เมฆพรางจันทร์ บทที่ 3 : ผู้ชายแปลกหน้าในความฝัน

เมฆพรางจันทร์ บทที่ 3 : ผู้ชายแปลกหน้าในความฝัน

โดย : คุณหญิง ร่ำรวยมหาศาล

Loading

เมฆพรางจันทร์ นวนิยายโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย คุณหญิงร่ำรวยมหาศาล กับเรื่องราวของว่าที่เจ้าสาวที่วิญญาณหลุดออกจากร่างกับข้อแม้ที่หากอยากฟื้นคืนชีวิตต้องทำภารกิจให้กับยมฑูตหนุ่ม แต่เอ๊ะ! ทำไมอยู่ๆ หัวใจเธอถึงรู้สึกแปลกๆ กับเขานะ มาร่วมลุ้นกับภารกิจและหัวใจที่สั่นไหวของเธอในอ่านเอากับนวนิยายออนไลน์สนุกๆ เรื่องนี้

ทาวน์โฮมสองชั้นในโครงการหมู่บ้านแถบชานเมือง แม้จะเป็นเวลาล่วงไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว ไฟชั้นล่างยังคงเปิดอยู่ เสียงพลิกเอกสาร และเสียงแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ยังคงดังต่อเนื่อง ทำเอาร่างบอบบางในชุดนอน ที่กำลังเดินออกมาจากห้องหลังวางสายจากคนรัก ต้องชะงัก เมื่อพบว่าน้องสาวยังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องรับแขก

“ยังไม่นอนเหรอพี่ฝน” เสียงคนนั่งทำงานซึ่งมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเล็กเรียว รับกับแพขนตายาวตรงทำให้ดูมั่นอกมั่นใจกว่าคนตาโต หน้าหวานที่เดินลงมา ไม่ได้เงยหน้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ และกองเอกสารเลยด้วยซ้ำ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา จนคนถูกถามต้องกระชับสาบเสื้อคลุมไหมพรมเข้าหากัน

“เราล่ะเมฆ ทำไมยังไม่นอนอีก” คนเป็นพี่สาวย้อนถามบ้าง มองน้องสาวที่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็ง ดึกๆ ดื่นๆ อย่างเห็นใจ

“แปลงานอยู่ เขารีบ ต้องส่งก่อนเก้าโมงพรุ่งนี้” ม่านเมฆตอบ ก่อนจะเงยหน้าจากกองเอกสารที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำอยู่ มองใบหน้าที่ประพิมพ์ประพายคล้ายตัวเองด้วยสายตาจริงจัง “พี่รุจจะมาหาใช่ไหม”

คนเกิดก่อนพยักหน้าเบาๆ “อืม…”

“รักอะไรหนักหนา ทำไมไม่เลิกกับเขาอีก เมฆบอกแล้วไงว่าพี่รุจกำลังจะแต่งงานกับเพื่อนเก่าเมฆคนหนึ่ง”

“พี่รู้…”

“รู้ ! พี่ฝนบอกว่ารู้ แต่ก็ยังติดต่อกับพี่รุจ เขาหมั้นกัน ประกาศกันโครมๆ ว่ากำลังจะแต่งงานกัน ลงทั้งข่าวสังคม ไอจี เฟซบุ๊ค แทบทุกวันขนาดนั้น พี่ฝนไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ ที่ทำตัวเหมือนเป็นเมียน้อยพี่รุจอยู่แบบนี้ ทำตัวเหมือนแม่… ทั้งที่ตัวเองก็ว่าแม่”

คนถูกว่าตัวสั่น เบ้าตาร้อนผ่าว น้ำตารื้นคลอ หัวใจเจ็บแปลบไปหมด “พี่ยอมรับทุกข้อกล่าวหา แต่พี่ไม่ใช่เมียน้อย… เหมือนที่แม่เป็น”

ส่วนเรื่องภาณุรุจ… เธอมาก่อน ถ้ามีใครเป็นเมียน้อย ก็ต้องเป็นยัยลูกเศรษฐีนั่นต่างหาก… ม่านฝนเยาะหยัน ขณะเถียงน้องสาวในใจ แต่ก็ทำได้แค่เถียงในใจ ไม่กล้าพูดออกไป

“พี่ฝน…” ม่านเมฆเรียกพี่สาวด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ คุยเรื่องนี้ทีไรไม่เคยจบ ประเด็นเรื่องนี้เป็นเหตุให้เธอและม่านฝนทะเลาะกันตลอด “เลิกกับเขาไม่ได้เหรอ แค่เลิก… เมฆเลี้ยงพี่ฝนได้นะ ตอนนี้งานแอดมินเพจอาหารเสริมที่เมฆรับทำอยู่ รายได้ดี งานแปลมีมาเรื่อยๆ พี่ฝนไม่ต้องห่วง หรือกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเลย”

พี่สาวเม้มปากแน่น น้ำตาไหลร่วงอาบแก้มนวล “พี่… พี่เลิกไม่ได้จริงๆ พี่รักคุณรุจ รักเขามาก…”

คนฟังคำตอบทำเสียงในปากอย่างรำคาญ

ม่านเมฆมองม่านฝนทนทุกข์ระทมกับผู้ชายที่กำลังจะเป็นสามีของคนอื่นแล้ว ได้แต่เจ็บปวดใจ อึดอัดใจ อัดอั้นตันใจ เธอรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำอยู่ทุกนาที ไม่พอใจการกระทำของพี่สาว พร่ำบอกให้ม่านฝนยุติความสัมพันธ์กับภาณุรุจ แต่พี่สาวทำเหมือนหูทวนลม บอกแค่เพียงว่าอยู่ในที่ของตัวเอง ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ ถึงแม้เขาจะหมั้น หรือแต่งงาน พี่สาวของเธอก็ยังภักดีกับภาณุรุจไม่เสื่อมคลาย

ก่อนหน้าที่ภาณุรุจยังเป็นอิสระ ไม่ได้ตกลงปลงใจเรื่องงานวิวาห์ ม่านเมฆก็ไม่ได้ห้ามปราม หรือทัดทานอะไร แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มผันแปร เงื่อนไขหลายอย่างเริ่มเปลี่ยนไป เธอคิดว่าม่านฝนก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้

น่าตลกที่คู่หมั้นของภาณุรุจ คือมาสอาภา… เพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลายของเธอเอง

แต่จะว่ากันตามจริง ลูกสาวเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดังที่แสนจะร่ำรวยคนนั้น ไม่เคยเห็นเธอซึ่งเป็นนักเรียนทุน เป็นเพื่อน หรืออยู่ในสายตาด้วยซ้ำ รู้ตัวหรือเปล่าว่าเคยเรียนร่วมห้องเดียวกันตอนมัธยมปลาย

อย่างว่าล่ะ… แสงนวลจากดวงจันทร์ผ่องอำไพอย่างเจ้าหล่อน อยู่ตรงไหนก็ส่องแสงสว่างเจิดจรัส มีแต่คนรัก ชื่นชม และมองเห็น บางทีเธอก็นึกอยากจะเป็นก้อนเมฆพาลๆ ไปบดบังแสงจันทร์ไว้เหมือนกัน อยากรู้ว่าเจ้าหล่อนจะเปล่งประกายได้เหมือนเดิมหรือไม่

โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว

 

กว่าจะเช็ดเครื่องสำอาง อาบน้ำ โบกประโคมทาครีมบำรุงผิวจนครบทุกหลอดและทุกกระปุกบนโต๊ะเครื่องแป้ง มาสอาภาก็พบว่าการที่ทำทุกกิจกรรมอย่างอ้อยอิ่งแบบนั้น ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจขึ้นเลยสักนิด

คำพูดของภาณุรุจยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

ไม่มีอะไร… ใต้คำว่าไม่มีมันมักมี

แต่บอกตามตรงว่า เธอไม่กล้าจะถามออกไป… เพราะกลัวได้ยินคำตอบที่ไม่อยากฟัง

แน่นอนว่าคนที่มีพร้อมทั้งรูปร่าง หน้าตา และความสามารถดีเด่นขนาดนั้น จะเป็นโสดรอเธออยู่เหรอ

ถ้าไม่ใช่พวกกินผู้ชายด้วยกันเอง คนนั้นก็ต้องเป็นพระ…

แต่เขาไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เป็นผู้ชายธรรมดาแท้ๆ มีเลือด มีเนื้อ มีหัวใจ

มาสอาภารู้ว่าภาณุรุจเคยมีคนรัก เขาคบหากับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่หลังจากที่ตกลงหมั้นหมายกับเธอ เขาก็บอกชัดเจนว่าเลิกคบกับอีกฝ่ายไปแล้ว

แล้วคืนนี้เขาไปหาใครล่ะ

หึ

เสียงขรึมเข้ม คล้ายกับหัวเราะเยาะหยัน ทำเอาความคิดมาสอาภาสะดุด…

เธอไม่ได้หูฝาด มั่นใจมากว่าได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ก่อนจะรู้สึกได้ถึงไอเย็นยะเยือก คล้ายกับตอนสะดุ้งตื่นจากฝันเมื่อคืน ทำเอาขนอ่อนลุกเกรียวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

มาสอาภากลืนน้ำลายลงคอ เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบห้องนอนอย่างหวาดๆ มองเครื่องปรับอากาศปลายเตียง แล้วขมวดคิ้ว อุณหภูมิก็เป็นปกติ แต่ทำไมมันหนาวนัก

คิดอะไรไม่ออก ก็ไม่ต้องคิด… นอนก่อน ค่อยตื่นมาคิดพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย

แล้วคนกำลังคิดมาก จนสมองวุ่นวายก็เผลอหลับไปทันที

 

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งติดจมูก ทั้งยังมีส่วนที่เหนียวเหนอะหนะบริเวณปลายเท้า

เลือดมากมายมาจากที่ไหนกัน…

มาสอาภามองปลายเท้าก็พบว่าเลือดสดๆ เจิ่งนองเต็มพื้นมาจากข้อมือของหญิงสาวคนเมื่อคืน ผมยาวปรกปิดหน้านวล ทำให้เธอมองเห็นใบหน้านั้นไม่ชัด ทว่าริมฝีปากบางซีดไร้สีเลือดที่โผล่จากเรือนผมนั้น กำลังขยับเบาๆ คล้ายกับจะพูดอะไรสักอย่าง

หญิงสาวเขม้นมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างลุ้นระทึก เธอมองเห็นแสงโปร่งใส คล้ายภาพจางๆ ทับซ้อนบนร่างผู้หญิงที่นอนจมกองเลือดของตัวเอง

วิญญาณ

ใช่… วิญญาณของสาวโบราณแสนระทมทุกข์ คนที่กรีดข้อมือนั่น กำลังหลุดออกจากร่างแล้ว

คนที่เห็นทุกขั้นตอนพยายามตะโกนเรียก พยายามขยับตัวหนีให้พ้นจากความอึดอัดที่เป็นแค่คนเฝ้าดูแบบทำอะไรไม่ได้ แต่แล้ว… เธอก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวสีขาวบริสุทธิ์ ยืนกอดอก รอให้วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นออกมาจากร่างจนครบถ้วน

เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัดเจนนัก โครงหน้าที่เห็นรางๆ ก็จัดว่า… หล่อ เห็นเพียงเขากำลังส่ายหัว ริมฝีปากหยักได้รูปขยับเหมือนบ่นพึมพำว่า อีกแล้ว

คนมองเหตุการณ์ แต่เข้าไปยุ่งไม่ได้ ยืนงง ขมวดคิ้วพยายามเพ่งมองหน้าผู้ชายปริศนาคนนั้น แล้วเขาก็หันหน้ามา

เสียงดนตรีบรรเลงเวลาพระเอกหันมาดังขึ้นในความคิดของมาสอาภา ทำให้เธอเผลอมองเขาตาไม่กะพริบ กลืนน้ำลายลงคอ ในชีวิตนี้… ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีมาก่อน เธอเห็นมาเยอะมาก แต่ยอมรับว่าไม่เคยเห็นใครที่ทำให้ตะลึงขนาดนี้เลยสักคน

คิ้วเข้มดกดำพาดเฉียงรับดวงตาคมเข้มสีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรีนั่นลึกลับ แต่ดูน่าค้นหา ดวงตาคู่นั้นดึงดูดให้เธอมองจ้องอยู่นาน จนใบหน้าร้อนวูบ ก่อนจะมองไล่ไปตามสันจมูกโด่ง ริมฝีปากหยักได้รูปที่เหยียดเป็นเส้นตรง ผิวเนียนละเอียดมีลำแสงประหลาดแผ่ออกมาบนรูปร่างสูงใหญ่ แต่เพรียว ดูปราดเปรียว ทะมัดทะแมง ชุดสีขาวที่เขาสวมใส่อยู่ ทำให้ดูบริสุทธิ์ และยังดูมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ !

ว่าแต่เขาเป็นใคร เทวดา ?… ปกติความฝันของเธอไม่เคยมีบุคคลที่สามมาก่อน ยิ่งกว่านั้นเป็นผู้ชายที่หล่อชวนฝันขนาดนี้

วิญญาณสาวโบราณซึ่งคงจะมีชีวิตสุดรันทดคนนั้น มองผู้ชายหน้าหล่อที่ยืนรออยู่ด้วยสายตาอ้อนวอนระคนขอความเห็นใจ แล้วเจ้าหล่อนก็ทรุดร่างลงกับพื้น พร้อมกับใช้มือจับท่อนแขนแข็งแรงของเขาคนนั้นไว้ เสียงสะอึกสะอื้นพร่ำพูดแผ่วเบา

“ท่าน ข้าขอร้อง… ช่วยทำให้คำอธิษฐานของข้าเป็นจริงด้วยเถิดหนา ชาติหน้าข้าขอให้ได้สมหวังกับใครสักคนที่รักข้าจากใจจริงสักที”

สิ้นคำอธิษฐานสุดท้ายของผู้หญิงในความฝัน ดวงตากลมโตก็ลืมขึ้นด้วยความตกใจ !

 

มาสอาภากะพริบตาปริบๆ มองไปรอบห้องนอนของตัวเองอย่างอึ้งๆ ภาพจากความฝันเสมือนจริงเมื่อสักครู่ยังคงติดตา เสียงของผู้หญิงคนนั้นยังก้องอยู่ในหู

…ชาติหน้าข้าขอให้ได้สมหวังกับใครสักคนที่รักข้าจากใจจริงสักที

น่ากลัวชะมัด

หญิงสาวรู้สึกขนลุกไปหมด ลอบกลืนน้ำลายลงคอ มองไปยังนาฬิกาข้างหัวเตียง บอกเวลาตีห้าครึ่ง แต่ทำไมข่มตาลงไม่ได้ จึงตัดสินใจลุกขึ้นล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดให้สุภาพเรียบร้อยขึ้น

อะไรบางอย่างกระตุ้นให้เธอลงไปใส่บาตรกับแม่… อย่างน้อย ก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้หญิงคนนั้นก็แล้วกัน

 

“แม่ขา… มาสขอใส่บาตรด้วยคนนะคะ”

คนเป็นลูกสาวที่ไม่เคยตื่นเช้ามานานแล้ว วิ่งลงบันไดอย่างร่าเริง ระหว่างร้องเรียกมารดาที่กำลังสั่งงานให้เด็กรับใช้จัดของเตรียมใส่บาตรหน้าบ้านเป็นประจำทุกเช้า

“หืม…” คุณอาภาเงยหน้ามองหน้าลูกสาว แววตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ “ร้อยวันพันปี เราไม่เคยตื่นมาทำบุญใส่บาตรตอนเช้าเลยนะ ฝันแปลกๆ อีกแล้วหรือลูก เล่าให้แม่ฟังสิ”

มาสอาภากลืนน้ำลายลงคอ บอกไม่ถูกว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อนดี

“มาสว่าเราไปใส่บาตรกันก่อนดีไหมคะ แล้วมาสค่อยเล่าให้แม่ฟัง”

“ได้จ้ะ… ไปกันเถอะลูก ใส่บาตรหน่อยก็ดี มาสจะได้สบายใจขึ้น จะหกโมงแล้ว หลวงตาใกล้จะผ่านหน้าบ้านแล้ว” ประโยคท้ายมารดาชวนให้เธอยกของ เดินออกไปหน้าบ้านพร้อมกัน

หลังใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย มาสอาภานั่งลงบนเข่าอย่างสำรวม เพื่อรอรับศีลรับพรจากหลวงตา ซึ่งเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก ท่านมองหน้าเธออย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะเอ่ยทัก

“โยม… คนเราทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง  จะทำอะไรขอให้มีสติให้มาก”

มาสอาภาพนมมือค้าง มองหลวงตาอย่างงุนงง

คุณอาภานิ่งคิด คำเตือนของหลวงตาที่ปกติไม่เคยปริปากพูดอะไร นอกจากให้ศีลให้พร ทำเอาคนเป็นแม่ถึงกับร้อนรน อดไม่ได้รีบเอ่ยถาม “มาสกำลังจะมีเคราะห์หรือคะหลวงตา จะแก้ไขอย่างไรได้บ้างคะ”

“อาจจะทำให้มีช่วง… ที่ยากอยู่สักหน่อยนะโยม ต้องอาศัยเขา ถึงจะผ่านพ้นไปได้ ไตร่ตรองทุกอย่างให้ดี คิดให้ดีก่อนจะทำอะไรลงไป” หลวงตาส่ายหน้า ไม่ได้มองคนถาม แต่มองไปยังเบื้องหลังของผู้หญิงต่างวัยทั้งสอง ก่อนจะถอนหายใจ “บุญกรรมของเขา คนอื่นไม่มีกรรมสัมพันธ์ก็แทรกไม่ได้ กรรมกำหนดด้วยการกระทำ ขอให้มีสติให้มาก สติ สมาธิ ปัญญา คิดดี ทำดี ประคองตัวในทางดีจะนำไปสู่ทางสว่างเอง”

“ช่วงนี้ยัยมาสฝันร้ายค่ะ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตายบ่อยๆ หรือจะเกี่ยวข้องคะหลวงตา” คุณอาภาสอบถามในเรื่องที่กังวลใจ

หลวงตานิ่งฟัง พึมพำตอบว่า “เจริญสติ” และเดินจากไป

คุณอาภาเก็บของบนโต๊ะใส่บาตรด้วยสีหน้าค่อนข้างกังวล เพราะปกติหลวงตาจะไม่เคยทัก หรือพูดอะไรมาก่อน ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์อะไรมาสะกิดท่าน ความวิตกเริ่มกัดกินใจคนเป็นแม่ เพราะความห่วงลูกสาวจับใจ

มาสอาภาเห็นมารดาถอนหายใจ ขมวดคิ้วนิ่วหน้า จึงรีบปลอบ “แม่ อย่าคิดมากเลยนะคะ มาสไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ”

“ใกล้จะเบญจเพสแล้วด้วยนะเรา ช่วงนี้ก็ระวังๆ ตัวด้วยนะลูก อย่าขับรถเอง จะไปไหนมาไหนก็ให้คนขับรถที่บ้านพาไป ดูอย่างลูกชายของคุณป้าอรวีข้างบ้านสิ ตื่นเช้ามาตักบาตรกับแม่ทุกวัน อยู่ๆ ก็ประสบอุบัติเหตุ”

“พี่วัสตาย… เอ่อ เสียแล้วเหรอคะแม่” มาสอาภาอดคิดถึงพี่ชายข้างบ้าน… คนที่เธอเห็นมาตั้งแต่เด็กไม่ได้… ได้ข่าวอยู่ว่าประสบอุบัติเหตุ แต่ยังไงต่อ เธอไม่รู้

“ยังไม่ตาย แต่กลายเป็นเจ้าชายนิทรา”  คุณอาภาเล่าตามที่ได้ไปเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการของลูกชายเพื่อนบ้านเมื่อวันก่อน ก่อนจะเอ่ยถามลูกสาวขึ้นอีกอย่างอดพะวงไม่ได้จริงๆ คำเตือนจากหลวงตานั้นนับว่าแปลกมากพอสมควร “มาสอายุจะเบญจเพสอาจจะมีเจ้ากรรมนายเวร  ไหนเล่าความฝันให้แม่ฟังแบบละเอียดๆ สิ”

“ก็เรื่องเดิมนั่นแหละค่ะแม่ แต่เมื่อคืนมีใครก็ไม่รู้เพิ่มมาอีกหนึ่ง”

จู่ๆ ดวงตาคมเข้มสีเดียวกับท้องฟ้ายามราตรีกาลในความทรงจำ ทำให้เธอขนลุก เผลอมองไปรอบตัว แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

“มองอะไรมาส”

“เหมือนมีใครมองมาสอยู่เลยค่ะ รู้สึกเหมือน… ขนลุก อืม… มาสอาจจะปวดท้องตอนเช้าก็ได้นะคะแม่” ประโยคท้ายคนเป็นลูกแสร้งพูดติดตลก เพราะไม่อยากให้มารดาเครียดไปมากกว่านี้



Don`t copy text!