต่างกับเจ้ากวางตัวนั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้กรามล่างของหญิงสาวหล่นฮวบลงอย่างพรึงเพริดไม่ใช่เพราะความสง่างามของมัน แต่เป็นความสง่างามของคนที่ขี่มันอยู่
เขาเป็นชายผิวขาวเหลืองผุดผ่อง คิ้วหนา ตากริบ จมูกโด่งเป็นขอ ริมฝีปากหนาอวบอิ่มเซ็กซี่ ไม่รู้ไว้ผมทรงอะไร เพราะสวมใส่ชฎามีอุบะห้อยข้าง ลำตัวคลุมทับไว้ด้วยเสื้อสองชั้น ใส่เครื่องทองที่วาววะวับด้วยเพชรนิลจินดา ผ้านุ่งยกข้าง รัดเข็มขัดทอง มีกริชห้อยที่เอวซ้าย ดูแวบแรกสิ่งเดียวที่คิดออกคือ
“โขน-ตัวพระ” คนอินโดเล่นโขน ถ่ายหนัง ในสวนจตุจักร?
ดูเหมือนสายตาของเขาจะมาหยุดอยู่ที่เจ้ากวางทองพอดิบพอดี เมื่อเขาเอ่ยปาก สิ่งที่ลอดออกมากลับทำเอาเลือดทั้งหมดในกายของหล่อนเย็นเยียบ
“เราชอบใจนักรักใคร่ พิศไหนเห็นงามไปทุกอย่าง”
พูด… เป็นกลอน! แถมเสียงที่เปล่งทุ้มต่ำยังกังวานก้อง เป็นจังหวะจะโคน มีสัมผัสนอกในนับได้ตามฉันทลักษณ์ของกลอนแปด จบประโยคก็หันไปพูดต่อกับนายเสื้อแดงทั้ง 4 ที่หล่อนเห็นตั้งแต่แรก
“กิดาหยัน! จงไปไล่ล้อมกวาง แล้ววางม้าต้นตามมา”
หญิงสาวตาโพลง บทกลอนที่เขาพูดช่างคุ้นหู แม้ไม่เหมือนกับที่เคยอ่านมาเป๊ะๆ แต่ในฐานะนิสิตปริญญาโท เอกภาษาไทย สายวรรณคดี ตอนนี้หล่อนมั่นใจเหลือเกิน… กวางทอง… คนขี่ม้าแต่งตัวเหมือนชาวอินโดนีเซียที่ถูกเรียกว่า กิดาหยัน บวกกับชายบนหลังม้า ขาดอย่างเดียว ถ้าเพียงมีสิ่งนั้นอย่างที่หล่อนคิด หญิงสาวคงตกลงปลงใจยอมรับในทันทีว่าหล่อนอยู่ที่ไหน!
นึกย้อนไปไม่กี่นาทีก่อน ตอนหล่อนเช็ดมือเปื้อนคูถม้าบนใบไม้ใหญ่บนพื้น ยังคิดอยู่เลยว่าใบอะไรถึงได้เรียบละเอียดเกินกว่าจะเป็นใบไม้… มาตอนนี้ก็นึกออกในที่สุด ก็ไม่ใช่ใบไม้ไง มันคือกระดาษ ต้องเป็นกระดาษแน่ละ! หญิงสาวชะโงกหน้าออกจากที่ซ่อน มองกวาดตาบนพื้นไปก็เห็นว่ามันยังกองอยู่ตรงนั้น ใกล้ๆกับที่หล่อนตื่นขึ้นมาทีแรก
กระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปื้อนคูถ… หล่อนยื่นเท้าออกไป เขี่ยมันเข้ามาใกล้แล้วหยิบขึ้นดู
ถึงขี้ม้าจากมือหล่อนจะป้ายเปื้อน จนสีที่ทาไว้ลางเลือนจนมองไม่เห็นใบหน้าของคนบนนั้น แต่หล่อนมั่นใจเหลือเกินว่า กระดาษแผ่นนั้น… คือรูปนางบุษบาเป็นแน่
“เห็นวิหยาสะกำยกพลมา ล้อมไล่มฤคาในอารญ
ชื่นชมสมคะเนของเทเวศร์ จะทำให้เกิดเหตุเภทผล
จึงหยิบกระดาษวาดรูปนฤมล เหาะจากไพชยนต์วิมานมา…”
ทั้งที่ความทรงจำล่าสุด คือหล่อนทิ้งของบางอย่างลงชักโครก แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีก แต่หลักฐานทุกอย่างบ่งชัด… หญิงสาวหัวเราะแห้ง… ที่หล่อนเห็นอยู่นี้ คือเหตุการณ์ในกลอนบทละครเรื่องอิเหนาชัดๆ!
แล้วฉันโผล่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะเนี่ย?!