บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 5 : ความทรงจำใต้หมอก

บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 5 : ความทรงจำใต้หมอก

โดย : รตี

บุพเพข้ามฟ้า โดย รตี เรื่องราวของการเดินทางเพื่อตามหาหัวใจของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับหัวใจของตนเอง ณ ที่แห่งนี้ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ดินแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ได้โด่งดั่งแต่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้สองหัวใจข้ามฟ้ามาเจอกัน นวนิยายโรแมนติกที่อ่านเอานำมาให้นักอ่านทุกท่านได้เพลิดเพลิน

เมื่อมองนาฬิกาที่ข้อมือมันเป็นเวลาแปดนาฬิกาห้าสิบห้านาที อนลรีบก้าวออกมาจากห้องพักและกดล็อกประตูห้อง เก็บทั้งตัวกุญแจและพวงกุญแจตาข่ายดักฝันหย่อนลงไปในกระเป๋า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทางและเรื่องวุ่นวายมากมายในวันแรกที่ประเทศเพื่อนบ้านต้อนรับเขาหรือเปล่า จึงทำให้เขาหลับสนิทจนเผลอตื่นสาย เกือบจะไม่ทันเวลาเก้าโมงตรงที่นัดให้ภากรมารับ

“พี่ภากรไม่ต้องมาขำเลยนะคะ”

กำลังเร่งฝีเท้าเพราะตัวเองเป็นคนที่เกลียดคนไม่ตรงเวลาที่สุด แต่ถึงกับต้องชะงักที่กลางทางเดินก่อนที่จะถึงทางเลี้ยวเข้าสู่โถงใหญ่ สะดุดหูกับเสียงที่ได้ยิน เพราะทั้งที่ที่นี่ไม่ใช่ประเทศบ้านเกิด แต่กลับได้ยินเสียงพูดภาษาไทยแจ๋วๆ ดังมาจากตำแหน่งที่เขาจำได้ว่าเป็นเคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรมแห่งนี้

“ดูหน้าฉัน หน้าฉันเหมือนโจรเหรอคะ” คำพูดนั้นเหมือนกึ่งอารมณ์เสียนิดๆ “เอาอะไรมาคิดก็ไม่รู้”

เสียงหัวเราะตอบนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย ที่ถึงแม้จะไม่ได้ยินชื่อ อนลก็จำการหัวเราะแบบก้องๆ นั้นได้ และมันดูเป็นการหัวเราะที่เสียงดังฟังชัดที่สุดแบบที่เขาไม่ค่อยได้ยินภากรหัวเราะแบบนี้ ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูสนิทและคุ้นเคยกันดี

“ก็ไฟมันดับ ฝนก็ตก มองไม่เห็นก็เข้าใจผิดกันได้สิ ยังดีนะคุณอนลเขาไม่เผลอเอาไม้ไล่ตีหัวเราเอา”

“ไม่ได้เอาไม้ตีหัว แต่เพื่อนพี่ภากรบีบแขนฉันแทบหัก นิสัยไม่ดีเลย แบ๊ด แมนเนอร์ แอนด์ น๊อท โพไลท์ แอท ออล”

ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงหัวเราะหึหึกับคำวิจารณ์ของเสียงใสที่ไม่ใช่คนไทยแต่พูดไทยได้คล่อง แต่ยังไงก็ยังไม่ชัดและถนัดเหมือนเจ้าของภาษา เวลาหงุดหงิดพาลนึกภาษาไทยไม่ออก จึงหลุดออกมาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเป๊ะทั้งดุ้นที่เจ้าตัวคงถนัดมากกว่า ซึ่งเมื่อเอาคำศัพท์มาผสมกับน้ำเสียงแล้ว อนลก็แปลความประโยคนั้นได้ว่า นิสัยเสียและไร้มารยาทสุดๆ

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามิสเตอร์ไม้บรรทัดคนนั้นจะเป็นคู่หมั้นของคุณเฌออรจริงๆ” แม่ลูกสาวเจ้าของโรงแรมยังเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้ตัวว่าถูกแอบฟังอยู่ มิหนำซ้ำยังหันไปถามคนที่น่าจะรู้จักไม้บรรทัดคนนั้นมากกว่าตน “เขาจะแต่งงานกันจริงๆ เหรอคะ”

“จริงสิ งานทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้วตั้งแต่ก่อนที่คุณเฌออรจะบินมาที่นี่” คนให้ข้อมูลยังคงตอบเรื่อยๆ “ถ้าคุณเฌออรหายดี กลับไปก็คงจัดงานเลย”

“คุณเฌอเธอเป็นคนน่ารักมากๆ เลยนะคะ ทำไมถึงตกลงที่จะแต่งงานกับคนแบบนี้ ดูไม่เข้ากันเลย ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่เอาผู้ชายแบบนี้เด็ดขาด…”

“ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะไม่เลือกผู้หญิงที่ประตูทางเข้าบ้านตัวเองมีดีๆ ก็ไม่ใช้ แต่ดันไปแอบเข้าทางห้องคนอื่นตอนมืดๆ ดึกๆ ดื่นๆ”

มิสเตอร์ไม้บรรทัดกล่าวพร้อมปรากฏตัวต่อหน้าคู่สนทนาทั้งสอง หลังเคาน์เตอร์ต้อนรับคือใบหน้าแจ่มใสที่วันนี้ไม่เปียกเป็นลูกหมาน้อยตกน้ำเหมือนเมื่อวาน สองแก้มนวลแฉล้มภายใต้กรอบผมเส้นเล็กที่ยาวประบ่า ทั้งที่สายตายุ่งอยู่กับเอกสารแต่ปากกลับเจื้อยแจ้วได้ไม่หยุด อีกฝั่งของเคาน์เตอร์คือเจ้าเพื่อนของเขาที่ยืนเท้าคางคุยด้วยความสนุกสนาน บอกถึงความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณอนล” ภากรหันมากล่าวทักทายหน้าตาแจ่มใส “หลับสบายดีนะครับ”

“เหนื่อยหลับเป็นตายเลย ก็เมื่อวานกว่าจะได้นอนต้องเล่นบทตำรวจจับผู้ร้ายซะตั้งนาน”

คนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนแต่เพิ่งมารับรู้เรื่องเมื่อเช้าเป็นคนเดียวที่หัวเราะได้ แม้จะรับรู้ถึงบรรยากาศอันเย็นยะเยียบระหว่างคู่กรณีทั้งสอง

“รู้จักกันแล้วสินะครับ” ภากรว่า “สาวน้อยคนนี้แหละครับคุณอนล วันที่คุณเฌออรประสบอุบัติเหตุ นันดาคอยช่วยเหลือผมทุกอย่างเลย ทั้งเรื่องโรงพยาบาล ตำรวจ เอกสารประกัน ถ้าไม่ได้นันดาช่วย ผมต้องแย่แน่ๆ ภาษาพม่าก็งูๆ ปลาๆ เหลือเกิน”

ภากรฉลาดที่จะเลือกเวลาราดกาวสานสัมพันธ์รอยร้าวตามประสาคนชอบเห็นมิตรไมตรีมากกว่าศัตรู

“ยังไงวันนี้ถ้าพี่ภากรจะไปเยี่ยมคุณเฌอ ฉันฝากขนมไปให้เธอด้วยละกันนะคะ”

แต่ดูว่าหญิงสาวจะไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ตามทางที่ปูเท่าใดนัก เธอยกถุงขนมขึ้นมาวางบนเคาน์เตอร์ ไม่ได้ทักทายชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาในวงสนทนา และสิ่งที่ทำให้อนลรู้สึกแสบจี๊ดคือตาโตคู่นั้นมองผ่านเขาไปราวกับเขาที่ยืนหัวโด่อยู่นี่คืออากาศธาตุ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปคุยกับภากรต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อ้าว พี่ก็นึกว่านันดาจะไปเยี่ยมคุณเฌออรด้วยกันซะอีก”

“เดี๋ยวฉันไปเองวันหลังดีกว่าค่ะ วันนี้พี่ภากรมีแขกไปด้วย คงจะไม่สะดวก”

แม้ไม่ใช่เจ้าของภาษา แต่การใช้คำนั้นคล่องแคล่ว แถมดูจะถนัดมากเสียด้วยในเรื่องของการประชดประชัน โดยน้ำเสียงที่กล่าวถึงแขกบ่งบอกความห่างเหินไม่ต้องการสานสัมพันธ์ด้วยไม่ว่าทางใดทั้งสิ้น

“สะดวกสิ” ภากรรีบแย้ง “ขนมนี่นันดาก็ตั้งใจซื้อไปฝากคุณเฌออร เอาไปให้ด้วยตัวเองดีกว่านะ คุณเฌออรก็ต้องอยากเจอนันดามากแน่ๆ ครั้งที่แล้วที่เราไปหา คุณเฌออรดูสดใสมากเลยนะเวลาได้คุยกับเราน่ะ”

คำชวนนั้นมีผลเพราะแวบหนึ่งที่ตากลมมองขนมในมือเหมือนหยุดคิด แต่มันลังเลเพราะเห็นท่ายืนเต๊ะเชิดๆ อันสุดแสนจะดูขวางโลกของชายหนุ่มอีกคน จึงกัดปากตอบออกไปว่า

“เดี๋ยวฉันไปเองวันหลังดีกว่าค่ะ”

“นันดาอย่าทำให้พี่รู้สึกผิดกับผู้มีพระคุณมากไปกว่านี้เลย ที่นันดาช่วยดูแลคุณเฌออรดีขนาดนี้ เราสองคนยังไม่มีอะไรตอบแทนคุณเลย”

ดวงตากลมโตเหมือนพระจันทร์คู่นั้นมีแววอ่อนลงชัดเจนหลังจากเจอประโยคแสนจริงใจจากหนุ่มไทยที่ก็ตั้งใจกล่าวเช่นนั้นจริงๆ เพราะมีเจตนาอยากตอบแทนทุกอย่างเท่าที่ทำได้ จู่ๆ คนที่เคยมั่นใจเสียงเจื้อยแจ้วก็กลับหลบตาคนชวนเอาดื้อๆ เหมือนแก้มทั้งสองจะมีสีระเรื่อขึ้น และสุดท้ายเสียงแข็งก็เหลือเพียงประโยคอุบอิบ

“พี่ภากรไม่ต้องตอบแทนอะไรฉันหรอกค่ะ คุณเฌอก็คือเพื่อนฉัน ฉันยินดีช่วยเธอจริงๆ”

อนลกอดอก มองการสนทนาของคนทั้งสองที่ตอนนี้ทำให้เขากลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์แบบ เริ่มเอะใจขึ้นมาน้อยๆ ว่าทำไมท่าทีของแม่ม้าดีดกะโหลกคนนี้แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเวลาที่สนทนากับภากร ขณะที่เพื่อนของตนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ผิดสังเกตอะไร ยังคงคอนเซปต์แสนซื่อได้ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ได้รับรู้ในอาการเคอะๆ เขินๆ นั่นเลย ตั้งหน้าตั้งตายืนยันจริงจังด้วยความสุภาพบุรุษต่อไป

“นะครับ นะนันดา” หนุ่มไทยผู้สุภาพยังคงพยายามโน้มน้าว “ไปด้วยกันเถอะ โรงพยาบาลไกลจะตาย พี่ไม่ยอมปล่อยให้เรานั่งแท็กซี่ไปคนเดียวหรอก”

“ไม่ทราบว่าจะยืนพิจารณากันอีกนานมั้ย ถ้านานเดี๋ยวจะขออนุญาตไปเปิดคอมทำงานก่อน ตอนบ่ายมีประชุมด้วย”

อนลตัดบทขึ้นมาด้วยอารมณ์เดียวเลยคือนึกหมั่นไส้การไม่ไปไม่มาของบทสนทนา และท่าทางการคุยที่มันดูน่ารำคาญตาเสียเหลือเกินสำหรับเขา คำตอบการถูกขัดจังหวะคือนันดาสะบัดค้อนวงใหญ่ใส่ขวับ ก่อนที่ดวงตาคนละคู่จะหันกลับมาหาภากรด้วยเสียงอ่อน พยักหน้าเบาๆ

“งั้นก็ได้ค่ะ”

 

ทั้งที่รถของวิศวกรหนุ่มชาวไทยก็เป็นรถรุ่นใหม่เอี่ยมแอร์เย็นฉ่ำ แต่ถ้าใครได้มานั่งตอนนี้ก็ต้องสัมผัสได้ถึงบรรยากาศในรถที่มันดูร้อนอึดอัดพิกล ทั้งที่ในห้องโดยสารก็ไม่ได้เงียบ แถมมีเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วระหว่างหญิงสาวที่เบาะหลังกับสารถีหนุ่มซึ่งเป็นไปอย่างออกรสออกชาติ ส่วนบทสนทนาระหว่างคนขับกับคนนั่งเบาะหน้าก็เป็นไปเรื่อยๆ ตามปกติ แต่ความอึมครึมนั้นมันมาจากตลอดเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่เดินทางมาที่โรงพยาบาลนั้นมันไม่ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างผู้โดยสารทั้งสองเลยแม้แต่ประโยคเดียว

ภากรที่เป็นคนกลางเข้าใจสาเหตุของความอึมครึมนี้ดีที่สุดเพราะรู้จักทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งนั้นรู้จักดีมาตั้งแต่เด็กในเรื่องของความสมบูรณ์แบบ พยายามมุ่งมั่นที่จะควบคุมและจัดทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ตนวางแผน ขณะที่หญิงสาวที่รู้จักกันเพียงไม่นาน แต่เพราะความเป็นคนช่างพูด เปิดเผย จริงใจและมีความเป็นอิสระสูง ไม่ชอบให้ใครมาควบคุม ซึ่งอยู่ขั้วตรงข้ามกับชายหนุ่มโดยสิ้นเชิง เห็นจะมีอย่างเดียวที่ทั้งสองเหมือนกันก็คือความไม่ยอมคน ซึ่งเป็นนิสัยที่นักประนีประนอมชั้นยอดต้องปวดหัว พยายามเลือกที่จะไม่ทำให้ทุกอย่างแย่ไปกว่านี้โดยการชวนคนนั้นคนนี้คุยได้เรื่อยๆ จนถึงจุดมุ่งหมายปลายทางที่โรงพยาบาล

“สวัสดีค่าคุณเฌออร” คำทักทายภาษาไทยถูกส่งเข้าไปในห้องผู้ป่วยก่อนที่ตัวจะเดินตามเข้าไปพร้อมรอยยิ้มสดใสดั่งดอกทานตะวันบานส่งให้คนป่วยบนเตียง “โอ้โห วันนี้หน้าตาสดใสขึ้นเยอะเลย แบบนี้อีกไม่กี่วันก็หาย เดี๋ยวออกไปเดินเที่ยวด้วยกันได้แล้วนะคะ”

เฌออรที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกลางห้องเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นคณะผู้มาเยี่ยม

“คุณ…นันดา”

คนป่วยเรียกชื่อได้อย่างถูกต้องก่อนยิ้มรับ แสดงว่ามีความคุ้นเคยกันอยู่ สีหน้าของใบหน้าจิ้มลิ้มในวันนี้ดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก แม้จะยังมีความอิดโรยตามประสาคนเพิ่งฟื้นจากการเฉียดตาย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือประกายตาที่สดใสขึ้นมาเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาหานั้นเป็นใคร

“เมื่อวานว่าจะเข้ามาเยี่ยมคุณเฌอตอนเย็นเพราะตอนกลางวันที่โรงแรมคนเยอะมาก แขกเข้าเช็กอินกันหลายห้องเลย” นันดาทรุดตัวนั่งลงบนเตียงคนป่วยพร้อมเจื้อยแจ้วไม่หยุดตามประสาคนช่างพูดด้วยภาษาไทยง่ายๆ ตามแบบฉบับของเธอ ความไม่ใช่เจ้าของภาษาไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการช่างเจรจาเลยสักนิด “แต่ตอนเย็นงานก็ดันเลิกดึก แล้วฝนก็ตกอีก เจอแต่เรื่องวุ่นวายไปหมดเมื่อวาน แต่ก็สบายใจเพราะพี่ภากรบอกว่าจะเข้ามาหาคุณเฌอเอง”

อนลรู้ว่าเรื่องวุ่นวายที่เจ้าหล่อนจงใจพูดถึงนั้นต้องหมายถึงเรื่องเข้าใจผิดเมื่อคืนด้วยแน่ๆ ชายหนุ่มยิ่งมั่นใจว่าตัวเองคิดไม่ผิดจริงๆ กับความเอาเรื่องของแม่ลูกสาวเจ้าของโรงแรมคนนี้ ลักษณะท่าทางภายนอกอันว่องไว คล่องแคล่ว พูดจาฉะฉานแสดงถึงความมั่นใจ ตลอดเวลาที่นั่งรถมาที่นี่เธอก็ไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงกับเขา ยังคงพูดคุยยิ้มแย้มกับภากรเหมือนปกติ แต่สิ่งที่แสบที่สุดคือการตั้งใจเมินเขาราวกับเขาเป็นอากาศไม่มีตัวตน ซึ่งสำหรับชายหนุ่มที่ปกติจะเป็นคนตกอยู่ในสายตาสื่อและได้รับการสนใจจากสื่อสังคมทุกระดับ มันกระตุกต่อมหงุดหงิดได้มากกว่าการเข้ามาโวยวายใส่หน้าเสียอีก

“เมื่อวานแม่ฝากผลไม้มากับพี่ภากร ได้กินแล้วใช่มั้ย มะม่วงอร่อยมั้ย” นันดาถามคนป่วย

“อร่อยมากค่ะ เฌอชิมแล้ว ขอบคุณคุณแม่คุณนันดามากนะคะ”

“ที่นี่เขาเรียกว่าเส่งตะโลงค่ะ เป็นมะม่วงชื่อดังของพม่าเลย แต่ตั้งใจเอามาฝากนิดเดียวนะคะเพราะมันหวานมาก กินเยอะไม่ดีเดี๋ยวอ้วน อ้อ! แล้วพี่ภากรแบ่งให้คุณพยาบาลขิ่นแล้วใช่มั้ย” ถามเองพูดเองเสร็จก็หันไปหาคุณพยาบาลส่วนตัวของเฌออรที่ยืนอยู่มุมห้องเป็นภาษาพม่า คุยล้งเล้งรื่นเริงกันอยู่สักพักแปลได้โดยไม่ต้องฟังออกก็รู้ว่าถามถึงมะม่วงของดีนั่นเป็นแน่

“พี่แบ่งเรียบร้อยแล้วครับ รับรองทั่วถึง” ภากรยิ้มพร้อมตอบ “ของพี่ก็แบ่งมาแล้ว กินกันทั้งออฟฟิศ อร่อยอ้วนเลยครับ”

“เยี่ยมเลย ไว้ถ้ามีอีกฉันจะเอาความอ้วนมาแบ่งอีกนะคะ”

ภาพการสนทนาในห้องคนป่วยที่ดูครึกครื้นเพราะมีต้นเสียงเป็นคนมาเยี่ยมที่พูดและหัวเราะเก่ง คนไข้เองพอได้อยู่ในบรรยากาศที่ไม่เงียบเหงาก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น แม้กระทั่งพยาบาลวัยกลางคนก็ยังร่วมวงสนทนาด้วยภาษาอังกฤษและพม่าสลับกันไป

อนลที่พึ่งเข้ามาเหยียบประเทศนี้ได้ไม่ถึงสองวันดีนึกเกิดคำถามกับภาพที่เห็น เขาไม่รู้มาก่อนว่าความสัมพันธ์ของสาวเจ้าถิ่นกับคู่หมั้นของตนที่บังเอิญมาประสบอุบัติเหตุที่บ้านเมืองแห่งนี่นั้นเป็นมาอย่างไร แต่มันมีสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จนทำให้นึกสงสัยว่าทำไมเฌออรถึงได้ดูยิ้มแย้มอย่างสบายใจเวลาคุยกับเจ้าหล่อนคนนี้นัก ทั้งที่ก็เชื่อว่าข้อมูลเกี่ยวกับตัวของแม่สาวแสบที่หลงเหลืออยู่ในสมองของเฌออรนั้นก็คงไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นๆ ในห้องที่มันเริ่มนับจากศูนย์ในวันที่เธอฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล

“นี่ดูสิคะ ไอ้วินไปเที่ยวแล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊กอีกแล้ว อิจฉามันจริงๆ” ร่างปราดเปรียวที่อยู่ในชุดที่แตกต่างจากสาวพม่าส่วนมาก คือเสื้อยืดกางเกงแบบสบายๆ นั่งแกว่งขาอยู่บนเตียงคนไข้ ทำราวกับเหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านเพื่อน มือเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตนเองพลางพูดจ้อยๆ “อ้อ ขอโทษทีคุณเฌอคงจำมันไม่ได้ วินเป็นเพื่อนของฉันเอง มันเป็นไกด์นำเที่ยวน่ะค่ะ คุณเฌอเคยเจอพร้อมฉันตอนเราไปเจดีย์ชเวดากองด้วยกันครั้งแรก”

แม้เรื่องเล่าจะเป็นเรื่องเล่าที่คนป่วยด้วยอาการความจำเสื่อมระยะสั้นจำไม่ได้แน่นอน แต่คนเล่าก็เล่ามันได้เรื่อย ๆ และคนป่วยก็พยักหน้าตาใสตั้งใจฟังได้เรื่อยๆ ด้วยความสนใจ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกกดดันให้รื้อฟื้นความทรงจำที่หายไปเหมือนที่มักรู้สึกเวลาคนอื่นพูด เสียงเจื้อยแจ้วและการช่างพูดชวนคุยทำให้เฌออรผ่อนคลายและไม่รู้สึกว่าคนเล่าเป็นคนแปลกหน้า อาการที่ดีขึ้นของคนไข้ก็พลอยทำให้คนมาเยี่ยมใจชื้นไปด้วย

อนลเองก็สัมผัสบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเป็นสดใสนั้นได้เช่นกัน เขาเองยินดีที่ได้เห็นเฌออรดูมีชีวิตชีวาขึ้น แม้จะเป็นความสดใสที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าตัวเขาเองเหมือนจะเป็นคำตอบของเกมอะไรเอ่ยไม่เข้าพวกอย่างไรพิกล

ต้องยอมรับแม้เขาและเฌออรจะโตมาด้วยกัน แต่ก็ห่างกันไปหลายปีช่วงไปเรียนต่างประเทศ จึงทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและคู่หมั้นนั้นค่อนข้างห่างเหินอย่างที่ไม่ควรจะเป็นสำหรับคนที่กำลังจะเข้าประตูวิวาห์กัน และงานของเขานั้นก็ยุ่งมากจนไม่ค่อยมีเวลาได้สร้างสัมพันธ์กันเท่าไร เรื่องงานแต่งและพิธีการทางผู้ใหญ่ก็จัดการให้ทั้งหมด ยิ่งตอนนี้เฌออรกลายเป็นเฌออรที่ไม่รู้จักเขา สถานะการถูกเพิกเฉยที่กำลังเผชิญอยู่มันจึงยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัดไปใหญ่

“พอฉันบอกว่าฉันอยู่กับคุณเฌอนะคะ มันก็รีบส่งภาพมาเลย นี่ค่ะทะเลสาบอินเล มันบอกว่าถ่ายมาเผื่อคุณเฌอเพราะจำได้ว่าคุณเฌออยากไปที่นี่”

เฌออรตาโตด้วยความตื่นเต้นเมื่อมีของขวัญที่ไม่คาดคิด รีบยื่นหน้าเข้ามาดูที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่ภาพที่เห็นจะทำให้สองตานั้นเป็นประกาย

“สวยมากเลยค่ะ ที่นี่น่ะหรือคะ ทะเลสาบอินเล”

สองสาวนั่งชิดไหล่กัน พูดคุยกันหนุงหนิงในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เห็น

“ใช่ค่ะ ทะเลสาบอินเลเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในรัฐฉานของพม่าเลย” เจ้าถิ่นอธิบาย “พื้นที่เป็นสิบๆ ไมล์ ใหญ่กว่าทะเลสาบอินยามากๆ เลย”

“ทะเลสาบอินยา…?” เฌออรทวนตาใส

“อ๋อ ฉันหมายถึงทะเลสาบที่ข้างบ้านของเราน่ะค่ะ” นันดาอธิบายเพิ่ม เสร็จแล้วก็ยิ้มแหย เมื่อนึกได้ว่าตัวเองคุยเพลินจนบางทีก็ลืมไปว่าความทรงจำของคู่สนทนานั้นไม่เหมือนเดิม “แต่อินยาเลค จะเป็นทะเลสาบที่มนุษย์ทำขึ้นอยู่กลางเมืองย่างกุ้ง รอบๆ ทะเลสาบก็เป็นสถานที่สำคัญต่างๆ อย่างมหา’ลัยย่างกุ้ง เจดีย์ชเวดากอง สวนอาหาร โรงแรม บางส่วนก็จัดให้เป็นปาร์คไว้เดินเล่น ออกกำลัง ส่วนอินเลเลคเป็นทะเลสาบตามธรรมชาติอยู่ติดกับภูเขาสูง ที่นั่นจะมีหมู่บ้านกลางน้ำ พวกเขาใช้วิถีชีวิตแบบชาวทะเลสาบ ปลูกบ้าน ปลูกผักบนน้ำทั้งหมด อาชีพหลักก็ทำประมง มีงานฝีมือทอผ้าจากใยบัว เป็นชีวิตที่อยู่กับน้ำมาตลอดตั้งแต่รุ่นเก่ารุ่นแก่นู่นค่ะ”

แม้จะไม่มีความทรงจำในหัว แต่จิตวิญญาณของนักเดินทางยังคงอยู่ในตัวหญิงสาวอย่างเต็มเปี่ยม สังเกตุได้จากท่าทางที่สนอกสนใจ ซึ่งคนเล่าก็ดูจะเข้าใจในความชอบนี้ดี

“ไว้คุณเฌอหายดี เราไปเที่ยวด้วยกันนะคะ” นันดาพยักหน้าชวน “ไปด้วยกันนะคะพี่ภากร ที่นู่นอากาศดีและก็สวยมาก เป็นดรีมเดสทิเนชั่นเลย ฉันอยากให้ทุกคนได้เห็นกัน”

“จริงเหรอคะ ดีเลยค่ะ”

“เดินทางสะดวกมากเลยค่ะ มีไฟล์ทบิ…”

“พี่คิดว่าเรื่องเที่ยวคงจะต้องเอาไว้วันหลังจะดีกว่านะครับ”

ทุกสายตาในห้องหันไปคำพูดที่เหมือนจะเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้ามา อนลที่ยืนฟังอยู่นานก้าวออกมาจากมุมเสาที่พิงอยู่เมื่อฟังดูแล้วการคุยนั้นเริ่มเลยเถิดจนเกินจริง

“ระยะนี้พี่อยากให้น้องเฌออยู่ใกล้หมอให้มากที่สุด หรือถ้าน้องเฌออาการดีขึ้นแล้วพี่ก็คิดว่าเราควรจะเดินทางกลับไทยให้เร็วที่สุด คุณน้าอรวีกับคุณลุงคชา…พี่หมายถึงคุณพ่อคุณแม่ของน้องเฌอ เขาเป็นห่วงน้องเฌอมากๆ นะครับ”

ทะเลสาบอินเลในมโนภาพถูกทุบตูมเดียวก็สลายหายไปเป็นเพียงฝุ่นผงในโลกของความเป็นจริง คนป่วยหยุดรับฟังคำพูดนั้นด้วยสีหน้าม่อยลงนิดๆ แต่ก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ขณะที่ดวงตากลมโตเอาเรื่องของคนไม่ป่วยแต่นั่งอยู่บนเตียงคนป่วยสะบัดขวับขึ้นมาจ้องหน้าชายหนุ่ม

“ฉันเข้าใจที่คุณอนลบอกค่ะ” เฌออรพยักหน้าพร้อมกล่าว

“เรียกพี่อนลเหมือนที่เคยเรียกดีกว่าครับ” ปากบางคลี่บอกคู่หมั้นของตนด้วยรอยยิ้ม

“พี่อนล”

หญิงสาวทวนชื่อนั้นด้วยเสียงแปร่งๆ และสีหน้ายุ่งยากใจโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่เวลาคุยกับภากรหรือนันดา ยังดูมีสายสัมพันธ์บางอย่างเชื่อมการสนทนานั้นไว้ แต่คนที่ควรจะมีความทรงจำเหลือมากที่สุดอย่างคู่หมั้นกลับว่างเปล่า คนที่รับรู้สายตานั้นดีที่สุดคือคนที่ช่างจับสังเกตอย่างตัวชายหนุ่มคู่หมั้นเอง แต่สีหน้าของท่านประธานหนุ่มนั้นก็ยังรักษาได้เรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น

“ฉันก็จะพยายามเต็มที่นะคะ ฉันเองก็อยากรีบหาย ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” เฌออรกัดริมฝีปากเบาๆ ระหว่างพูด สองสายตาเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อนึกถึงสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ “เมื่อวานหลังจากที่พี่อนลกับพี่ภากรกลับไป ฉันก็พยายามเปิดอ่านเฟซบุ๊กเพจนั้นอีกรอบนะคะ และก็พยายามนึก”

การขมวดคิ้วและรอยคล้ำใต้ตานั้นเป็นหลักฐานของความพยายามนั้นได้ดี

“ฉันพยายามนึกอยู่นานมากๆ”

ร่างสูงแสนสำอางเบิกตาโตก่อนก้าวเข้าไปชิดเตียงคนไข้อย่างมีความหวัง สิ่งที่อนลรู้ตอนนี้คือยิ่งเฌออรหายดีได้เร็วเท่าไร เขาจะรีบพาตัวเธอกลับไทยไปจัดการธุระปะปังทั้งเรื่องงานและเรื่องงานแต่งของเธอกับเขาที่มันค้างคา พวกผู้ใหญ่จะได้ไม่ต้องมองหน้าคอยกดดัน และทุกอย่างก็จะได้ก้าวไปตามแผนงานที่วางไว้

“แล้วนึกอะไรออกบ้างมั้ยน้องเฌอ” เพราะลิสต์งานค้างในหัวมันยาวเหยียดและช้าไปหมดเพราะตัวเองติดอยู่ที่นี่ จึงแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอถามออกไปอย่างออกหน้าออกตา

เฌออรที่มัวแต่นึกวนอยู่กับภาพมืดดำในหัวของตัวเอง จึงไม่ได้ใส่ใจความอยากรู้นั้น

“มันเหมือนพอพยายามนึก ภาพอะไรไม่รู้มากมายมันก็วิ่งมาในหัว แต่มันรางเลือนจนฉันจัดลำดับไม่ถูก เหมือนมันมีอะไรไปบังไว้ พอเห็นภาพไม่ชัด มันก็จำอะไรไม่ได้”

ประกายชีวิตชีวาที่เคยเจิดจรัสอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลดับวูบลงทันที ปากบางซีดเม้มแน่น มือที่ยังระโยงระยางไปด้วยสายน้ำเกลือยกขึ้นมากุมศีรษะ

“แต่ฉันจำได้อยู่หนึ่งอย่าง…”

เหมือนทุกคนในห้องขยับตัวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“อะไรครับ” คู่หมั้นหนุ่มรีบซัก

“เขา…” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาแสนจะยากเย็น มันยิ่งยากที่จะกลั่นออกมาเป็นคำเมื่อต้องพยายามฝ่าเมฆหมอกในหัว “เขาคนนั้น…ฉันจำได้แต่ว่าเขา…เขา มันเหมือนฉันติดค้างอะไรเขาอยู่สักอย่าง มันถึงนึกได้แต่เขา”

คิ้วเรียวขมวด มือทั้งสองข้างเริ่มสั่น อนลและภากรหันขวับมามองกันทันทีเพราะว่าเหมือนจะคุ้นกับอาการเริ่มต้นเช่นนี้ ต่างพากันอึ้งไปเพราะทำอะไรไม่ถูก

คนที่งงเพราะมีข้อมูลอาการแบบนี้น้อยที่สุดเห็นจะเป็นนันดา เพราะเพิ่งเจออาการแบบนี้จากเฌออรเป็นครั้งแรก ถึงแม้จะไม่เข้าใจอะไร แต่ด้วยสัญชาตญาณที่รับรู้ถึงความผิดปกติได้ดีที่สุด เธอกลับเป็นคนที่ไหวตัวได้เร็ว ก่อนที่คนป่วยบนเตียงจะแสดงอาการวิตกกังวลไปมากกว่านี้ หญิงสาวก็รีบหันไปคว้ากล่องขนมบนหัวเตียง ถือวิสาสะปาดหน้าคนต้นเรื่องพร้อมแยกเขี้ยวใส่เป็นสัญญาณให้เขาขยับออกไปจากข้างเตียงโดยด่วน

“ไม่เป็นไรนะคะคุณเฌอ นึกไม่ออกวันนี้ เดี๋ยววันหน้าก็นึกออก เวลาเรามีตั้งมากมายกลัวอะไร” นันดาพยายามคลี่คลายสถานการณ์ด้วยเสียงสดใสทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว “มาดูนี่กันดีกว่า ฉันซื้อขนมมาฝากคุณเฌอด้วยน้า นี่เลยเจี๊ยะอูปู่ติ่นเจ้าดังที่เราไปแวะกินด้วยกันตอนขากลับจากชเวดากอง อร่อยมากเลยร้านนี้”

เจี๊ยะอูปู่ติ่นหรือพุดดิ้งไข่สีขาวเนื้อนวลเนียนเด้งสวยถูกแกะออกจากกล่อง และพยายามใช้มันเป็นตัวดึงความสนใจของคนป่วย แต่สิ่งที่อนลสนใจกลับไม่ใช่เจ้าขนมหน้าตาประหลาดนั้น หูจับใจความได้ที่ท้ายประโยคชวนกินนั้นราวกับเสือตะครุบเหยื่อ

“ว่ายังไงนะ!” อนลขยับพรวดกลับมาที่เดิม ก้มลงไปจ้องใบหน้าของร่างเล็กที่สูงอยู่แค่ประมานช่วงไหล่เขา “เธอไปชเวดากองกับน้องเฌอมาเหรอ”

ปู่ติ่นหรือพุดดิ้งในมือยังไม่ทันทำหน้าที่ของมันได้สำเร็จ ก็ถูกดึงความสนใจด้วยคำถามเสียงดังลั่นห้อง ตาโตที่มองอยู่แบบไม่ได้ตั้งตัวตกใจ เพราะเหมือนนี่จะเป็นประโยคแรกที่เขาตั้งใจเอ่ยกับเธอหลังจากที่ปั้นปึ่งกันมานาน

“ชะ…ใช่” นันดาตอบแบบระแวง ไม่นึกชอบร่างสูงที่พรวดพรวดเข้ามาหาตนแบบน่ากลัวเช่นนี้ ยังจำเมื่อคืนที่เขาบีบแขนเธอแทบหลุดได้แม่น

“วันนั้นเธอไปกับใครบ้าง”

“กับใคร” หญิงสาวย้อนถาม

“ฉันถามเธอ ไม่ใช่ให้เธอมาถามฉันกลับ” อนลจิ๊ปากอย่างขัดใจ “วันที่เธอไปเจดีย์ชเวดากอง มีใครไปกับเธอบ้าง”

“ใช่จริงๆ ด้วย”

ทุกคนในห้องสะดุ้ง เมื่อไม่ได้มีแค่ชายหนุ่มคนเดียวที่เสียงเอาเรื่อง แต่เป็นเฌออรที่จู่ๆ ก็ร้องเสียงสูง เบิกตาโตเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นั่นยิ่งทำให้ตาโตของสาวพม่าเบิกกว้างบอกถึงอาการงงหนัก เมื่อจู่ๆ คนป่วยที่ก็เข้ามาผสมโรงด้วย

“ถ้าคุณนันดาไปที่เจดีย์ชเวดากองกับฉันวันนั้น คุณนันดาได้เจอเขาใช่มั้ยคะ คุณรู้ใช่มั้ยคะว่าเขาอยู่ไหน คุณตามหาเขาให้ฉันได้มั้ยคะ ฉันอยากเจอเขา อยากเจอมากๆ”

“ขะ…เขา…ไหน…คะคุณเฌอ” นันดาไม่เข้าใจ

“เขาคนนั้น ฉันรู้จักเขาด้วย ฉันอยากเจอเขามาก ฉันอยากบอกอะไรเขา…”

ท่าทางร้อนรนของเฌออรที่ร้องเร่ง มือหญิงสาวที่เข้ามาเกาะแขนพร้อมเขย่าอย่างต้องการคำตอบ ปากที่ร่ำร้องพูดถึงแต่เขาซึ่งเป็นคนที่นันดาไม่เข้าใจเรื่องเลยสักนิด

“คุณเฌอ ใจเย็นก่อนนะคะ บอกอะไรกันคะคุณเฌอ ฉันไม่เข้าใจ”

“ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันอยากบอกอะไร แต่ฉันรู้ว่าฉันอยากเจอเขา ฉันต้องเจอเขาให้ได้ และฉันก็…” ประโยคที่พูดอยู่ดีๆ กลายเป็นเสียงสะอื้นเฮือกและน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาที่ขอบตาอีกรอบ

“มิสขิ่นครับ ฝากดูแลเฌออรด้วย” อนลก้าวเข้ามา ตัดบทเพราะรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปถ้าหากยังปล่อยให้เฌออรอยู่ในความกังวลใจเช่นนี้ หลังจากฝากฝังคนป่วยกับพยาบาลก็หันไปพูดกับร่างเล็กเจ้าของดวงตากลมโตดั่งพระจันทร์ด้วยเสียงเหี้ยม “ส่วนเธอ มากับฉันเดี๋ยวนี้”

 

แม้ลักษณะของการทำให้ตามมาจะไม่ใช่การลากถูลู่ถูกังเหมือนเมื่อคืน แต่มันก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจของผู้ถูกสั่ง หากแต่แค่โวยวายเสียงดังไม่ได้เพราะที่นี่คือทางเดินในโรงพยาบาล ทันทีที่เดินพ้นออกจากเขตห้องพักผู้ป่วย อนลก็หันขวับไปถามเสียงเครียด

“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

“คนไหน”

หนุ่มไทยอยากจะยกมือกุมขมับเมื่อเห็นหน้าซื่อตาใสที่จ้องตนกลับเขม็ง แต่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ อย่างหงุดหงิด สะบัดหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อระงับสติอารมณ์ก่อนจะหันขวับกลับมาพูดด้วยอีกครั้ง

“ก็คนที่ไปเจดีย์ชเวดากองกับเธอ กับน้องเฌอไง”

“ฉันไปเจดีย์ชเวดากองกับคุณเฌอแค่สองคน” เสียงเล็กแหลมสวนขวับ

“โกหก!”

“ผมว่าเราใจเย็นกันก่อนเถอะนะครับ” ภากรหรือในนามของกรรมการจำเป็นต้องเข้ามาแทรกกลางก่อนที่นักชกทั้งสองจะเริ่มวางหมัดกัน “ผมว่าอาจจะมีการเข้าใจอะไรผิดก็ได้นะครับ”

เพราะรู้จักนักชกทั้งสองดีทั้งคู่ว่าต่างมีนิสัยยืนหนึ่งในเรื่องไม่ค่อยยอมใคร ผสมกับอารมณ์ร้อนในตอนนี้ที่ต่างก็เกิดจากความเป็นห่วงคนป่วยด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าแต่ละฝ่ายต่างไม่มีสติจะพูดจาทำความเข้าใจกันโดยเฉพาะในเรื่องที่มันอธิบายยากเช่นนี้

“เอาแบบนี้นะ นันดาลองอ่านนี่ดูก่อนดีกว่า” ภากรคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา กดบางสิ่งบนหน้าจออยู่สักพักแล้วยื่นส่งให้หญิงสาว “นันดาพอที่จะอ่านภาษาไทยได้บ้างใช่มั้ยครับ ลองอ่านนี่ดูแล้วก็จะเข้าใจมากขึ้น”

 

สาวพม่านั่งจมอยู่บนโซฟา เธอต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการไล่อ่านข้อความที่ค่อนข้างยาวจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเพราะทักษะการอ่านนั้นไม่ได้ดีเท่าการพูดหรือฟัง ศัพท์คำไหนที่ยืดยาวหรือไม่คุ้นหูก็จะต้องข้ามไปก่อน แต่ก็พอจับใจความได้ว่าโพสต์บนแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กพวกนั้นกำลังเล่าเรื่องอะไร แต่ด้วยเนื้อหาที่บันทึกถึงเรื่องราวในประเทศบ้านเกิดของตน ประกอบกับที่รู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนเขียนมัน จึงทำให้เธอเข้าใจโดยไม่ต้องใช้สื่อใดเพิ่มเติม และรู้สึกเชื่อมถึงข้อความนั้นได้แม้จะอ่านไม่ได้ทั้งหมด

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบกับสายตาของสองหนุ่มไทยที่จ้องรอคำตอบอยู่ก่อนแล้ว ภากรนั้นยังมองแบบมีมารยาท แต่ดวงตาอีกคู่นี่จ้องเขม็ง เพราะความไม่ชอบการถูกกดดันจึงตั้งใจเมินใส่ตาคู่ดุแบบเชิดๆ ก่อนหันมาพูดกับภากร

“ฉันไม่เคยรู้มาก่อน ว่าคุณเฌอจะเป็นบล็อกเกอร์เพจดังที่มีคนติดตามมากมายขนาดนี้” ดวงตาของนันดาเป็นประกาย เอ่ยพร้อมก้มลงมองโทรศัพท์ในมืออย่างชื่นชม เหมือนเป็นการได้รู้จักเฌออรอีกคนที่ไม่ใช่มีแค่ความสดใส แต่มีด้านของความอ่อนไหวและเปราะบาง

โดยเฉพาะเมื่อเธอเจอผู้ชายคนนี้

“อย่าว่าแต่นันดาเลยครับ ขนาดพวกเราที่รู้จักคุณเฌอมาตั้งแต่ยังเด็ก คุณเฌอก็ไม่เคยบอกพวกเราเรื่องนี้เหมือนกัน พี่เองก็รู้โดยไม่ได้ตั้งใจเพราะเอาโทรศัพท์คุณเฌอไปซ่อม แล้วมันมีเด้งเตือนแจ้งขึ้นมาตอนที่ร้านซ่อมเขาทดลองเปิดเครื่อง พี่กดเข้ารหัสไม่ได้ แต่พอลองเอาชื่อเพจไปค้นดูก็เลยรู้”

บรรยากาศกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นในบัดดลสำหรับคนที่ถือว่าเป็นคนสนิทของหญิงสาวทั้งคู่ แต่กลับไม่มีใครทราบถึงผลงานตรงนี้ กลายเป็นความรู้สึกละอายใจเข้ามาแทนที่

“ใช่ค่ะ วันนั้นฉันไปชเวดากองกับคุณเฌอจริงๆ” นันดารับ “แต่วันนั้น ฉันยืนยันว่าฉันไปกับคุณเฌอแค่สองคนจริงๆ นะคะ ไม่มีผู้ชายคนไหนอีก”

คนรอฟังขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวกับคำตอบที่ไม่ได้ตอบคำถามค้างคาในใจ

“จะเป็นไปได้ยังไง ก็น้องเฌอเขียนเล่าไว้ซะละเอียดขนาดนั้น” อนลโพล่ง สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อเต็มที่

“คุณหาว่าฉันโกหกเหรอ”

และก็เร็วยิ่งกว่าจรวด ราวกับน้ำมันกับไฟ ที่เข้าใกล้กันทีไรเป็นปะทุทุกที นันดาเองก็ไม่นึกพอใจท่าทางนั้น เตรียมแยกเขี้ยวพร้อมสวนกลับ ยิ่งเมื่อเห็นวิธีการตอบที่ถึงแม้ไม่มีคำตอบเป็นเสียง แต่ท่าทางของชายหนุ่มที่ยักไหล่กว้างใส่พร้อมริมฝีปากเชิดนั้นคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

“คุณอนลไม่ได้หมายความแบบนั้นหรอกครับ ผมว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่เราเข้าใจไม่ตรงกันมากกว่า” วิศวกรหนุ่มที่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำมันกับไฟคู่นี้จะต้องคอยปะทุอยู่เรื่อย จนตัวเองต้องคอยทำตัวเป็นน้ำรีบเข้ามาอธิบาย

“นันดาน่าจะได้เห็นอาการคุณเฌออรแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่คุณเฌออรพูดถึงผู้ชายคนนี้และมีอาการกังวลจนคล้ายเกือบจะคลุ้มคลั่งแบบนี้ เหมือนเธอฝังใจเกี่ยวกับเขามาก เธอดูเจ็บปวดทุรนทุรายเวลาที่นึกถึงเขา พวกเราไม่รู้ว่าเขาทำอะไรไม่ดีให้คุณเฌอไว้มั้ย มันจึงเป็นสาเหตุที่พวกเราอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

นันดาเข้าใจเรื่องราวนั้นได้ทันที เพราะนั่นเองก็เป็นคำถามใหม่ที่เข้ามาติดอยู่ในใจเธอตอนนี้เช่นกัน

“พี่กับคุณอนลคิดตรงกันว่าเขากับคุณเฌอคงต้องมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง เธอถึงได้ร้องเรียกอยากจะเจอเขาขนาดนั้น และการที่เธอได้เจอเขาก็อาจจะช่วยให้เธอจำอะไรได้มากขึ้น และก็ฟื้นความทรงจำได้เร็วขึ้นด้วย”

“เราต้องรีบหาตัวคนคนนันมาพบเฌอให้ได้ เธอจะได้กลับมาจำได้ให้เร็วที่สุด”

นันดาจำต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าคนพูดด้วยคิ้วขมวด ไม่อยากจะเชื่อว่าประโยคที่ได้ยินนั้นมันมาจากคนที่ได้รับการแนะนำว่าเป็นคู่หมั้นและกำลังจะแต่งงานกับเพื่อนของตน คนเป็นคู่หมั้นกลับพูดถึงผู้ชายอีกคนที่ก็ชัดเจนว่ามีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนกับคู่หมั้นของตัวเอง แต่ใบหน้าคนพูดมันกลับช่างเรียบเฉยจนเธออดคิดไม่ได้ว่าเขาอยากให้เฌออรพบผู้ชายคนนั้นเพราะอยากให้เธอหายไวๆ หรือมีเหตุผลอะไรแอบแฝงกันแน่

“เป็นไปได้มั้ย ว่าน้องเฌอจะบังเอิญพบคนคนนั้นโดยที่เธอไม่รู้” อนลมัวแต่พยายามตั้งข้อสังเกต จึงไม่ได้สนใจในดวงตาคู่โตที่หรี่มองตัวเองแบบขัดใจอยู่

“ถ้าอย่างนั้นพี่รบกวนนันดาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้พวกเราฟังแบบละเอียดหน่อยได้มั้ยครับ”

เมื่อรู้จุดประสงค์ของคำถามว่าต้องการสืบหาตัวตนของ ‘เขา’ คนนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดลงเมื่อพยายามหวนย้อนไปนึกถึงวันที่ถูกบันทึกไว้ ย้อนกลับไปเมื่อเกือบเดือนก่อนที่เธอพาเฌออรที่ถือว่าเป็นลูกค้าสาวที่พูดคุยแล้วรู้สึกถูกชะตาจนสนิทสนมไปสักการะหนึ่งในห้ามหาบูชาของพม่า

“เราไปถึงเจดีย์ช่วงเกือบหัวค่ำเพราะเป็นเวลาที่เราจะได้เห็นฟ้าสามสีและเป็นเวลาชมเจดีย์ที่สวยที่สุด ฉันก็พาคุณเฌอเดินชมตามจุดสำคัญต่างๆ รอบพระมหาเจดีย์ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ สักการะเจดีย์ที่ลานอธิษฐาน ไหว้พระประจำวันเกิด จุดเทียนรอบเจดีย์และก็ทำบุญเปิดไฟ ตอนออกเราก็แวะซื้อของนิดหน่อย ฉันยืนยันจริงๆ นะคะ ว่าฉันไปกับคุณเฌออรแค่สองคน”

“น้องเฌออาจจะเจอผู้ชายคนนั้นตอนที่เธอแยกกับเฌอก็ได้”

“อิมพอสสิเบิ้ล ก็ฉันอยู่กับคุณเฌอตลอด” นันดาเถียง ก่อนที่จะนิ่งไปเมื่อจู่ๆ มีบางสิ่งแวบเข้ามาในหัว “ยกเว้น…ตอนที่ไปทำบุญเปิดไฟ ฉันลืมกระเป๋าไว้ที่ลานอธิษฐาน ฉันเลยให้คุณเฌอรออยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ออฟฟิศทำบุญ”

ลูกสาวเจ้าของโรงแรมค่อยๆ เงียบไป เหมือนเพิ่งนึกได้ถึงช่องว่างที่ตัวเองละเลย ซึ่งมันก็มีจริงๆ เสียด้วย เธอไม่ได้อยู่กับเฌออรตลอดเวลาอย่างที่มั่นใจนักหนาในตอนแรก ดังนั้นก็มีสิทธิ์มากที่เดียวที่เฌออรจะพบใครโดยที่เธอไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“เราลองไปถามคนแถวนั้นดูมั้ยคะ”

สองหนุ่มจากเมืองไทยหันขวับมามองคนเสนอพร้อมกันเหมือนไม่เชื่อหู ตอนแรกนึกว่าสาวเจ้าถิ่นล้อเล่น แต่ใบหน้าคนพูดนั้นจริงจัง รีบตอกย้ำความคิดของตัวเองด้วยเสียงแจ๋วดังฟังชัด

“ฉันพูดจริงนะคะ”

อนลส่ายหน้าทันที “คนเยอะขนาดนั้น เธอคิดว่าเขาจะจำได้เหรอว่าใครเป็นใคร”

“แต่ก็ดีกว่านั่งอิมเมจิ้น เดาเอาเองนี่” คนตัวเล็กสุดในวงสนทนาสวนด้วยเสียงที่ดังที่สุดในกลุ่ม“จากที่อ่านดู คุณเฌออรดูรักผู้ชายคนนี้มากๆ” คำว่ามากตั้งใจเน้นเพื่อขยี้ให้มันเข้าไปในโสตสำนึกของคู่หมั้นที่ยืนฟังอยู่ด้วย “จะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธอผูกพันกับเขาได้มากขนาดนี้ และเขาต้องเป็นคนสำคัญสำหรับคุณเฌอมากๆ ขนาดที่เธอความจำเสื่อม แต่คนเดียวที่เธอจำได้ก็คือเขา”

คนตัวเล็กเริ่มทำการวิเคราะห์แบบเป็นหลักการ แถมเหมือนเป็นความสามารถประจำตัวที่สามารถพูดพร้อมโน้มน้าวคนฟังไปในตัวได้

“ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ฉันก็คิดว่าคุณเฌอจะต้องอยากเจอค่ะ และยังไงถ้าเป้าหมายของพวกคุณคืออยากให้คุณเฌอกลับมาจำได้เร็วๆ แล้วเขาก็อาจจะเป็นตัวช่วยที่ดีของเรา เราก็ต้องตามหาเขาให้เจอให้ได้” นันดาว่า “และฉันว่าจากข้อมูลในบันทึกนี่ ถ้าเราลองอ่านดูดีๆ เราตามหาตัวเขาได้ไม่ยากเลย เรามีข้อมูลละเอียดมากจากสิ่งที่คุณเฌอเขียนเอาไว้ สถานที่ที่เจอกัน ไปด้วยกัน ถ้าเราค่อยๆ ตามไป ฉันว่าเราเจอเขาได้แน่นอนค่ะ”

สิ่งที่ชายหนุ่มทั้งสองต้องการนั้นคือการตามหาตัวคนนั้น นั่นคือเรื่องจริง แต่ความคิดของพวกเขาคือมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามหาคนคนหนึ่งจากบันทึกแค่นี้ แต่สำหรับหญิงสาวตรงหน้าเธอกลับพูดด้วยความมั่นใจราวกับมันดูเป็นเรื่องง่ายดาย มั่นอกมั่นใจ

“คุณเฌอเป็นคนน่ารัก ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ฉันก็ยินดีจะช่วยค่ะ ฉันอยากให้คุณเฌอหายป่วยไวๆ”

อนลเปลี่ยนสีหน้าเป็นเหลือเชื่อ กับพลังงานอันล้นเหลือและความเชื่อมั่นที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปเอามาจากไหนว่าจะสามารถตามหาคนคนหนึ่งในเมืองใหญ่แบบนี้เจอได้ นัยน์ตากลมใส จริงใจ นั้นมั่นอกมั่นใจ มันดูเป็นความมั่นใจแบบไร้สติจริงๆ ซึ่งมันเป็นหลักการที่ดูขัดการระบบแบบแผนของเขาทั้งหมด

“แต่…”

“ภาษาไทยเขาบอกว่า ไม่ลองก็ไม่รู้ไม่ใช่เหรอคะ” เสียงเจื้อยแจ้วดักคอ และมันก็ดันถูกอย่างที่เธอกล่าว เพราะยังไม่ได้ลอง มันเลยพิสูจน์หรือพูดเต็มปากไม่ได้ว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด

“อย่างที่นันดาว่า ลองไปก็ไม่เสียหายครับ” ภากรกลับมาเออออด้วย “ดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็ได้เดินทางมาที่นี่ คุณอนลควรจะได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพม่านะครับ”

อนลกลอกตา ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองต้องมาตัดสินใจทำอะไรที่มันไร้ข้อมูลหลักฐานรองรับขนาดนี้ แต่ในวินาทีนี้มองรอบตัวแล้วก็มืดแปดด้าน ในพื้นที่ต่างบ้านต่างเมืองนี้เขาไม่คุ้นเคย ไม่มีข้อมูล จึงวิเคราะห์ตัดสินใจอะไรยากไปหมด เท่าที่ตัวเลือกที่มีอยู่ในมือขนาดนี้ แผนการอันไร้แผนการ มันก็คงเป็นการที่ดีที่สุด

“…ก็ลองดูแล้วกัน”

 



Don`t copy text!