บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 2 : เขาคนนั้นในความทรงจำอันเลือนลาง
โดย : รตี
บุพเพข้ามฟ้า โดย รตี เรื่องราวของการเดินทางเพื่อตามหาหัวใจของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับหัวใจของตนเอง ณ ที่แห่งนี้ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ดินแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ได้โด่งดั่งแต่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้สองหัวใจข้ามฟ้ามาเจอกัน นวนิยายโรแมนติกที่อ่านเอานำมาให้นักอ่านทุกท่านได้เพลิดเพลิน
ย่างกุ้ง ที่มีศักดิ์เป็นเมืองหลวงเก่า และปัจจุบันยังคงเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญของประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทยและมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาช้านานอย่างเมียนมา ด้วยความสดใหม่ของทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ที่นี่จึงถือว่าเป็นจุดลงทุนที่กำลังเนื้อหอมอันดับต้นๆ ในภูมิภาคนี้ สำหรับอนลผู้ซึ่งชีวิตตั้งแต่เรียนจบด้านบริหารและเศรษฐศาสตร์มาก็มุ่งมั่นอยู่กับการรับช่วงงานที่บริษัท นี่คือข้อมูลทั้งหมดของประเทศนี้ที่เขารู้จริงๆ
ทั้งที่ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศมาหลายปี แต่ก็เป็นชีวิตวัยเรียนที่ควบคู่ไปกับการเริ่มเรียนรู้งานที่บริษัท ข้อมูลลูกค้าและตัวเลขยอดขายในจอจึงเป็นสิ่งที่คุ้นตามากกว่าสถานที่ท่องเที่ยว ในสายตาของชายหนุ่มผู้เดินทางมาหลายประเทศรอบโลกเพราะต้องพบปะร่วมประชุมกับคู่ค้านานาชาติมากมาย ประเทศที่สวยงามที่สุดสำหรับอนลก็คือประเทศที่สามารถทำกำไรและผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับเขาได้มากที่สุด
โดยปกติแล้วการเดินทางไปต่างประเทศครั้งไหนที่ไม่ได้มีเม็ดเงินเป็นเป้าหมายหลัก ชายหนุ่มก็มักจะเลือกสนใจอยู่หน้าจอโทรศัพท์ในมือที่มีเรื่องราวของธุรกิจและตัวเลขมากกว่าสนใจวิวข้างทาง แต่ทันทีที่รถทะยานเหยียบบนถนนกลางเมืองย่างกุ้ง กลับกลายเป็นว่าความเคยชินนั้นเปลี่ยนไป เพราะในทุกๆ นาทีมีสิ่งที่ทำให้เขาจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมามองวิวนอกรถโดยอัตโนมัติ นั่นก็คือเสียงของแตรรถยนต์ที่ดังปรี๊ดปร๊าดแสบหูตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามาจากคันไหนและบีบเพื่อจะสื่อสารกับคันไหน แต่ผลที่ได้แน่นอนคือมันทำให้คนที่ไม่ค่อยได้ชมวิวเมืองไหนได้เงยหน้ามองความเป็นอยู่ของผู้คนต่างแดนที่สองฟากฝั่งถนนเป็นระยะๆ
“เดี๋ยวอยู่ๆ ไปก็ชินครับ” ภากรกล่าวยิ้มๆ อย่างคนที่อ่านใบหน้าและอาการชะเง้อมองหาที่มาของเสียงนั้นออก “ถือซะว่าเสียงแตรก็เหมือนเราทักทายสวัสดีรถคันข้างๆ เหมือนเจอคนรู้จักที่ตลาด ทักแล้วก็ผ่านกันไปเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ”
อนลไม่รู้จะทำสีหน้าตอบอย่างไรกับคำอธิบาย นึกอยู่ว่าถ้าเป็นที่บ้านเกิดของตน ด้วยเสียงแตรลั่นขนาดนี้คงไม่ได้ทักแล้วก็ผ่านกันไปเฉยๆ แน่
สายตาของผู้เดินทางมาถึงครั้งแรกมองตึกรามบ้านช่องที่แตกต่างจากประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนผ่านการเคลื่อนที่ไปอย่างไม่คล่องตัวบนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถ ตัวตึกที่ตั้งติดกันบ้างห่างกันบ้าง เรียงรายกันเต็มสองฝั่งถนน ถ้าตรงไหนดูคล้ายจะเป็นชุมชนหรือตลาดก็จะเป็นตึกห้าถึงหกชั้นตั้งเรียงรายเบียดเสียดกัน ชั้นล่างสุดมักถูกเปิดเป็นร้านขายของซึ่งก็ครบถ้วนไปด้วยอุปกรณ์ดำรงชีพของมนุษย์ในหลากหลายรูปแบบ ส่วนของย่านการค้าก็มีห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัยใหญ่โตไม่แพ้เมืองไทย
แต่ความแตกต่างหนึ่งอย่างที่คนไม่ค่อยจะสนใจเงยหน้าออกจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือซึ่งมีเรื่องงานหลั่งไหลเข้ามาตลอดเวลายังสังเกตได้ว่ามันแตกต่างจากบ้านเมืองของตน ก็คือพื้นที่ส่วนมากในเมืองย่างกุ้งนั้นยังคงมีความร่มรื่นของสวนสาธารณะและต้นไม้ขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง
“มาอยู่ที่นี่เกือบปี แกใจดำมากเลยนะที่ไม่กลับไปเยี่ยมกันบ้างเลย ทั้งที่บินแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงบ้านแล้ว” อนลเอ่ยขณะสายตายังมองผ่านนอกกระจกรถ “บินจากไทยมาที่นี่ ใช้เวลาน้อยกว่าขับรถออกจากบริษัทกลับบ้านซะอีก”
ภากรหัวเราะน้อยๆ พร้อมอมยิ้มกับคำเปรียบเทียบเรื่องจราจรที่ดูจะเป็นเรื่องจริงนั้น
“งานยุ่งพอตัวเลยครับ ยิ่งตอนมาอยู่เดือนแรกๆ อะไรก็แปลกไปหมด ต้องพยายามเรียนรู้ปรับตัวเยอะเลย ทั้งที่อยู่ ที่กิน ที่ทำงาน ก็เลยวุ่นวายพอสมควรครับ ทุกวันนี้พอจะลงตัวบ้างแล้ว ก็เปิดโปรเจกต์ใหม่ที่นี่อีกพอดี”
“ก็ฉันบอกแกแล้วว่าไม่ต้องย้ายมาที่นี่ ให้คุณแม่ส่งคนอื่นมาประจำก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นที่แกจะต้องเดินทางมาเองให้ลำบาก” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพูดเรื่องนี้กับภากร เขาจำได้ดีว่าตนพร่ำบอกและไม่เคยเห็นด้วยเลยตั้งแต่ที่ชายหนุ่มขอย้ายมาประจำที่นี่ “ถ้าอยากกลับไทยเมื่อไหร่บอกได้เลย รับรองว่าฉันโทรกริ๊งเดียวแค่นั้นแหละ แกก็เตรียมเก็บกระเป๋ากลับไปนอนสบายๆ ที่บ้านเราได้เลย ไม่ต้องกลัวแม่ฉันจะว่าหรอก”
“ขอบคุณคุณอนลมากครับ”
แม้ทั้งคู่จะอายุอานามไล่เลี่ยกัน ห่างกันอย่างมากก็เพียงแก่เดือน แต่ภากรก็ยังคงเอ่ยด้วยความนอบน้อมและให้เกียรติชายหนุ่มที่เบาะข้างๆ อย่างที่เคยทำตลอดมาตั้งแต่วัยเด็ก
“แต่การที่ผมขอย้ายมาประจำที่นี่ก็เพราะผมอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ เองครับ ต้องขอบคุณคุณนายแม่มากๆ เลยต่างหากที่ให้โอกาสนี้กับผม”
ภากรยิ้มเมื่อกล่าวถึงคุณนลยา มารดาของอนล ผู้ที่เขาเรียกติดปากมาตั้งแต่เด็กว่าคุณนายแม่ ผู้ซึ่งเป็นคนรับอุปการะตนมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ให้ที่พักที่อาศัย ให้ทุนการศึกษาจนเรียนจบปริญญาด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และสนับสนุนให้มีหน้าที่การงานที่ดีทำในบริษัท เขากับอนลจึงโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ เพิ่งมาแยกกันก็ตอนเรียนมหา’ลัยที่ชายหนุ่มบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้นเอง
“อยู่ที่นี่สนุกมาก ผมได้เรียนรู้อะไรแปลกใหม่เยอะเลย คนพม่าน่ารักมากนะครับ ถ้าคุณอนลได้มาอยู่ที่นี่สักสองสามอาทิตย์รับรองจะติดใจ”
อนลกวาดตามองไปรอบตัวตามคำที่เพื่อนบอก ก็ต้องยอมรับว่าคงจะเป็นเรื่องจริงที่ภากรต้องปรับตัวอย่างมากในประเทศที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ พอมีความรู้เล็กๆ น้อยๆ ว่าเมียนมาเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองลักษณะปิดมาหลายปี และเพิ่งเปิดอวดโฉมสู่สายตาโลกเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งที่บริษัทของเขาเริ่มเข้ามาเจาะตลาดในประเทศเพื่อนบ้านได้เกือบปีกว่า แต่เพราะไม่ใช่แผนกที่ตนรับผิดชอบโดยตรง บวกกับงานที่เพิ่มพูนเพราะการก่อตั้งบริษัทใหม่จึงทำให้ตนไม่เคยสนใจตลาดตรงนี้ และข้อมูลในหัวที่มีน้อยมากทำให้อะไรหลายๆ อย่างดูแปลกตาสำหรับเขาอยู่มาก ต่างจากวิศวกรหนุ่มเพื่อนสนิทที่ดูสบายๆ พูดไปก็ขับรถพวงมาลัยซ้ายไปตามถนนอย่างคุ้นชิน รวมถึงรู้จักทิศทางตรอกซอกซอยดีไม่ต่างกับคนท้องถิ่นเลย
“คงจะยาก ตอนนี้งานที่นู่นกองกันพะเนินเทินทึก แกก็รู้ว่าบริษัทใหญ่จับตางานของแอมสเปซทุกกระเบียดนิ้ว ถ้ายอดขายไม่เป็นตามเป้าหรือตีตลาดไม่ได้ภายในสิ้นปีนี้ เราคงไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายในปีหน้าต่อ” ชายหนุ่มว่า “ครั้งนี้ฉันคงอยู่ได้ไม่กี่วัน ถ้าทำเรื่องย้ายตัวน้องเฌอเสร็จ ก็คงต้องรีบกลับไปสะสางงานต่อ”
ชื่อใหม่ที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนาทำให้บรรยากาศในรถเงียบไปโดยปริยาย สายตาของชายหนุ่มทั้งสองมองถนนยามเย็นที่กำลังคึกคักไปด้วยผู้คนที่เพิ่งเลิกงาน ถนนทั้งสี่เลนเลยแน่นขนัดไปด้วยรถ ในใจวนคิดถึงเรื่องเดียวกัน แต่ด้วยความคิดภายในที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ผมขอโทษจริงๆ ครับคุณอนล” ภากรเอ่ยเสียงต่ำหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลแสนอบอุ่นนั้นเจือแววเศร้าสะท้อนอยู่ข้างในลึกๆ ที่อีกฝ่ายไม่มีทางมองเห็น “เป็นความผิดของผมเองครับที่ไม่ได้ดูแลคุณเฌออรให้ดี”
“มันไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอก” น้ำเสียงและท่าทางของหนุ่มต่างแดนที่พึ่งเหยียบเมืองย่างกุ้งดูมีแต่ความนิ่งเรียบอย่างคนที่เก็บสีหน้าเก่ง ทั้งที่ภายในเขานั้นก็รู้สึกสับสนไม่แพ้ภากร “ฉันเองก็ยังมึนๆ งงๆ อยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็มีตั๋วเครื่องบินพร้อมคำสั่งจากนายแม่ของแกบอกว่าต้องมาพม่าด่วน”
ยิ่งเมื่อมาเจอเพื่อนที่นี่ อนลยิ่งรู้ว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่ยังอยู่ในอาการสับสนกับเรื่องนี้
“เอาจริงๆ ตอนที่คุยโทรศัพท์กับแกฉันก็ยังงงๆ อยู่ ดีเลย…คราวนี้มาเจอกันตัวเป็นๆ แล้ว เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง แกลองเล่าให้ละเอียดอีกทีได้มั้ย”
คนที่ประจำอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ และดูจะเป็นคนที่รู้รายละเอียดครั้งนี้มากที่สุดรองจากเจ้าตัวที่เป็นสาเหตุที่ชายหนุ่มทั้งสองได้มานั่งอยู่ด้วยกันแบบไม่คาดฝันพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเริ่มเล่า
“ตอนที่คุณเฌออรมาที่นี่ ผมยอมรับครับว่าตกใจมากที่เห็นเธอที่ย่างกุ้ง เธอเล่นมาอย่างกับฟ้าแลบ จู่ๆ ก็โผล่มาที่ออฟฟิศเรา ทั้งตัวมีแค่กระเป๋าเดินทางใบเดียว ตอนแรกที่เห็นยังนึกว่าตาฝาด”
ได้ยินคำเล่าเช่นนั้น ก็ชัดเจนเลยว่าไม่มีใครอื่นนอกจากเฌออรจริงๆ แม้จะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ภายนอกดูอ่อนหวานเรียบร้อย และเป็นถึงลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีเมืองไทยที่พ่อแม่หวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ตั้งแต่เด็กมาเฌออรก็ไม่ใช่เด็กดื้อ เธอมักจะเออออไปกับบิดามารดาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การงาน เพื่อนฝูง แต่สิ่งเดียวที่เห็นจะไม่ยอมและไม่มีใครห้ามได้จนพ่อแม่ต่างต้องยอมหลับหูหลับตาเพราะก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนัก นั่นก็คือความชื่นชอบในเรื่องของการท่องเที่ยว ถ้าได้ก้าวออกเดินทางเมื่อไหร่ก็จะได้เห็นความแกร่งของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ที่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกเลย
“ช่วงแรกที่เธอมาถึง ผมก็ช่วยแนะนำที่พัก รถ และก็บรรดามัคคุเทศก์พูดไทยได้ที่ผมรู้จักให้พาเธอเที่ยวเพราะผมคงไม่สะดวกด้วยงานมันรัดตัวจริงๆ จนเธอบ่นผมอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นเจ้าถิ่นเสียเปล่าแต่ไม่ต้อนรับแขกเลย” สารถีหนุ่มว่า “ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเธอ เธอก็น่าจะอยู่ที่นี่มาเกือบสองอาทิตย์ได้แล้ว เธอแวะเอาการ์ดงานแต่งมาให้ผม และก็บอกว่าจะเดินทางขึ้นเหนือเป็นทริปสุดท้ายก่อนกลับไทย เธอมาชวนผมแต่ผมยังให้คำตอบเธอไม่ได้เพราะตารางงานมันแน่นเหลือเกิน เธอบอกผมว่าจะมาเอาคำตอบในวันรุ่งขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้อยู่เจอเธอเพราะต้องบินไปสิงคโปร์ด่วน…”
คนเล่าเหมือนกำลังย้อนเวลากลับไปที่เหตุการณ์วันนั้น วันที่มันผ่านไปแล้วแต่ทุกคำพูดยังแจ่มชัดเหมือนดังก้องอยู่ในหัว น้ำเสียงช่วงท้ายหายไปเพราะมันเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ยิ่งนึกย้อนไปภากรก็ยิ่งรู้สึกโกรธตัวเอง
“ช่วงนั้นมีประกาศอยู่ว่าพายุจะเข้าทางเหนือ ถ้าผมอยู่เจอเธอในวันนั้น ผมอาจจะได้ห้ามเธอไม่ให้ออกเดินทาง ถนนหนทางมันก็ไม่ค่อยดี…และเธอก็คงไม่ประสบอุบัติเหตุแบบนี้” ยิ่งนึกย้อนภาพความทรงจำ มันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกมันห่อเหี่ยวแห้งผากราวกับดินไร้น้ำ “…ผมผิดเองครับ”
“ผิดอะไรกันเล่า” อนลกลับส่ายหัว “ก็สำนักงานใหญ่เล่นมีคำสั่งส่งแกไปดูงานที่สิงคโปรด่วนจี๋แบบนั้น แกจะไปทำอะไรได้ วันที่น้องเฌอประสบอุบัติเหตุก็เป็นวันเดียวกับที่แกบินกลับมาไม่ใช่เหรอ พอรู้ข่าวแกก็เป็นคนแรกที่ถึงตัวน้องเฌอ และถ้าไม่ได้แกคอยดูแลประสานงานเรื่องหมอเรื่องโรงพยาบาลให้ น้องเฌอก็คงแย่กว่านี้”
ไม่ใช่ว่าอนลตั้งใจปลอบใจ แต่เขาพูดตามความเป็นจริง ถึงแม้ภากรจะเป็นคนเดียวที่อยู่ที่นี่ตอนที่เกิดเหตุการณ์ แต่ก็เขาก็ไม่ควรเอาเรื่องนี้มานั่งอมทุกข์อยู่แบบนี้
“เหมือนงานนี้น่าจะเป็นฉันเองต่างหากที่ไม่ยอมดูแลคู่หมั้นตัวเองให้ดี สมควรแล้วที่คุณน้าอรวีกับคุณลุงคชาเขาตามมาด่าฉันบ้านแตก คุณนายแม่ของแกนี่หน้าชาไปสามวัน” อนลกระตุกยิ้มมุมปาก เหมือนจะพูดให้เป็นเรื่องตลก แต่มันก็ขำไม่ออก สุดท้ายมันจึงกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูเย้ยหยันกับชีวิตตัวเองอย่างที่สุด ซึ่งสีหน้าและคำพูดเช่นนี้จะไม่มีวันที่ท่านประธานอนลจะหลุดให้คนไม่สนิทได้เห็นอย่างแน่นอน “นึกแล้วฉันนี่มันไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าน้องเฌอบินมาพม่า บินมาทำไม ไปไหนบ้าง ไม่รู้ว่าแม้กระทั่งว่าเธอมีแฟนเพจเฟซบุ๊กที่เล่าเรื่องการเดินทางจนมีคนติดตามเป็นหมื่นๆ”
ภากรเผลอละสายตาออกจากถนน เหลือบตาไปมองใบหน้าของคนข้างๆ เพื่อจะย้ำว่าสิ่งที่ตนได้ยินนั้นไม่ผิด
“แสดงว่าคุณอนล ได้อ่านเรื่องราวในเพจนั้นแล้วใช่มั้ยครับ”
แม้อนลจะมีฐานะเป็นถึงลูกชายของผู้มีพระคุณทั้งชีวิตของเขา แต่ในฐานะเพื่อนเล่นที่คลุกคลีกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ภากรจึงรู้จักอนลดี ในฐานะประธานบริษัท อนลคือท่านประธานที่ลูกน้องทุกคนต้องยืนตัวเกร็งทุกครั้งที่พูดด้วย กิตติศัพท์เรื่องความสมบูรณ์แบบและความมุ่งมั่นกับการทำงานของเจ้านายคนนี้เป็นที่รู้กันดีทั้งบริษัท และสิ่งที่อนลเกลียดที่สุดในการทำงานก็คือความผิดพลาด
แต่ในฐานะของเพื่อนหรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดายามที่อยู่นอกห้องประชุม แม้ความเข้มของหน้ากากผู้บริหารอาจเบาบางลง แต่ความนิยมความสมบูรณ์แบบในงานซึ่งกลายเป็นพื้นฐานนิสัยไปแล้วยังคงอยู่ จึงไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นว่าเขาออกปากยอมรับถึงความผิดพลาดง่ายดายแบบตอนนี้
“อ่านแล้วสิ” อนลพยักหน้าก่อนถามเรียบๆ “แกอยู่ที่นี่ เคยเจอเขาบ้างมั้ยล่ะ”
เรื่องราวจากเฟซบุ๊กแฟนเพจนั้นเป็นเรื่องใหม่ที่ทั้งทั้งคู่รับรู้ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ภากรใช้เวลาอยู่นานมากในการตัดสินใจบอกอนลที่อยู่ในฐานะคู่หมั้นเกี่ยวกับ ‘เขา’ ที่อยู่ในบันทึกคนนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าสีหน้าตอนรับรู้เรื่องราวของอนลนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนนี้เลยสักนิด ไม่มีโศกเศร้า ไม่มีเสียใจ เขาดูเฉยๆ แบบที่ไม่ได้พยายามฝืนหรือแกล้งทำเสียด้วย อนลมีความกังวลเรื่องของอาการป่วยของเฌออร แต่ไม่ใช่เรื่องของเนื้อหาในเพจที่คู่หมั้นของตนเป็นคนบันทึกเรื่องราวลงไป ยิ่งเห็นได้ชัดจากคำถามที่ดูเรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้ภากรอดนึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าข้างในจิตใจของเพื่อนคนนี้นั้นคิดอะไรอยู่กันแน่
“ผมไม่ทราบเลยจริงๆ เลยครับว่าเธอหมายถึงใคร พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก เธออาจจะรู้จักกับใครใหม่ที่นี่ ผมไม่แน่ใจ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลขมวดคิ้ว ส่ายหัวกับคำถามที่ตนพยายามนึกเท่าไรก็หาคำตอบไม่ได้ “แล้วคุณ…จะทำยังไงต่อไปครับ”
“ฉันจะไปทำอะไรได้เล่า เรื่องของผู้ชายคนนั้นมันเป็นสิ่งที่น้องเฌอเขาต้องตัดสินใจ” อนลตอบขณะสองสายตายังคงมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีงานเข้ามาไม่ขาดสายพลางพูดในสิ่งที่คิดต่อ “แต่ยังไงฉันก็คิดว่าคุณน้าอรวีกับคุณลุงคชาก็คงไม่ยอมให้ยกเลิกงานแต่งของเราง่ายๆ แน่”
และภากรก็คิดว่าเขาได้คำตอบในสิ่งที่เขาสงสัย อนลก็ยังเป็นอนล เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเขาเอาคำสามคำอย่างคำว่า งาน คู่หมั้น ความรัก มาเชื่อมโยงกันในลักษณะอย่างไร สำหรับสมองของท่านประธานบริหารมันอาจจะเชื่อมโยงกันด้วยคำว่าผลประโยชน์มากกว่าความรู้สึก เลยทำให้อนลยังสามารถพูดเรื่องละเอียดอ่อนขนาดนี้ได้ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเฉยๆ ราวกับมันเป็นแค่งานโครงการหนึ่งเท่านั้น
“ตอนนี้ฉันก็คงทำได้แค่ทำหน้าที่ของคู่หมั้นให้ดีที่สุดก่อน เคลียร์เรื่องเอกสารโรงพยาบาลให้เรียบร้อย ดูแลให้น้องเฌอกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด ทำให้พ่อแม่เขาสบายใจ แล้วหลังจากนั้นอะไรจะเป็นยังไงก็คงต้องนั่งคุยกัน”
ท่านประธานวางแผนชีวิตเป็นลำดับขั้นตอนราวกับแผนธุรกิจ
“เรื่องของการส่งตัวคุณเฌออรกลับไทย ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ได้ง่ายแบบนั้น เธอน่าจะยังไม่พร้อมเดินทางตอนนี้ครับ”
อนลเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ หันไปมองหน้าเพื่อนหรือคนขับประจำตัววันนี้ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ และก็สังเกตได้ว่าใบหน้านั้นมีความกังวลปรากฏขึ้นมาชัดเจนจากที่มันครุกรุ่นด้วยความเครียดเคร่งขรึมอยู่แล้ว
“ทำไม ยังติดปัญหาอะไรเหรอ ก็ตามที่แกบอก น้องเฌอฟื้นแล้วและก็ไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงตรงไหนไม่ใช่เหรอ”
แสงไฟของอาทิตย์อัสดงส่องใบหน้าหนุ่มไทยที่มาใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน มองเห็นร่องรอยของความกังวลเต็มเปี่ยม มือที่กุมพวงมาลัยนั้นเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ผมเพิ่งได้รับข่าวจากคุณหมอก่อนที่จะไปรับคุณอนลที่สนามบินเองครับ ผมยังไม่กล้าแจ้งให้ใครที่ไทยทราบเลย” ภากรเสียงแผ่วลง เอ่ยเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะพูดออกมาหรือไม่ “จากผลตรวจล่าสุดของคุณหมอ ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า คุณเฌอ…เธอ…เธอมีปัญหาเกี่ยวกับความทรงจำน่ะครับ”
ภากรเลี้ยวรถเข้ามาในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ได้รับการรับรองว่าเป็นโรงพยาบาลชั้นนำที่มีมาตรฐานระดับนานาชาติและราคานั้นสูงติดอันดับในย่างกุ้ง ตามคำสั่งของของบิดาและมารดาของเฌออร ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของบริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่ต้องการให้ลูกสาวของตนได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
ซึ่งทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวตึก อนลก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจนิดๆ กับความหรูหราทันสมัยเกินคาดแตกต่างจากตัวอาคารภายนอกที่ดูธรรมดา ยิ่งเมื่อมองอาคารรอบข้างแล้วจะนึกไม่ออกกับความหรูหราถึงเพียงนี้ที่ด้านใน พนักงานต้อนรับที่พูดภาษาอังกฤษฉะฉานนั่งประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์สีครีม ทางเดินพื้นแกรนิตลายหินอ่อนสีขาวสะท้อนเป็นประกายกับแชนเดอเลียร์แก้วห้อยระย้าเหนือศีรษะ ทางเดินไปสุดที่โถงลิฟต์ขนาดกว้างที่ขวามือมีบันได้เลื่อนไปสู่ชั้นสอง การตกแต่งโดยรวมยังคงเป็นสีขาวตามรูปแบบของโรงพยาบาล แต่มันหรูหราด้วยการตกแต่งเป็นสไตล์ต่างชาติ ไม่ต่างจากโรงพยาบาลเอกชนเบอร์ต้นๆ ที่ไทยเลย
สิ่งเดียวที่แตกต่างและยังไม่เป็นที่คุ้นตาชายหนุ่มต่างแดนที่เพิ่งเหยียบย่างเข้าประเทศนี้มาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนัก ก็คือการแต่งกายของผู้คนที่ส่วนมากยังคงสวมชุดประจำชาติ ผู้หญิงสวมเสื้อกับผ้าถุงสีสดสวย ผู้ชายสวมเชิ้ตกับโสร่ง ความเป็นเอกลักษณ์นี้ควรจะเข้ากันไม่ได้กับการตกแต่งแบบนำสมัย แต่มันช่างประหลาดที่พอบรรยากาศและสภาพแวดล้อมรวมๆ เป็นพม่า มันก็ดันดูกลมกลืนกันไปได้
ภากรพาเขาเดินไปตามทางเดินที่สองข้างทางมีห้องพักผู้ป่วยเรียงราย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ชายหนุ่มเคาะประตูให้สัญญาณก่อนที่จะผลักประตูเข้าไป
ในห้องพักผู้ป่วยสว่างไสวจากทั้งแสงธรรมชาติและแสงไฟนีออน ภายในสะอาดสะอ้านและกว้างขวางสมกับเป็นห้องพักโรงพยาบาลเอกชนมาตรฐานสูง ตู้เสื้อผ้าชั้นวางของล้วนบิลต์อินอย่างมีดีไซน์และสะดวกต่อการใช้สอย ที่กลางห้องคือที่ตั้งของเตียงผู้ป่วย รอบเตียงเหล็กสีขาวนั้นมีทั้งเสาน้ำเกลือ เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ดูทันสมัย ทุกอุปกรณ์ล้วนถูกเชื่อมเข้าไปหาคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
“มิงกะลาบาชิ๊น อะมะ” ภากรกล่าวทักทายด้วยคำแปลกหูซึ่งคงจะเป็นภาษาถิ่นกับนางพยาบาลวัยกลางคนที่ลุกขึ้นจากโซฟาข้างเตียงพร้อมรอยยิ้มเพื่อมาต้อนรับพวกเขา
“มิงกะละบา มิสเตอร์ภากร วันนี้มาเย็นเลยนะคะ” เธอตอบกลับภากรอย่างคุ้นเคยด้วยภาษาอังกฤษฉะฉานและหน้าตายิ้มแย้ม “พอดีเลยค่ะ เพิ่งกลับกันมาจากห้อง CT scan เมื่อครู่นี่เอง”
“วันนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับ” ภากรเปลี่ยนภาษากลับไปเป็นภาษาอังกฤษ
“วันนี้เธอทานอาหารได้เยอะขึ้นนะคะ แต่ก็ยังมีอาการอ่อนแรงอยู่บ้าง นี่คุณหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่เองค่ะ ตรวจร่างกายประจำวันไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ความดัน ค่าเลือด ทุกอย่างดีหมด พวกแผลฟกช้ำอาจจะยังเจ็บอยู่บ้าง ส่วนผล CT scan สมองที่เพิ่งทำไปวันนี้น่าจะต้องรออีกสักพัก”
คำรายงานนั้นละเอียดบอกได้ถึงความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ ภากรพยักหน้ารับคำรายงานด้วยสีหน้าพอใจ ก่อนจะหันมาแนะนำชายหนุ่มข้างหลัง
“นี่คือคุณอนล คู่หมั้นของมิสเฌออร เขาเพิ่งมาจากเมืองไทยเมื่อบ่ายครับ ส่วนนี่มิสขิ่น เป็นพยาบาลพิเศษของคุณเฌออรครับ”
มิสขิ่นน้อมตัวรับคำทักทายของชายหนุ่มผู้มาใหม่
“มิสเฌออรต้องดีใจมากๆ เลยนะคะที่คุณมาเยี่ยม”
พยาบาลพิเศษที่ดูเป็นคนคล่องแคล่วทั้งด้านการปฏิบัติงานและภาษาส่งยิ้มทักทายชายหนุ่ม แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ เธอก็ตั้งใจขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ลดเสียงให้ได้ยินเฉพาะคนที่มาเยี่ยม สีหน้าดูคล้ายมีอะไรจะพูดเป็นพิเศษ
“คุณคงทราบแล้วว่าคุณเฌออรมีปัญหาเรื่องความทรงจำในอดีต ยังโชคดีที่เธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือนในส่วนที่เป็นความสามารถพื้นฐานในการใช้ชีวิตไปด้วย ดังนั้นภายนอกเธอจะเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่ในสมองเธอจำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว แม้กระทั่งตัวเธอเองเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” พยาบาลหญิงย้ำ “ฉะนั้นไม่ต้องตกใจนะคะถ้าเธอจะจำอะไรที่คุณพูดไม่ได้เลย เราจะค่อยๆ เริ่มช่วยเธอให้รื้อฟื้นความจำไปด้วยกัน บางทีถ้าเธอได้พบกับคนที่เธอรัก ผูกพันหรือคุ้นเคย ก็อาจจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นความทรงจำของเธอได้เร็วขึ้นค่ะ”
อนลพยักหน้า นึกชื่นชมความรอบครอบของมิสขิ่นที่นอกจากจะดูแลคนไข้แล้ว เธอยังมีความรอบคอบในการดูแลสุขภาพจิตของญาติคนไข้อีกด้วย เมื่อเขาพยักหน้าว่ารับรู้ พยาบาลพิเศษจึงยอมถอยออก และปล่อยให้เขาเดินเข้าไปหาคนบนเตียงนั้น
หญิงสาวร่างแบบบางคนหนึ่งเฝ้ามองการเดินเข้ามาของเขา จริงๆ เธอจ้องตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในห้องแล้วด้วยซ้ำ เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มคล้ายเครื่องหน้าของตุ๊กตาแก้วคือดวงหน้าเดิมของเฌออรหรือผู้มีตำแหน่งเป็นคู่หมั้นของเขา ต่างกันแค่แก้มสองข้างที่เคยอมชมพูสดใสบัดนี้กลับซีดเซียว ริมฝีปากนั้นไม่ส่งรอยยิ้มทักทายเหมือนทุกครั้งที่เจอ เขาจึงไม่ได้เห็นลักยิ้มเก๋ที่แก้มบุ๋มซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเจ้าตัว เช่นเดียวกับตาคู่หวานที่มองมาแบบไม่คุ้นเคย และเมื่ออนลเดินไปหยุดที่ข้างเตียงพร้อมรอยยิ้ม สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเพียงแค่การขมวดคิ้ว
“น้องเฌอ…”
หญิงสาวเอียงคอแสดงใบหน้ายุ่งยากใจ ริมฝีปากขมุบขมิบแผ่วเบา
“ขอโทษนะคะ แต่ถ้าคุณมาเยี่ยมฉันแบบนี้ คุณน่าจะพอทราบอาการป่วยของฉันแล้ว ฉันจำไม่ได้หรอกนะคะว่าคุณเป็นใคร”
ถ้าไม่ได้ยินที่มิสขิ่นเตือนไว้เมื่อครู่ อนลก็คิดว่าตัวเองก็จะทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน เพราะถ้าเห็นจากแค่ภายนอก อนลก็คงจะคิดว่าเฌออรก็แค่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นิดหน่อยและไม่ได้รับอันตรายใดๆ รุนแรงนอกจากแผลถลอกฟกช้ำตามเนื้อตามตัวและท่าทางดูอ่อนแรงซีดเซียว หญิงสาวดูเหมือนเฌออรคนเดิมที่เขาเคยเห็น ติดอยู่อย่างเดียวเพียงแค่ท่าทางดูหวาดๆ และสายตาที่มองคนรอบตัวอย่างระแวดระวังราวกับทุกคนคือคนแปลกหน้าที่น่ากลัวไปเสียหมด ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยของเฌออรที่เขาเคยรู้จัก
“คุณเฌออรครับ นี่คือคุณอนล เขาเพิ่งเดินทางมาจากเมืองไทย” ภากรที่เหมือนจะรู้สถานการณ์ดีกว่าเพราะตัวเองก็ประสบมาก่อนหน้านี้แล้วเดินเข้ามาอธิบายให้ ก่อนพยักหน้าน้อยๆ กับคนมาเยี่ยมคนใหม่เป็นสัญญาณว่าขออนุญาตช่วย “คุณพ่อคุณแม่ของคุณเฌออรติดธุระอยู่ที่ต่างประเทศ ยังบินมาหาไม่ได้ คุณอนลเลยมาดูแลคุณแทนก่อนน่ะครับ”
ใบหน้าของเฌออรไม่ปรากฏความเข้าใจในการอธิบายนั้น ดวงตาคู่หวานยิ่งเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำอธิบายต่อว่า
“คุณอนล เป็นคู่หมั้นของคุณครับ”
“คุณพูดจริงหรอ” คำถามย้อนกลับจากคนป่วยทำเอาคนอธิบายและคนที่บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาเยี่ยมทำหน้าไม่ถูก แต่คนที่ดูมีสีหน้างุนงงที่สุดคือคนป่วยเอง “คู่หมั้น?” เธอยังทวนย้ำอีกรอบ “ไม่น่าเชื่อจริงๆ นะคะ อย่างตอนที่ฉันเจอคุณคนนี้ ฉันยังพอจำเขาได้รางๆ เหมือนคุ้นๆ แต่กับคุณ…ขอโทษจริงๆ นะคะ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย หรือว่าเราหมั้นกันนานมากๆ แล้วคะ”
นิ้วชี้ของคนป่วยชี้ไปที่ ‘คุณคนนี้’ ที่เธอพอจำได้ซึ่งก็หมายถึงภากร ก่อนจะหันมาทำหน้าตาว่างเปล่าให้กับ ‘คู่หมั้น’ ของตัวเอง
อนลแอบกลั้นหายใจ เป็นจังหวะที่ทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาจริงๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าคำว่าคู่หมั้นของเขาและเธอนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขมากมายที่ต่างจากคู่หมั้นคู่อื่น ความสัมพันธ์ของเขาและเธอค่อนข้างห่างไกลจนไม่แปลกใจหากมันจะไม่ถูกบันทึกลงในเสี้ยวของความทรงจำที่ยังหลงเหลือ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าเล่าในตอนนี้ แม้จะทำใจมาบ้างแล้ว แต่พอเจออาการว่างเปล่าของหญิงสาวก็ทำให้หัวใจมันก็ชักหล่นๆ ไปอยู่ที่พื้นบ้างเหมือนกัน ได้แต่อ้อมแอ้มปลอบแบบที่ไม่รู้ว่าปลอบคนป่วยหรือปลอบใจตัวเองกันแน่
“ไม่เป็นไรครับน้องเฌอ เดี๋ยวน้องเฌอก็จำได้เอง คุณหมอที่นี่เขาเก่งมากครับ”
“ไม่ต้องกังวลนะคะมิสเตอร์อนล มันเป็นอาการของเธอ ถึงแม้คุณจะเคยสนิทสนมรักกันขนาดไหน แต่พอสมองส่วนนั้นได้รับความเสียหายก็จะส่งผลให้เธอจำข้อมูลส่วนนั้นไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราต้องช่วยกันร่วมกับการอาศัยเวลาค่ะ”
น้ำเสียงของคุณพยาบาลขิ่นดูเห็นใจชายหนุ่มจับใจ แม้จะไม่นึกชอบสายตาสงสารนั้น แต่อนลก็พอจะเข้าใจว่ามันเป็นธรรมดาที่มิสขิ่นจะคิดว่าเขาคงรู้สึกแย่มาก แต่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจของประธานบริหารหนุ่มไม่ใช่ความเสียใจ แต่มันเป็นความกังวลลึกๆ กับความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ที่ตนควบคุมไม่ได้มากกว่า
“ใช่ครับ ไม่ต้องห่วง เราจะช่วยกัน” ภากรช่วยเสริมพร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจเต็มเปี่ยมให้กับทุกคนในห้องตามประสาคนชอบเป็นห่วงความรู้สึกทุกคน รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูน่ากังวลไปกว่านี้ “อ้อ…ผมเอาโทรศัพท์มือถือของคุณเฌออรไปซ่อมมาแล้วนะครับ หน้าจอมันแตกจากการกระแทกเลยเอาไปเปลี่ยนหน้าจอให้ แล้วก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิมแล้ว ลองเปิดดูมั้ยครับ เผื่อจะนึกอะไรออกขึ้นมาบ้าง”
มือที่ยังระโยงรยางค์ด้วยสายน้ำเกลือของคนป่วยเอื้อมมารับโทรศัพท์เครื่องเล็กไปถือ ตอนแรกพลิกไปพลิกมาเหมือนไม่คุ้นมือ แต่เมื่อมันปลดล็อกด้วยรอยนิ้วมือได้ทันทีที่จับก็ทำให้เธอมีความมั่นใจกับการเปิดดูมันมากขึ้น เธอยังคงใช้โทรศัพท์ได้อย่างคล่องแคล่วอย่างที่ว่าสมองด้านการดำเนินชีวิตประจำวันไม่มีปัญหาใดๆ
“คุณเฌออรเป็นคนชอบเดินทางและก็ชอบถ่ายรูปมากๆ คุณเดินทางไปมาหลายที่ ผมว่าน่าจะเกือบรอบโลกได้แล้วมั้งครับ” ภากรเกริ่น พยายามนึกหาอะไรที่จะช่วยทำให้หญิงสาวสดใสขึ้นมาได้บ้างอย่างการเล่าถึงกิจกรรมที่เธอชอบ “ลองเปิดในอัลบั้มรูปดูมั้ยครับ น่าจะมีภาพสวยๆ เยอะเลย”
ใบหน้าของตุ๊กตาแก้วเหมือนไม่แน่ใจกับคำแนะนำ แต่ก็ยอมทำตามด้วยการกดเปิดอัลบั้มและเลื่อนดูทีละรูปที่ล้วนถูกบันทึกด้วยฝีมือตัวเองอย่างใจเย็น และก็เห็นได้ชัดว่าภาพของสถานที่ท่องเที่ยวและธรรมชาติเหล่านั้นทำให้สีหน้าที่เคยยุ่งเหยิงค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“สถานที่พวกนี้…ฉันไปมาหมดแล้วเหรอคะ” ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย “สวยมากๆ เลย”
“นอกจากเดินทางแล้ว คุณก็ชอบเขียนบันทึก คุณเป็นทั้งนักเดินทาง ตากล้อง นักเขียน ใช่มั้ยครับคุณอนล”
อนลเงยหน้าขึ้นมางงๆ กับคำถามที่โยนมาแบบไม่ตั้งตัว และความจริงก็คือเขาไม่รู้คำตอบของคำถามนั้นด้วยซ้ำ ถึงแม้จะรู้จักกันมาตั้งแต่วัยเด็ก แต่พอยิ่งโตก็ยิ่งห่าง ยิ่งตอนเขาไปเรียนต่างประเทศ ก็ใช้ชีวิตแยกกันไกลคนละมุมโลก ที่กลับมาเจอกันเพราะครอบครัวต้องวนเวียนอยู่ในวงการธุรกิจเดียวกัน ดังนั้นเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร
“อ๋อ ใช่” แต่สุดท้ายอนลก็ต้องพยักหน้าตามหน้าที่คู่หมั้นที่ดี “มีคนชอบงานเขียนของน้องเฌอมากเลยนะ ขนาดในเฟซบุ๊กแฟนเพจยังมีคนติดตามเป็นหมื่นเลย”
“จริงเหรอคะ” เฌออรเงยหน้าขวับขึ้นมาถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ฉันเนี่ยนะมีเพจเป็นของตัวเอง มีคนติดตามเป็นหมื่นด้วยเหรอคะ”
“จริงสิครับ ถ้าไม่เชื่อลองเปิดดูก็ได้” อนลว่า
เหมือนมือเล็กนั้นคุ้นกับอุปกรณ์โดยสัญชาตญาณ แทบจะไม่ต้องหาว่าอะไรอยู่ตรงไหน หญิงสาวก็กดเข้าสู่หน้าของโซเชียลมีเดียหลักที่ผู้คนใช้กันทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว
คนแนะนำพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร แค่หวังว่าเนื้อหาบางส่วนในนั้นจะช่วยฟื้นความทรงจำ และจะได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มไม่ต่างจากที่เธอดูรูปสถานที่ท่องเที่ยวพวกนั้น มันก็กินเวลาอยู่พักใหญ่ที่หญิงสาวหลุดเข้าไปอยู่ในโลกของสื่อ สไลด์ผ่านเนื้อหาบนเพจการเดินทางที่ตนเป็นคนสร้าง แต่ยิ่งเปิดผ่านไปเท่าไร ใบหน้าที่เคยเริ่มมีสีสันก็สวนทางซีดเซียวลงจนแทบไม่เหลือสี ปากทั้งสองเม้มสนิทเป็นเส้นบางเฉียบยิ่งกว่ากระดาษ คิ้วทั้งสองขมวดผูกกันยิ่งกว่าปม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาคนทั้งสองที่ตอนนี้เธอมั่นใจว่ารู้จักตัวเธอดีกว่าตัวเองเป็นแน่
“เขา…” คำพูดแรกที่หลุดออกมาจากปากซีดนั้นสั่นเหมือนควบคุมไม่ได้ คล้ายมีอะไรเสียดแทงอยู่ที่ในใจระหว่างเอ่ย “เขา…เขา…”
ฉับพลันที่ดวงตานั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำใส มือที่จับโทรศัพท์เกร็งแน่นโดยไม่รู้ตัว ไหล่เล็กไหวสะท้านห่อลู่ลง ปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปฉับพลันนั้นทำเอาชายหนุ่มผู้มาเยี่ยมทั้งสองต่างมองด้วยความตกใจ
“คุณเฌอ คุณเฌอเป็นอะไรครับ”
ภากรเข้าไปคว้าตัว ขณะที่อนลเข้าไปดึงโทรศัพท์ออกมาจากมือนั้น มองดูหน้าจอที่เปิดค้างไว้ มันคือโพสต์ที่เป็นเรื่องราวที่อยู่ในประเทศนี้ ก่อนที่เธอจะประสบอุบัติเหตุไม่นาน เรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ ‘เขา’ คนนั้น
“น้องเฌอหมายถึงเขา ผู้ชายคนนั้นเหรอครับ เขาเป็นใครกันครับ”
คำถามของอนลยิ่งทำให้ร่างนั้นสั่นเกร็งไปทั้งร่าง ดวงตานั้นเบิกกว้าง พร้อมกับคำพูดที่ย้ำอยู่แต่ประโยคเดิม ราวกับบัดนี้พื้นที่ในสมองของเธอถูกแทนเข้าไปด้วยเรื่องราวการบรรยายตามโพสต์เหล่านั้น
“ฉัน…ฉันต้องเจอเขา ฉันต้องบอกเขา…ฉันอยากเจอเขา”
เฌออรเริ่มพูดจาวกไปวนมา จับความไม่ได้เกี่ยวกับของบางสิ่ง พร้อมเสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นอย่างน่าใจหาย น้ำตาหยดเล็กร่วงเผาะอาบแก้มทั้งสอง เสียงเพ้อโวยวายนั้นยังดังไม่เท่ากับเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่กราฟตีพุ่งสูงปรี๊ด เครื่องวัดความดันและอุปกรณ์ที่รายล้อมรอบตัวพากันร้องระงม พยาบาลขิ่นที่ไหวตัวเร็วที่สุดพุ่งเข้าไปคว้ากริ่งกดเรียกส่งสัญญาณฉุกเฉินทันที
ไม่ถึงนาทีต่อมา ภาพของคนชุดขาวก็พุ่งเข้ามาเต็มห้องวีไอพีของคนไข้ รายล้อมรอบเตียงจนคนบนเตียงนั้นกลืนไปกับเหล่าเครื่องแบบชุดกาวน์และอุปกรณ์มากมายที่ถูกเข็นเข้ามาในห้อง พยาบาลมิสขิ่นรีบเข้ามากันคนเยี่ยมทั้งสองให้ออกไป
“คุณสองคนออกไปก่อนนะคะ ให้หมอดูอาการคนไข้ก่อนค่ะ”