ปฐมบท “มายาแอซเต็ก”

ปฐมบท “มายาแอซเต็ก”

โดย :

หลังจากพาผู้อ่านได้ท่องไปในดินแดนลึกลับและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ กับ ‘มนอินคา’ ในนิตยสารพลอยแกมเพชรมาแล้ว ครั้งนี้ ‘จิตราภรณ์’ จะพาผู้อ่านชาวอ่านเอาร่วมเดินทางย้อนเวลาไปในดินแดนของอารยธรรมแอซเต็กใน “มายาแอซเต็ก” กับนิยายออนไลน์ที่เล่าเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์ของนักเขียนผู้เคยใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนละตินอเมริกามายาวนาน

***********************

ขอเล่าขานถึงอดีตกาลอันไกลโพ้น  บนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณที่ราบสูงตอนกลางของเม็กซิโก  ดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เหนือดินแดนทั้งปวงที่อยู่รายล้อม  บรรพชนในอดีตสร้างอาณาจักรอันเกรียงไกรขึ้นหลายแห่ง  และได้ทิ้งมรดกอันสูงส่งไว้ให้ชนรุ่นหลังรับสืบต่อมา จนไม่มีผู้ใดสามารถสร้างจินตนาการได้เลยว่ามรดกอันล้ำค่าเหล่านี้บังเกิดขึ้นได้ด้วยฝีมือของปุถุชน  หรือด้วยการดลบันดาลจากฟากฟ้าเบื้องบน

ประมาณ 2,500 ปีที่ผ่านมา  เกิดอาณาจักรแห่งหนึ่งที่แผ่แสนยานุภาพออกไปจนครอบคลุมบริเวณที่เป็นทวีปอเมริกากลางในปัจจุบันนี้  ในครั้งนั้นเริ่มมีการพัฒนาสังคมแบบซับซ้อน  โดยมีชนชั้นนักบวชเป็นผู้นำของสังคม  ดินแดนใต้หล้าทั้งหมดรวมกันเข้าเป็นจักรวรรดิเดียวภายใต้อำนาจของอาณาจักรโอลเม็กส์

อำนาจของชนเผ่าโอลเม็กส์ดำเนินมาหลายร้อยปี  สั่งสมวิทยาการอันสูงส่งนานัปการ เช่นปฏิทินเก่าแก่ที่สุดของแถบนี้ซึ่งบอกเวลาได้ใกล้เคียงกับปฏิทินในปัจจุบัน อันหมายถึงความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์  ดาราศาสตร์  และศิลปวิทยาการด้านอื่นๆ  จึงจะเกิดปฏิทินที่แม่นยำเช่นนี้ได้

บรรดานครรัฐที่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของอาณาจักรโอลเม็กส์ต่างก็รับเอาศิลปวิทยาการต่างๆ เหล่านี้มาเป็นของตน  และยังได้พัฒนาให้สูงส่งขึ้นไปอีก  จนกระทั่งประมาณ 2,000 ปีที่ผ่านมา  นครรัฐเหล่านี้ค่อยๆ ขยายอิทธิพลของตนทีละเล็กทีละน้อยจนบดบังรัศมีของอาณาจักรโอลเม็กส์ไปได้อย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่หลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ก็คือ  โอลเม็กส์คือต้นแบบของศิลปวิทยาการที่สืบทอดกันลงมาอีกนับพันปีภายใต้การพัฒนาวิทยาการของอาณาจักรมายาในบริเวณคาบสมุทรยูกาตัน  และอาณาจักรเธโอธิฮัวกันในบริเวณที่ราบสูงตอนกลางของเม็กซิโก

ในช่วงเวลาเกือบหนึ่งพันปีที่อาณาจักรอันยิ่งใหญ่สองแห่งนี้แผ่รัศมีของตนออกไปรอบด้าน  พัฒนาการทางด้านอารยธรรมก้าวหน้าไปยิ่งกว่าสมัยใดๆ  จนได้ชื่อว่า  เป็นสมัยคลาสสิก  หรือยุคทองโดยแท้จริง  ศิลปวิทยาการต่างๆ เจริญถึงขีดสุด  ความซับซ้อนของลักษณะการปกครองภายใต้ชนชั้นนักบวชแต่ดั้งเดิมมีขอบข่ายของอำนาจที่แผ่กว้างขึ้น

ในช่วงเวลานี้มีศูนย์กลางความเจริญเกิดขึ้นพร้อมๆ กันหลายแห่ง  เช่น  บนคาบสมุทรยูกาตันภายใต้การปกครองของอาณาจักรมายา  เช่น  ที่เมืองชิเชน-อิตซา, ทิคัล,  โคปัน,  ปาเลนเก  ฯลฯ  หรือในเขตที่ราบสูงตอนกลางของเม็กซิโกที่เธโอธิฮัวกัน  หรือ  “นครแห่งเทพ”  หรือแม้แต่ที่มอนเต อัลบัน  ในเขตอัวฮากา  ค่อนมาทางตอนใต้ของอาณาจักรเธโอธิฮัวกัน

ดินแดนเหล่านี้เจริญถึงขีดสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 4 และที่ 5  วิทยาการทางด้านคณิตศาสตร์  ดาราศาสตร์  สถาปัตยกรรม  ฯลฯ  ได้รับการพัฒนาขึ้นจนนำไปสู่การสร้างปิรามิด  ปราสาทราชวัง  หรือแม้แต่ปฏิทินมายาอันเลื่องชื่อก็ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้ทั้งสิ้น

อำนาจของอาณาจักรมายาและเธโอธิฮัวกันค่อยๆ เสื่อมสลายลงในราวคริสต์ศตวรรษที่ 8 และที่ 9  จนกระทั่งหายสาบสูญไป  ทิ้งไว้แต่วิทยาการด้านต่างๆ ให้แก่ชนรุ่นหลัง  ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรเหล่านี้ถูกทอดทิ้ง  รกร้าง  ป่าทึบค่อยๆ คืบคลานเข้ามาปกคลุมดินแดนซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางอารยธรรมอันยิ่งใหญ่  จนสูญหายไปจากสายตาของมวลมนุษย์

การล่มสลายของอาณาจักรมายาและเธโอธิฮัวกันมาพร้อมกับการขยายตัวของชนเผ่าโทลเท็กส์    ซึ่งอพยพลงมาเป็นระลอกจากทางทิศเหนือ    ลงมารับอารยธรรมของเธโอธิฮัวกัน

เทพเจ้าแห่งสันติ

พวกโทลเท็กส์ตั้งศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครตูลา  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเธโอธิฮัวกันมากนัก  อาณาจักรนี้อยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำทางวัฒนธรรมผู้ยิ่งใหญ่  เคว็ตซัลโคอัลท์  จนพระองค์ทรงได้รับพระนามว่า  “เทพเจ้าแห่งสันติ”  อาณาจักรโทลเท็กส์ภายใต้การปกครองของพระองค์ประสบสันติสุขอย่างที่ไม่มีอาณาจักรใดเทียบได้

มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับอาณาจักรของเทพเจ้าแห่งสันติอยู่มากมายว่า  เป็นดินแดนแห่งความสงบอย่างแท้จริง  พระองค์ทรงเป็นผู้นำทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่  และเลื่องระบือไปไกล  จนกระทั่งคำว่า “โทลเท็กส์”  มีความหมายว่า  “ศิลปิน”

นอกจากนี้สันติสุขยังนำไปสู่การพัฒนาทางด้านเกษตรกรรม  ผลิตผลจากพื้นดินอุดมสมบูรณ์และให้ผลดี  จนกระทั่งแม้แต่ผลไม้ก็มีขนาดใหญ่โต  ไม้ดอกมีขนาดใหญ่  ต้นฝ้ายมีสีสันต่างๆ ตามธรรมชาติ  ผู้คนอยู่เย็นเป็นสุขกันถ้วนหน้า  เทพเจ้าแห่งสันติยังเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการดำรงชีวิตอันดีงาม  ประพฤติปฏิบัติอยู่ในครรลองคลองธรรม  จนกระทั่งทรงมีอิทธิพลแผ่ขยายไปกว้างไกล

เทพเจ้าแห่งสงคราม

แต่จะมีผู้ใดรู้ว่าสันติสุขจะยืนยงไปอีกนานสักเพียงใด  ตำนานที่เล่าขานสืบกันมาเอ่ยถึงความพ่ายแพ้ของเทพเจ้าแห่งสันติ  และชัยชนะของเทพเจ้าแห่งสงคราม  เท็กสคัลทลีโปคา  จนกระทั่งในที่สุดนครตูลาก็ถูกทิ้งร้าง

เทพเจ้าแห่งสันติเดินทางจากไปทางทิศตะวันออก  โดยทรงให้คำมั่นสัญญาว่าวันหนึ่งพระองค์จะเสด็จกลับมายังแผ่นดินนี้อีกครั้งหนึ่งในปีหนึ่งกก  ตามปฏิทินโทลเท็กส์  ซึ่งเมื่อเทียบกับปฏิทินตะวันตกแล้ว  ก็คือ ค.ศ. 1519  ปีเดียวกับที่แอร์นัน คอร์เต็ส  เดินทางจากสเปนมาถึงชายฝั่งทะเลในเม็กซิโกตอนกลาง  พร้อมกับนักรบและนักล่าสมบัติชาวสเปน  ตำนานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความหวังของปวงประชาเกี่ยวกับการหวนกลับคืนมาของเทพเจ้าแห่งสันติอีกครั้งหนึ่ง

นครตูลา

ตำนานดังกล่าวเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ก็คือความปราชัยของระบบการปกครองโดยชนชั้นนักบวชและชัยชนะของชนชั้นนักรบ  นครตูลาถูกทิ้งร้าง  อาณาจักรโทลเท็กส์ล่มสลายสืบเนื่องมาจากการขยายอำนาจของชนเผ่าชิชิเม็กกะทางทิศเหนือ  ผู้ที่อพยพลงมามีกำลังทางทหารและอาวุธสูงกว่า  พวกนี้รับเอาอารยธรรมของพวกโทลเท็กส์มาเป็นของตน  และจัดตั้งนครรัฐขึ้นหลายแห่งรอบทะเลสาบห้าแห่งในหุบเขาตอนกลาง  เพื่อรองรับการอพยพของชนเผ่าของตนที่ลงมาเป็นระลอกๆ  ชนเผ่ากลุ่มสุดท้ายที่เคลื่อนย้ายลงมาคือ  พวกแอซเต็กหรือพวกเม็กซิกา

ศิลปะของตูลา

การที่ผู้อพยพลงมาใหม่รุกคืบเข้ามายึดอำนาจจากอาณาจักรโทลเท็กส์ของเทพเจ้าแห่งสันติได้นั้นนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมอีกรูปแบบหนึ่งคือวัฒนธรรมแห่งสงคราม

ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 13  มีนครรัฐขนาดใหญ่เกิดขึ้นสองแห่ง  ซึ่งมีอำนาจทัดเทียมกัน  นครรัฐแห่งหนึ่งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลสาบเท็กสโคโค  ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบทั้งห้าแห่ง คือ คูลฮัวกัน  [ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเม็กซิโก]  ส่วนนครรัฐอีกแห่งหนึ่งคือ  อัสคาโปตซัลโค  อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบเท็กสโคโค  นครรัฐแห่งนี้มีความสามารถทางด้านการรบ  การค้า  และการปกครอง  จึงแผ่อิทธิพลไปได้กว้างขวางกว่านครรัฐอื่นๆ

ศิลปะของตูลา

ส่วนพวกแอซเต็กไปตั้งรกรากอยู่ที่ใดก็ถูกขับไล่  ถึงแม้จะพูดภาษานาฮัวท์  เช่นเดียวกัน  แต่ก็ได้รับการดูถูกจากชนเผ่าอื่นๆ  ที่อยู่ในเขตทะเลสาบมาก่อนว่าเป็นคนไร้วัฒนธรรม  อย่างไรก็ดี  พวกแอซเต็กมีความมุ่งมั่นสูงที่จะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ให้จงได้  พวกเขาจึงถอยไปตั้งบ้านเรือนอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบเท็กสโคโค  บริเวณซึ่งไม่มีผู้ใดยอมตั้งบ้านเรือนอยู่  และตั้งกรุงเธโนธิทลันขึ้นใน ค.ศ. 1325

อีกเพียงร้อยปีต่อมา  พวกแอซเต็กสามารถซึมซับเอาวัฒนธรรมเก่าแก่ที่มีมาก่อนหน้านั้น  จนกระทั่งประกาศตนเป็นอิสระจากนครรัฐอื่นๆ โดยรอบ  ยิ่งไปกว่านั้น  ยังขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างไกลจนถึงกัวเตมาลา  และคาบสมุทรยูกาตันซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมายาในอดีตกาลอันไกลโพ้น

สำหรับนครเธโนธิทลันนั้น  ถึงแม้ชนเผ่าแอซเต็กจะเริ่มสร้างเมืองของตนเองจากกระต๊อบเพียงไม่กี่หลัง  กับแท่นบูชาเทพเจ้าสูงสุดของตน  คือ  เทพเจ้าแห่งสงครามซึ่งพวกแอซเต็กถวายพระนามว่า  ฮุยต์ซิโลโพทลี

พลังทางใจอันแก่กล้าและมุ่งมั่นทำให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคทุกด้านได้  ในทางวัฒนธรรมนั้น  พวกแอซเต็กก้าวล้ำไปไกลกว่าแม่บททางวัฒนธรรมที่มีมาเก่าก่อน  มหาวิหาร  ปิรามิด  ปราสาทราชวัง  ราชอุทยาน  และงานฝีมือของช่างด้านต่างๆ  ล้วนแล้วแต่งดงามตระการตา  จนแม้กระทั่งเมื่อสเปนเดินทัพมาถึงกรุงเธโนธิทลันใน ค.ศ. 1519  นักรบสเปนต่างก็ตะลึงกับความงามที่เห็นอยู่เบื้องหน้า  แบร์นัล  ดิแอส  เดล  กัสติโญ  ผู้จดบันทึกเกี่ยวกับการขยายตัวของสเปนมายังอาณาจักรแอซเต็กได้บรรยายถึงความงดงามตื่นตาของมหานครเธโนธิทลันว่างดงามดั่งฝัน  ในตอนที่พวกนักรบสเปนขึ้นไปบนยอดมหาปิรามิด  เพื่อพบกษัตริย์ม็อคเตซูมา  กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรแอซเต็กในขณะนั้น  แบร์นัล  ดิแอสได้พรรณนาเอาไว้ว่า

“พวกเรายืนมองไปได้โดยรอบ  เนื่องจากปิรามิดที่เป็นดั่งเทวาลัยนอกรีตมีขนาดใหญ่โตจนสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน  พวกเรามองเห็นสะพานสามแห่งที่ข้ามน้ำมาสู่นครนี้  สะพานอิสตาปาลาปา  [อยู่ทางทิศใต้]  เป็นสะพานที่พวกเราข้ามมาเมื่อสี่วันก่อน  สะพานตาคูบา  [หรือทลาโคปัน  อยู่ทางทิศตะวันตก]  และสะพานเตเพอากีญา  [อยู่ทางทิศเหนือ]

พวกเรามองเห็นทะเลสาบน้ำจืดจากชาปูลเตเป็กที่ใช้หล่อเลี้ยงนครแห่งนี้….ในทะเลสาบเต็มไปด้วยเรือนานาชนิด  เรือบางลำนำอาหารเข้ามา  บ้างก็กลับออกไปพร้อมกับสินค้า….พวกเรามองเห็นเทวาลัยที่สูงลิ่วราวกับหอคอย  นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการสีขาวกระจ่างดูงดงามน่าพิศวงยิ่งนัก….

พวกเราหันไปมองตลาดขนาดใหญ่และผู้คนมากมายในตลาด….ทหารของพวกเราบางคนเคยเดินทางไปยังแหล่งต่างๆ ทั่วโลก  เช่น  กรุงคอนสแตนติโนเปิ้ล  กรุงโรม  พวกเขาบอกว่าไม่เคยเห็นตลาดแห่งใดที่ใหญ่โตมโหฬารและเต็มไปด้วยผู้คน  และเป็นตลาดที่จัดระเบียบได้เป็นอย่างดีเช่นนี้มาก่อนเลย”

ลานกว้างหน้าพีระมิด

ตลาดแห่งนี้คือ  ตลาดตลัลเตโลลโค  ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของมหานครเธโนธิทลัน นครหลวงของอาณาจักรแอซเต็ก  ส่วนพระราชวังอะฮาญาคัลต์ของกษัตริย์แอซเต็กตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของมหาปิรามิด  อยู่ด้านหน้าของบริเวณลานกว้าง  ซึ่งต่อมาในสมัยอาณานิคมสเปนกลายเป็นที่ตั้งของวังผู้สำเร็จราชการ  และเมื่อเม็กซิโกได้รับเอกราชก็กลายเป็นที่ทำการของประธานาธิบดีเม็กซิโก  ส่วนอาคารอื่นๆ ในนครแห่งนี้  มีทั้ง  ปิรามิดขนาดเล็ก  โรงเรียน  บ้านเรือนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่  กับบ้านเรือนขนาดเล็กอีกมากมาย  เพื่อใช้รองรับประชากรถึงกว่า 250,000 คน  จึงนับได้ว่ากรุงเธโนธิทลันเป็นมหานครอย่างแท้จริง

แต่ปัจจุบันไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้ชนรุ่นหลังได้เห็นอีกแล้ว

ความมั่งคั่งของอาณาจักรแอซเต็กมาจากนโยบายขยายอำนาจทางทหาร  ดังนั้นองค์กษัตริย์ซึ่งเป็นผู้นำทางทหารจึงเป็นผู้ที่ดำเนินนโยบายในทุกๆ ด้าน  พวกแอซเต็กยกย่องเทพเจ้าแห่งสงครามเป็นเทพเจ้าสูงสุด  และเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์  งานเฉลิมฉลองเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งสงครามจึงเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดในบรรดางานเฉลิมฉลองเทพเจ้าทั้งปวงของอาณาจักรแอซเต็ก

พวกแอซเต็กเชื่อว่าต้องถวายโลหิตของมนุษย์แด่เทพเจ้าแห่งสงครามเพื่อให้พระองค์โปรดปราน  และดลบันดาลให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างตามปกตินั้น  ดังนั้น  การขยายอาณาจักรเพื่อจับเชลยศึกซึ่งถือว่าเป็นโลหิตบริสุทธิ์ที่สุดมาบูชายัญจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อความอยู่รอดของอาณาจักรแอซเต็ก  นำพาความสว่างของดวงอาทิตย์มาให้โลกมนุษย์  มิฉะนั้นแล้วดวงอาทิตย์ก็จะถึงคราวดับสูญและไม่เปล่งแสงอีกหากมิได้เลี้ยงดูด้วยโลหิตของมนุษย์  อาณาจักรแอซเต็กจึงต้องทำสงครามอยู่ตลอดเวลา

อำนาจทางทหารของอาณาจักรแอซเต็กขยายเข้าไปในบริเวณที่ราบสูงตอนกลางทั้งหมด  เข้าไปในคาบสมุทรยูกาตันของชนเผ่ามายา  ไปถึงกัวเตมาลาจนถึงคอคอดปานามา  อาณาจักรแอซเต็กมีอำนาจครอบคลุมดินแดนทั้งหมดตั้งแต่มหาสมุทรแปซิฟิกจรดมหาสมุทรแอ็ตแลนติกและมีอำนาจเหนือผู้คนในแถบนี้ทั้งหมดหลายล้านคน

สงครามจึงเป็นเสมือนสถาบันทางวัฒนธรรม  เป็นความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อวิถีชีวิตของผู้คนในอาณาจักรแอซเต็ก  เพราะต้องใช้เชลยศึกบูชายัญเทพเจ้าแห่งสงครามอย่างสม่ำเสมอ  สงครามจึงกลายเป็นแนวคิดทางศาสนาของพวกแอซเต็กไปโดยปริยาย  เมื่อการขยายอำนาจของอาณาจักรแอซเต็กครอบคลุมดินแดนกว้างไกลจนไม่มีดินแดนใดเหลือให้ทำสงครามอีก  พวกแอซเต็กจึงต้องทำ “สงครามดอกไม้”     “สงครามดอกไม้” เป็นการทำสงครามที่ไม่จริงจังนัก ฝ่ายแอซเต็กทำกับรัฐอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรกันหรือเป็นรัฐที่ตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายแอซเต็กมาก่อนแล้ว  เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งเชลยศึก  เพื่อให้ได้โลหิตอันบริสุทธิ์มาบูชายัญเทพเจ้าแห่งสงคราม

ปฏิทินของแอซเต็ก

วัฒนธรรมอื่นๆ ของอาณาจักรแอซเต็กล้วนเกี่ยวข้องกับการทำพิธีบูชายัญถวายแด่เทพเจ้าแห่งสงครามแทบทั้งสิ้น  แม้แต่ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์อันเป็นเลิศของดินแดนแห่งนี้  ยังเป็นความรู้ที่มีการบูชายัญแด่เทพเจ้าองค์นี้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  เป็นต้นว่า  การทำปฏิทิน  ปฏิทินของแอซเต็กซึ่งรับมาจากวัฒนธรรมเก่าแก่ก่อนที่พวกแอซเต็กอพยพลงมายังเม็กซิโกตอนกลาง  เป็นปฏิทินที่มี 18 เดือนๆ ละ 20 วัน  โดยแต่ละปีจะมีวันเหลืออีก 5 วันซึ่งถือว่าเป็นวันสิ้นปี เป็นวันมืดดับและทุกๆ สี่ ปีจะมีวันเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน และทุกๆ 52 ปีจะครบหนึ่งวัฏจักร  สำหรับห้าหรือหกวันท้ายปีกับช่วงเวลาของการสิ้นสุดวัฏจักรนั้น  พวกแอซเต็กถือว่าหากไม่สวดอ้อนวอนเทพเจ้า  และสังเวยพระองค์ด้วยการบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์  พระอาทิตย์จะดับมืดไม่กลับมาส่องแสงให้โลกเห็นอีก  อาณาจักรแอซเต็กก็จะล่มสลาย

บรรยากาศเช่นนี้ประจวบเหมาะกับการเดินทางมาถึงชายฝั่งเม็กซิโกใน ค.ศ. 1519  ของแอร์นัน  คอร์เต็ส  และนักรบนักแสวงหาโชคลาภชาวสเปน  ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เทพเจ้าแห่งสันติ  เคว็ตซัลโคอัลท์ทรงให้คำมั่นสัญญาว่าจะเสด็จกลับมายังราชอาณาจักรของพระองค์

ขอเชิญผู้อ่านจินตนาการไปกับเรื่องราวที่จะเล่าขานต่อไปนี้เถิด



Don`t copy text!