มะงุมมะงาหรา บทที่ 4 : จะทำให้เกิดเหตุเภทผล
โดย : ภาณิณ
มะงุมมะงาหรา โดย ภาณิณ ผู้ชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก…นิยายทะลุมิติที่เล่าถึงนิสิตปริญญาโทด้านวรรณคดีไทยที่หลุดเข้าไปในวรรณคดีเรื่องอิเหนา และพยายามจะเปลี่ยนเรื่องตามวิธีคิดในแบบของตัวเองที่เป็นเด็กยุคใหม่ จึงเกิดเป็นเรื่องวุ่นวายต้องตามแก้ปัญหา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา
และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก “มะงุมมะงา…หรา” อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่ง www.groovebooks.com และสามารถติดตามข่าวได้ทางแฟนเพจของสำนักพิมพ์ @Groove publishing ค่ะ
……………………………………………………………….
-4-
เหตุการณ์ทั้งหมด คลี่คลายในความทรงจำของหญิงสาว ชีวิตหล่อนพังพินาศเพราะไอ้หนังสือตัวเขียนปลอมๆที่หล่อนคิดว่าเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฎ หล่อนพยายามทิ้งมันลงชักโครก แล้วภาพก็ดับวับไป มาตื่นอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าอธิบายด้วยทฤษฎีจิตวิทยา หล่อนคงเก็บเอาเรื่องอิเหนามาคิดเองเออเอง เพราะฝังใจจากความล้มเหลวแน่ๆ ทุกอย่างที่หล่อนกำลังเห็นอยู่ตรงหน้า เป็นเพราะเมาก็แค่นั้นแหละ!
ยิ่งคิด ก็ยิ่งใช่ ชายสูงศักดิ์บนอานม้านั่นต้องเป็น วิหยาสะกำ พระราชโอรสของท้าวกะหมังกุหนิงอย่างแน่นอน ในมือหล่อนก็คือรูปนางบุษบา ซึ่งประเดี๋ยวองค์ปะตาระกาหลาที่แปลงเป็นกวางทองตัวนั้นก็จะ แกล้งล้อล่อหลอก วิหยาสะกำให้มาพบภาพนี้ นี่มันบทพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา ตอนศึกกะหมังกุหนิงชัดๆ และแน่นอน ไม่มีทางที่หล่อนจะพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ได้ในชีวิตประจำวัน…
หล่อนเมา แค่เมาอยู่ เดี๋ยวรอจนสร่างเมาก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่นานภาพพวกนี้คงเลือนหาย และอพาร์ทเมนท์ของหล่อนก็จะกลับมา
แต่คนเมาจะเปลี่ยนภาพห้องเช่าโทรมๆให้กลายเป็นฉากในวรรณคดีได้สมจริงขนาดนี้เลยเหรอวะ? เพราะไม่เคยแตะต้องแอลกอฮอลมาก่อน พวงบุหงาจึงไม่แน่ใจกับข้อสรุปของตัวเองนัก
ไม่น่าใช่เมาละ… คงแค่… ฝันมากกว่า! พวงบุหงานึกเถียงตัวเองในใจ ขณะที่ม้าสี่ตัวนั้นค่อยๆตะลุยเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ฉันเพิ่งตื่นนะ… หรือฝันว่าตื่นกันแน่? ฝันซ้อนฝัน ฝันในฝัน แบบ Inception ไงล่ะ! โฮะๆๆ ถ้าแค่ฝัน… ก็ทำให้ตัวเองตื่นก็แค่นั้นสินะ!
นึกได้เช่นนั้น พวงบุหงาจึงรีบหยิกท้องแขนตัวเองอย่างแรง ทว่า…
“โอ๊ย…” ไม่ตื่น! ตายล่ะ ทุกอย่างยังคงเป็นป่าในเรื่องอิเหนาอยู่เลย หรือว่าฉันหลับลึกเกินไป ใช่ เพราะหลับลึกเลยฝันเป็นตุเป็นตะสมจริงอย่างนี้ไง ได้ค่ะ เอางี้ละกัน คราวนี้ไม่ตื่นก็ให้มันรู้ไป!
หญิงสาวตัดสินใจ ฟาดหน้าผากของตนลงกับลำต้นไทรอย่างจัง!
“โอ๊ยยยย” หล่อนยกมือขึ้นกุมหัว ไม่ตื่น! แต่เจ็บแปลบ เจ็บกว่าหยิกตัวเองจนรวดร้าวราวกระโหลกหน้าผากจะปริแตกออก ทำไมยังไม่ตื่นอีกวะ! หญิงสาวคลายมือที่กุมหัวออกดู… เลือด! หัวแตกค่า!
ปรกติหญิงสาวเป็นคนขวัญอ่อน แค่มีดบาดเล็กๆน้อยๆ หล่อนก็คงจะเป็นลมล้มพับไปเสียแล้ว ทว่าจู่ๆเจ้ากวางทองที่พะวักพะวงมองม้าที มองภาพในมือหล่อนที กลับอดไม่ได้ที่ชายเหล่านั้นยังมาไม่ถึงที่ จึงกรีดร้องเร่งเรียกให้พวกนั้นรีบตรงเข้ามา…
“เสียงกวางทองร้องก้องไพรรีบไปดู!” บุตรท้าวกะหมังกุหนิงก็ตรัสลั่น ความตื่นตระหนกเกาะกุมจิตใจหญิงสาวแน่นจนไม่อาจปล่อยให้ตัวเองหมดสติไปได้ ถ้าพวกนั้นพบหล่อนเข้าจะทำอย่างไรกัน?
หนี! คิดอะไรไม่ออก ก็หนีไว้ก่อนล่ะโว้ย! หญิงสาวตัดสินใจถือรูปนางบุษบาที่เปื้อนขี้ม้าออกวิ่งหน้าตั้งไปให้พ้นจากบริเวณนั้น หันกลับไปมอง ก็พบว่าเจ้ากวางทองกระทืบกีบหน้ากับพื้นไม่พอใจ มันไม่รีรอที่จะวิ่งไล่ตามหล่อนมา ด้านหลังก็เป็นกิดาหยันของวิหยาสะกำ ควบม้าเร่งตามมาอีกทอด เหมือนทอมแอนด์เจอร์รี่ตอนที่มีหมาบูลด็อกชื่อสไปค์วิ่งไล่ทอมมาอีกที!
ตายแล้ว สรุปว่าไม่ได้ฝัน นี่ยังเจ็บหน้าผากอยู่เลย ไอ้กวางนั่นก็วิ่งมาสมจริงเหลือเกิน ทั้งรูป กลิ่น เสียง ทุกอย่างมันจริงมาก ฉันเข้ามาในเรื่องอิเหนาจริงๆเหรอเนี่ย!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ? ย้อนยุคไปในอดีตยังพออธิบายข้างๆคูๆด้วยทฤษฎีทางฟิสิกส์พวกเรื่องมิติเวลา เวิร์มโฮล อะไรพวกนั้นได้บ้าง แต่หลุดมาอยู่ในวรรณคดีแบบนี้ จะใช้อะไรมาอธิบายได้หรือ?
โอ๊ย เทวดาเจ้าขา ถ้าไปโผล่ในเรื่องรักๆใคร่ๆอย่างขุนช้าง ขุนแผนละก็ว่าไปอย่าง ฉันพอจะไปช่วยนางสร้อยฟ้า นางศรีมาลาละเลงขนมเบื้องเล่นได้ แต่เรื่องนี้มันมีสงครามนะคะ! มันมีการขี่ม้า ประลองทวน มีการฆ่ากันตาย อีตากิดาหยันสี่คนนั่นก็พกกริชด้วย แล้วฉันก็มาเดินป้ำๆเป๋อๆอยู่อย่างนี้ จะเอาตัวรอดออกไปได้ยังไงกัน?!
ใจประหวั่นนึกย้อนไปถึงตอนอยู่บนเครื่องบิน เหตุประหลาดเหนือจริงพอๆกันกับตอนนี้เคยเกิดขึ้นแล้วนี่ ตอนที่มีใครคนหนึ่งปรากฏอยู่บนกระจกห้องน้ำ เขาท่องกลอนอะไรก็ไม่รู้ออกมาด้วยหล่อนก็จำไม่ได้ แต่เป็นไปได้มาก ว่านั่นอาจเป็นผีอะไรสักอย่างที่จับหล่อนส่งเข้ามาในนี้! เจ้ากวางทองนี่คือองค์ปะตาระกาหลา เทวดาที่สร้างทั้งเมือง ทั้งตัวละครในเรื่องนี้ขึ้นมาหมด ท่านต้องรู้อะไรบางอย่างเป็นแน่
โอเค ไหนลองถามท่านดูซิ
คิดได้เช่นนั้น สองเท้าหล่อนก็หยุดวิ่งในฉับพลัน หันหลังไปเพื่อประจัญหน้ากับองค์ปะตาระกาหลา และซักไซ้ไถ่ถามให้รู้เรื่อง ทว่า เพราะหล่อนเบรคกระทันหัน เจ้ากวางที่ห้อตามหลังมารวดเร็ว กลับหยุดไม่อยู่ กีบทองวาวแววไถลลื่นหน้าดินโคลนเปรอะเปื้อน สะดุดพื้นพุ่งเข้าชนหล่อน หงายหลังล้มไปไม่เป็นท่า!
ทันใดเสียงหนึ่งก็ดังลั่นขึ้นเบื้องหลังมัน
“ระตูวิหยาสะกำเรืองศรี! ข้าได้พบสุวรรณมฤคี…” ชายบนหลังม้าที่นำทัพมาคนแรกนั่นเอง เขาตามมาจนถึงบริเวณที่เจ้ากวางหยุดที่หล่อนพอดี เมื่อตาเขาเห็นเจ้ากวางทองก็ร้องบอกนายเสียงลั่น แต่แล้วพอสายตาสบเข้ากับพวงบุหงา เขาก็ชะงักอึ้งไปครู่ ก่อนต่อประโยค “กับอีกหนึ่งนารีหลงทางมา”
“อิสตรีมีที่ไหนในไพรสณฑ์ พี่วิกลไปแล้วหรือกระหมันหยา” เสียงของคนที่น่าจะเป็นวิหยาสะกำดังรับ ก่อนที่ม้าของเขาจะควบตามติดมา ผู้พูดกำลังหัวเราะร่าอยู่ในตอนนั้น แต่ทันทีที่สายตาประสานตาหญิงสาวเขาก็กระตุกบังเหียนบังคับหยุดม้าทันที นายพี่เลี้ยงที่ตามมาอีก 2-3 คน ไม่ทันคาดคิดว่าขบวนด้านหน้าจะชะงักลงฉับพลัน จึงห้ามม้าของตนไม่อยู่ชนโครมเข้ากับม้าของวิหยาสะกำ จนเหล่าม้าพยศร้อง สะบัดนายของมันกระเด็นหล่นจากอาน จนระตูหนุ่มล้มแอ้กลงบนตัวหญิงสาว
เจ้ากวางทองมองเห็นเหตุโกลาหลตรงนั้น ก็ตาโพลง ก่อนรี่อันตรธานหายไปในจังหวะที่ไม่มีใครเห็น จึงเท่ากับว่ามีเพียงพวงบุหงาที่ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าชายชวาหน้าคม มีวิยาสะกำคะมำทาบทับ!
“เจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่พระเจ้าข้า?” กิดาหยันที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายตะโกนถาม
“เลิกสงกา รี่ตามเจ้ากวางไป!”
เพราะหน้าคว่ำซุกอยู่กับอกของพวงบุหงา วิหยาสะกำจึงไม่เห็นว่ากวางทองได้หายตัวไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ ก็ตอนที่พระพี่เลี้ยงนามกระหมันหยาเข้ามาพยุงลุก
“อัศจรรย์หนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย กระไรเลยคงติดตามไปไม่ได้ พ่างเพี้ยงผีมฤคีมีฤทธิไกร อันตรธานหายตัวไปในบัดดล” หัวหน้าพี่เลี้ยงกราบบังคมทูลทันที
นายกระหมันหยาพยุงท้าววิหยาสะกำลุกขึ้นยืนได้ ก็นิ่งอยู่ตรงนั้นอีกเป็นนาที คนตามกวางเหลียวมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กก็ไม่พบกวางทองจริงอย่างที่ว่า พลันนั้นความสงสัยทั้งหมดจึงมุ่งมาที่พวงบุหงาแทน ระตูหนุ่มยังทอดตามองหญิงสาวผู้แต่งตัวประหลาดปานเห็นผีพร้อมค่อยถอยร่นไปสองสามก้าว เท่ากับเปิดจังหวะให้นายกิดาหยันอีกสามนายที่ตามมา พุ่งเข้าประชิดตัวหล่อน
ประชิดไม่ว่า พวกเขารีบคว้าดึงกริชออกจากฝัก หันชี้ที่คอนางในทันที!
“มาขัดขวางด้วยเหตุใดตอบไปหรือ นั่งใบ้บื้อได้กุดหัวเจ้าสักหน!” กิดาหยันนายหนึ่งตะโกนก้องป่า
“ว้าย ยะ…อย่าเอากริชมาชี้หน้าฉันนะ!” พวงบุหงาละล่ำละลักโวยวายด้วยความกลัว ระตูวิหยาสะกำเห็นว่าหล่อนเป็นหญิงจริงๆที่ไม่มีพิษภัยอะไร จึงร้องขึ้น
“กิดาหยันอย่าโกรธขึ้งทำอึงอล” รับสั่งเสียงเข้มเช่นนี้ กิดาหยัน นายนั้นจึงยอมลดอาวุธอย่างเสียมิได้ และทั้งที่เดินถอยห่างไปแล้วสองสามก้าวแต่สายตาเขาก็ยังจับจ้องหล่อนอยู่ ความไม่ไว้วางใจฉายชัดอยู่บนหน้า คงคิดโทษหล่อนเต็มประดาว่าที่กวางทองหายไปนั้นเป็นเพราะหล่อน! จนวิหยาสะกำส่ายหัวอย่างระอา แล้วค่อยหันมากล่าวพร้อมมองหล่อนหัวจรดเท้าก่อนถาม “นฤมลมากับใครในไพรวัน?”
พวงบุหงาไม่อยากจะเสวนาโต้ตอบอย่างใดกับพวกคนในวรรณคดีนี้เลย หล่อนกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องยุ่งยากลำบากใจอย่างไรตามมา แต่พอสายตาเหลือบเห็นนายกิดาหยัน ที่หรี่ตาเล็กลงราวกับรอคำตอบที่หากไม่เข้าหูขึ้นมาก็คงพร้อมทำร้ายหล่อนเข้าทันที มหญิงสาวจึงอ้ำๆอึ้งๆไปอย่างประหม่ากลัว
“มะ…มาคนเดียวค่ะ…เอ้ย เจ้าค่ะ เอ้ย เพคะ ท้าววิหยาสะกำ” เจ้าของชื่อได้ยินเข้าก็คิ้วมุ่นงุนงง
“รู้ชื่อเสียงเรียงนามท่านได้ฉันใด?” ไม่ทันที่ฝ่ายนั้นจะเอ่ยถาม นายกิดาหยันคนเดิมก็รีบพุ่งเข้ามา
ทว่ายังไม่ทันได้ถึงตัว ระตูวิหยาสะกำก็ยกมือปรามเขาอีกครั้ง ก่อนหันมาส่งสายตาคาดคั้นคำตอบจากหล่อน พวงบุหงาร้อนรนทำตัวไม่ถูกจึงตอบไปว่า
“ฉะ…ฉัน เอ๊ย ดิฉัน เอ๊ย หม่อมฉันเรียนมา เพคะ!”
“เหตุไฉนเรียนเขียนอ่านพิลึกพิลั่น” ท้าววิหยาสะกำบ่นพึมพำก่อนหันถามหล่อน “แล้วสามีไม่ว่าเอาหรือไรกัน ที่เที่ยวไปในไพรสัณฑ์แต่ผู้เดียว”
“เป็นผู้หญิงก็มีความรู้ได้นี่คะ? ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน?” พวงบุหงาลืมตัวว่ากำลังกลัวเขาอยู่ เลือดเฟมินิสต์ในตัวเดือดปุดเร่าร้อน จึงต้องเถียงออกไปรวดเร็ว “ฉันว่าเจอกันครั้งแรกแล้วถามถึงสามีนี่แหละค่ะแปลก! ฉันไม่มีสามี แล้วก็อาจจะไม่มีวันมีด้วย ต่อให้มีฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน ไม่เห็นต้องให้สามีมาอนุญาตหรือไม่อนุญาต แล้วฉันก็ไม่ได้มาเที่ยวเล่นในป่า แต่ตื่นมาก็อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ ไม่ต้องคาดคั้นเยอะได้ไหม!”
วิหยาสะกำมองหล่อนอีกที ก่อนสะดุ้งน้อยๆด้วยเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ ชุดเดรสแบบแอนิมอล พรินท์ลายเสือของหญิงสาวนางนี้คือหนังเสือชัดๆ แถมเลือดจากหน้าผากแตกก็ปรากฏเป็นจุดแดงๆอีกด้วย
“หรือตัวท่านนั้นหนาคือนักพรต เป็นฤาษีดาบสฉลาดเฉลียว!” ว่าเสร็จแล้วก็หันสบตากระหมันหยา ผู้ซึ่งโพล่งรับคำทันที ตามประสาพี่เลี้ยงผู้รู้ใจ
“บำเพ็ญเพียรใต้ต้นไทรใช่จริงเจียว ครองตนอยู่ผู้เดียวถือพรหมจรรย์”
อุ๊ยตายละ! พวงบุหงาเลิ่กลั่กมองอาภรณ์ของตน โธ่เอ๋ย! เดรสลายเสือดาว แถมหน้าผากแตกเป็นจุดเลือดตรงกลางพอดิบพอดี จะใครในโลกนี้ก็คงมองว่าฉันเป็นนักบวชแน่ละ… ไม่ทันได้ตัดสินใจโต้ตอบอย่างไร วิหยาสะกำ พร้อมด้วยกระหมันหยาก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าปั้ก! ก่อนเร่งก้มกราบแทบเท้าของหล่อน
พวงบุหงาสะดุ้ง ชักเท้าหลบ กระถดถอยอย่างรวดเร็ว
“ขอกราบกรานแทบเท้าท่านฤาษี” วิหยาสะกำว่า แม้น้ำเสียงยังแข็งกร้าวอย่างกษัตริย์ แต่ก็อ่อนลงมากเมื่อคิดว่าหล่อนเป็นผู้ทรงศีล “ตัวข้านี้เข้ามาในไพรสัณฑ์ เห็นกวางทองย่องหนีรี่ตามพลัน แต่กวางนั้นหายไปไม่เข้าที ขอทูลถามตามตรงที่สงสัย มฤคีหนีไปไหนได้ละนี่ โปรดจงแจ้งแถลงไขให้เสียที ตัวข้านี้รอตอบอย่างขอบใจ”
ไม่กราบเปล่า ระตูหนุ่มกลับเงยหน้าขึ้นสบตาหล่อนอย่างสงสัยใคร่รู้ ทำเอาคนที่ทำตัวไม่ถูกเสมองไปทิศอื่นจนไปสบตานายกิดาหยันคนที่ขู่จะใช้กริช กุดหัว หล่อนเมื่อครู่เข้าพอดี แปลกที่หญิงสาวไม่ยักกลัววิหยาสะกำผู้เป็นถึงโอรสกษัตริย์ แต่กลับกลัวนายกิดาหยันผู้ต่ำต้อยนั้นแทน! ก็แหงล่ะ ถึงจะขี่ม้าถอยไปไกลหลายวาแล้ว ก็ยังคงเห็นตาเขาจ้องเขม็งกลับมาราวจะเอาชีวิตอยู่ดี
โอย ถ้าตอบไม่ถูกใจ มีหวังมันได้โจนเข้ามา กุดหัว จริงๆแน่ละ
คิดได้อย่างนั้น พวงบุหงาจึงลองเล่นไปตามน้ำ ถ้าจะมาติดอยู่ที่นี่ ติดอยู่ในฐานะนักบวช ก็คงจะดีกว่าในฐานะเชลย หรือ ศพ แน่ละ!
“เอ้อ… กวางทองที่คุณ.. เอ้ย เจ้า เห็นนั้น เป็นกวางผีค่ะ… เอ้ย พระเจ้าข้า ระตูวิหยาสะกำ!”
เท่านั้น เจ้าของชื่อและกระหมันหยาพระพี่เลี้ยงก็ลอบมองกันอย่างตะลึงอึ้งงันในบัดดล พวงบุหงากระหยิ่มยิ้มย่องในใจ พวกนั้นคิดว่าหล่อนเป็นนักบวช ฉะนั้นไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไร พวกเขาก็ต้องเชื่อ! หญิงสาวสูดหายใจเข้า พยายามเปล่งเสียงให้หนักแน่น น่าเชื่อถือมากขึ้นอีกนิด
“ข้ารู้ว่านั่นคือกวางผีที่จะ… ล่อลวงพระองค์ไปปลงพระชนม์ ข้าจึงไล่มันไป ด้วยมนต์แห่งพลังดาบสนักบวชของข้าาา วะฮ่ะฮ่ะ ฮ่ะฮ่าา” เสียงหัวเราะที่เลียนแบบมาจากหนังจักรๆวงศ์ๆที่เคยดูนั้น อาจฟังประดักประเดิดไปนิด ทว่าเพราะถ้อยในประโยค ทำเอาผู้ฟังตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันก็หลงเชื่อสุดใจ
“ไฉนเลยที่แท้คือกวางผี! ตัวเรานี้ลุ่มหลงไม่สงสัย”
“มิหนำซ้ำยังตามติดประชิดไป เกือบถูกลวงล่อหลอกให้สิ้นชีวา!” กระหมันหยาตาโพลงอย่างโล่งอก พวงบุหงาเองก็โล่งใจเช่นกัน คราวนี้ล่ะ หล่อนจะได้หนีไปจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนนี่เสียที
“ขอกราบกรานแทบเท้าอีกสักที ที่ช่วยไล่กวางผีไปให้ข้าฯ” ระตูวิหยาสะกำก้มกราบอีกครั้ง “ได้รอดตายเพราะมีพระปรีชา จำขอลาพระมุนีจากอารัญ”
แล้วเท่านั้นก็กลับขึ้นอาชา แล้วควบจากไป โดยไม่ทันเห็นภาพนางบุษบาด้วยซ้ำ
หญิงสาวระหกระเหไปจนถึงแหล่งน้ำ จ้วงมือซ้ายลงล้างคราบมูลม้าออกจนสะอาดหมดจด พยายามลูบเนื้อลูบตัวอย่างไรก็ไม่ตื่นขึ้นจากฝัน เพราะเมื่อครู่มีเหตุพันพัวให้ได้แก้หน้าไปเรื่อยโดยไม่มีเวลาพักคิด ทุกสิ่งจึงผ่านไปรวดเร็วเสียจนเมื่อได้มาอยู่ตัวคนเดียวจึงเพิ่งจะมีเวลาได้ตรึกตรองสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
เอาหล่ะ ถ้าทั้งหยิกตัวเอง ทั้งเอาหัวโขกต้นไทร โดนกวางชน โดนวิหยาสะกำล้มทับขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่น ก็คงไม่ได้ฝันไปแน่ เรื่องเมาตัดทิ้งไป บัดนี้สัมปะชัญญะหล่อนแจ่มแจ้งชัดเจน มีสติครบถ้วนเต็มที คิดได้อย่างเดียวว่าหล่อนหลุดเข้ามาในโลกของอิเหนาแน่ๆละ… แล้วหล่อนจะกลับบ้านได้ยังไง? หล่อนไม่อยากติดอยู่ในป่านี้นานๆหรอก ลำพังแค่ไปเดินเล่นที่บางกระเจ้า หล่อนยังทนอยู่ได้ไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ!
พลันนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏวาบขึ้นในมโนนึกของพวงบุหงา
ไม่ใช่วิธีกลับบ้านของตน แต่…
เมื่อกี้วิหยาสะกำกลับบ้านเขาไป โดยไม่เห็นภาพของนางบุษบาด้วยซ้ำนี่!
หล่อนก้มมองแผ่นกระดาษสีน้ำตาลหม่นๆซีดๆในมือ ภาพเขียนครึ่งตัวของนางบุษบาปรากฏอยู่ตรงนั้น ทว่าส่วนของใบหน้าถูกคูถม้าจากมือหล่อน ป้ายเละไปจนไม่เห็นว่าเป็นผู้ใดแน่
มันยังอยู่ในมือหล่อน กระหมันหยาไม่ได้หยิบมันไปถวายวิหยาสะกำ!
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า เขาจะไม่รู้ว่านางบุษบามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาก็จะไม่คลุ้มคลั่งอยากได้นาง ไม่ยกทัพไปรบกับท้าวดาหา และที่สำคัญ…เขาจะไม่ตาย!
เรื่องเป็นแบบที่สันนิษฐานไว้ในวิทยานิพนธ์ไม่มีผิด!… เดี๋ยวนะ… ตอนที่ฉันถูกดูดลงส้วม ตอนนั้นฉันทิ้งต้นฉบับของเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎลงไปด้วยนี่ ถ้างั้นฉันก็ไม่ได้วาร์ปเข้ามาในอิเหนาพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 2 อย่างที่คิดคราวแรก แต่… จริงๆแล้ว ฉันถูกดูดเข้ามาในต้นฉบับโบราณปึกนั้นแน่ๆเลย!
เท่ากับว่า มันคือพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้ามงกุฎจริงๆ ไม่ใช่ของปลอมที่เขาไปบุกจับตามข่าว!
“เยส! ต้นฉบับนั้นเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆด้วย!!!”
ในชั่วจังหวะที่ตื่นเต้นดีใจ เต้นแร้งเต้นกา อยู่นั้นเอง จู่ๆฟ้ากระจ่างใสงดงาม ออกจะสว่างจ้าไปนิด ก็มืดลงรวดเร็วดั่งมีใครดิมไฟบนเวทีละคร! เมฆมาจากไหนไม่รู้ ทว่ามันก่อตัวขึ้นหนาแน่นเหนือหัวของหญิงสาว แล้วก็เกิดเสียงกัมปนาทกึกก้อง ราวฟ้าฝ่าสัก 50 ครั้งดังขึ้นประสานกัน พร้อมแสงฟ้าปราบวาบแลบ เข้าตาหล่อนจนต้องยกแขนขึ้นป้อง
“แว้กกก!” หญิงสาวอุทานตัวโยน
พลันเดียวเท่านั้นเอง ประกายแสงวาบนั้นก็หายไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมัวสลัวรางเช่นเดิม พวงบุหงาลดแขนปวกเปียกที่บังหน้าลง ภาพที่ปรากฏต่อสายตานั้น ทำเอาขนอ่อนหลังคอลุกเกรียว
ใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า รูปร่างสูงใหญ่จนข่มให้หล่อนแทบจะหดตัวหนี แววตาดุดันคมกริบที่จ้องมา ใต้คิ้วหนาเป็นเส้นแทยง ช่างดูคุ้นตาอย่างประหลาด ปากแดงดุจเลือดสดเม้มเข้าหากัน ใครคนนั้นสวมเสื้อแขนยาวผ่าหน้ากลัดกระดุมชายยาวปิดสะโพก ผ้านุ่งที่สวมยาวจนลากพื้น เป็นสีดำสนิท ทว่าเดินลวดลายทองอร่ามไปหมดทั้งตัว ผมของหล่อนเปิดไปพ้นหน้า เครื่องประดับที่ศีรษะปักรอบดูคล้ายรังสีพระอาทิตย์ หล่อนสะบัดผ้ายาวสีทองที่คล้องแขนเอาไว้อย่างขัดใจ ก่อนตะคอกด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยเหลือเกิน
“เราเตือนแล้วหรือมิใช่ใยไม่ฟัง! ซ้ำร้ายยังอาจหาญพลิกการณ์ผัน เหตุเภทผลที่ตั้งใจไร้ผลพลัน จงหลีกไปไม่เช่นนั้น…โทษทวี!” ใคร ป้าเป็นใคร อยู่ดีๆก็โผล่มาด่าอะไรฉันเนี่ย?
ในเรื่องอิเหนามีตัวละครมนุษย์ป้าด้วยหรือ? ใครล่ะ ประไหมสุหรี หรือมะเดหวีของใครกัน?
“ป้ามาด่าหนูทำไมเนี่ย?…”
“อย่ามานับวงศาคณาญาติ อย่าบังอาจเรียกป้าให้หมองศรี เราเป็นถึงอสัญหยานารี ปะตาระกาหลานามมีให้เรียกไป!” สิ้นเสียง พวงบุหงาก็อ้าปากค้างอีกครั้ง
องค์ปะตาระกาหลาเป็นหญิงหรือนี่?! หรือว่าในต้นฉบับของเจ้าฟ้ามงกุฎคือเรื่องของสตรีสูงศักดิ์ที่ลงโทษอิเหนาให้สำนึกผิดกันแน่ แต่เอ๊ะ นางก็ยังปลอมเป็นกวางมาหลอกวิหยาสะกำให้ไปรักนางบุษบาอยุ่ดี จะเป็นหญิงหรือชายก็ทำอำนาจบาตรใหญ่ไม่ชอบธรรมแบบนี้ไม่ได้!
ขณะหัวแล่นคิด ตาของของหล่อนก็สังเกตเห็นแววดุคมจากดวงตาของอีกฝ่าย จับจ้องมาที่กระดาษในมือหล่อน จะมาเอารูปกลับไปให้วิหยาสะกำอย่างนั้นหรือ?! ไม่มีวัน!
ไวเท่าความคิด พวงบุหงารีบซ่อนรูปนางบุษบาไว้ด้านหลัง ทว่าไม่ทันการณ์ ก็ในเมื่อองค์ปะตาระกาหลาเห็นรูปแผ่นนั้นไปแล้ว อย่างไรนางก็ต้องเข้ามาแย่งไปให้ได้
“หยุดเลยนะป้า อย่าไปยุ่งกับวิหยาสะกำนะ! ปล่อยเขาไปเถอะ ป้าโกรธอิเหนาก็ไปลงที่อิเหนาสิคะ ทำแบบนี้วิหยาสะกำเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยก็ต้องมาตายแทนมันไม่แฟร์เข้าใจไหม?!”
องค์ปะตาระกาหลาได้ยินเช่นนั้นก็ฉุนเฉียวขึ้นในพลัน ฟ้าที่ขมุกขมัวอยู่แล้วกลับยิ่งมืดครึ้มขึ้นใหญ่ ลมหวีดหวิวรุนแรงราวพายุเข้า ป้าเทวดากางแขนออกจนผ้าที่ไขว้หลังคล้องแขนอยู่โบกกระพือ ป้าคะ! ป้าเป็นสตอร์มจากเรื่อง ‘เอกซ์เมน’ รึไง!
“ส่งรูปนางคืนมาให้ประเดี๋ยวนี้ จะยวนยีขัดขวางกันถึงไหน!”
“ถึงที่สุดค่ะ! คืนรูปให้ป้าก็โง่ละค่ะ วิหยาสะกำเขาอุตส่าห์กลับเมืองไปได้แล้วป้าอย่า…”
เปรี้ยง!!
“แว้กกก”
เพราะหล่อนไม่ฟังคำเตือนขององค์ปะตาระกาหลา อีกฝ่ายจึงส่งอัสนีบาตฟาดลงพื้นข้างๆพวงบุหงาในทันที กระจุกหญ้าตรงนั้นไหม้เกรียมเป็นผุยผงแห้งผาก ถ้ายัยป้าเทวดานี่ตั้งใจเล็งหล่อนจริงละก็ หล่อนคงมีสภาพอย่างหญ้าหย่อมนั้นแน่ๆ!
“แป๊บนึงป้า… หนูแค่หลงมาที่นี่เองนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะขวางป้าแต่แรกซะหน่อย นี่ๆ หนูมีดีลมาเสนอ ป้าฟังหนูก่อนนะ” เปรี้ยง “ว้าย! ป้าคะ อย่ามาใช้อำนาจบาตรใหญ่กับหนูสิ ฟังหนูแป๊บ ว้ายยย”
องค์ปะตาระกาหลา ส่งฟ้าฟาดใส่หล่อน ครั้งแล้วครั้งเล่า จนพวงบุหงาต้องกระโดดโหยงเหยง หนีตายอย่างน่าเวทนา
“ยื่นของมาแล้วเราจะรี่ไป จงจำยอมอย่าได้คิดดึงดัน!” เสียงหล่อนอื้ออึงไปทั่วแข่งกับเสียงฟ้าร้อง
โอยตาย สู้กับใครไม่สู้มาสู้กับเทวดา ฉันจะเอาชนะยัยป้านี่ได้ยังไง ก็ในเมื่อนางเล่นบทสตอร์มจะเอาฉันให้ตาย อยู่อย่างเนี้ย! ฉันต้องเป็นศาสตราจารย์เอ็กส์เท่านั้นล่ะถึงจะสู้ได้ ไม่ทันจะคิดได้ตก จู่ๆองค์ปะตาระกาหลาก็ส่งฟ้าฟาดเปรี้ยง ล้อมหล่อนเป็นซี่ลูกกรง จะขยับไปทางใด ก็ไม่ได้แล้วทั้งนั้น!
ก็เล่นบีบบังคับเอาอย่างนี้ มิน่าล่ะตัวละครในเรื่องถึงยอมกันโดยดีน่ะ!
“โอ๊ยยยยป้า ยอมแล้ว เอาไปเลยเอาไป!”
พวงบุหงาตัดสินใจปล่อยมือจากกระดาษวาดรูปนาง ฉับพลันเจ้ารูปนั้นก็ลอยพุ่งไปคล้ายเครื่องบินกระดาษที่มีใครจับร่อน! ทันทีที่ถึงมือขององค์ปะตาระกาหลา หล่อนก็แปลงกายเป็นพญาเหยี่ยวทองตัวใหญ่ มือที่จับรูป แปรเป็นกรงเล็บปักษายักษ์ รี่ถลาบินไปยังทิศที่วิหยาสะกำเพิ่งยกพลมุ่งไป! มิหนำ ทั้งยังอยู่ในรูปของสัตว์ เสียงหล่อนก็ยังดังก้องคุ้นหูอย่างประหลาดเช่นเคย
“ขอจงฟังต่อแต่นี้ที่เราปราม ต้องทำตามจำใส่จิตคิดให้มั่น จะเปลี่ยนโลกเปลี่ยนแปลงสิ่งอื่นนั้น ไม่มีวันเทียบเท่าเปลี่ยนใจเจ้าเอง”
แล้วพวงบุหงาก็คิดได้ในที่สุด ที่หล่อนตะขิดตะขวงใจมาสักพักว่าเคยได้ยินเสียงขององค์ปะตาระกาหลาที่ไหน บัดนี้ได้คำตอบ ก็บนเครื่องบินอย่างไรล่ะ! ที่นางย้ำแล้วย้ำอีกว่าเตือนแล้วก็คงเตือนเรื่องนี้ ให้หล่อนไม่คิดเปลี่ยนโลก แต่เปลี่ยนแปลงตัวเอง เหอะ! ป้านั่นแหละค่ะกำลังเปลี่ยนโลกของตัวละครคนอื่นๆจนเขาวุ่นวายไปหมด ไม่มีทาง ไม่มีทางที่หนูจะยอมให้ป้าเอารูปกลับไปให้วิหยาสะกำหรอก!
เพราะถ้าปล่อยให้เขาเห็นรูปนางบุษบา เรื่องก็จะวนกลับไปเป็นแบบฉบับของร. 2 น่ะสิ
จะกลับบ้านได้ไงเอาไว้ก่อน ตอนนี้วิหยาสะกำจะต้องไม่เจอรูป ไม่ยกทัพไปชิงนาง และไม่ตาย
ว่าแต่… เสียงองค์ปะตาระกาหลามันคุ้นเพราะแค่เคยได้ยินบนเครื่องบินจริงๆหรือ?
ราวกับการวิ่งตามขบวนม้าที่ออกตัวนำไปก่อนเกือบครึ่งชั่วโมงจะยังยากลำบากไม่พอ ป้าปะตาระกาหลายังส่งฝนห่าใหญ่มาชะลอฝีเท้าหล่อนไปอีก บุญรักษาที่ทางวิหยาสะกำก็ไม่อยากตากฝนพอกัน จึงหลบฝนเข้าถ้ำไปตั้งแต่ป้าแกเริ่มเรียกเมฆฝนมาจนทั้งฟ้าอึมครึมไปหมด ยามนี้พอฝนเทลงมาหนักหน่วง จึงเท่ากับว่าเขาติดชะงักอยู่ในถ้ำ ไม่เช่นนั้นละทำอย่างไรหล่อนก็ตามไม่ทันแน่ๆ
“อยู่ถ้ำนานเช่นนี้เบื่อแทบบ้า” ระตูวิหยาสะกำบ่นพลางทอดถอนใจ เขาประทับอยู่บนโขดหินใหญ่ ลึกเข้ามาในถ้ำหลายเมตร ผูกอาชาของตนไว้กับชะง่อนหินเกือบถึงปากทาง นั่งเขี่ยหินบนพื้นเล่นไปนานแสนนาน จนจู่ๆได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาจากด้านหน้า จนต้องเอ่ยปากเรียกพระพี่เลี้ยงคนสนิทอย่างหวาดวิตก “กระหมันหยาเสียงอะไรช่างโฉงเฉง ใครวิวาทโหวกโหวยอลเวง”
“โปรดอย่าเกรง ข้านี้จะรี่ไป” กระหมันหยาเอ่ยตอบนาย แล้วจึงรีบวิ่งไปอยู่ที่ปากถ้ำ ภาพที่เห็นทำเอาเขาชะงักเท้าหยุดเดิน
“จงหยุดเสียเดี๋ยวกระดาษได้ขาดวิ่น!” กิดาหยันนายหนึ่งกำลังยื้อยุดฉุดกระชากบางสิ่งอยู่อย่างบ้าคลั่ง อีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่กิดาหยันด้วยกัน ทว่าเป็นดาบสที่พระพี่เลี้ยงเพิ่งได้พบ นางที่ช่วยขับไล่กวางผีไปจากท้าววิหยาสะกำ บัดนี้เปียกโชกด้วยน้ำฝน ฟ้าผ่าเปรี้ยงเป็นฉากหลังดูน่ากลัวราวหล่อนเป็นภูติผีเสียเอง
“แกสิหยุด! กระดาษนี่มันเป็นของฉัน!” พวงบุหงาตะโกนแผดสุดเสียง ทว่านายกิดาหยันผู้เคยจ้องหล่อนอย่างระแวดระวังเมื่อเหตุก่อนหน้ากลับทวีความสงสัยในตัวหล่อนมาเข้าไปอีก เขาชักกระดาษกลับเข้าหาตัวอย่างกับแข่งชักกะเย่องานกีฬาสี! ไม่เพียงเท่านั้น กลับลอยหน้าลอยตาเถียงมาอีก
“นกเหยี่ยวทองมันบินมาทิ้งไว้! มันจะเป็นของท่านได้ฉันใด?!”
“อย่าอื้ออึงกันไปพอเสียที!” กระหมันหยาคงอดรนทนไม่ได้ ตะคอกเสียงลั่นถ้ำแข่งเสียงฝน นายกิดาหยันตกใจเสียงพระพี่เลี้ยงคนสนิทของนายตน จึงออกแรงกระชากสุดตัวพอๆ กับที่พวงบุหงาเองก็รั้งกระดาษนั้นไว้แทบจะแนบอก แรงที่ทั้งสองออกพร้อมกันก็ส่งผลในทันที
แคว่ก… ภาพนางบุษบาขาดวิ่นเป็นสองท่อน!
ขาดครึ่งตรงช่วงบ่าพอดี นายกิดาหยันได้ท่อนล่างไป ส่วนท่อนบนนั้นอยู่ในมือของหญิงสาว ในขณะที่อ้ำอึ้งกันอยู่นั้น พระพี่เลี้ยงล่ำสันของท้าววิหยาสะกำก็เอ่ยถามนายกิดาหยันขึ้นเสียงเข้ม
“กิดาหยันไยหยาบหยามอาละวาด ทำวินาศสันตะโรเสียอึงมี่ เสียงโหวกเหวกรบกวนภูมี”
“ขอตัวพี่ฟังตอบให้ชอบใจ” นายกิดาหยันสวนแทรก สายตาคมดุยังทอดมาที่หล่อนเข้าปราดหนึ่ง ปานว่าจะกำราบหล่อนทางอ้อม ไม่ให้เถียงอะไรเขาอีก “อันตัวข้าออกถ้ำมาตรวจฝน เห็นพิกลตกอยู่นานจนสงสัย พลันก็พบนกเหยี่ยวบินเฉี่ยวไป รูปนี้ไซร้ก็ตกมาอยู่ข้างกาย คลี่ออกมองเห็นเป็นภาพนฤมล สุดฉงนคิดจะนำไปถวาย นางดาบสก็ปรากฏมาโวยวาย คงจะหมายช่วงชิงรูปหญิงงาม”
ฟ้องเก่ง! เหอะ ฟ้องไปเถอะ อย่างไรฉันก็เป็นฤาษีในสายตากระหมันหยา ยังไงเขาก็ต้องเชื่อฉันย่ะ! พวงบุหงานึกกระหยิ่ม มุมปากยกเชิด คิ้วเลิกจ้องกลับไปท้าทายนายกิดาหยัน จนฝ่ายนั้นต้องกำหมัดแน่นส่งสายตาสู้แบบไม่คิดจะยินยอมมาให้ ถ้าเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นละก็ คนวาดคงใส่ลำแสงพุ่งออกจากตาของทั้งคู่มาปะทะกันตรงกลางเฟรม! ท่าทางนายนั่นแข็งกร้าว จนคิดไปว่าถ้าหล่อนไม่เป็นหญิง และเป็นดาบสสำหรับกระหมันหยา แล้วล่ะก็ นายกิดาหยันคนนี้คงซัดหล่อนเข้าให้อย่างแน่นอน
“ท่านเจ้าครูผู้รู้สรรพวิชา” คราวนี้นายกระหมันหยาหันถามพวงบุหงาอย่างใคร่รู้เต็มที “แย่งรูปมาเพราะเหตุใดใคร่ขอถาม หรือว่าอ้ายกวางผียังติดตาม หมายคุกคามเจ้าเราอีกหรือไร?”
พวงบุหงาได้ทีก็เร่งตอบไปเสียก่อนเรื่องจะบานปลาย
“กวางผีมันเจ็บใจที่ข้ามาขวางกิจมัน” หล่อนสวมบทพระฤาษีตามที่พระพี่เลี้ยงหนุ่มเชื่ออย่างสมบทบาท นึกขอบคุณที่สมัยปริญญาตรีเคยลงวิชาแอคติ้งในคณะเป็นวิชาเลือกมาบ้าง “จึงแปลงกายเป็นเหยี่ยวทองนำกระดาษแผ่นนี้ตามมาให้ท้าววิหยาสะกำอย่างไรล่ะ!”
คราวนี้ทั้งกระหมันหยาทั้งกิดาหยันผู้อื่นที่รายล้อมอยู่กลับคิ้วมุ่นอย่างสงสัย
“แล้วกวางผีนี่เป็นใครแต่ใดมา” พระพี่เลี้ยงคนสนิทเอ่ยปากงุนงง
“เลิกสงกาเถิดพี่มีผลไม่” นายกิดาหยันรีบร้อนเตือนสติ “นำรูปนางไปถวายภูวไนย พระเห็นชอบอย่างไรคงรู้กัน!”
ขาดคำ พ่อหนุ่มหน้าเข้มผู้เลือดร้อน ก็เร่งฝีท้าววิ่งเข้าไปในถ้ำไม่สนใจคำคัดค้านของใครทั้งสิ้น พวงบุหงาแทบจะทึ้งหัวตัวเองแล้วร้องกรี๊ดออกมาอย่างหมดความอดทน หอบร่างโชกฝนของตนวิ่งตามนายกิดาหยันไป มีกระหมันหยาที่ยังงุนงงกับทุกสิ่งวิ่งเหยาะตามมาอีกทอด
“อีตาบ้า ก็บอกว่าถ้าวิหยาสะกำได้รูปนั้น เขาจะต้องตายไงล่ะ!” พวงบุหงาตะโกนไล่หลัง
“กระดาษแผ่นเท่านี้มีรูปวาด คงมิอาจปลิดชีพใครให้อาสัญ!” แน้! ยังจะมีหน้ามาเถียง! พวงบุหงาพยายามกระโดดตระครุบนายกิดาหยันให้ได้ ทว่าไม่ทันแล้วนายกิดาหยันเร่งเอ่ยขึ้นก่อนทันทีที่ แสงคบไล้ด้านข้างใบหน้าของท้าววิหยาสะกำปรากฏให้เห็นห่างไปไม่กี่ก้าว “ขอใคร่ครวญให้ถ้วนถี่เถิดราชันย์”
กระหมันหยาที่ตามมาคงจะหวาดระแวงกระดาษผืนนั้นตามที่พวงบุหงาเตือนไว้ จึงร้องก้องไป
“กิดาหยันอย่าวู่วามตามใจเลย!” กระหมันหยาส่งเสียงปราม ทว่าไม่ทันแล้ว นายกิดาหยันเข้าไปถึงพระองค์ก่อน นั่งชันเข่ายื่นรูปให้ ท้ายที่สุด สองคนที่ตามมาก็เบรคเอี๊ยดลงตรงหน้าท้าววิหยาสะกำ ผู้ผลุดลุกขึ้นตื่นตระหนกทันทีที่เห็นว่าพระฤาษีที่ตนพบเข้าก่อนหน้า วิ่งตุปัดตุเป๋ตัวเปียกโชกตามมาถึงถ้ำนี้!
“พระดาบส…ลดเลี้ยวมาอย่างไร เหตุไฉนจึงมานี่รี่เฉลย”
“เกิดเรื่องแล้ว-” นายกิดาหยันแย่งตอบแทน
“-ตัวข้าถามทรายเชย!” ท้าววิหยาสะกำตะคอกใส่นายกิดาหยันจนหน้าง้ำงุด พวงบุหงาไม่เคยสะใจอะไรเช่นนี้ หล่อนค่อยก้าวออกมาจนแซงหน้านายกิดาหยันไปคล้ายว่าตำแหน่งที่ยืนจะบ่งผู้แพ้ผู้ชนะได้อย่างนั้น ท้าววิหยาสะกำมองหล่อนเต็มสองตา ก่อนว่า “โปรดเอื้อนเอ่ยอธิบายขยายความ”
พวงบุหงารีบเล่าให้วิหยาสะกำฟังไม่ต่างจากที่บอกกระหมันหยา ปิดท้ายด้วยอธิบายตามบทพระราชนิพนธ์ว่า หากวิหยาสะกำเห็นรูปนางแล้วจะสลบไสลเป็นไข้ไป จนนำความตายมาสู่พระองค์!
ระตูหนุ่มคิ้วมุ่นไม่ต่างพระพี่เลี้ยงที่เถียงกันเมื่อครู่ ก็กระดาษแผ่นเดียวจะทำเราป่วยได้เชียวหรือ?
“กระดาษนั้นอยู่ที่ไหนเอาให้ข้า จะตรวจตราถ้วนถี่ไม่ผลีผลาม”
เอ๊า! ระตูคะ ไม่ฟังที่เตือนหน่อยเหรอคะ? รูปนี้ดูไม่ได้ค่า ประเดี๋ยวได้เป็นลมล้มพับไปหรอก
“อยู่ตรงนี้-“
“-ภาพสตรีทรวดทรงงาม!” ในพลันที่นายกิดาหยันยื่นภาพให้ ระตูหนุ่มก็คลี่รูปนางออกดู แล้วอุทานก้องถ้ำ ต่อให้มีภาพเพียงครึ่งเดียว แต่รูปร่างโสภาสะโอดสะองในครึ่งนั้นก็ทำเอาท้าววิหยาสะกำ เลือดสูบฉีดขึ้นหน้า อนิจจาผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัย! เห็นทรงโต สะโพกผาย เอวคอด ต่อให้ไม่เห็นหน้า ก็ดูจะสั่นไปทั้งกายอย่างตกหลุมรักเต็มที ระตูหนุ่มถอนตาจากภาพ แล้วหันหาพวงบุหงา “ไหนท่านปรามว่าเป็นภัยไม่เห็นมี”
พวงบุหงากลอกตา เพราะนายกิดาหยันหันมายิ้มหยันใส่ คงจะได้หน้าเหลือเกินว่าเอาภาพผู้หญิงหุ่นแซ่บส่งให้นาย หญิงสาวรีบคิดหาทางออก เห็นแค่ตัวยังจะชอบขนาดนั้น เกิดหลงรักจนสลบไป ก็ต้องเข้าหรอบเดิม วิหยาสะกำต้องให้คนไปตามหานางแน่ ต่อให้ไม่เห็นหน้าก็ไว้ใจไม่ได้ หล่อนตั้งท่าจะขยับ นายกิดาหยันก็กระชับกริชข้างเอวแน่นก่อนก้าวมาขวาง เป็นทำนองเตือนว่าถ้าหล่อนทำอะไรขึ้นมา เขาคงพร้อมจู่โจมในทันที ที่ไปขัดเจ้านายตนผู้กำลงมโนถึงหญิงสวย! ไม่ขวางเปล่า นายกิดาหยันยังจะเอ่ยบรรยายภาพซะอย่างกะจะสะกดจิตนายให้ยิ่งตกหลุมรักคนในรูปเสียอีกด้วย
“พิศอกอกตั้งดั่งดอกบัว พิศตัวทั่วถ้วนนวลฉวี พิศสะโพกสะโพกผายสมนารี เสียดายที่ไร้พักตร์ให้พิศมอง” แน่ะ ยุเข้าไปอีกนั่น ไอ้บ้าเอ๊ย ถ้าอยู่ยุคปัจจุบันนายนี่น่าจะไปขายตรง คงได้ระดับมงกุฎเพชร!
“ประเดี๋ยวก่อนบังอรย่อมมีพักตร์” จู่ๆ พระพี่เลี้ยงก็โพล่งออกมา ก่อนหันมองพวงบุหงาเต็มตา “แต่นงลักษณ์ยื้อกระดาษขาดเป็นสอง!”
“อีกครึ่งแผ่นย่อมมีหน้านวลละออง…” นายกิดาหยันร้องลั่น ก่อนพุ่งเข้ามาหาหล่อน พร้อมชักกริชยื่นจ่อคอนาง “เจ้าจำต้องส่งรูปมาอย่าดื้อดึง!”
เอาอีกแล้ว! คนในโลกนี้เป็นอะไรกันไปหมด เอะอะขู่ เอะอะใช้กำลัง! ในระหว่างที่คอยแต่ระแวดระวังนายกิดาหยันพลางคิดหาวิธีเอาตัวรอด จู่ๆ ใครบางคนก็กระชากกระดาษผืนนั้นไปจากมือของหล่อนที่ไขว้ไว้ด้านหลัง โดยที่พวงบุหงาไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ!
ท้าววิหยาสะกำคงหลงรูปจนหน้ามืด จนถึงกับไม่ฟังคำเตือนของหล่อน แต่ฉวยเอาภาพนางไปแล้ว
“จะขอจูบรูปนางทรามเชย…” ไม่ว่าเปล่า เขาประกบริมฝีปากหนาอวบอิ่มนั้นเข้ากับใบหน้าของนางบุษบาไปแล้ว! ทว่า จู่ๆระตูหนุ่มก็เร่งถอนปากออกจากกระดาษแผ่นนั้น ตาถลนโพลงเบิก เพ่งมองรูป โพรงจมูกขยับ ก่อนที่หน้าจะกระตุกเต้นถี่ แล้วสลบล้มพับไป!
ฉิบหาย ตกหลุมรักนางบุษบาตามเรื่องเดิมจนสลบไปแล้ว โว้ยยยย แล้วที่พยายามมาทั้งหมด คือ?
“โออกเอ๋ย พระสติได้ขาดผึง! เหตุไฉนภูวไนยทรงล้มตึง!” นายกิดาหยันร้องร่ำอย่างร้อนรน
“รี่เร่งดึงเอารูปนางพลางประคอง!” กระหมันหยาออกคำสั่งดังก้อง ในขณะที่พวงบุหงากำลังเซ็งจิตเต็มพิกัด นอยจนถึงขั้นนั่งหลังพิงผนังถ้ำ กิดาหยันที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของหล่อนก็รีบเร่งเข้าไปดึงกระดาษออกจากมือของเจ้านายตน ขณะที่กิดาหยันอีกสองรีบเข้าไปประคองปีกเขาซ้ายขวา พวงบุหงากำลังจะถอดใจว่าวิหยาสะกำตื่นมาเมื่อไรต้องเพ้อรักถึงนางบุษบาแน่ๆ นายกิดาหยันคนเดิมก็ร้องลั่น
“แปลกพิกลเกิดมาไม่เคยเห็น นางนี่เป็นปีศาจสยดสยอง!”
อะไรวะ? นางบุษบาเป็นปีศาจ? พวงบุหงาเงยหน้ามองตามที่มาของเสียง ก่อนจะค่อยลุกเดินเข้าไปดูว่านายนั่นเห็นอะไรกันแน่ ทันทีที่เข้าไปใกล้พอจนเห็นเข้า พวงบุหงาก็แทบจะหัวเราะออกมาน้ำตาเล็ด มิน่าล่ะ ท้าววิหยาสะกำถึงขั้นล้มตึงไป! ไม่ใช่เพราะหลงรักนาง แต่…
“งามแต่ตัวหัวมีขี้เลอะเปรอะนอง!”
“ระตูเราถึงกับต้องไม่สมประดี” กระหมันหยาร้องครางออกมาด้วยใบหน้าเหยเก ขณะเหล่ากิดาหยัน และพลม้า ต่างก็เข้าไปมุงดูภาพนางกันอย่างขยะแขยง ขนลุกขนพองกันทั้งหมู่!
โธ่เอ๋ย ยัยป้าปะตาระกาหลา เอารูปมาให้เขาก็ไม่เปิดเช็คดูสักหน่อย รูปเปื้อนอุนจิแบบนี้จูบเข้าไปก็เหม็นจนสลบล่ะสิคะ! พวงบุหงารู้สึกชนะเสียเต็มประดา นี่ถ้าตอนตื่นไม่บังเอิญมือเปื้อนขี้ม้าแล้วป้ายไปโดนภาพนางบุษบาเข้า ป่านนี้ชะตาของวิหยาสะกำคงวนกลับไปเป็นแบบเดิมแล้ว แต่นี่ เป็นเพราะความบังเอิญ บวกซวย บวกป้ำเป๋อของหล่อนแท้ๆ ระตูหนุ่มผู้นี้จึงรอดไปได้อีกครา!
กระหมันหยาหันมองหล่อนด้วยสีหน้าเลื่อมใสอย่างล้นเหลือ ทุกอย่างเป็นไปตามที่หล่อนเตือนไว้จริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หญิงสาวรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง จนถึงเลียนแบบอาจารย์ปริตตา และพูดขึ้น
“เตือนแล้วนะ”