MESSY BUDDY คุณบัดเดอร์ ใช่เธอหรือเปล่า? บทที่ 3 : ความเกลียดชังในดวงตา

MESSY BUDDY คุณบัดเดอร์ ใช่เธอหรือเปล่า? บทที่ 3 : ความเกลียดชังในดวงตา

โดย : แสนแก้ว

MESSY BUDDY คุณบัดเดอร์ ใช่เธอหรือเปล่า?  โดย แสนแก้ว หญิงสาวผู้มีความฝันอยากเป็นนักเขียน จึงตัดสินใจเข้าอบรมในโครงการ อ่านเอา ก้าวแรกรุ่นที่ ๑ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจกลับไปเขียนนวนิยายจนจบเป็นเรื่องแรกและได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการประกวดในครั้งนี้ และนี่คือ นิยายออนไลน์ ที่เราอยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

– 3 –

 

เช้าวันแรกของการเล่นบัดดี้ พนักงานทั้งออฟฟิศต่างเฮฮาร่าเริง หลายคนมาทำงานแล้วพบขนมพร้อมด้วยการ์ดใบเล็กเขียนคำอวยพรทักทายวางรออยู่บนโต๊ะ ของบางคนพบว่าไม่ได้มีแค่การ์ดเท่านั้น มีรูปตนเองสมัยยังเป็นวัยรุ่นหน้าตาพิลึกแปะแถมอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วย โดนหยิกแกมหยอกกันไป

สำหรับบัดดี้สุดที่ปลื้มของเอกอักษร ของขวัญชิ้นแรกจากเธอก็คือ กล่องอาหารเช้าห่อด้วยผ้าลายเชอร์รีสีฟ้า พร้อมด้วยช้อนส้อมสะอาดเสียบไว้กับปมผ้าด้านบน ดูน่ารักคิขุแบบเบนโตะของประเทศญี่ปุ่น ทั้งประณีต เอาใจใส่ และเต็มไปด้วยความห่วงใยในสุขภาพของคุณบัดดี้ ด้วยอาหารที่เธอปรุงเองกับมือสดใหม่เมื่อเช้านี้

เพื่อนๆ ในแผนกขายต่างประเทศต่างมุงดูชื่นชมกันใหญ่ จนเอกอักษรที่แสร้งทำเป็นเดินไปส่งเอกสารแถวนั้น ต้องกลับมานั่งม้วนต้วนที่โต๊ะ

“บัดเดอร์ของพอร์ชนี่ แม่บ้านญี่ปุ่นชัดๆ ทำเบนโตะอาหารเช้ามาให้ด้วย” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“น่ารักจังเลย คงจะรู้ว่าพอร์ชไม่ค่อยมีเวลากินข้าวเช้าสินะ” เซลส์สาวอีกคนเสริม แล้วทุกคนก็รอลุ้นให้พอร์ชแกะห่อผ้าออก คุณพอร์ชยิ้มแล้วจึงแกะผ้าตามเสียงเชียร์ ก่อนจะพบว่าอาหารข้างในถูกจัดวางอย่างบรรจงสวยงาม ทั้งสารพัดผักลวก ไข่ทอดชะอม น้ำพริกปลาร้า ส่วนช่องใหญ่ของกล่องก็มีข้าวผัดน้ำพริกปลาเค็มบรรจุอยู่อย่างเต็มอิ่ม

พวกที่มุงดูอยู่ถึงกับวงแตก

“โอ้โฮ…ขอถอนคำพูด ไม่ใช่แม่บ้านญี่ปุ่นแล้วว่ะ แม่บ้านแห่งสยามประเทศเลยแหละ”

“พรุ่งนี้มาเป็นขันโตกแน่แกเอ๊ย”

คุณพอร์ชไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่หัวเราะเก้อๆ แล้วรีบปิดฝากล่องก่อนที่กลิ่นจะตลบอบอวลไปมากกว่านี้

ส่วนคนที่ไม่อยากเล่นบัดดี้อย่างตี๋ใหญ่ ก็ได้รับการต้อนรับในเช้าวันแรกด้วยชุดแปรงสีฟัน ยาสีฟัน กับอีกหนึ่งน้ำยาบ้วนปากขวดใหญ่ สูตรดับเบิลแอ็กชัน ทะลวงทุกซอกฟัน ฆ่าแบคทีเรียร้าย ตายยกรัง ตี๋ใหญ่ยังพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าคุณพอร์ชจะกินข้าวผัดน้ำพริกปลาเค็ม กับน้ำพริกปลาร้าเป็นอาหารเช้าจริงละก็ มาขอน้ำยาบ้วนปากที่เขาได้ แบ่งให้ฟรีไม่คิดสตางค์

นอกจากของขวัญที่บรรดาบัดเดอร์วางเซอร์ไพรส์ไว้บนโต๊ะทำงานแล้ว  ยังมีรอบสองคือ ‘ตะกร้าพี่เป้ย’ โดยพี่เลขาฯ สาวจะตั้งตะกร้าไว้ที่โต๊ะทำงานของตนซึ่งอยู่ใกล้ทางเข้าออฟฟิศ ใครมีของฝากให้บัดดี้ก็นำมาใส่ไว้ได้ แล้วพี่เป้ยจะเดินแจกให้ในช่วงบ่าย

พี่เป้ยเดินถือตะกร้าเปล่ากลับไปแล้ว เอกอักษรก็ยังไม่ได้ของขวัญ…

หญิงสาวก้มหน้าทำงานต่อ รู้ตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว พนักงานกลับบ้านกันจนเกือบหมด บนโต๊ะเธอก็ยังไม่มีของฝากใดๆ ช่างเป็นการเล่นบัดดี้วันแรกที่ช่างน่าประทับใจเสียนี่กระไร

 

จนเวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เอกอักษรก็ยังไม่ได้รับอะไรเลยสักชิ้น แม้แต่การ์ดสักใบ หรือกระดาษโพสต์อิทสักแผ่น เขียนข้อความสักคำสองคำมาแปะไว้บนโต๊ะให้รู้ว่าบัดเดอร์มีตัวตนสักหน่อยก็ไม่มี หญิงสาวหันไปมองโต๊ะของเก็จดาวซึ่งอยู่เยื้องไปข้างหน้า ช่วงนี้เก็จดาว เพื่อนสาวนักการตลาดมีภารกิจไปต่างจังหวัดตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ได้เข้าออฟฟิศเลย จึงมีของขวัญจากบัดเดอร์วางอยู่เต็มโต๊ะ และแต่ละชิ้นที่มาวางก็เรียกเสียงว้าวจากเพื่อนที่นั่งอยู่รอบๆ ได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ ขนมคุกกี้ยี่ห้อดัง ไปจนถึงชุดน้ำหอมหรูหรา เอกอักษรนั่งเอามือเท้าคางทอดสายตามอง ทำปากยื่นเซ็งๆ จะว่าอิจฉาก็ไม่เชิง เพราะเธอไม่ได้อยากได้อะไรที่หรูหราขนาดนั้น แค่อยากรู้ว่าคุณบัดเดอร์มีตัวตนอยู่และเห็นเธอมีตัวตนเช่นกัน เท่านั้นเอง

และแล้วก็ถึงเวลาแจกของจากพี่เป้ย เลขานุการสาวสวยหอบตะกร้าใบใหญ่ แจกของให้พนักงานทีละโซน ซึ่งทุกคนก็ยิ้มรับดีใจราวกับพี่เป้ยเป็นซานตาคลอสก็ไม่ปาน จนกระทั่งมาถึงโซนของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขาย พี่เบียร์ได้น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง แล้วก็มาถึงเธอ…

“อันนี้ของเอจ้ะ” พี่เป้ยบอก แล้วยื่นกระดาษขนาดเอสี่ให้ใบหนึ่ง

หญิงสาวยิ้มกว้าง รับมาถือไว้ แต่แล้วก็ต้องอึ้งไป…เพราะมันคือใบกำกับภาษีลูกค้าที่เธอเพิ่งจะแก้ไขให้แอร์รี่ไปเมื่อเช้า

“ขอโทษทีนะ ไม่ใช่ของจากบัดเดอร์หรอกจ้ะ พอดีแอร์รี่เขาฝากมา บอกว่าให้เอช่วยแก้ที่อยู่ลูกค้าให้อีกที รหัสไปรษณีย์ผิดน่ะ ฝากบอกอีกว่า ขอด่วนด้วยน่ะจ้ะ”

“ค่ะพี่เป้ย ขอบคุณค่ะ”

เปรมยุดายิ้มรับ แล้วอ้อมหลังเธอไปวางขวดโรลออนระงับกลิ่นกายบนโต๊ะนายตี๋ใหญ่ และกล่องน้ำผลไม้เบอร์รีรวมจากต่างประเทศบนโต๊ะเก็จดาว

เอกอักษรขยับแว่นตาทรงกลมกรอบใหญ่แล้วก้มลงดูเอกสารในมืออีกครั้ง ถึงแม้จะผิดแค่จุดเล็กจุดน้อยแค่รหัสไปรษณีย์ตรงที่อยู่ลูกค้า แต่ประเด็นคือเธอไม่สามารถแก้ไขเอง ต้องทำเรื่องในระบบส่งไปถึงแผนกบัญชีให้แก้ไขให้ แล้วโทรศัพท์ตามไปอ้อนวอนให้รีบแก้กลับมาด่วน ตามที่คุณอนุธิดา หรือแอร์รี่ เซลส์คู่งานของเธอ ‘สั่ง’ ไว้ หญิงสาววางเอกสารลงแล้วถอนหายใจ  ตั้งแต่เช้ามาเธอยังแก้เจ้าใบนี้ไม่จบไม่สิ้นเหมือนโดนกลั่นแกล้ง จนพี่แผนกบัญชีเริ่มบ่น และเอกสารอื่นก็กองไว้แทบไม่ได้แตะต้อง คืนนี้คงไม่วายต้องกลับดึกอีกตามเคย

หรือคุณบัดเดอร์ของเธอก็หมั่นไส้ เหม็นขี้หน้าเธอเหมือนแอร์รี่…

‘หรือว่า…แอร์รี่ก็คือคุณบัดเดอร์’

เอกอักษรเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ถ้าคุณบัดเดอร์จะเกลียดขี้หน้าเธอจนไม่ยอมเล่นเกมบัดดี้กับเธออย่างนี้ คุณบัดเดอร์ก็คงไม่พ้นต้องเป็นแอร์รี่ หรือไม่ก็…ไอ้พี่เบียร์ที่นั่งเล่นเฟซบุ๊ก ดูดน้ำอัดลมอยู่ข้างๆ เป็นแน่แท้

 

และแล้ว ช่วงสิ้นเดือนนรกแตกก็เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ทั้งบรรดาเซลส์ก็เร่งยอดขายเพื่อให้ปิดเดือนได้ตามเป้า เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขายอย่างเอกอักษรจึงต้องปั่นงานตามเป็นพัลวันเพื่อส่งรายงานยอดขายให้ทันสิ้นเดือน มิหนำซ้ำ ยังต้องรวบรวมบรรดารายงานต่างๆ ส่งแผนกบัญชีที่รอปิดบัญชีตอนต้นเดือนด้วย เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่แต่ละคนต้องเค้นเอาพลังยอดมนุษย์มาใช้ มีกำลังภายในเท่าไรต้องสำแดง

แต่ทว่า…ในเวลาสองทุ่มเศษ ขณะที่เอกอักษรยังมือระรัวกับคีย์บอร์ด โดยสายตามองที่กระดาษโน้ตสลับกับจอคอมพิวเตอร์เป็นพัลวันอยู่นั้น พี่เบียร์ เพื่อนร่วมแผนกก็เกิดสะดุ้งเฮือกขึ้นมาเหมือนนึกอะไรได้

“เอ…เอครับ พี่วานอะไรหน่อยสิ”

มาแล้ว…มุกเดิม เอกอักษรนึกในใจ พอหันไปก็เจอกับเอกสารปึกหนึ่งที่ยื่นมาตรงหน้า

“ช่วยทำให้พี่ก่อนได้ไหม พอดีว่าพี่มีธุระด่วนน่ะ แต่เอกสารนี่ก็ด่วน เพราะต้องส่งตัวเลขยอดขายของตี๋ใหญ่ให้เรียบร้อยภายในคืนนี้”

นั่นไง เอาชื่อนายตี๋เพื่อนรักมาอ้างตามเคย ไอ้พี่เบียร์เป็นคู่งานของนายตี๋ใหญ่ ดังนั้นเธอจึงยอมช่วยเขาทำเอกสารเสมอมาเพราะไม่อยากให้งานของเพื่อนผิดพลาด แม้ว่าพอตี๋ใหญ่มารู้ภายหลัง แล้วตามมาตัดพ้อต่อว่าเธอที่เป็นฝ่ายยอมตลอดทุกทีก็ตาม

หญิงสาวยื่นมือไปรับมาเงียบๆ แม้ใจหนึ่งจะเกรงใจเอกสารของแอร์รี่และเซลส์อีกหลายคนที่เธอต้องรับผิดชอบ แต่เอกสารของตี๋ใหญ่ก็สำคัญไม่แพ้ของคนอื่น

“ขอบคุณมากนะครับเอ เอาไว้พี่จะซื้อขนมมาฝาก ไปก่อนละ”

จบคำ ร่างอวบท้วมของนายบูรณ์พิภพก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้ากระเป๋ามาสะพายทันใด

‘อย่าไปยอมนะเอ อย่าไปยอมเขา เรื่องเก่ายังไม่จบดีเลย นี่ยังไม่เข็ดอีกเหรอ’ …เหมือนมีใครมาพูดอยู่ข้างหูเธอ แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกเสียงเถียงขึ้นมา

‘ช่างเถอะ ทำแป๊บเดียวเองเดี๋ยวก็เสร็จ ถ้าปล่อยให้ไอ้พี่เบียร์ทำ เดี๋ยวผิดขึ้นมาอีก ก็ไม่พ้นเธอที่ต้องช่วยเขาแก้ไม่ใช่เหรอ’

เอกอักษรชักจะคล้อยตามความเห็นหลัง เธอสับกระดาษในมือไปด้านหลัง และพบว่า แผ่นถัดมาเป็นเอกสารงานประมูล!

ถึงจะเป็นแค่งานประมูลเครื่องดื่มของร้านค้าเล็กๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนคราวก่อน แต่คำสั้นๆ สองพยางค์ว่า ‘ประมูล’ มันตามหลอกหลอนมาตลอดทั้งยามหลับยามตื่นจนถึงตอนนี้ เอกอักษรรู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในลูกตา หันขวับไปหาชายรุ่นพี่ผู้กำลังจะปิดคอม

“เดี๋ยว!”

“หืม…เอว่าไง”

“พี่เอาไปทำเองเถอะค่ะ เอไม่ว่าง”

ชายหนุ่มเหมือนจะชะงักไปนิดหนึ่ง คงเพราะไม่เคยได้ยินคำปฏิเสธหลุดจากปากเธอมาก่อน “โธ่…เอ พี่มีธุระจริงๆ ครับ ช่วยพี่หน่อยเถอะนะ”

“เอไม่สะดวกจริงๆ ค่ะ งานของเอก็ยังมีอีกมาก คงทำให้พี่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”

หญิงสาวรู้สึกเหมือนเด็กหญิงเอกอักษรที่อยู่ภายในตัวของเธอกำลังกระโดดโลดเต้น เจ้าตัวเล็กคงดีใจที่เธอลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองสักที

“เอครับ ถือว่าพี่ขอละ พี่ติดธุระสำคัญมากจริงๆ” เขายกมือขึ้นคล้ายยอมแพ้ “โอเค พี่ยอมรับที่ผ่านมาพี่อาจเห็นแก่ตัว ชอบอู้งาน กินแรง ใช้ให้เอทำงานมากมาย แต่ครั้งนี้มันสำคัญมากจริงๆ ครับ พี่ขอร้องเออีกสักครั้งเถอะนะ”

คราวนี้เขาถึงกับยกมือไหว้ เอกอักษรรีบลุกขึ้นไปกดมือเขาลง และกลับกลายเป็นเธอที่ใจอ่อนอีกครั้ง  พี่เบียร์ที่ร่วมงานกันมาตลอดหลายปีออกจะเฉยเมย ไม่สนใจงานการหรืออะไรเลยนอกจากของกิน แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นเขาถึงได้ลุกขึ้นมาขอร้องเธอเป็นจริงเป็นจัง

“พี่เบียร์ไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้ค่ะ เอ งั้นเอ เอ่อ…” เธอเหลือบมองเอกสารของตี๋ใหญ่อีกครั้ง ความจริงแล้วมันก็ไม่คณนามือนักหรอก แต่ว่า…เด็กน้อยในตัวเธอสิ บัดนี้กลับนั่งกอดเข่า ก้มหน้างุด คงงอนที่เธอแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเองอีกแล้ว

“เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นเหรอคะพี่เบียร์ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

เขาอึกอักอยู่ครู่ “คือ…มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก เป็นแค่ธุระสำคัญที่พี่ต้องรีบไปทำน่ะ”

เอกอักษรหรี่ตามอง “งั้นถ้ามันไม่สำคัญ พี่เบียร์ก็ทำเองเถอะค่ะ เอคงช่วยพี่ได้เท่านี้แหละ”

“เดี๋ยวสิ” เขาไม่ยอมรับเอกสารที่เธอคืนให้ “พี่บอกแล้วไงว่าพี่ต้องรีบไป”

“เอก็บอกแล้วไงว่าเอไม่ทำให้ คราวที่แล้วก็เพราะเอทำให้พี่ไม่ใช่เหรอ งานประมูลมันถึงได้พังไปหมด แล้วก็เป็นเอที่โดนด่าอยู่คนเดียวน่ะ  ถามจริงเถอะ พี่เคยรู้สึกอะไรบ้างไหม  เคยนึกอยากขอโทษเอสักคำหรือเปล่า หรือก็แค่คิดว่าดีแล้วมีคนรับเคราะห์แทนไป หรือพี่ไม่รู้สึกอะไรเลย คิดว่าเอทำพลาดไปเองจริงๆ สมน้ำหน้า”

ชายหนุ่มนิ่งไป เขาคงตกใจเพราะเธอไม่เคยกล่าวโทษใครแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่เธอเองก็ยังตกใจตัวเอง

“เอาเป็นว่า พี่ทำเองเถอะค่ะ เอคงช่วยพี่ไม่ได้อีกแล้ว บอกตามตรงเลยว่าเอเข็ด”

พี่เบียร์ถอนหายใจอย่างหนักอก ก่อนจะพูดเสียงต่ำ “โอเคครับ พี่ขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่คราวนี้พี่คงจะต้องขอให้เอช่วยจริงๆ แล้วพี่จะไม่กวนใจเออีกเลย”

หญิงสาวเอียงคอสงสัย นึกแปลกใจว่าทำไมเขาถึงตามตอแยไม่เลิก จากคำพูดเขาเธอไม่คิดว่าเขาจะสำนึกได้จริงๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าธุระนั้นสำคัญขนาดที่เขาต้องขอร้องเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกเชียวหรือ

“ได้ งั้นบอกมาเถอะค่ะว่าธุระอะไร เอจะไปทำแทนพี่ แต่พี่ต้องอยู่ทำเอกสารเอง”

“หา!”

“ไม่หาละค่ะ จะตกลงไหมคะ ถ้าไม่ตกลง เอจะทำงานต่อแล้วค่ะ เสียเวลา”

ชายหนุ่มอึกอักอยู่ชั่วครู่ก็ตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก

 

เอกอักษรชักไม่แน่ใจว่าเธอตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่รับปากออกมาทำธุระแทนไอ้พี่เบียร์ ความจริงถ้ายอมทำเอกสารอยู่ที่ออฟฟิศอาจจะสบายกว่า นึกขำตัวเองที่ตอนนี้มายืนกอดกระเป๋าโหนรถเมล์ที่คนแน่นขนัด แล้วพอลงรถก็ต้องต่อรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปในซอยมืดเปลี่ยว มีจุดหมายปลายทางเป็นโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง

หน้าโรงเรียนขณะนี้มืดสลัว มีเพียงไฟสองสามดวงจากเสาไฟที่ส่องให้ความสว่าง เธอกระชับกระเป๋าเข้ากับลำตัว รีบก้าวเดินตรงไปยังเงาตะคุ่มของใครสองคนที่นั่งอยู่ใต้ถุนอาคารเรียน เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็นคุณครูซึ่งนั่งอยู่กับนักเรียนหญิงตัวน้อย

“สวัสดีค่ะคุณครู ขอโทษที่มาช้านะคะ ดิฉันชื่อเอค่ะ มารับน้องเยลลี่แทนคุณเบียร์ ต้องขอโทษที่รบกวนเวลาคุณครูด้วยนะคะ”

คุณครูสาวซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบเนตรนารียิ้มแห้ง คงเหนื่อยไม่น้อยที่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนนักเรียนจนสามทุ่มกว่า แต่ที่ดูจะอิดโรยกว่าใครเพื่อนก็คงไม่พ้นหนูน้อยเยลลี่ซึ่งบัดนี้ตากลมๆ แดงก่ำฉ่ำไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากบางน้อยๆ หุบสนิท พวงแก้มอวบกลมนั้นมีคราบเหงื่อมอมแมม เอกอักษรกล่าวขอโทษครูอีกครั้งก่อนจะจูงมือหนูเยลลี่ลากลับบ้าน

ที่แท้ ธุระสำคัญหนักหนาที่พี่เบียร์ถึงกับไหว้ขอร้องเธอก็คือ การมารับลูกสาวกลับจากโรงเรียนนั่นเอง น้องเยลลี่ไปเข้าค่ายลูกเสือมาสองวันหนึ่งคืน แต่ไอ้พี่เบียร์ดันจำผิดว่าลูกสาวจะกลับพรุ่งนี้ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเป็นวันนี้ก็ตอนที่เห็นสายที่ไม่ได้รับสิบกว่าสายจากคุณครู

เอพาน้องเยลลี่นั่งแท็กซี่กลับบ้าน เด็กน้อยหลับมาตลอดทาง เมื่อมาถึงบ้านจึงมีแรงไปอาบน้ำ เธอค้นตู้เย็นหาดูว่ามีอะไรพอทำเป็นอาหารเย็นได้บ้าง ก็พบแต่ผักเหี่ยวๆ กับไข่สองสามฟอง ข้าวสวยก็มีแค่ติดก้นหม้อ จึงจัดการทำไข่น้ำหนึ่งถ้วย เสิร์ฟกับข้าวสวยที่อุ่นใหม่ร้อนๆ หนูน้อยพอได้กินข้าวก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา

“อร่อยจังเลยค่ะน้าเอ อร่อยกว่าคุณพ่อทำตั้งเยอะ”

“อร่อยก็ทานเยอะๆ นะคะ” เธอนั่งมองแก้มตุ่ยๆ นั้นเพลินตา

“น้าเอไม่ทานด้วยกันเหรอคะ ทานด้วยกันสิคะ”

หญิงสาวอมยิ้ม ความจริงก็หิวเหมือนกัน แต่ข้าวมีเหลือแค่นิดเดียวเธอจึงไม่ได้เตรียมไว้สำหรับตัวเองด้วย แต่ก็ได้หุงใหม่ไว้เผื่อพี่เบียร์กลับมากิน

“น้าเอทานมาแล้วค่ะ” เธอเลื่อนถ้วยขนมบัวลอยเผือกไปตรงหน้าหนูน้อยเมื่อเห็นว่าจัดการข้าวจนหมดจานแล้ว เธอซื้อมาระหว่างรอรถเมล์

“ว้าว! มีบัวลอยด้วย เยลลี่ชอบกินบัวลอยที่สุดเลยค่ะ”

น้าเอหัวเราะ แล้วหันไปหยิบกระดาษชำระมาส่งให้เมื่อเห็นว่าน้ำกะทิเลอะมุมปากเสียแล้ว เธอมองลูกสาววัยประถมต้นของพี่เบียร์อย่างเอ็นดู หนูน้อยมีรูปร่างเพรียวบาง ผมยาวดำขลับสลวย หน้าตาละม้ายคล้ายพ่ออยู่ แต่แปลกที่แววตานั้นไม่ได้เปล่งประกายสดใสเหมือนเด็กทั่วไป ออกจะดูหม่นหมองอยู่ไม่น้อย

เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเพื่อนร่วมงานที่นั่งข้างๆ แต่งงานแล้วและมีลูกสาวโตขนาดนี้ เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องส่วนตัว เรื่องในครอบครัว  หรือแม้แต่เรื่องตัวเอง  จะว่าไปก็ชักสงสัยว่า ในเมื่อพี่เบียร์ติดงานไม่ว่างมารับลูก แล้วทำไมถึงไม่ให้แม่ของเด็กมารับแทน

“เยลลี่ขา คุณแม่ยังไม่กลับบ้านเหรอคะ”

หนูน้อยลูบท้องตัวเองไปมา คงจะอิ่มแปล้เลยทีเดียว “คุณแม่ไม่อยู่ค่ะ”

“อ้าว คุณแม่ไปไหนเหรอคะ”

“คุณแม่อยู่ที่บ้านคุณยายค่ะ เยลลี่อยู่บ้านกับคุณพ่อ คุณพ่อกับคุณแม่โกรธกันค่ะ คุณแม่ก็เลยไม่กลับบ้าน”

เอกอักษรถึงกับอึ้ง แต่อีกใจหนึ่งก็อดปรามาสไม่ได้ว่าสมควรอยู่หรอกที่ต้องแยกกันอยู่กับภรรยา  คนอย่างนายเบียร์ทั้งเห็นแก่ตัว ทั้งไม่มีความรับผิดชอบ น่าสงสารผู้หญิงคนนั้นจริงๆ ที่ตกล่องปล่องชิ้นมาแต่งงานด้วย

“คุณพ่อนิสัยไม่ดี ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวก็ไม่อร่อย ขี้ลืมด้วย อย่างวันนี้ก็ลืมมารับเยลลี่กลับบ้าน เยลลี่ไม่อยู่บ้านแค่สองวันคุณพ่อก็ลืมเยลลี่แล้ว”

“ไม่จริงค่ะ” เธอรีบสวนทันควัน “คุณพ่อไม่ลืมเยลลี่หรอก ไม่งั้นจะให้น้าเอมารับเหรอคะ”

เด็กหญิงส่ายหน้าจนผมกระจาย “เยลลี่ไม่เชื่อน้าเอหรอก คุณพ่อขี้เกียจจะตาย วันๆ เอาแต่นอนเล่นเกมในโทรศัพท์ น่าเบื่อสุดๆ จนคุณแม่ยังทนไม่ได้เลย เยลลี่ไม่ชอบคุณพ่อ”

เอกอักษรใจหายจนเผลอยกมือทาบอก ถึงแม้เธอเองก็ไม่ค่อยชอบชายหนุ่มผู้เป็นคุณพ่อของหนูน้อยเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยคิดอยากให้เขาต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้

“เยลลี่ไม่อยากอยู่กับคุณพ่อ เยลลี่เกลียดคุณพ่อ เกลียดเหมือนที่คุณแม่เกลียด”

 

หลังจากส่งน้องเยลลี่เข้านอนแล้ว เอกอักษรก็อยู่ที่บ้านรอจนพ่อของหนูน้อยกลับมาจึงคืนกุญแจบ้านให้ กว่าจะกลับถึงห้องพักก็ปาเข้าไปตีหนึ่งกว่า แต่เธอกลับไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ดวงตากลมแจ๋วแต่ฉายแววประหลาดของลูกสาวเพื่อนร่วมงานติดตาจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลง

เช้าวันรุ่งขึ้น เธอรีบมาปรึกษาตี๋ใหญ่ เล่าเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาอย่างละเอียด นายตี๋เองเป็นคู่งานกับพี่เบียร์มาตั้งนานก็เพิ่งจะรู้จากปากเธอนี่เองว่าเขาแต่งงานและมีลูกโตเกือบสิบขวบแล้ว

“ฉันไม่สบายใจเลยว่ะแก” เอกอักษรลูบแก้วกาแฟไปมาอย่างใช้ความคิด “แกต้องไปเจอน้องเยลลี่สักครั้งหนึ่งแล้วจะเข้าใจ ฉันมองแกนะ เห็นความเหงา ความเศร้า โกรธ เกลียด เยอะแยะไปหมด ถึงไอ้พี่เบียร์มันจะแย่ยังไง แต่เขาก็เป็นพ่อนะ ฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย”

“สมน้ำหน้ามัน ชอบใช้งานแกดีนัก” ตี๋ใหญ่หัวเราะหึๆ เหมือนตัวการ์ตูนที่เป็นตัวร้าย

“เฮ้ย…ทำไมแกพูดอย่างนั้นล่ะ ใจร้ายว่ะ”

เพื่อนชายจิบกาแฟ ท่าทางสบายอารมณ์ “ใครว่าฉันใจร้าย  ฉันน่ะคนดีที่สุดแล้วจะบอกให้”

เอกอักษรผลักหัวไหล่ชายหนุ่มจนเซ กาแฟในมือเขาเกือบหก “ดีตรงไหนวะ ดีแต่ปากน่ะสิแกนี่!”

“เดี๋ยวแกก็รู้น่า ทำตามที่ฉันบอกก็แล้วกัน”

เขาว่าอย่างใจเย็น แล้วจึงยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เอกอักษรมองเสี้ยวหน้าขาวตี๋แต่มีเค้าโครงคมคายนั้นอย่างสงสัย ช่วงนี้ตี๋ใหญ่ผมเริ่มยาว เขาไม่ตัดแต่กลับรวบเป็นจุกไว้ด้านหลังเหมือนสมัยที่เป็นนักศึกษาคณะมัณฑนศิลป์ เบื้องหลังบุคลิกมั่นใจ มีความเป็นตัวของตัวเองสูงพอๆ กับที่มีโลกส่วนตัวสูงนี้ หญิงสาวรู้ดีว่าเขามีหัวใจที่อ่อนโยนและอ่อนไหวดังเช่นศิลปินคนหนึ่ง แต่หลายครั้งชายหนุ่มก็มีความคิดความอ่านที่เธอก็เข้าไม่ถึงเช่นกัน



Don`t copy text!