เมฆพรางจันทร์ บทที่ 4 : ฤทัยธุวา

เมฆพรางจันทร์ บทที่ 4 : ฤทัยธุวา

โดย : คุณหญิง ร่ำรวยมหาศาล

Loading

เมฆพรางจันทร์ นวนิยายโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย คุณหญิงร่ำรวยมหาศาล กับเรื่องราวของว่าที่เจ้าสาวที่วิญญาณหลุดออกจากร่างกับข้อแม้ที่หากอยากฟื้นคืนชีวิตต้องทำภารกิจให้กับยมฑูตหนุ่ม แต่เอ๊ะ! ทำไมอยู่ๆ หัวใจเธอถึงรู้สึกแปลกๆ กับเขานะ มาร่วมลุ้นกับภารกิจและหัวใจที่สั่นไหวของเธอในอ่านเอากับนวนิยายออนไลน์สนุกๆ เรื่องนี้

“หมอว่าเท่าที่ฟังคุณเล่ามานะคะ คุณอาจจะกังวลกับเรื่องงานแต่งงานมากเกินไปนะคะ ลองทำใจให้สบายนะคะ ไม่ต้องวิตกนะคะ ไม่ต้องหวาดระแวงมากนะคะ อาการแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับเจ้าสาวทุกคนนะคะ”

มาสอาภายกนิ้วโป้งขึ้นมากัด หลังจากทำเสียงจิตแพทย์ที่เพิ่งไปปรึกษามาเมื่อสักครู่ให้ชีวินฟัง

ชายหนุ่มผมยาวนั่งหัวเราะ แก้มบุ๋มลงไปเพราะลักยิ้ม ขณะรินชาจากกาน้ำชาส่งให้เพื่อนรักที่แจ้นมาหาเขาถึงร้าน เพื่อระบายเรื่องที่ตัวเองกังวลให้ฟัง

มาสอาภาเป็นแบบนี้เสมอ ไม่เคยปกปิดอาการตื่นตระหนก หรือสงวนท่าทีของตัวเองกับเขา เธอเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะเจ้าหล่อนรู้ว่าเขาไม่เคยขัดใจ ไม่เคยทักท้วง ทำแค่เพียงรับฟังเงียบๆ เท่านั้น

“วินคิดดู หมอหาว่ามาสเป็นโรค Bridezilla แหม…มาสไม่เคยกังวลเลยสักนิดเถอะ!” เพื่อนตัวดีเลิกกัดนิ้ว แต่ยังไม่เลิกบ่น “แล้ววินคิดดูนะ เจ้าบ่าวของมาส คือแบบทั้งดี ทั้งหล่อ เอ่อ… ” จู่ๆ ภาพใบหน้าของคนหล่อกว่าใครที่เพิ่งเห็นในฝันเมื่อคืน ก็แทรกเข้ามาในห้วงคำนึง

“ทำไม ไม่ใช่ว่ามาสไปเจอคนหล่อกว่าพี่รุจแล้วอยากจะเปลี่ยนใจนะ” ชีวินดักคอ

“บ้า ไม่ใช่สักหน่อย” คนถูกรู้ทันหน้าแดงเรื่อ ไม่สามารถสลัดแววตาของผู้ชายคนนั้นออกไปได้สักที แล้วทำไม… พอคิดถึงดวงตาคู่นั้น จะต้องมีไอเย็นยะเยือกมากระทบผิวด้วย

“วินเปิดแอร์แรงไปไหม ทำไมมาสรู้สึกหนาวจัง”

ชีวินลุกขึ้นเดินไปดูอุณหภูมิที่รีโมตเครื่องปรับอากาศ แล้วเดินกลับมา “ไม่นะ เปิดปกติ ทำไมมาสหนาวล่ะ เราก็ว่าอุณหภูมิก็ปกตินะ”

“อืม ปกติก็ปกติ” มาสอาภาเหลียวมองไปรอบตัวอย่างหวาดๆ พักนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากดวงตาลึกลับอย่างไรบอกไม่ถูก “ไม่รู้สิ บางทีมาสรู้สึกเหมือนเดินผ่านตู้เย็นที่เปิดทิ้งไว้ วินเข้าใจไหม”

ชีวินขำกับคำเปรียบเปรยนั่น “สรุป มาสเป็นโรคก็อตซิลลาจริงๆ ใช่ไหม”

“ก็อตซิลลาที่ไหนยะ ไบด์ซิลลาต่างหาก”

“รู้น่าๆ เราแค่แกล้งแหย่ให้มาสอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้นเอง”

“นอกจากหมอบอกว่ามาสเป็นโรคเจ้าสาวแล้วนะ เมื่อเช้ามาสใส่บาตรพระ หลวงตาท่านยังทักมาสอีกด้วย”

“ทักว่ายังไงเหรอ เล่าให้เราฟังหน่อย” ชีวินขยับตัว ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ท่าทางกระตือรือร้นอยากรู้เรื่องราวของเพื่อนมากขึ้น

“หลวงตาบอกว่า มาสมีกรรมสัมพันธ์ที่เคยทำร่วมกับพวกเขา แล้วมาสก็จะมีช่วงที่ยากอยู่ หรือช่วงที่อยู่ยาก อะไรสักอย่างทำนองนี้นี่แหละ แล้วมาสต้องอาศัยเขา…ถึงจะผ่านพ้นไปได้ แล้วก็เตือนให้มีสติ อะไรประมาณนี้” มาสอาภาเล่าให้เพื่อนฟังอย่างละเอียดถึงคำพูดของหลวงตา เพราะต่อหน้าคุณอาภา เธอไม่อยากเผยความวิตกกังวลอะไรออกไปมากนัก แต่ยอมรับว่าคำทักของพระรูปนั้น ทำให้เธออดคิดมากไม่ได้

“มาสจะต้องอาศัยเขา เขาคนนั้นคือใคร…คุณพ่อของมาสเหรอ” ชีวินเอ่ยถามขึ้น วางถ้วยชาลงบนจานรองลายเดียวกับแก้ว

“มาสไม่รู้หรอก แต่คนที่จะช่วยมาสได้ทุกอย่าง ก็คงมีแค่พ่อ แม่ พี่ดิน พี่รุจ แล้วก็วินนั่นแหละ” หญิงสาวทำท่าคิด แต่แล้วการสนทนาก็ต้องชะงัก เพราะเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น “ขอรับสายหน่อยนะ คนที่บริษัทมาสโทรมา จ้า…ว่าไงเหรอจุ๊บ…หือ อะไรนะ หมายเรียกตัวไปให้การเหรอ ข้อหาอะไร…”

เจ้าของบริษัทคนเก่งมืออ่อนทันทีที่ฟังข้อกล่าวหายาวเหยียดจบ โทรศัพท์เกือบร่วงลงพื้น ถ้าชีวินไม่รับไว้เสียก่อน เธอสูดลมหายใจเข้าปอด เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของตัวเองกลับมา

“มาส เป็นอะไร มีอะไร”

“วิน มาสเล่าความฝันให้ฟังหรือยัง” เมื่อเห็นคนถูกถามส่ายหน้า หญิงสาวจึงบอก “มาสฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกรีดข้อมือตัวเองฆ่าตัวตาย”

“แล้ว…” ชีวินขมวดคิ้ว มองหน้าซีดเซียวของเพื่อน แล้วยกถ้วยชาให้ดื่ม “ดื่มชาก่อน ช่วยผ่อนคลาย”

“ไม่แล้วไง มาสตรวจสอบดูว่าฝันแบบนั้นหมายความว่ายังไง” เธอหยุดเว้นระยะหายใจนิดหนึ่ง ไม่คิดไม่ฝันว่าบริษัทอาหารเสริมของตัวเองจะโดนข้อหานี้ “เขาบอกว่ามาสจะมีเคราะห์ใหญ่…”

“คนที่บริษัทโทรมาว่าอะไร” เจ้าของร้านยอดชีวินถาม เริ่มเป็นห่วงอีกฝ่ายจริงจัง เพราะใบหน้าที่ปกติร่าเริงเป็นนิจ เริ่มซีดเผือดลงเรื่อยๆ ริมฝีปากบางสั่นระริก

“มาสโดนแจ้งข้อหาว่าโฆษณาสรรพคุณสินค้าเกินจริง แล้วก็บอกว่าเป็นการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต หลอกลวงให้ผู้คนหลงเชื่อ…วิน มาสไม่ได้หลอกใครนะ”

“เรารู้…ใจเย็นก่อนนะมาส สติไง ต้องตั้งสติก่อน”

“ทนาย มาสต้องโทรหาทนายก่อนอันดับแรก” มาสอาภาเริ่มลนลาน เปิดโปรแกรมไล่หาเบอร์โทรศัพท์ของทนายประจำบริษัท

“ใจเย็นๆ นะมาส ใจเย็นๆ” ชีวินพยายามบอกให้เพื่อนตั้งสติ “ลนลานไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”

“แต่วิน…มาสไม่ได้หลอกลวงใครเลยนะ” มาสอาภายังยืนยันคำเดิม “ทำไมพวกเขาถึงตั้งข้อหานี้กับมาสล่ะ”

“อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิด” ชีวินพึมพำ

“ไม่ได้การแล้ว มาสต้องรีบไปบริษัทแล้ววิน” มาสอาภาตัดสินใจฉับไว อันเป็นลักษณะส่วนตัวของเธอ กุลีกุจอคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นไหล่ แต่ไม่ลืมหันมาย้ำกับเพื่อน “ไม่ต้องห่วงนะวิน เดี๋ยวมาสจะโทรแจ้งข่าว”

ชีวินทำแค่เพียงพยักหน้าเบาๆ สายตาทอดมองร่างบอบบางที่เดินออกจากร้านของเขาไปอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

 

ม่านเมฆในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ดันขาตั้งมอเตอร์ไซค์ลงจอดไว้หน้ารั้วบ้าน เธอย้อนกลับมาหยิบซองเอกสารสำคัญที่ลืมเอาไว้ในทาวน์โฮมสองชั้นชานเมืองอีกครั้ง หลังจากที่ออกไปเมื่อสิบห้านาทีก่อนหน้านี้

ดวงตากลมโตเขม้นมองข้างบ้าน ซึ่งกำลังขนสิ่งของต่างๆ ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ เอียงคอไปมาอย่างงุนงง เมื่อมีผู้หญิงร่างบอบบาง ใบหน้าขาวถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจง นัยน์ตาสีดำดุจราตรีกาล แวววาวระยิบระยับเป็นประกายประหลาดน่ามอง ริมฝีปากแดงสดดั่งดอกกุหลาบกำลังส่งยิ้มให้เธอ ผมยาวดำขลับถึงกลางหลังขยับไปมาเมื่อเจ้าหล่อนเดินนวยนาดเข้ามาข้างรั้วที่ติดกัน

“ย้ายมาอยู่ใหม่หรือคะ…” ม่านเมฆเอ่ยถามเพื่อนบ้านคนใหม่ที่สวยจัดอย่างตะลึง “คุณสวยจัง” แล้วหลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

แต่อีกฝ่ายเมื่อได้รับคำชมว่าสวยก็คลี่ยิ้มหวานหยดย้อยออกมาอย่างยินดี มือขาวเนียนจึงยื่นดอกไม้สีม่วงในมือส่งให้ “ให้คุณค่ะ”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ มองดอกไม้ดอกตูมสีม่วงอ่อนอย่างงุนงง ก่อนจะยื่นมือไปรับมา

“ดอกอะไรหรือคะ สวยมากเลย”

คนให้ดอกไม้ยิ้มหวาน ริมฝีปากแดงสวยขยับพึมพำเบาๆ “ฤทัยธุวา…”

“คะ…ฤทัยธุวา ชื่อเพราะจัง” ม่านเมฆมองดอกไม้ในมือด้วยสายตาหลงใหลดังต้องมนตร์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนให้ที่เดินตัวปลิวจากไปอย่างไม่สนใจเธออีก เพราะมัวสาละวนกับการบงการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านต่อ เมื่อมองตามไปก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าใสตัวสูงและผู้ชายตัวโตอีกคน กำลังพูดคุยกับสาวสวยเจ้าของดอกไม้คนนั้น เพื่อนบ้านใหม่ของเธอหน้าตาดีทุกคน…เธอคาดเดาว่าทั้งสามคนน่าจะเป็นพี่น้องกัน

เอาเถอะ…อยู่เป็นเพื่อนบ้านกันขนาดนี้ ยังไงก็ต้องได้เจอกันเรื่อยๆ อยู่ดี

หญิงสาวมองดอกไม้ชื่อไพเราะในมือ พร้อมกับครุ่นคิดระหว่างเดินเข้าบ้านเพื่อไปหยิบซองเอกสาร เธอเสียบดอกไม้สีม่วงอ่อนไว้ในแจกันดอกไม้กลางห้องรับแขก พลางอมยิ้มชื่นชมความสวยงามอย่างหลงใหล ดอกไม้สีม่วงกลีบบางมีแรงดึงดูดจนไม่อยากละสายตา  ม่านเมฆเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมรู้แต่เธอชอบมันมาก สิบนาทีผ่านไปจึงค่อยรู้ตัวว่าใช้เวลาชื่นชมนานไปแล้ว เธอมีธุระต้องรีบไป จึงรีบซอยเท้าออกจากบ้าน แต่เสียงที่ดังขึ้นมาจากด้านบนทำให้ต้องชะงัก ขมวดคิ้วเข้าหากัน เสียงอาเจียนของพี่สาวดังมาจากห้องน้ำชั้นบน คิ้วบางเลิกขึ้น แล้วค่อยๆ เดินขึ้นไปอย่างเงียบเชียบ

ม่านเมฆใจเต้นโครมคราม พร่ำภาวนาในใจขอให้การอาเจียนของม่านฝนมีสาเหตุมาจากอย่างอื่น ซึ่งก็เป็นไปได้หลายกรณี เธอยังไม่ควรตื่นตูมไปล่วงหน้า

ใบหน้าหวานซีดลง ทว่าผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง อิ่มเอิบมีน้ำมีนวล ม่านเมฆจ้องมองเข้าไปในดวงตาของคนเป็นพี่ด้วยความคาดหวัง ขณะเอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “พี่ฝน…เป็นโรคกระเพาะใช่ไหม ไม่ใช่…อย่างอื่น ใช่ไหม”

ริมฝีปากสีอ่อนเม้มเข้าหากัน ดวงตาหวานนั้นกลับทอแสงประกายหมายมาด

ม่านฝนรู้ดีทุกอย่าง รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไร…แต่ไม่นี่ เธอไม่ได้ผิด ก็แค่รัก…รักเขามาก เท่าที่คนหนึ่งจะรักใครอีกคนหนึ่งได้

รักเลยต้องเห็นแก่ตัว…ทำทุกอย่างเพื่อความรัก

ไม่ได้รู้สึกว่าทำผิดอะไรสักนิด

ม่านเมฆกะพริบตาปริบๆ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา มือบางกำเข้าหากันแน่น “เมฆไม่คิดจริงๆ ว่าพี่สาวของเมฆจะเป็นไปได้ขนาดนี้”

“พี่เป็นยังไง พี่เป็นแค่ผู้หญิงที่รักผู้ชายคนหนึ่งมาก”

“แต่ผู้ชายคนนั้นเขากำลังจะแต่งงานไงพี่ฝน! พอสักทีเถอะ เลิกเพ้อฝันได้แล้ว ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ใช่ของพี่อีกแล้ว พอพี่รุจแต่งงาน พี่ฝนก็จะเหมือนแม่ ลูกพี่ก็เหมือนพวกเรานี่ไง!”

“พี่ไม่ใช่แม่ พี่ไม่ได้โง่เหมือนแม่ที่ยอมท้องกับผู้ชายคนนั้น แล้วยังปิดปากเงียบ คุณรุจเป็นของพี่ เราจดทะเบียนสมรสกันแล้ว พี่ไม่มีทางเหมือนแม่แน่นอน”

คำประกาศของพี่สาวทำเอาคนเกิดทีหลังชะงัก “พี่ฝน…พูดว่าอะไรนะ”

“ใช่…เมฆ พี่กับคุณรุจจดทะเบียนสมรสกันเรียบร้อยแล้ว ถ้ายึดเอาตามความจริง…พี่คือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณรุจ”

ม่านเมฆตะลึงงัน เกือบจะคล้อยตามอยู่แล้ว แต่นึกอย่างไรพี่สาวก็ทำไม่ถูกต้อง รู้อยู่แก่ใจว่าพี่รุจกำลังแต่งงาน แต่ยังไปจดทะเบียนสมรสกับเขาอีก

“พี่ฝนแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้จดทะเบียนสมรสซ้อน”

“คุณรุจเขายืนยันกับพี่”

“เขาพูดอะไรพี่ฝนก็เชื่อทุกอย่างเลยเหรอ”

ม่านฝนพยักหน้า “ใช่…พี่เชื่อคุณรุจทุกอย่าง เขาบอกว่ารักพี่ ปรารถนาในตัวพี่ ไม่เคยรักผู้หญิงคนนั้นเลย”

“พี่ฝน…ยอมรับความจริงบ้างเถอะ” คนเป็นน้องที่มองโลกตามความจริงอยู่เสมอส่ายหน้า น้ำตาร้อนที่อัดอั้นมานานหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาเป็นสาย “พี่รุจพูดอะไรพี่เชื่อเขา แต่กับเมฆที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่ พูดยังไง พี่ก็ไม่เชื่อ”

คนเป็นพี่เงียบ ไม่ตอบโต้ เม้มปากเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง

“เมฆไม่คุยกับพี่ฝนแล้ว อยากทำอะไรก็เชิญ ต่อไปนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน!”

พูดจบ ม่านเมฆก็วิ่งตึงตังลงบันได ตามด้วยเสียงปิดประตูบ้านดังโครม ก่อนจะมีเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับออกจากบ้านไป…ม่านฝนยังคงยืนนิ่ง ดวงตาเหมือนมีความลับซุกซ่อนอยู่ มองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า เหมือนมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ว่าดีที่สุด ถูกต้องที่สุดแล้ว…

 



Don`t copy text!