บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 4 : ความมืดและแขกที่ไม่คาดฝัน

บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 4 : ความมืดและแขกที่ไม่คาดฝัน

โดย : รตี

Loading

บุพเพข้ามฟ้า โดย รตี เรื่องราวของการเดินทางเพื่อตามหาหัวใจของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับหัวใจของตนเอง ณ ที่แห่งนี้ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ดินแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ได้โด่งดั่งแต่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้สองหัวใจข้ามฟ้ามาเจอกัน นวนิยายโรแมนติกที่อ่านเอานำมาให้นักอ่านทุกท่านได้เพลิดเพลิน

ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศอันแสนละมุนของห้องนี้ มันเหมาะสมกับการพักผ่อนมากกว่าการทำงานหรืออย่างไรจึงทำให้หัวสมองมันไม่แล่นเอาเสียเลย หลายต่อหลายครั้งแล้วที่สองตาเงยขึ้นมาจากตัวเลขและมองออกไปยังนอกหน้าต่างตรงหน้าที่ฝนเม็ดใหญ่พัดกระแทกกระจก เบื้องหลังคือพายุที่กำลังพัดกิ่งไม้ให้โบกสะบัดราวกับจะหักลงมาจากต้น

ตอนนี้คิดเรื่องงานไม่ออกเพราะมันมีหลายสิ่งตีกันอยู่ในสมอง บวกกับบรรยากาศอันไม่คุ้นเคยของสถานที่ ความเหน็ดเหนื่อยสะสมจากการเดินทางพานให้ร่างกายล้า เป็นอาการที่ไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก พอไม่รู้จะแก้อาการเฉื่อยๆ นี้อย่างไรจึงเสไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิด ไม่กดเข้าไปที่กล่องอีเมลอย่างที่เคยทำประจำ แต่กดไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย มือก็กดไปที่แอปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊กซึ่งเป็นรูปโพรไฟล์ว่างเปล่าเพราะปกติเขาไม่ได้เข้ามาสร้างสังคมที่นี่มากนัก เพิ่งจะมีหลังๆ นี่เองที่เข้ามาบ่อยเพราะว่าติดตามสิ่งหนึ่งไว้ และมันก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอเหมือนเดาใจเขาออก

จังหวะที่ฉันก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย สายลมแห่งความสงบเย็นโบกพัดราวกับเป็นเจ้าบ้านที่ดีที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือน และภาพความยิ่งใหญ่แห่งศรัทธาของชาวเมียนมาก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน

พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

1 ใน 5 มหาสถานบูชาแห่งเมืองพม่า

ไม่มีคำบรรยายใดๆ จะพรรณนาความงดงามของสถานที่แห่งนี้ได้หมด แม้กระทั่งนักปราชญ์หรือจินตกวีใดๆ ก็คงมิกล้าจรดปากกาลงสมุดเพราะเกรงว่าจะทำให้ความงดงามของที่นี่ต้องหม่นหมอง สถานที่แห่งนี้ช่างตรึงตราเสียจนฉันอยากจะมีสักสิบตาเพื่อที่จะเก็บทุกภาพ ทุกมุมให้ได้ในเวลาเดียวกัน

ตัวพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าชนิดต้องแหงนคอตั้งมอง รายล้อมรอบด้านด้วยเจดีย์องค์เล็กอีกนับร้อย ณ ช่วงเวลานี้คือช่วงย่ำค่ำที่แสงของอาทิตย์อัสดงยังไม่ลาลับ เบื้องหลังมหาเจดีย์จึงเป็นท้องฟ้าสีชมพูอมแดงระเรื่อ ขณะที่ฟ้าเบื้องบนเป็นสีน้ำเงินเข้มตัดกับแสงไฟสีเหลืองที่สาดส่องไปที่ตัวเจดีย์และลานหินอ่อนรอบๆ มันช่างเป็นความงดงามของแสงสีที่แสนประทับใจ

สายลมบนนี้แตกต่างจากสายลมไหนๆ ที่เคยพัดผ่าน มันช่างสงบ เย็น พัดต้องผิวให้พอคลายเรื่องหนัก และพัดให้ระฆังอันเล็กอันน้อยที่แขวนอยู่รายรอบให้กระทบเกิดเสียงดังเบาๆ คลอไปกับเสียงสวดมนต์ แม้ท่วงทำนองจะแตกต่างจากภาษาที่เคยได้ยิน แต่ก็ซาบซึ้งด้วยแรงแห่งศรัทธา

ฉันเริ่มออกเดินไปราวกับถูกมนตร์ขลังของที่นี่ครอบงำ เท้าเปล่าของฉันสัมผัสพื้นหินอ่อนเย็น หัวใจของฉันเปี่ยมสุขไปด้วยพลังแห่งความศรัทธาของผู้พุทธศาสนิกชนที่ไม่ว่าวัยไหนต่างก็มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ฉันไม่เพียงแต่หลงใหลในสถานที่แห่งนี้ราวกับต้องมนตร์ แต่ฉันตกหลุมรักศรัทธาของคนที่นี่จากใจจริง

พวงมาลัยดอกมหาหงส์สีขาวบริสุทธิ์ร้อยเรียงกันอย่างประณีตคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ดวงจิตดวงเล็กของฉันดวงนี้จะสื่อถึงความศรัทธาต่อมหาสถานบูชาอันยิ่งใหญ่ ฉันขอให้สายน้ำเย็นแสนสดชื่นที่หลั่งรินรดพระพุทธรูปและสัตว์ประจำวันเกิดนั้นส่งผลให้ชีวิตของฉันร่มเย็นเป็นสุข

ช่างเป็นโอกาสที่ดี ที่ได้ร่วมทำบุญในการทำบุญเปิดไฟองค์พระมหาเจดีย์ในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่เชื่อกันว่าจะเป็นการเปิดทางส่องสว่างให้ชีวิต แสงสีทองที่ส่องกระทบตัวเจดีย์ช่างงดงามนัก ฉันยืนมองดวงไฟที่สาดส่องโดยหวังว่าหนทางชีวิตข้างหน้าของฉันจะเป็นเช่นนั้นบ้าง

ขณะที่แสงไฟสีนวลกำลังส่องสว่าง ณ วินาทีที่ทุกอย่างกระจ่างชัดและสุกสกาว ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาว่า ณ ที่สุดปลายแสงนั้น ฉันได้พบกับความงดงามที่ตรึงสายตาของฉันไม่ให้หันไปมองทางไหนได้อีก

…ฉันได้พบกับเขา

 พรึ่บ!

จู่ๆ รอบตัวก็มืดสนิท!

อนลถลึงตัวขึ้นมาอย่างตกใจกับความมืดที่มาเยือนแบบไม่ตั้งตัว ขณะที่ยังจับความไม่ได้ รอบตัวก็สว่างวาบอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นการสว่างด้วยสวิตช์ไฟจากธรรมชาติที่สาดแสงจ้าดั่งสป็อตไลต์ยักษ์อย่างที่แสงไฟนีออนจากน้ำมือมนุษย์ไม่อาจสว่างเทียบ นั่นก็คือเส้นสายฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งฟาดลงมาเหนือผิวทะเลสาบสีหมึกที่กลายเป็นกระจกสะท้อนอำนาจทรงพลังของธรรมชาติ และในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงคำรามลั่นก็ดังกึกก้องจนกระจกหนาของหน้าต่างบานยาวสั่นสะเทือนไปทั้งบาน

หลังจากการประกาศอำนาจของธรรมชาติสงบลง มนุษย์ตัวจ้อยที่นั่งนิ่งลองกะพริบตาอยู่สองสามทีก็ไม่มีวี่แววว่าแสงสว่างจากไฟฟ้าจะกลับมา เสียงเครื่องปรับอากาศหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารอบตัวก็เงียบสนิทลงเช่นกัน เสียงเดียวที่ยังเหลืออยู่คือเสียงลมหายใจที่ดังคลอไปกับการคำรามของเมฆฝน และแสงสว่างเดียวที่ยังเหลือก็คือแสงไฟจากหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาของเขาที่ยังสว่างจ้าอยู่เพราะอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ที่ถูกชาร์จไว้บางส่วน

ไฟมาดับอะไรกันตอนนี้เนี่ย

อนลนึกอย่างหงุดหงิด ไม่นึกชอบเมื่อมีสิ่งที่ไม่คาดคิดแถมควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนพร้อมยกโทรศัพท์มือถือขึ้น อาศัยแสงสว่างรางๆ ของหน้าจอคอมพิวเตอร์และไฟจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเดินออกไปที่ประตู เมื่อกระชากประตูเปิดออกและชะโงกหน้าออกไปก็รู้ว่าไม่ใช่แค่ห้องของตนคนเดียว แต่ทางเดินข้างนอกและโรงแรมทั้งตึกก็ตกอยู่ในความมืดสนิทเช่นเดียวกัน นั่นยิ่งทำให้คุณลูกค้าขุ่นเคืองใจ ตั้งใจจะออกจากห้องเพื่อไปสอบถามคุณป้าเจ้าของโรงแรมว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทางโรงแรมจะมีวิธีการแก้ปัญหาและชดเชยตรงนี้ได้อย่างไร แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นรัศมีประตูห้อง สองขาก็ต้องหยุดกึก…เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างที่ด้านหลัง

แกรกกก…

ครั้งแรกที่ได้ยินคือนึกว่าตัวเองหูฝาด จึงต้องหยุดเพื่อฟังให้แน่ใจ

แกรก กราก…

อนลขมวดคิ้วเพราะมั่นใจว่าหูตนไม่ได้ฝาดแน่ๆ คราวนี้ได้ยินเต็มสองหูว่ามีเสียงผิดปกติคล้ายคนกำลังพยายามเปิดประตูกระจกฝั่งที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ตาคมของหนุ่มไทยหันขวับไปมองตามเสียงทันที และจากแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดสว่างทิ้งไว้ จึงทำให้เห็นกับตาว่าประตูบานนั้นถูกขยับและเลื่อนออกโดยเงาตะคุ่มจากด้านนอกที่พายุฝนกำลังโหมกระหน่ำ

ขายาวก้าวก้าวเดียวอนลก็หลบเข้าไปสู่มุมมืดใต้บันไดวน อาศัยเงาของตัวบันไดช่วยพรางตัว กลั้นหายใจและปิดปากเงียบเมื่อเห็นว่าห้องพักส่วนตัวของตนนั้นไม่มีความเป็นส่วนตัวอีกต่อไปแล้ว แต่มันกำลังมีร่างหนึ่งเคลื่อนตัวเงียบๆ ผ่านประตูบานนั้นเข้ามาท่ามกลางความมืด ทำให้นึกได้แล้วก็ต้องแสนเจ็บใจที่ตนดันเป็นคนเผลอลืมล็อกประตูเสียเองตอนเข้ามาครั้งแรก

ก็ไหนไอ้ภากรบอกนักหนาว่าปลอดภัยไง!

โมโหตัวเองเสร็จแล้วก็พาลไปโมโหเพื่อนที่โฆษณาสถานที่เสียดิบดี ซึ่งผู้บุกรุกที่กำลังเดินๆ หยุดๆ อยู่ในห้องนี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าความปลอดภัยที่ว่านั้นไม่มีอยู่จริง

มันก้าวเข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงใกล้บันไดที่ชายหนุ่มหลบอยู่ โชคดีที่ความมืดซ่อนเขาไว้ได้มิดชิด ในจังหวะที่เงาตะคุ่มนั้นหยุด หูได้ยินเสียงกรุ๊กกริ๊กเหมือนมันกำลังพยายามค้นหาอะไรในกระเป๋า อนลคิดและมั่นใจแน่ๆ ว่าสิ่งที่มันพยายามค้นอยู่นั้นจะต้องเป็นอาวุธหรือวัตถุอันตรายเป็นแน่

สมองอันฉับไววิเคราะห์หาทางรอดทันที เมื่อทำการพิจารณาคร่าวๆ จากสายตาก็คิดว่าโชคดีที่รูปร่างของตนนั้นได้เปรียบกว่าเพราะขนาดตัวสูงใหญ่กว่ามาก ความเป็นคนตัดสินใจอะไรแล้วเด็ดขาดทำให้เขาไม่เปลี่ยนใจ เขาจะไม่เปิดโอกาสให้โจรชั่วได้หยิบอาวุธ ตั้งใจทะยานออกจากมุมมืดที่ซ่อนตัวอยู่ กระโดดเข้าหาและรวบมือทั้งสองข้างของมันไว้ทันที

“โอ๊ย!”

แวบแรกตกใจเพราะเสียงไอ้โจรใจกล้านี่มันแหลมบาดหูพิลึก และจากที่มองเห็นในเงามืดก็รู้ว่ามันไม่ใช่คนร่างใหญ่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเล็กแบบบางแถมอรชรอ้อนแอ้นขนาดนี้ มั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดแม้ตาจะมองไม่เห็น ก็ในเมื่อแค่มือเดียวของเขาก็แทบจะรั้งเอวนี้ไว้ได้หมด เนื้อตัวก็ดูนุ่มนิ่มไม่มีกล้ามเนื้อ และยิ่งเมื่อเจ้าตัวสะบัดดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการ ก็ยิ่งได้กลิ่นหอมคล้ายน้ำหอมหวานๆ ละมุนมาแตะที่ปลายจมูก

ประหลาดจริงโจรอะไร

ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ก็ต้องตกใจเมื่อคนถูกจับโวยวายลั่นเสียงดังเป็นภาษาแปลกหูพร้อมสำแดงเดชด้วยการทั้งกระโดด เหวี่ยง ดิ้นสุดฤทธิ์ขนาดคนร่างใหญ่อย่างอนลยังเกือบเซ แต่ชายหนุ่มก็พยายามรวบรวมแรงและตั้งหลัก บีบและล็อกตัวนั้นไว้ให้แน่นขึ้นอีก เพราะในเมื่อจับโจรได้คาหนังคาเขาขนาดนี้เขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยไปง่ายๆ แน่

“หยุดดิ้นเดี๋ยวนี้ไอ้โจร” อนลหลุดตะโกนภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาที่ตนถนัดที่สุดออกไปตามสัญชาตญาณการสื่อสารโดยลืมว่านี่ไม่ใช่ประเทศของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้หวังว่าโจรต่างบ้านต่างเมืองจะเข้าใจ แต่เหลือเชื่อที่มันกลับได้ผล! เจ้าโจรตัวเล็กหยุดดิ้น และสวนขวับด้วยประโยคที่ทำให้คนจับโจรงงยิ่งกว่าเดิม

“ฉันไม่ใช่โจรนะ!”

เพราะมันคือภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ

และที่สำคัญคือมันเป็นเสียงของผู้หญิง!

 

ครืด!

เสียงดังคล้ายเครื่องยนต์กระหึ่มขึ้น ห่างกันเพียงครู่เดียวไฟสีส้มบนเพดานก็กลับมาสว่างวาบหนึ่งครั้งก่อนจะกะพริบถี่ๆ และกลับมาติดสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง ทำให้คนจับโจรที่อยู่ในอาการมืดแปดด้านจริงๆ ได้เห็นใบหน้าของโจรในอ้อมแขนเต็มตา

ในภาพที่เห็นโจรคนนี้ห่างไกลกับโจรในจินตนาการอยู่มากโข ไล่ตั้งแต่ปากสีกุหลาบชมพูอ่อน มันจะเป็นริมฝีปากที่หวานและสวยสมกับสีของมันมากถ้าหากตอนนี้ไม่กำลังแหกปากโวยวายลั่น และสะบัดหน้าหันมาแสยะแยกเขี้ยว ขู่สำทับเขาด้วยดวงตากลมราวกับจันทร์เต็มดวงที่ถลึงเบิกกว้างด้วยความโมโหและหงุดหงิด ดูก็รู้ว่าเธอกำลังโกรธมากจากการถูกพันธนาการไว้ด้วยมือของอีกคนในระยะใกล้ ใกล้จนมองเห็นหยดน้ำฝนที่เกาะพราวอยู่ตามใบหน้าเนื้อผิวอันนวลเนียน เส้นผมแสนละเอียดที่เปียกปรกแก้มใส เนื้อตัวและเสื้อผ้าที่เปียกมะล่อกมะแล่กทำให้เธอดูไม่เหมือนเสือร้ายอย่างที่ตั้งใจจะทำให้ดูน่ากลัว แต่เหมือนลูกแมวป่าตัวน้อยที่กำลังกางเล็บขู่ฟ่อ ทั้งที่โดนนายพรานล่ามเชือกไว้ต่างหาก

“ปล่อยฉัน! ปล่อยเดี๋ยวนี้!”

ร่างเล็กออกคำสั่งเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ พลางพยายามบิดสะบัดซ้ายขวา แต่เพราะยิ่งบิดมันก็ยิ่งทำให้ตัวต้องเข้าไปแนบชิดบ่วงมนุษย์นั้นมากขึ้น เลยต้องเบี่ยงตัวหันข้างให้เพราะอยากจะหันหน้าหนีคนตัวใหญ่ด้วย

และในภาพมุมข้างที่ใกล้โดยไม่ต้องเอื้อมนั้น ด้วยความเป็นคนละเอียดลออ ความจำจึงเป็นเลิศไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เมื่ออนลได้เห็นหน้าผากโค้งมนที่ลงมารับกับปลายจมูกเชิดจากมุมด้านข้าง มันก็มีภาพบางภาพลอยขึ้นมาซ้อนทับทันที แถมเป็นการทับซ้อนกันที่แนบเนียนสนิทมากๆ เสียด้วย

มันจำได้แบบแม่นยำเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ยังทำให้ตัวเองหน้าชาอยู่ไม่หาย และมันก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานที่สนามบินทันทีที่เขาลงเครื่องมา

ผู้หญิงประหลาดคนนั้น!

มือที่ตอนแรกแข็งยิ่งกว่าคีมเหล็กเผลอตัวปล่อยออกด้วยความตกใจ ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าตัวเองตาไม่ฝาดเมื่อเธอคนนั้นได้โอกาสกระโดดถอยหนีออกจากเขาไปยืนอยู่กลางห้อง ท่ามกลางแสงไฟทุกดวงที่กำลังสาดส่องสว่างจับไปที่ร่างนั้น

ด้วยความคิดของคนที่มั่นใจในตัวเองมาตลอด อนลฟันธงฉับลงไปทันทีว่า

“นี่เธอ…เธอตามฉันมาถึงที่นี่เลยเหรอ”

“ใครตามคุณ” แม้ยังอยู่ในอาการกึ่งหอบ แต่เสียงเขียวนั้นก็แหวสวนกลับมาเร็วแทบไม่ได้หายใจ สีหน้าบอกถึงความไม่พอใจอย่างมาก

“ก็ถ้าไม่ตามฉันมา เธอจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” อนลรีบย้อน รัวเร็วไม่แพ้กัน

“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่”

คำตอบทุกคำแม้จะสั้น แต่มันก็เป็นประโยคภาษาไทยที่ฉะฉานชัดเจน

“โกหก!” อนลส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อ “ถ้าเธอเป็นเจ้าของที่นี่จริงๆ ทำไมต้องมาแอบเข้าห้องแขกตอนกลางคืนแบบนี้ด้วย เธอนี่มันโจรชัดๆ จะเข้ามาขโมยของใช่มั้ย”

“ฉันไม่ใช่โจร” หญิงสาวเถียงทันควัน

“ถ้าไม่ใช่โจรแล้วทำไมต้องมาแอบเข้าห้องคนอื่นเขาด้วย”

ปากเล็กเปิดออกเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่มันก็อ้าค้างกลางอากาศอยู่แค่นั้น และก็ค่อยๆ หุบลง กลายเป็นเหลือแค่ดวงตาโตสองข้างที่มีแววไม่พอใจ พอจะอ้าปากพูดอีกก็ค้างไปอีก และในที่สุดคือไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา สุดท้ายจึงเหลือแต่เพียงเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจในลำคอ เกาหัวตัวเองแกรกๆ ปฏิกิริยาที่เห็นทำให้อนลกระหยิ่มยิ้มย่อง ทำเสียงหึในลำคออย่างมั่นใจว่าความคิดของตนไม่มีทางผิดแน่ๆ

“ฉันไม่รู้ว่าห้องนี้มีคนเข้ามาเช็กอิน ฉันแค่จะ…”

“ฉันจะไปบอกป้าเมย์ให้แจ้งตำรวจเธอ” อนลตัดบท

“ไม่ได้!” หญิงสาวร้องลั่น โบกไม้โบกมือยิกๆ “ห้ามเด็ดขาดเลยนะ ห้ามบอกแม่ ถ้าแม่รู้ว่าฉันแอบปีนรั้วเข้ามา แม่เอาฉันตายแน่”

อนลมองหญิงสาวประหลาดที่ดูจากท่าทางก็พอรู้ว่าเธอไม่ใช่คนไทย แต่ทักษะการพูดภาษาไทยของเธอนั้นชัดเจนแทบไม่ต่างจากคนไทยเลย แต่ไม่ว่าจะสื่อสารได้ดียังไง เขาก็ฟังประโยคที่เธอพูดไม่เข้าใจสักนิด คล้ายกับว่าเจ้าตัวรู้ว่าจะต้องอธิบายอะไร แต่กลับไม่พูดมันออกมาเสียอย่างนั้น

“เอาอย่างนี้นะ ฉันยืนยันกับคุณได้จริงๆ ว่าฉันไม่ใช่โจร” โจรตัวเล็กไม่อธิบายเรื่องที่ถูกถาม แต่เปลี่ยนเรื่องพูด “ฉันมีกุญแจห้องข้างบน คือห้องนอนของฉันมันเข้าได้สองทาง คุณเห็นบันไดข้างห้องนี้มั้ย นั่นน่ะทางขึ้นห้องฉัน กับอีกที่คือระเบียงชั้นสองของห้องนี้ มันเชื่อมกับห้องนอนฉันได้”

อนลกอดอกหรี่ตามองคำอธิบายแสนประหลาดของแม่ตัวดีที่ฟังดูเลอะเทอะ ยังไงเธอก็แอบเข้ามาในห้องคนอื่น แถมพูดจาอวดอ้างว่าตัวเองมีกุญแจ เขาไม่เข้าใจว่าเธอเห็นเขาเป็นเด็กสามขวบที่จะหลงเชื่อเธอหรืออย่างไร

และสายตาของหญิงสาวซึ่งก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ มองแวบเดียวก็รู้เช่นกันว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ จึงหันรีหันขวางอยู่ไม่นาน พอเห็นจังหวะก็สะบัดแวบ! เร็วยิ่งกว่าสายลม วิ่งตึงๆ ผ่านหน้าเจ้าของห้องที่จ่ายเงินเช่าถูกต้องตามกฎหมาย วิ่งขึ้นบันไดวนขึ้นไปชั้นสองหน้าตาเฉย

“ยัยตัวแสบ มานี่!” อนลกัดฟันกรอดเพราะรู้ว่าเขาเจอตัวแสบเข้าให้แล้ว รู้ตัวอีกทีก็สายไปเพราะเสียรู้ให้โจรลิงวอกเสียแล้ว ลำบากต้องรีบคว้าราวบันไดเหล็กโหนตัววิ่งตามขึ้นไป กลายเป็นบันไดวนเหล็กตึงตังสั่นไปทั้งอันเพราะแรงวิ่งของคนทั้งคู่ที่ไล่กวดกันขึ้นไป ร่างเล็กที่โผขึ้นไปก่อนวิ่งถลาไปจนชิดประตูกระจกที่เปิดออกไปสู่ระเบียง เธอเบรกเอี๊ยดอยู่หน้าประตูด้วยดวงตาตื่นๆ ละล้าละลังเมื่อเห็นว่าฝนข้างนอกที่กำลังกระหน่ำไม่ใช่เม็ดฝนธรรมดา แต่เป็นพายุย่อมๆ เลยทีเดียว

“หยุด!”

ลิงวอกน้อยหันมายกมือทำปางห้ามญาติ พิจารณาแล้วว่าคนที่วิ่งตามมานั้นน่ากลัวกว่าฝน แต่การที่จะวิ่งออกไปท่ามกลางพายุนั้นก็คงทำให้อธิบายอะไรเพิ่มเติมไม่ได้อยู่ดี

“เห็นมั้ยๆ เนี่ย ประตูข้างนอกเนี่ย ประตูห้องฉัน ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ นะ”

อนลขบเขี้ยวขบฟัน ตอนแรกที่ขึ้นมาดูเขาไม่ได้ใส่ใจระเบียงนี้เลยสักนิด เพิ่งได้มาสังเกตพื้นที่ของระเบียงก็ตอนนี้ ทั้งสองด้านตีเป็นระแนงไม้สูงขึ้นมาเพื่อความเป็นส่วนตัว ตัวระแนงปกคลุมไว้ด้วยไม้เลื้อยหนาและประดับด้วยไม้แขวนน่ารักที่บัดนี้กำลังชุ่มฝน ฝั่งซ้ายมือมีเก้าอี้นอนกลางแจ้งสองตัวตั้งคู่กันสำหรับพักผ่อน ด้านหน้าเปิดกว้างเพื่อให้ชมวิวทะเลสาบในมุมสูง และที่ด้านขวามือ เขาเพิ่งเห็นว่ามันมีประตูไม้บานหนึ่ง ซึ่งตอนแรกเขาแทบจะไม่สังเกตมัน เพราะต้นตีนตุ๊กแกที่ปกคลุมกำแพงและกระถางต้นไม้นั้นทำให้มันกลมกลืนกันไปเสียหมด

อนลกอดอก ไม่รู้ว่าเขาเองก็นึกเพี้ยนอะไรถึงอยากมีความคิดให้แม่ตัวแสบแผลงฤทธิ์เพราะอยากรู้ว่าเธอจะดิ้นไปทางไหนต่อ

“เดี๋ยวฉันจะเปิดให้คุณดูว่าฉันเปิดมันได้จริงๆ และฉันก็ไม่ใช่โจรที่ไหน”

เจ้าตัวพูดพร้อมล้วงไปในกระเป๋าข้างตัว กระเป๋าผ้าใบบางแทบขาดเมื่อเจ้าตัวควานหาทั้งปากกระเป๋า ก้นกระเป๋า แต่ก็เหมือนจะยังไม่เจอสิ่งที่ต้องการหา ดังนั้นเสียงบ่นแบบทั้งหงุดหงิดและร้อนรนจึงเริ่มดังขึ้น

“กุญแจไปไหนนะ บ้าจริง ก็ว่าอยู่ในช่องนี้นี่นา”

คนหาใจร้อน แต่คนรอกลับใจเย็น ด้วยความหมั่นไส้เพราะรู้ว่ามุกสุดท้ายดูจะไม่อลังการอย่างที่คิด

“เป็นยังไง เจอมั้ยล่ะ”

เห็นใบหน้าม่อยนั้นก็รู้ว่าไม่มีสิ่งที่ต้องการจะโชว์ในกระเป๋า จากร่างที่ไม่ได้ใหญ่อยู่แล้วตอนนี้มันฟีบลงเหลือไม่ถึงสองนิ้ว ก้มหน้าคอตกเสียงอ่อย

“ฉันมีกุญแจจริงๆ นะคุณ แต่มันหายไปไหนไม่รู้ คืนนี้ฉันมีเหตุจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องเข้าผ่านทางประตูห้องนี้ และฉันก็ไม่รู้ว่ามีคนมาเช็กอินตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนเปิดเข้ามายังแปลกใจอยู่ว่าทำไมห้องมันไม่ได้ล็อก เพราะปกติเราจะไม่เปิดห้องนี้ให้ใครมาพักถ้าฉันไม่อนุญาต”

เสียง หึ! ออกมาจากลำคอของคนที่จ่ายค่าเข้าพักด้วยราคาไม่ใช่น้อยๆ พร้อมสีหน้ายิ้มเยาะๆ นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคำตอบคืออะไร

“เธอต้องลงไปพบเจ้าของโรงแรมกับฉัน เดี๋ยวนี้!”

 

“ไม่เอา! ไม่เอาคุณ! ฉันไม่ไป”

คนตัวเล็กกว่าพยายามทั้งดิ้น ทั้งดึง ทั้งฉุดตัวเองให้ถอยหลัง แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงของหนุ่มไทยร่างสูงที่แม้จะไม่ได้ตัวใหญ่ แต่ก็แข็งแรงพอที่จะลากถูลู่ถูกังกันออกมาตามทางเดิน เรียกง่ายๆ ว่าถ้าพื้นนั้นไม่ใช่พรม ก็คงจะเห็นรอยเล็บจิกลากเป็นทางยาวเลยทีเดียวกว่าที่จะดึงกันออกมาถึงหน้าโถงต้อนรับได้

ป้าเมย์ที่คงได้ยินเสียงดังโวยวายมาก่อนหน้าแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้องพักที่จริงๆ ก็อยู่เยื้องกับประตูห้องพักของเขาไม่ไกล และเมื่อเห็นภาพดังกล่าว หญิงวัยกลางคนก็ต้องยกมือขึ้นทาบอกพร้อมร้องลั่นออกมาคล้ายจะเป็นลม

“นันดา!” ประโยคแรกที่เอ่ยกับหญิงสาวฟังเสียงคล้ายเป็นภาษาพม่า ก่อนประโยคหลังจะหันมาเป็นภาษาอังกฤษกับแขกหนุ่ม “เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ยคุณอนล”

แขกหนุ่มที่มือยังกุมข้อมือเล็กไว้แน่น ไม่สนใจว่าจะถูกแกะหรือสะบัดทิ้งอย่างไร ก็ยังคงยืนยันในเจตนารมณ์ด้วยการเอ่ยรายงานความประพฤติของโจรตัวเล็ก

“เธอแอบเข้าห้องผมทางระเบียงที่ติดกับทะเลสาบ และก็อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของที่นี่”

คนที่เหมือนหัวใจจะวายที่สุดกับภาพตรงหน้าตอนนี้คือป้าเมย์ เธอมองใบหน้าของแขกหนุ่มที่ไม่สบอารมณ์ชัดเจน และมองหน้าหญิงสาวที่บูดบึ้งยิ่งกว่าอะไร รีบร้องห้ามก่อนที่เสียงทะเลาะของคนทั้งคู่จะดังจนแขกห้องอื่นแตกตื่นไปมากกว่านี้

“นี่นันดา ลูกสาวป้าเองค่ะคุณอนล”

อนลเผลอหันกลับไปมองแบบหัวจรดเท้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู ในจังหวะที่เขาเผลอละมือลง ลูกไก่ในกำมือก็วิ่งลอดออกไปหลบหลังแม่ไก่ แม้พอมายืนข้างกัน เค้าโครงหน้าของทั้งคู่นั้นจะประพิมพ์ประพายคล้ายกันบ้าง แต่อนลก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้าลูกหมาน้อยเปียกมะล่อกมะแล่กคนนี้จะเป็นลูกสาวของคุณป้าเมย์สุภาพสตรีผู้สง่างามได้อย่างไร โดยเฉพาะสายตาขู่ฟ่ออย่างเอาเรื่องตอบกลับการมองหัวจรดเท้านั้น รู้ทันทีว่าถ้าไม่ได้มีสายตาของมารดาที่ปรามอยู่ กรงเล็บนั้นคงมีฟาดฟันมาที่เขาบ้างแล้ว

“นี่เล่นอะไรแผลงๆ อีกแล้วนันดา ประตูใหญ่ก็มีทำไมไม่เข้า” ป้าเมย์ตั้งใจดุเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อถือว่าเป็นการให้เกียรติผู้ฟังว่าตนไม่ได้เข้าข้างคนของตน

“ก็ฝนมันตกหนักจะตายนี่คะแม่ ถ้ามัวแต่วิ่งอ้อมมาถึงประตูใหญ่ก็เปียกหมดสิ หนูก็เลยวิ่งเข้ามาทางสวนเอา” ลูกสาวตัวแสบก็ไม่ยอมแพ้ ตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ ด้วยเจตนาว่าจะตอกหน้าคนต่างถิ่นที่ตราหน้าตนว่าเป็นโจรได้เข้าใจให้แจ่มแจ้ง

อนลได้ยินประโยคที่ตอบก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด นี่น่าจะเป็นเรื่องโกหกที่แม่ลูกสาวเพิ่งจะคิดได้สดๆ ร้อนๆ เพราะเมื่อตอนอยู่ในห้องเธอยังบอกอยู่เลยว่ามีเหตุจำเป็น

แสบและฉลาดใช่ย่อยแม่นี่…

“หนูไม่เห็นรู้มาก่อนว่ามีแขกเข้าเช็กอินห้องวันนี้ ทำไมแม่ไม่ถามหนูก่อน”

“ห้ามพูดจาแบบนี้ต่อหน้าแขกนะ” ป้าเมย์เสียงเข้ม “คุณอนลเขาเป็นคู่หมั้นกับคุณเฌออร และก็เป็นเพื่อนกับคุณภากร คุณภากรเขาแจ้งแม่มาเมื่อเย็นว่าอยากจองห้องพัก แม่ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร”

ชื่อของบุคคลที่สามที่เอามาอ้าง ทำให้ลูกสาวเจ้าของโรงแรมพูดไม่ออก ได้แต่เชิดหน้าใส่แขกอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

“ขอโทษนะคะคุณอนล อย่างที่ป้าเรียนแจ้ง สำหรับห้องใหญ่นี้เราไม่ได้เปิดรับลูกค้าทุกท่าน อย่างแรกคือมันติดกับห้องเก็บของ กลัวลูกค้าจะไม่ได้รับความสะดวกจากเสียงดังเวลาขนของ และห้องนี้มันจะมีระเบียงที่ติดกับประตูห้องของนันดาบนดาดฟ้า ปกติถ้ามีลูกค้าเข้าพัก เราก็จะล็อกประตูห้องทางระเบียงนั้นและให้นันดาเข้าออกห้องทางห้องเก็บของแทน แต่ครั้งนี้มันค่อนข้างเร่งด่วน ป้าเลยยังไม่ได้แจ้งภายใน เลยทำให้เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดแบบนี้ขึ้น”

เจ้าของโรงแรมอธิบายอย่างเป็นเหตุและผล

“ส่วนเรื่องไฟ ต้องขออภัยด้วยนะคะ ที่ย่างกุ้งไฟดับค่อนข้างบ่อย ถึงฝนไม่ตกก็ดับได้ค่ะ ย่างกุ้งยังมีปัญหาไฟไม่พอใช้อยู่มาก เราต้องใช้เครื่องปั่นไฟช่วยกันอยู่ตลอด ในห้องที่ลิ้นชักตู้หนังสือมีไฟฉายกับตะเกียงไฟฟ้าอยู่ ชาร์จแบตไว้เต็มแล้ว ถ้าครั้งหลังมันดับอีกก็หยิบขึ้นมาใช้ได้นะคะ”

แม้จะขัดใจกับความไม่สมบูรณ์แบบและไม่ชอบความไม่สะดวกสบาย แต่ความรู้ใหม่เรื่องไฟดับ คงเป็นเรื่องที่เขาคงต้องทำความเข้าใจถ้าหากจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ สายตาของป้าเมย์ที่มองมาแบบขอโทษขอโพยและเป็นห่วงเป็นใย รู้สึกผิดอย่างแท้จริงนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาเข้าใจ แววตาโมโหของแม่โจรนันดาที่กลายมาเป็นลูกสาวเจ้าของโรงแรมนั้นแม้มองดูแล้วไม่ชอบเช่นกันแต่ก็พอเข้าใจสาเหตุได้ว่าเธอคงจะไม่นึกชอบที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร

แต่มีสิ่งหนึ่งที่อนลนึกไม่ชอบใจและไม่เข้าใจ คือตลอดระยะเวลาที่เขายืนคุยกับป้าเมย์อยู่ในห้องโถงนี่ ตั้งแต่ที่เขาลากนันดามาถึงที่นี่ อนลก็รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ภายใต้สายตาของกลุ่มคนอีกหนึ่งกลุ่ม นั่นก็คือกลุ่มคนที่ตั้งแต่เขาเข้ามาที่นี่พวกนั้นก็นั่งกันอยู่ที่ชุดรับแขกไม้ริมห้อง

มันยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้นเมื่อมันไม่ได้มีแค่สายตา ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในห้องพร้อมนันดา ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวจากคนกลุ่มนั้น โดยหนึ่งในนั้นเดินอาดๆ ออกมายังหน้าเคาน์เตอร์ ร่างสูงใหญ่โดยเฉพาะส่วนของพุงที่พลุ้ยนำหน้า หัวล้านมันเลี่ยมสะท้อนแสงไม่เท่ากับทองเส้นโตบนคอและแหวนเพชรที่นิ้วมือ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ใส่ชุดพื้นเมือง แต่ใส่เสื้อเชิ้ตลายพร้อยและกางเกงสแล็กส์ เดินเข้ามาขัดบทสนทนาพร้อมกล่าวเสียงห้าวกับป้าเมย์

แน่นอนว่าอนลฟังไม่ออก แต่ก็รู้โดยสัญชาตญาณว่าบทสนทนานั้นหมายถึงตนเองแน่นอนเพราะสายตาหรี่เล็กที่แทบจะปิดจากไขมันนั้นมันมองมาที่เขาแบบไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ซึ่งแน่นอนว่าคนไม่ชอบสายตาแบบดูถูกจากใครก็คอแข็งมองสวนกลับไปแบบเอาเรื่องเหมือนกัน เริ่มรู้สึกว่ากลุ่มคนที่ตอนแรกถูกแนะนำว่าเป็น ‘แขกของนันดา’ นั้นช่างทำตัวกร่างอย่างไม่ให้เกียรติสถานที่และแขกอย่างตนเอาเสียเลย ป้าเมย์นั้นก็ดูมีท่าทีเกรงอกเกรงใจ ขณะที่แม่ลูกสาวนั้นพูดคุยด้วยแต่ก็เหมือนแบบจำใจ ไม่มองแม้แต่หน้า

ตอนที่เขาลากนันดาเข้ามา บรรยากาศมันก็ว่าแย่แล้ว แต่ตอนที่ตาลุงหัวล้านคนนี้เข้ามาคุยกับสองแม่ลูกมันยิ่งน่าอึดอัดมากกว่า โดยเฉพาะสายตาประหลาดๆ ที่ตาหยีเล็กนั้นจ้องหญิงสาวคนเดียวในห้องแบบไม่เกรงใจ

“ป้าต้องขออภัยอีกครั้งจริงๆ นะคะ คุณอนล” ป้าเมย์หันมาขอโทษขอโพยอีกครั้ง “นันดา รีบขอโทษคุณอนลเขา แล้วก็ไปรับแขกต่อ เขามารอเราตั้งแต่หัวค่ำแล้วนะ”

นันดาทำหน้าเหมือนเอาหัวโขกกำแพง โอดครวญหลุดออกมาได้คำเดียวว่า

“แม่…”

ไม่เข้าใจว่าคำโอดครวญนั้นมีเหตุเกิดจากที่ต้องขอโทษ หรือว่าต้องไปดูแลแขกคนอื่นต่อกันแน่ แต่เมื่อโดนสายตาเรียบๆ ของมารดาที่ดูจะจัดการตัวแสบได้อยู่หมัด

“พูดเป็นภาษาอังกฤษ สุภาพ ช้าๆ ชัดๆ”

อนลหัวเราะหึ ความแสบนี้คงขึ้นชื่อ ไม่มีใครรู้จักลูกสาวตัวเองดีเท่าคนเป็นแม่แล้วจริงๆ ถ้าหากไม่มีคำกำชับนั้น อนลคิดว่าตัวเองคงจะได้ฟังภาษาไทยอะไรที่ไม่ตรงกับเจตนาของคนเป็นแม่แน่ๆ

“แอม โซ ซอรี่ มิสเตอร์อนล”

“งั้นก็ช่างมันเถอะครับ ผมขอตัวก่อนละกัน”

อนลยักไหล่ พยักหน้ารับ เมื่อได้สิ่งที่ตัวเองต้องการก็เป็นอันพึงใจ และไม่อยากจะอยู่ต่อเพราะยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกอึดอัดกับสายตาจากกลุ่มคนข้างหลัง จึงขอออกจากความน่าอึดอัดมาตามมารยาทและไม่อยากจะสนใจเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนอีก

อนลเดินกลับมาที่ห้อง ที่ตอนนี้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กลับมาทำงานเต็มและกำลังส่งความเย็นไปทั่วห้อง ทำให้พอช่วยระงับความคุกรุ่นของเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครู่ได้บ้าง

ชายหนุ่มจากต่างแดนยืนนิ่งอยู่กลางห้องสักพัก ในสมองคิดอะไรหลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องแปลกๆ ที่เขาเจอตลอดทั้งวันในเมืองนี้ คิดอยู่สักพักเขาก็เดินตรงไปที่กระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์ ตั้งใจควานหาอะไรอยู่สักพักก็หยิบมันขึ้นมา

กุญแจสีเงิน ที่ห้อยไว้ด้วยตาข่ายดักฝันสีขาวอันเล็ก

เมื่อหยิบมันขึ้นมาเทียบกับกุญแจห้องพักห้องนี้ที่ป้าเมย์ให้เขามา แม้จะใช้หางตามอง ก็รู้ว่าหน้าตาของมันนั้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน

อนลเดินจ้องกุญแจทั้งสองดอกในมือ ทิ้งตัวลงบนเบาะโซฟา มองประตูระเบียงกระจก มองประตูไม้ มองบันไดวนที่ขึ้นไปชั้นสอง มองไปรอบๆ ห้องพักที่แสนจะไม่เหมือนที่ใดห้องนี้

เขาคิดว่าเขาเริ่มมองเห็นความเชื่อมโยงของตาข่ายดักฝันทุกอันที่เขาเห็นในวันนี้ได้แล้ว

ความเชื่อมโยงที่แปลกประหลาด

เขาก้าวเข้ามาในประเทศนี้ได้ยังไม่ถึงหนึ่งวัน ก็ต้องยอมรับว่าประเทศเพื่อนบ้านประเทศนี้ต้อนรับเขาได้แปลกประหลาดไม่เหมือนที่ใดบนโลกจริงๆ  

 



Don`t copy text!