บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับท่านผู้โดยสารสู่เมืองย่างกุ้ง

บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับท่านผู้โดยสารสู่เมืองย่างกุ้ง

โดย : รตี

Loading

บุพเพข้ามฟ้า โดย รตี เรื่องราวของการเดินทางเพื่อตามหาหัวใจของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับหัวใจของตนเอง ณ ที่แห่งนี้ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ดินแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ได้โด่งดั่งแต่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้สองหัวใจข้ามฟ้ามาเจอกัน นวนิยายโรแมนติกที่อ่านเอานำมาให้นักอ่านทุกท่านได้เพลิดเพลิน

หัวใจของฉันลอยละล่องราวกับติดปีก มันออกบินถลาต้านลม ฉวัดเฉวียนด้วยความตื่นเต้นยินดีในทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางและได้พบกับภาพบ้านเมืองที่แปลกตา วิถีชีวิตผู้คนที่แตกต่างจากที่เคยเห็น รสชาติอาหารไม่คุ้นปากแต่กลับอร่อยติดลิ้น หรือแม้แต่กระทั่งกลิ่นของหมู่มวลดอกไม้ที่ประหลาดไม่แพ้รูปร่างและสีสันของมัน  

ฉันตกหลุมรักสิ่งเหล่านั้น รักแบบหัวปักหัวปำราวกับเด็กหนุ่มที่มอบหัวใจให้หญิงสาวผู้เป็นรักแรกของเขาไปจนหมดดวงใจ พวกเขาไม่เคยสนว่าในภายภาคหน้าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคหรือความยากลำบากเพียงไหน คู่รักวัยหนุ่มสาวก็ต่างพร้อมใจกันปิดตาและเปิดเพียงแค่หัวใจ ถลำลึกลงไปในห้วงแห่งรักด้วยหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแรงปรารถนา

แต่มีเพียงฉันเท่านั้นที่รู้ว่าการเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งในชีวิตที่ผ่านมา เพราะฉันไม่ได้ออกเดินทางเพื่อมองดูโลกเหมือนที่เคยเป็น แต่มันคือการเดินทางเพื่อมองดูหัวใจของตัวฉันเองต่างหาก

ไม่ว่าในการเดินทางครั้งนี้ฉันจะต้องพบกับความสุข ความทุกข์ ความเศร้า หรือความเหงาอันจับจิตเพียงใด ฉันก็ตั้งใจแล้วว่าจะให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่วิเศษที่สุด เพราะฉันรู้ว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ฉันจะเสียใจไปตลอดชีวิต ถ้าหากไม่ออกเดินทางในครั้งนี้

เพราะนี่มันคงจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ฉันเลือกเส้นทางเองได้

แต่ใครจะรู้…มันอาจจะเป็นการเดินทางที่เปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาลก็ได้เช่นกัน

—————————–

เมืองย่างกุ้ง, พม่า

ฉันไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้ฉันจะได้พบเจอสถานที่ที่งดงามราวกับภาพแห่งความฝันเช่นนี้

มันคือทะเลสาบกว้างสุดลูกหูลูกตา และส่วนที่อยู่ตรงหน้าฉันนี้ก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของความยิ่งใหญ่ของอินยาเลคหรือทะเลสาบอินยา ทะเลสาบที่เป็นหัวใจของคนย่างกุ้งทั้งเมือง

ฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางเดินที่โรยด้วยเม็ดหินก้อนกลม ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนผืนหญ้าสีเขียวอันหนานุ่มและหันหน้าออกหาผืนน้ำ รับสายลมที่พัดผ่าน

เวลาที่ฉันมองผืนน้ำที่เรียบนิ่ง ใจของฉันก็รู้สึกสงบ ฉันรู้สึกว่าผืนน้ำแห่งนี้มีมนตร์ขลังที่ตรึงฉันไว้ในห้วงเวลาที่นาฬิกาไม่มีความหมาย แรงลมพัดให้ผิวน้ำสะบัดตัวเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ พลิ้วซัดเข้ามากระทบฝั่ง มองออกไปสุดขอบน้ำคือทิวแมกไม้ที่ขึ้นตัดเส้นของขอบฟ้าและขอบน้ำที่แสนจะมีชีวิตชีวา

และที่ปลายทางฝั่งตรงข้าม…เขาอยู่ตรงนั้น

เพียงแค่มอง หัวใจของฉันก็กระตุกวูบ ครั้งแรกมันพองแน่นคับอกจนฉันรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แต่เพียงอีกพริบตาเดียวมันก็ลอยละล่องทะยานขึ้นไปสู่เวิ้งฟ้า เขาหยุดสายตาของฉันไว้ที่เขาคนเดียวด้วยรัศมีของความอบอุ่น ความละมุนนุ่มนวลและแสนโอบอ้อมอารี

ฉันไม่รู้ว่ารอยยิ้มของเขานั้นส่งให้ใคร

แต่ในวินาทีที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มนั้น ฉันก็รู้ตัวทันทีว่า…ฉันตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว

บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดคือแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กที่เป็นสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดังของยุค ชายหนุ่มสไลด์หน้าจอเลื่อนต่อไปเรื่อยๆ แต่ดูจะเป็นด้วยความเร็วเกินกว่าที่จะอ่านข้อความมากมายที่ผ่านไปบนหน้าจอได้หมด มันเหมือนเขาปัดผ่านเปล่าๆ ไปอย่างนั้น แม้จนกระทั่งที่ขอบล่างจอปรากฏสัญลักษณ์ว่าไม่สามารถแสดงผลข้อมูลต่อได้เพราะไร้การเชื่อมต่อเข้ากับสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่นิ้วเรียวนั้นก็ยังปัดไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายและเลื่อนลอยพอๆ กับดวงตาสองชั้นคู่คมของเขา

ท่านผู้โดยสารคะ ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา กรุณานั่งประจำที่ รัดเข็มขัดอยู่กับที่นั่ง ปรับพนักเก้าอี้ให้อยู่ในระดับตรง เก็บโต๊ะหน้าที่นั่ง เปิดม่านหน้าต่าง และปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด…

ไฟสัญญาณรัดเข็มขัดนิรภัยเหนือศีรษะสว่างขึ้น เสียงประกาศของแอร์โฮสเตสสาวดึงสติและการรับรู้ทั้งหมดของชายหนุ่มให้กลับคืนมาอีกครั้ง รับรู้ถึงบรรยากาศในห้องโดยสารชั้นธุรกิจที่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อเหล่าผู้โดยสารรอบตัวต่างเริ่มขยับตัวเพื่อปฏิบัติตามประกาศของสายการบิน ต่างเก็บสิ่งของหรืออุปกรณ์ลงกระเป๋า เพื่อเตรียมตัวสำหรับการลงจอดของเครื่อง ณ สนามบินปลายทาง

ที่เก้าอี้แถวหน้าสุด อนลหย่อนโทรศัพท์มือถือที่ไม่ได้มีสัญญาณใดๆ สำหรับการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกลงในกระเป๋าเสื้อสูทแบบลำลอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจเมื่อมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วเห็นว่าเวลาที่เครื่องลงจอดมันเลยกำหนดการเดิมไปเกือบยี่สิบนาที เขาถอนหายใจเบื่อๆ ด้วยความขุ่นใจก่อนจะละสายตาออกไปมองที่นอกหน้าต่างบานเล็กข้างตัว

ที่นอกหน้าต่างเครื่องบิน ปีกเครื่องสีขาวที่ตลอดมาเคยตัดแต่กับท้องฟ้าสีฟ้าและหมู่มวลเมฆสีขาว บัดนี้เริ่มเปลี่ยนไปมีพื้นหลังเป็นสีเขียวของภูเขาและทุ่งหญ้าอยู่ที่ข้างล่างไกลลิบ แต่ยังมีสิ่งที่ไกลกว่านั้นนั่นก็คือพื้นที่ของตึกรามบ้านช่องที่แสดงสัญลักษณ์ของความเป็นเมือง ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่เครื่องบินลำนี้กำลังมุ่งหน้าไป

เมืองย่างกุ้ง พม่า

ประเทศที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกให้เขาต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยเหตุจำเป็นอย่างยิ่งยวด

 

สนามบินนานาชาติย่างกุ้งในเวลาบ่ายคล้อยวันจันทร์คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคณะทัวร์กลุ่มใหญ่ที่กำลังส่งเสียงโขมงโฉงเฉง นักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กทั้งฝรั่งและเอเชีย เหล่านักธุรกิจในชุดสูทพร้อมกระเป๋าเอกสาร หรือแม้กระทั่งคนท้องถิ่นที่เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตน ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ อาชีพ และจุดประสงค์เดินสวนกันขวักไขว่ในสนามบินขนาดใหญ่สมกับเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศ

ร่างสูงแบบบางของชายหนุ่มผิวขาวดูโดดเด่นในหมู่ฝูงชน เพราะชุดสูทลำลองและการแต่งตัวเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้คนที่มองจัดกลุ่มเขาเข้าในกลุ่มของผู้มีกิจธุระมากกว่าสายลุยหรือคนที่เดินทางมาเพื่อท่องเที่ยว เพราะทันทีที่ก้าวผ่านประตูทางออกออกมา เขาก็ดูมีท่าทีชะงักงงแบบไร้ทิศทางกับบรรยากาศแปลกใหม่ ดวงตาหลังแว่นดำหรี่ลง คิ้วเข้มขมวดอย่างไม่นึกชอบภาพความวุ่นวายของผู้คนที่กำลังเกาะรั้วเหล็กชูป้ายเพื่อรอรับคนที่เพิ่งเดินทางมาถึง เสียงจ้อกแจ้กวุ่นวายโหวกเหวกยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่าสับสน จมูกเชิดย่นลงนิดๆ โดยอัตโนมัติด้วยความไม่คุ้นชินกับกลิ่นคล้ายสมุนไพรบางอย่างที่ลอยมาเตะจมูกคลุ้งอยู่ในอากาศ

“คุณอนลครับ คุณอนล”

อนลหันไปตามเสียงเรียก ก่อนส่งยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยโบกไม้โบกมือเรียกอยู่ที่มุมหนึ่ง รีบสาวเท้าเดินเข้าไปพร้อมทักทาย

“เป็นยังไงบ้างท่านผู้จัดการใหญ่ภากร” เขายิ้มกว้างก่อนคว้าไหล่ชายหนุ่มนามว่าภากรเข้ามาพร้อมตบบ่านั้นแรงๆ ทักทายด้วยความยินดีที่ได้พบเพื่อนสนิทคนนี้อีกครั้ง “รบกวนแย่เลยต้องให้ท่านผู้จัดการมารับถึงสนามบินด้วยตัวเอง”

“โธ่ คุณอนล” ภากรยิ้มกลับ หัวเราะน้อยๆ “ผู้จัดการอะไรกันครับ ก็แค่ตำแหน่งที่คุณนายแม่เขาสวมให้ผมเอาไว้ขู่เด็กๆ ที่นี่ก็แค่นั้นแหละ”

อนลกวาดตามองดูเพื่อนที่ไม่ได้พบกันเกือบปี แต่ภากรก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมเลย เขายังคงเป็นภากรคนเดิมที่สุภาพ ใจเย็น บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ และเสียงหัวเราะเรื่อยๆ ตามประสา

“วันนี้ผมตั้งใจมารับคุณอนลจริงๆ ครับ แล้วเดินทางเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีนะครับ”

แม้จะเป็นการพบกันที่ต่างแดนซึ่งไม่มีใครรู้จักความเป็นมาของทั้งเขาและภากรมาก่อน แต่ภากรก็ยังเป็นภากรที่อ่อนน้อม ถ่อมตัว แม้กระทั่งสรรพนามในการเรียกนั้นก็ยังคงเป็นเหมือนตอนที่อยู่เมืองไทย ทั้งที่จริงแล้วเขากับภากรก็อายุเท่ากัน และอนลเองก็พยายามบอกหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่เด็กจนโตแล้วว่าไม่จำเป็นต้องเรียกเขาให้มันเป็นทางการแบบนั้นสักนิด

“แย่มาก ไฟลต์ดีเลย์ไปเกือบยี่สิบนาที ไม่รู้ติดอะไรเครื่องไม่ยอมออกจากสนามบินฝั่งไทยสักที” อนลกล่าวด้วยความหงุดหงิด “แกเลยต้องมาแกร่วรอเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้มีธุระอะไร” ภากรว่า “แต่ยังไงเรารีบไปก็ดีเหมือนกันครับ ที่นี่ช่วงเย็นรถติดแหงกไม่แพ้กรุงเทพเลย”

“เห้ย ภากร เดี๋ยวก่อน” อนลร้องหยุดคนมารับ เมื่อการพูดถึงความไม่ตรงเวลาของไฟลต์บินทำให้เขานึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ “เดี๋ยวเราค่อยออกไปได้มั้ย แกช่วยหาร้านกาแฟหรือที่นั่งที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณไวไฟแรงๆ ให้ฉันหน่อยเถอะ ฉันมีประชุมด่วนต้องเข้าก่อน”

“ประชุม? ตอนนี้เลยหรือครับ” ภากรหันมาเบิกตางงนิดๆ “ตอนแรกผมนึกว่าคุณอนลจะตรงไปที่โรงพยาบาลเลยซะอีก”

อนลขมวดคิ้วเหมือนลังเลเมื่อได้ยินคำถามย้อนกลับนั้น แต่เมื่อก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือซึ่งปรับเป็นเวลาท้องถิ่นเรียบร้อยแล้วก็ตัดสินใจ

“ไปสิ ฉันก็จะไปโรงพยาบาล แต่ขอไปหลังจากประชุมเสร็จ งานนี้ฉันทิ้งไม่ได้จริงๆ ฉันไม่อยากให้พวกลูกน้องเห็นว่าฉันไม่อยู่แล้วพวกเขาจะทำตัวเละเทะได้ ต้องทำให้เห็นว่าอยู่ที่ไหนฉันก็สามารถตรวจสอบการทำงานของพวกเขาได้ตลอดเวลา” อนลร่ายยาว “เวลาที่นี่ช้ากว่าที่ไทยครึ่งชั่วโมงใช่มั้ย ถ้าตอนนี้ที่นี่บ่ายสามยี่สิบนาที ที่ไทยก็จะสี่โมงเย็นแล้ว ฉันใช้เวลาประชุมไม่นานหรอก พอเสร็จแล้วเราก็รีบไปกันเลย”

ภากรพยักหน้ารับ ไม่อยากขัดอะไรอีกเพราะรู้จักและรู้นิสัยกันมาดีตั้งแต่สมัยเด็กๆ ว่าในสมองของชายหนุ่มตรงหน้านั้นเรื่องงานมักจะเป็นตัวเต็งในสนามวิ่งแข่ง ไม่ว่าตอนแรกมันจะถูกแซงด้วยเรื่องด่วนหนักหนาเพียงใด แต่ในโค้งสุดท้ายเขาก็จะตัดสินใจอัดพลังให้งานเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งเสมอ

“งั้นคุณอนลไปนั่งประชุมที่ร้านกาแฟร้านนั้นก็ได้ครับ ค่อนข้างเงียบดี เดี๋ยวผมขอตัวไปขยับรถก่อน พอดีจอดขวางเขาเอาไว้”

เมื่อได้ตำแหน่งเหมาะที่มุมโซฟาตัวยาวด้านในสุดของร้านกาแฟในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก ทำเลดีด้วยด้านหลังคือผนังอิฐทึบซึ่งเป็นพื้นหลังในการประชุมที่คนฟังจะไม่ถูกดึงความสนใจ ด้านหน้าเป็นทางเดินที่คนค่อนข้างไม่พลุกพล่าน อนลก็จัดการเปิดคอมพิวเตอร์พกพาตัวเล็กกะทัดรัดออกมา ทันทีที่มันเชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตของร้านกาแฟ ตัวเขาก็ก้าวเข้าไปสู่โลกไร้พรมแดนผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี่ได้อย่างง่ายดาย และเมื่อใส่รหัสอีกเพียงไม่กี่ตัว ภาพของห้องประชุมที่บริษัทที่ประเทศไทยก็ปรากฏแก่สายตา

กล้องตัวกลางของห้องประชุมที่เป็นกล้องระดับความคมชัดสูง ทำให้สายตาอันคมกริบของท่านประธานประชุมที่อยู่อีกประเทศหนึ่งสามารถไล่สำรวจผู้ร่วมประชุมทั้งหกคนในจอได้อย่างครบถ้วน เทคโนโลยีอันฉลาดล้ำของยุคนี้ทำให้การสื่อสารนั้นแสนทรงประสิทธิภาพ สังเกตได้จากอาการของผู้ร่วมประชุมที่วันนี้เป็นคิวของทีมขาย ซึ่งพร้อมใจกันนั่งตัวตรงแข็งทื่อด้วยความเกร็งกับสายตานั้น ไม่ต่างอะไรกับการมีตัวจริงมานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ณ ตำแหน่งของประธานบริษัทเลย

“โอเค เริ่มประชุมกันได้เลยครับ” อนลกล่าวเรียบๆ เขายืดตัวตรงไหล่ตั้งแบบผู้มีบุคลิกภูมิฐานเพราะถูกฝึกมาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งน้ำเสียงและท่าทางนั้นจริงจังไม่ต่างอะไรกับที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมจริงๆ เลย

ผู้จัดการฝ่ายขายรีบกระวีกระวาดเปิดไฟล์ตัวงานที่ต้องการนำเสนอในวันนี้ คลิกอยู่เพียงไม่กี่ครั้ง ภาพตารางและตัวเลขก็ปรากฏขึ้นกลางจอต่อหน้าผู้ประชุมทั้งสองฝ่าย โดยที่ทั้งคู่ก็ยังสามารถเห็นใบหน้าของกันและกันขณะสื่อสารผ่านทางช่องขนาดเล็กที่ริมขอบจอ

“ครับผม สำหรับหัวข้อแรก ผมขอเริ่มที่เรื่องกลุ่มลูกค้าที่เราโฟกัสจะทำตลาด…”

ทันทีที่เข้าสู่โหมดการทำงาน โลกภายนอกก็ถูกตัดออกจากการรับรู้โดยสิ้นเชิง สมองของผู้บริหารหนุ่มก็ไม่สนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ดวงตาคู่คมสองชั้นที่ได้ทรงสวยจับจ้องอย่างเคร่งเครียดไปที่การแสดงผลบนหน้าจอ และความเป็นคนจริงจังมากในการทำงานเลยทำให้มันกลายเป็นดวงตาที่ไร้สีสันและดูดุ จนกลบองค์ประกอบอันดีงามส่วนอื่นๆ ของใบหน้าไม่ว่าจะเป็นคิ้วหนาเข้มได้รูป จมูกโด่งที่รับเข้ากับริมฝีปาก ทำให้ความน่ามองเหล่านั้นหายไปอย่างน่าเสียดาย

มือที่จับปากกาจรดลงบนกระดาษเพื่อบันทึกข้อมูลที่ตัวเองสนใจนั้นก็แทบจะไม่เหมือนมือผู้ชาย เพราะผิวค่อนข้างขาวซีดด้วยความที่คุ้นเคยแต่กับความเย็นของเครื่องปรับอากาศในสำนักงาน บวกกับหุ่นที่เดิมไม่ใช่คนร่างหนาเพราะนิยมการทำงานมากกว่าการออกกำลังกาย แต่ได้ความสูงโปร่งดูโดดเด่น ก็เลยทำให้เจ้าตัวดูสมาร์ตในแบบหนุ่มเมืองเจ้าสำอางโดยแท้

โดยทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นท่านประธานอนลคนนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้สาวเล็กสาวใหญ่ทั้งในและนอกบริษัทลงความเห็นโดยพร้อมเพรียงกันว่า คำเดียวที่เหมาะจะใช้ระบุถึงท่านประธานหนุ่มคนนี้ก็คือคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตาหรือฐานะ แต่มันลามมาถึงการทำงาน ที่ส่งผลให้ลูกน้องทุกคนนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในขณะนี้ และลงความเห็นโดยพร้อมเพรียงกันว่ามันคือความดูดีที่ทุกคนขอมองดูอยู่ห่างๆ จะดีกว่า

“ปีนี้ทางบริษัทเรา ได้ร่วมมือกับบริษัทคอลเซ็นเตอร์ โดยแอมสเปซจะส่งมอบหูฟังสำหรับทีมลูกค้าสัมพันธ์ภายในสิ้นปี ก่อนที่จะ…”

เนื้อหาที่กำลังอยู่ตรงหน้า ก็คือสินค้าหลักของบริษัทที่เขาสร้างมากับมือ บริษัทแอมสเปซเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าประเภทหูฟัง ทั้งมีสาย ไร้สาย หูฟังสำหรับโอเปอเรเตอร์ที่ใช้ในกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ หรือบริษัท รวมถึงลำโพงหรือเครื่องมือสื่อสารชนิดต่างๆ ที่ใช้สำหรับการประชุมออนไลน์ทั้งสำหรับองค์กรและคนทั่วไป โลกการทำงานที่ไร้พรมแดนและเทคโนโลยีที่รุดหน้าทำให้เขาเลือกที่จะลงไปเล่นในตลาดนี้ โดยจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ แยกตัวออกจากบริษัทเดิมของบิดาและมารดาซึ่งอยู่ในวงการตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอทีหลากหลายแบรนด์และใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

การที่เขาตัดสินใจแยกตัวออกมาเช่นนี้ แน่นอนว่ามันต้องตกอยู่ในการจับตามองของหลายๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นจากทั้งภายในและภายนอก พวกบอร์ดบริหารหัวโบราณที่ไม่นึกชอบสไตล์การทำงานอันเข้มข้นและไม่ไว้หน้าคนเก่าคนแก่ก็ต่างรอซ้ำถ้าเขาล้มเหลว คู่แข่งจากบริษัทอื่นก็รอจ้องพร้อมขย้ำถ้าเขาเผลอ ทุกย่างก้าวที่ไม่สวยหรูของการทำธุรกิจยิ่งทำให้ชายหนุ่มจำต้องมุ่งมั่นและทุ่มเท เพื่อพัฒนาและสร้างสินค้าของตนให้ติดตลาดให้ไวที่สุด

พรึ่บ

รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างวิ่งผ่านตรงหน้าด้านหลังจอไปด้วยความเร็ว แต่ก็ไม่ได้คิดใส่ใจเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับหน้าจอที่กำลังเริ่มหัวข้อที่รอฟังอย่างเรื่องของตัวเลขยอดขาย

“สำหรับตอนนี้เราอยู่ในเดือนที่สองของไตรมาสแรก ตัวเลขยอดขายในตอนนี้ เราทำได้อยู่ที่ 60% ของเป้า ส่วนกำไร…”

ครืดดดด

ด้วยความที่เป็นเจ้าของบริษัทตัวแทนจำหน่ายหูฟังหลากยี่ห้อ ดังนั้นแน่นอนว่าหูฟังแบบไร้สายสีดำที่ใส่อยู่นั้นต้องเป็นชิ้นที่เลือกมาแล้วว่าคุณภาพดีที่สุดโดยสามารถตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่เสียงที่ได้ยินลอดเข้ามามันก็ยังดังมากจนกระทั่งสมาธิของผู้บริหารหนุ่มที่ไม่ค่อยมีอะไรดึงเขาออกจากการประชุมได้ต้องเผลอละสายตาขึ้นไปมองที่มาของเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งหางตาก็เหลือบไปเห็นโต๊ะข้างๆ ที่มีคนเข้ามานั่งแถมขยับเก้าอี้เสียงโครมคราม จึงเผลอขมวดคิ้วใส่ด้วยความรำคาญใจ

“เอ่อ…เนื้อหามีปัญหาตรงไหนมั้ยครับ คุณอนล” คุณวิชิตผู้จัดการฝ่ายขายเสียงแห้งลงโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าใบหน้าของท่านประธานที่อยู่ในจอดูหงุดหงิดคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง

“ไม่มีอะไร พูดต่อเลยครับ”

“ครับๆ” ผู้จัดการฝ่ายขายกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ตะกุกตะกักรับคำด้วยความเกร็ง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาท่านประธานรุ่นลูกตรงหน้า “สำหรับโปรเจกต์ที่เรากับพาร์ตเนอร์วางเอาไว้ ว่าจะเข้าไปคุย…”

อนลตัดใจเก็บความขุ่นใจนั้นลงไปเพราะไม่อยากให้มีอะไรมาขัดการประชุมอีก เร่งเสียงจากคอมพิวเตอร์ให้ดังขึ้นเกือบสุดเพื่อกลบเสียงรอบข้าง และรวบรวมสมาธิให้กลับมาจดจ่อกับตารางตัวเลขตรงหน้าอีกครั้ง

ตุบ!

รู้สึกได้ว่าโซฟาข้างตัวเหมือนยุบลง แต่ไม่ใส่ใจเพราะกำลังติดใจอยู่กับตัวเลขกำไรประจำไตรมาสที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องมาจากการติดตามงานอันล่าช้าจึงทำให้ปิดโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้ไม่ตรงตามเวลา ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ห้ามปล่อยผ่านเป็นอันขาด

“ดูจากปริมาณโปรเจกต์ที่เราปิดไปได้ในสองเดือน ผมคิดว่ากำไรควรจะมากกว่า 70% ตามที่เราเคยตั้งไว้ แต่ทำไมมันถึงมีแค่ 60% มีโปรเจกต์ไหนที่เราไม่ได้กำไรตามคาด แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น” อนลไล่สายตามองตัวเลขด้วยใบหน้าที่ชัดเจนว่าไม่พอใจ “มีคำอธิบายมั้ยคุณวิชิต”

ท้ายประโยคหันไปมองกรอบเล็กๆ ด้านข้าง ซึ่งเป็นมุมมองกล้องจากห้องประชุมที่เมืองไทย สิ่งที่เขาได้กลับมากลับไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นใบหน้าของผู้จัดการฝ่ายขายซึ่งยืนเด่นหราอยู่หน้ากล้องกลางห้องประชุมที่เป็นตำแหน่งยืนของผู้นำเสนอ มือข้างหนึ่งถือพอยเตอร์ค้างไว้ สิ่งที่ค้างไม่ใช่แค่มือ แต่คือปากที่อ้าค้างคล้ายอาการเหวอเหมือนพูดไม่ออก

และก็ไม่ใช่แค่ใบหน้าของคุณวิชิต แต่ทีมงานฝั่งไทยทุกคนที่อยู่ในห้องล้วนมีอาการเหวอ อนลเองที่เพิ่งเงยหน้าเห็นหน้าจอของตัวเองก็เผลอทำหน้าเหวอออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน เมื่อช่องที่แสดงภาพของตัวเองกลับไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวอยู่บนจอ

แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ

“เฮ้ย!”

อนลหันขวับ เมื่อที่ที่นั่งข้างตัวของเขา ในระยะใกล้ขนาดไหล่ห่างไหล่ไม่เกินคืบ มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ ดวงตากลมโตดำขลับของเจ้าหล่อนเบิกกว้างจนมันโตเต็มหน้าแสดงความตกใจไม่แพ้กัน  แต่ก่อนที่เขาจะหลุดคำถามอะไรออกไปด้วยความงุนงง นิ้วเรียวเล็กก็ยกขึ้นมาแตะที่ปากกระจับสีชมพูของตัวเองที่ทำปากจู๋เหมือนเป็นสัญลักษณ์บอกให้เขาเงียบ ก่อนที่มันจะขยับพูดอะไรออกมาประโยคสั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ทันได้ยินเพราะหูฟังแบบตัดเสียงชนิดดีเยี่ยมนั้นตัดเสียงรอบข้างออกไปทั้งหมด

เสียงอื้ออึงของความเงียบดังก้องอยู่ในหัว ความประหลาดถูกคูณเพิ่มเข้าไปอีก เมื่อจู่ๆ เจ้าหล่อนก็หันขวับไปคว้าหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่แถวนั้นขึ้นมาสะบัดพรึ่บกางออก ที่สำคัญคือไม่ได้บังแค่หน้าของตัวเอง แต่ความใหญ่ของหนังสือพิมพ์ทำให้มันบังหน้าของชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าจอประชุมไปด้วย

ณ เบื้องหลังแผ่นกระดาษยับย่นที่กลิ่นของหมึกพิมพ์คลุ้งจมูก สมองที่ประมวลผลอะไรไม่ออกของประธานหนุ่มเหมือนถูกแช่แข็งด้วยความเงียบงันและไร้ที่มาของสถานการณ์ สองตาจึงได้แต่นิ่งอึ้งกับภาพของเสี้ยวหน้าของคนที่บัดนี้อยู่ชิดไหล่กับเขา ปอยผมเส้นเล็กที่ยาวพอคลอเคลียไหล่บังพวงแก้มนั้นไว้บางส่วน แต่ก็ยังเห็นหน้าผากโค้งมนที่ลงมารับกับจมูกเชิดๆ คิ้วนั้นถูกโยงเข้าไปขมวดกับคิ้วอีกข้าง และปากบางเม้มสนิทเป็นเส้นตรง มันยิ่งน่าหงุดหงิดสุดๆ เมื่อเห็นชัดเจนว่าสองตาของเธอนั้นไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขความงุนงงของเขาเลย แต่มันส่ายล่อกแล่กคล้ายกำลังหลบอะไรบางอย่างอยู่ พอเขาจะเอ่ยถามอะไร เธอก็หันมาทำตาดุใส่เขาเสียอย่างนั้น

แต่งงอยู่ไม่นาน เพราะความสูงจึงทำให้สองตาของชายหนุ่มพอที่จะโผล่พ้นขอบด้านบนของหนังสือพิมพ์ออกไปพบกับกลุ่มผู้ชายร่างยักษ์สี่ห้าคนที่เดินอาดๆ วนอยู่ที่หน้าทางเดินร้านกาแฟเบื้องหน้าพวกเขา เห็นชัดเจนว่า ยิ่งเมื่อคนพวกนั้นเข้ามาใกล้เท่าไร หญิงสาวข้างตัวก็ยิ่งพยายามห่อตัวลงให้เหลือนิดเดียวเหมือนพยายามให้หนังสือพิมพ์เล่มใหญ่นี้บังตัวเองให้มิด สองมือเล็กกำกระดาษเกร็งแน่น สองตากลมโตเบิกแบบตื่นๆ ตลอดเวลา

กลุ่มคนพวกนั้นพูดคุยกันอยู่สักพักก็เดินออกจากหน้าร้านไป และก็เป็นวินาทีเดียวกันกับที่ตาคู่กลมแอบมองลอดหนังสือพิมพ์ออกไปแล้วเห็นว่าทางปลอดโปร่ง เธอก็ปิดหนังสือพิมพ์เล่มใหญ่ลง โยนมันทิ้งลงไปข้างตัวก่อนจะเด้งผึงผุดลุกขึ้นยืน หันขวับมากล่าวบางอย่างกับชายหนุ่มในสิ่งที่เขาไม่ได้ยินเช่นเดิม และก้าวฉับๆ ออกจากร้านกาแฟไปทันที

อะไรกันเนี่ย!

อนลหน้าเหวอแบบเลือกทำสีหน้าไม่ถูก ร้องลั่นอยู่ในใจ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามที่รู้ว่าคงไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้เพราะคนต้นเรื่องเดินหายไปยังทางออกสนามบินอย่างรวดเร็วจนตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงา เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วไม่กี่นาที รวดเร็วชนิดที่ชายหนุ่มต่างชาติยังไม่ทันได้เข้าใจเรื่องราวหรือหายจากอาการงง ซึ่งเป็นใบหน้าที่หาดูได้ยากนักจากท่านประธานอนลผู้ที่ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ได้สติอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นที่หู

“เออะ…เอ่อ…คุณอนลครับ”

และเมื่อหันกลับมาที่หน้าจอ เขาก็ได้พบกับสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน รู้ทันทีว่าเหตุการณ์ไร้สาระทั้งหมดนั่นได้ออกสู่สายตาของคนทั้งห้องประชุมแล้ว ท่านประธานหนุ่มที่ทุกคนในบริษัทรู้ดีถึงความเป็นระเบียบและไม่ชอบให้มีอะไรผิดพลาดในการประชุมทุกครั้งจึงต้องรีบกระแอมเก็บอาการเหวอ ก่อนหันมาทำหน้าจริงจังใส่จออีกครั้ง

“เอ่อ…เหตุการณ์เรียบร้อยดีมั้ยครับคุณอนล” คุณวิชิตคนเดิมจำเป็นต้องเป็นตัวแทนคนทั้งห้องประชุมเพราะตัวเองพูดค้างอยู่ ค่อยๆ เอ่ยถามผ่านกล้อง สีหน้าเหมือนไม่แน่ใจเช่นกันว่าควรพูดอะไรต่อไปดี

“ก็เรียบร้อยดี พูดต่อได้เลย” อนลพยักหน้า ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่ ไม่ต้องไปจัดการธุระอะไรกับคุณผู้หญิงคนนั้นก่อนเหรอครับ”

อนลจับได้ทันทีว่ามีน้ำเสียงแปลกๆ ในคำถามนั้น รู้ทันทีว่าสายตาทุกคู่ที่มองเขาอยู่นั้นกำลังสงสัยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น และก็คงคิดไปถึงไหนต่อไหนเรียบร้อยแล้วแน่ๆ

ผู้หญิงประหลาดคนนั้นทำเขาเสียเส้นไปหมดจริงๆ

“ผมไม่รู้จักเธอ” ท่านประธานตอบเสียงเข้ม แม้จะกระอักกระอ่วนแค่ไหนแต่ก็ยังคงต้องคุมสีหน้าให้เรียบเฉย “แล้วสรุปคำถามที่ผมถามไป วันนี้ผมจะได้คำตอบมั้ย ธุระผมยังมีอีกเยอะนะครับวันนี้ คงไม่มีเวลานั่งฟังพวกคุณทั้งวัน”

เมื่อเห็นว่าคำสรุปของท่านประธานที่แม้จะนั่งอยู่ในจอแต่ก็ส่งไอเย็นยะเยียบปกคลุมได้ทั่วทั้งห้องประชุม เพราะรู้จักคุณอนลลูกชายท่านประธานใหญ่ดีในเรื่องความจริงจังในการทำงาน คุณวิชิตจึงรู้ตัวว่าถ้าหากยังมีคำถามต่อ หน้าที่การงานของตัวเองก็อาจจะเริ่มไม่มั่นคงได้ ผู้จัดการฝ่ายขายจึงรีบปรับสีหน้าแล้วกุลีกุจอเริ่มอธิบายภาพบนจอต่อไป และแกล้งทำลืมไปเสียว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเมื่อครู่

การประชุมที่กระอักกระอวนที่สุดตั้งแต่ทำงานมากินเวลาต่อไปอีกเพียงไม่นาน เมื่อได้ทราบข้อมูลตามที่ต้องการและแจกแจงงานทุกอย่างให้แต่ละคนเรียบร้อยพร้อมกำหนดวันประชุมครั้งต่อไป อนลก็กดปุ่มออกจากประชุมและปิดหน้าจอลง

เมื่อถอดหูฟังไร้สายแบบตัดเสียงรอบข้างออก ความเคลื่อนไหวรอบตัวก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งเสียงจ้อกแจ้กจอแจของบรรยากาศในสนามบิน เสียงคนลากกระเป๋าเดินผ่านหน้า เสียงประกาศของสายการบิน เสียงพนักงานร้านกาแฟตะโกนรับออร์เดอร์ เสียงช้อนกระทบแก้วกาแฟดังกริ๊ง

ซึ่งพอประสาทสัมผัสกลับเข้ามาสู่โลกแห่งความจริง สิ่งแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองเพราะมันยังค้างคาอยู่ ก็คือเหตุการณ์ประหลาดที่ทำเอาตนหน้าเกือบแตกต่อหน้าลูกน้องทั้งห้องเมื่อครู่แล้ว

อะไรกัน มิจฉาชีพหรือ หรือว่าทำอะไรผิดมาถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนั้น

ผู้หญิงอะไร เพี้ยนแน่ๆ

อนลสรุปความคิดสุดท้ายอย่างมั่นใจ ส่ายหัวดิกๆ กับเรื่องราวสุดเพี้ยนที่เจอในวันนี้ ขณะมือเริ่มเก็บอุปกรณ์การประชุมลงกระเป๋าก็นึกในใจว่าประเทศนี้ต้อนรับเขาด้วยเรื่องราวประหลาดใจได้ดีไม่หยอก

เอ๊ะ

ขณะที่กำลังรวบของสองอย่างสุดท้ายนั้นก็คือสายชาจแบตเตอร์รี่และสมุดบันทึก สายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งที่ที่นั่งข้างตัว มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของส่วนตัวของตนเพราะมันช่างปุกปุยฟูฟ่องด้วยขนนกสีขาว ห้อยระย้าอยู่กับลวดทรงกลมที่ในวงถักสานกันเป็นตาข่ายไขว้ไปมาด้วยทิศทางแปลกๆ ซึ่งตัวตาข่ายนี้ถูกผูกห้อยติดอยู่กับกุญแจสีเงินดอกเล็กดอกหนึ่ง

เขาพอจะเคยเห็นเจ้าสิ่งนี้อยู่ตามร้านงานศิลปะหรือของตกแต่งบ้าน มันคือตาข่ายดักฝันร้ายหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ดรีมแคชเชอร์ รู้คร่าวๆ ว่ามันเป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติช่วยอวยพรให้ฝันร้ายกลายเป็นดี

คว้ามันขึ้นมาดูก่อนมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครแสดงท่าทีเป็นเจ้าของ ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่ ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจอะไร ก็ต้องหันขวับขึ้นไปมองตามเสียงตะโกนเรียกของภากรที่ดังมาจากนอกรั้วของร้านกาแฟ

“คุณอนล ประชุมเสร็จแล้วใช่มั้ยครับ” ภากรพยักหน้า “รีบไปเถอะครับ ผมวนรถมาจอดใกล้ๆ แล้ว แอบจอดได้แป๊บเดียวครับ”

“โอเคๆ เสร็จแล้ว”

เพราะท่าทางของเพื่อนดูเร่งรีบ มือใหญ่จึงกวาดทุกอย่างรวบลงกระเป๋า ก่อนจะรูดซิปปิดและรีบเดินออกจากร้านไป

 



Don`t copy text!