บุพเพข้ามฟ้า บทที่ 3 : ที่พักจำเป็น
โดย : รตี
บุพเพข้ามฟ้า โดย รตี เรื่องราวของการเดินทางเพื่อตามหาหัวใจของคนอื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้ค้นพบกับหัวใจของตนเอง ณ ที่แห่งนี้ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ดินแดนเพื่อนบ้านที่ไม่ได้โด่งดั่งแต่สายลมแห่งโชคชะตาพัดพาให้สองหัวใจข้ามฟ้ามาเจอกัน นวนิยายโรแมนติกที่อ่านเอานำมาให้นักอ่านทุกท่านได้เพลิดเพลิน
กว่ารถของภากรจะได้ออกจากโรงพยาบาล ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดสนิทเสียแล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าจากการตั้งใจมาเยี่ยม จะกลายเป็นคนมาเยี่ยมต้องนั่งแกร่วเฝ้ารออยู่หน้าห้องกันอยู่พักใหญ่ จนได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าเฌออรอาการกลับมาเป็นปกติและหลับพักผ่อนไปแล้ว สองหนุ่มเลยตัดสินใจกลับออกจากโรงพยาบาลมา
แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มที่ท้องฟ้าข้างบนมืดครึ้มหนาด้วยเมฆฝน และลมที่พัดผ่านหน้าก็มีไอชื้นมากกว่าปกติ แต่ก็ไม่อาจกลบความมีสีสันของใจกลางเมืองย่างกุ้งที่แม้จะไม่ได้มีแต่แสงไฟสว่างจัดจ้านเหมือนเมืองใหญ่เมืองอื่นๆ แต่มันก็คึกคักในรูปแบบของมัน รถยนต์เต็มท้องถนน รถสาธารณะอย่างรถเมล์ยังมีแบบทั้งมีแอร์และใช้แอร์ธรรมชาติ แต่ทุกคันเหมือนกันคือแน่นขนัดไปด้วยชาวย่างกุ้งที่เป็นเพื่อนร่วมทางกันในค่ำคืนนี้เพื่อมุ่งสู่จุดหมายที่แตกต่างกัน ร้านขายของทั่วไปปิดตามเวลาเลิกงานไปแล้ว แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยแสงไฟสวยๆ จากร้านอาหารเครื่องดื่มที่คนแน่นขนัดแทบจะทุกร้าน ทั้งร้านใหญ่และร้านรถเข็นข้างทาง
มันคือบรรยากาศของเมืองทั่วไป แต่ดูแปลกตาตรงที่ว่าหญิงสาวตากลมทั้งเด็ก วัยรุ่น สูงวัย ส่วนมากยังอยู่ในชุดผ้าถุงหลากสีสันและเสื้อเข้าชุด เช่นเดียวกับผู้ชายที่ยังเป็นโสร่งคู่กับเสื้อทั้งคอกลมและคอปก เป็นความไม่เข้ากันที่ดูแปลกตาแต่ก็เป็นเอกลักษณ์ดูเข้าที หากเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไปก็คงจะตื่นเต้นกับความแปลกใหม่นี้ แต่ในใจของชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองนี้ครั้งแรกไม่ได้สนใจมองบรรยากาศแม้แต่น้อย แต่ใจมันกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับคำถามที่ทำให้บรรยากาศในรถเงียบแทบจะเป็นสุญญากาศ
เขาคนนั้นเป็นใคร…
ทำไมเฌออรต้องการอยากเจอเขาขนาดนั้น
และเธอต้องการบอกอะไรคนคนนั้น
สมองของผู้บริหารที่ถนัดในการวิเคราะห์กำลังคิดวกไปวนมา แต่เพราะข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิดเหลือเกินเกี่ยวกับบุคคลนิรนามที่พึ่งทราบถึงการมีตัวตนของเขาเพียงไม่กี่วัน จึงทำให้ยังหาคำตอบสำหรับคำถามนั้นไม่ได้ แต่จากหลักการและสัญชาตญาณลึกๆ แล้วมีสิ่งที่เขามั่นใจแน่นอนเกี่ยวกับผู้ชายที่เฌออรเรียกร้องหา คือเขาไม่อาจคิดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นได้จริงๆ
“ถึงแล้วครับ”
อนลตบความคิดที่วันนี้มันฟุ้งกระจายจับความไม่ได้ให้ออกไปจากหัวและดึงสติตัวเองให้กลับมาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งภาพตรงหน้าที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมถาม
“ที่นี่ที่ไหน”
“อ้าว!” สารถีวีไอพีหันมาร้องงงๆ “ก็คุณอนลบอกให้ผมพามาพักที่เดียวกับที่คุณเฌออรเคยอยู่ไม่ใช่หรือครับ”
“ฮะ…ที่นี่น่ะเหรอ ที่น้องเฌออยู่ตอนมาย่างกุ้ง” อนลไม่ปฏิเสธเพราะตนเป็นคนบอกภากรเช่นนั้นจริงๆ แต่ที่ต้องถามย้ำเพราะภาพที่เห็นมันไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่จินตนาการเอาไว้เลยสักนิด เขาคิดว่าเฌออรคงจะต้องเลือกพักในโรงแรมห้าดาวที่เป็นเครือโรงแรมชื่อดังระดับโลก จึงบอกปัดไปง่ายๆ ว่าให้ไปที่เดียวกันเพื่อความไม่ลำบากของภากรด้วย แต่พอมาถึงแล้วภาพตรงหน้ามันกลับตรงข้ามกันไปเสียหมด
เรื่องแรกเลยก็คือเรื่องของขนาดที่มันไม่ใช่ตึกสูงของโรงแรมที่มีห้องพักหลายร้อยห้อง จะว่าไปที่นี่ดูไม่คล้ายกับโรงแรมด้วยซ้ำ แม้ความมืดทึมของเวลาทำให้มองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน แต่มองในความมืดก็พอเห็นว่ามันเป็นคล้ายกับบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในสวน ภายใต้เงาไม้ใหญ่ที่รายล้อม ยิ่งยามที่แรงลมฝนกำลังโหมพัดให้กิ่งก้านของไม้กระพือ เงาของใบที่พาดผ่านปกคลุมตัวบ้านก็ยิ่งทำให้มันดูทึมๆ อย่างประหลาด
“ผมเป็นคนแนะนำที่พักที่นี่ให้คุณเฌออรเองแหละครับ พอมาเห็นครั้งแรกเธอก็ชอบมาก ตกลงทำสัญญาขอเช่าอยู่เป็นเดือนเลย”
อนลไม่ได้นึกต่อว่าเพื่อนเพราะรู้ว่าภากรจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเฌออรเสมอ แต่สิ่งที่ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ตอนนี้คือเขาลืมนึกถึงรสนิยมความชอบของตนกับเฌออรไปเสียสนิทว่ามันอาจจะมีบางสิ่งที่ไม่ตรงกันบ้าง และที่พักนี้ก็ทำให้เขาเพิ่งรับรู้ว่าความชอบระหว่างเขากับคู่หมั้นนั้นห่างไกลกันพอสมควร แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยความในใจตรงนี้ออกไปกับเพื่อนสนิท กลับพยักหน้ารับรู้ก่อนว่า
“ฉันเชื่อว่าน้องเฌอจะชอบทุกอย่างที่แกเลือกให้ ก็แกรู้ใจเธอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว”
ผู้จัดการหนุ่มกระตุกยิ้มก่อนกล่าวอย่างถ่อมตนเช่นเคย
“ไม่หรอกครับ มันเป็นเพราะบรรยากาศที่นี่ดีจริงๆ เงียบ สงบ เป็นส่วนตัว ทำเลดีติดกับทะเลสาบ และที่สำคัญคือปลอดภัยมากๆ เจ้าของบ้านเขาดัดแปลงบ้านเดิมให้กลายเป็นบูทีกโฮเต็ลเล็กๆ และตัวคุณป้าเจ้าของกับครอบครัวเองก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาใจดีและก็ดูแลแขกเหมือนญาติมิตร คอยให้ความช่วยเหลือผมตลอดตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ผมเลยยิ่งวางใจที่จะให้คุณเฌออรพักที่นี่ครับ”
เสียงที่เล่านั้นบ่งบอกความคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดี แต่ก็ชะงักไปไม่กล้าเล่าอะไรต่อเพราะหันมาเห็นสีหน้าลังเลของคนที่พามาด้วย ภากรจึงต้องรีบออกปากไปว่า
“หรือถ้าคุณอนลไม่อยากพักที่นี่ จะเปลี่ยนใจก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้องหรอก” อนลส่ายหน้า “ถ้าแกโปรโมตขนาดนี้แล้วไม่เชื่อใจแก จะให้ไปเชื่อใครฮะ แกเป็นไกด์นำทางของฉันแล้วงานนี้”
เพื่อนวัยเด็กส่งยิ้มให้ก่อนพยักหน้า “งั้นก็เข้าไปข้างในกันเถอะครับ”
เพราะความมืดอาจทำให้มองเห็นด้านนอกไม่ชัดเจน แต่เมื่อเข้ามาด้านใน อนลก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้าเพื่อนของเขาถึงได้โปรโมตสถานที่แห่งนี้นักหนา ภาพแรกที่เห็นมันทำให้ชายหนุ่มต้องพบกับความแปลกใจครั้งที่สองหลังจากที่โรงพยาบาล เพราะตอนแรกบอกตรงๆ ว่าไม่ได้คาดหวังหรือตั้งใจจะมามองหาความสวยงามอะไรมากมายกับโรมแรมเล็กๆ นี่ แต่บ้านหลังนี้ก็ทำให้คนที่เห็นดีไซน์และการตกแต่งของโรงแรมทั่วโลกมามากยังต้องหยุดมอง
แสงไฟสีส้มละมุนขับกล่อมให้บรรยากาศที่นี่ดูอบอุ่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา หลังบานประตูไม้สีน้ำตาลคือห้องโถงกลางสีขาว เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างในห้องนี้ล้วนทำจากไม้เก่าสีเข้มสีเดียวกันหมด ด้านขวามือคือเคาน์เตอร์ต้อนรับรูปตัวแอลขนาดไม่ใหญ่มากเหมาะกับขนาดห้อง ฝั่งซ้ายคือชุดรับแขกที่เก้าอี้ไม้โบราณตั้งอยู่บนพรมสีแดงเลือดหมู บนเก้าอี้วางประดับตกแต่งไว้ด้วยหมอนอิงลายพื้นเมืองสีสดแปลกตา เข้าชุดกันหมดแม้กระทั่งผ้าที่ปูรองแจกันดอกไม้เล็กใหญ่ที่วางอยู่รอบห้อง ขอบคิ้ว กรอบประตู ขอบหน้าต่างล้วนทำด้วยไม้
หนึ่งสิ่งที่แตกต่างและโดดเด่นออกมาจากความเป็นไม้คือบันไดกลางห้องที่เป็นบันไดเหล็กสีดำสนิท ลวดลายดอกไม้ที่กระหวัดเกาะเกี่ยวไปตามราววนเวียนหายไปสู่ชั้นบน มันเป็นจุดกลางห้องที่ดูเก๋และดึงทุกอย่างให้โมเดิร์นขึ้นมาคู่กับพื้นกระเบื้องลายทแยงสีขาวดำ ภาพรวมของที่นี่จึงไม่ใช่ความโบราณ แต่กลายเป็นความคลาสสิกที่ทำให้บ้านโบราณกึ่งสไตล์โคโลเนียลแห่งนี้ทั้งอบอุ่น น่าอยู่ และก็สวยงาม ผสมความเป็นพื้นเมืองและทันสมัยได้อย่างลงตัวและมีสไตล์
“มิงกะลาบา อ้านตี” ภากรทักทายเสียงใสกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยภาษาท้องถิ่นอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ คุณภากร” เสียงที่ตอบกลับมาคือการกล่าวคำว่า ‘สวัสดี’ เป็นภาษาไทยที่แม้จะไม่ค่อยชัด แต่คนพูดก็เอ่ยอย่างตั้งใจ แสดงให้เห็นท่าทางที่เป็นมิตรและก็รู้จักคุ้นเคยชายหนุ่มรุ่นลูกดี ก่อนจะตามมาด้วยภาษาอังกฤษระรัว “ป้ากำลังรออยู่พอดีเลยค่ะ นี่ยังกลัวว่าคุณจะมาไม่ทันฝนตก ลมพัดแรงเชียว”
และภากรก็แนะนำให้อนลรู้จักกับ ‘คุณป้าเมย์’ หญิงวัยกลางคนที่อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับมารดาของเขา ใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงความใจดี ผิวพรรณและหน้าตายังสดใส เธอแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่เป็นเสื้อสีเหลืองครีมและผ้าถุงสีน้ำตาลลายคลื่นสีเหลืองทอง ผมยาวสีดอกเลาม้วนรวบเป็นมวยไว้ข้างหลังปักด้วยเครื่องประดับมุก เนื้อตัวไม่เกลี้ยงเกลาด้วยเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพองาม
รูปร่างแบบบางแบบคนดูแลตัวเองดีไม่ปล่อยให้ตัวเลขอายุบดบังอดีตความงามเมื่อยังเยาว์ จากสำเนียงภาษาอังกฤษอันคล่องแคล่ว บุคลิกภาพท่วงท่าที่ดูสง่า การแต่งกายด้วยสีสันที่แม้จะเรียบง่ายแต่ก็ดูดีสวยสมวัย บวกกับที่ถูกแนะนำว่าเป็นเจ้าของบ้านอันเป็นเอกลักษณ์หลังนี้ ก็ทำให้อนลรู้ทันทีว่าคุณป้าเมย์คนนี้ต้องไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ
“คุณป้าเมย์ครับ คนนี้คือคุณอนล คู่หมั้นของคุณเฌออร ที่ผมแจ้งว่าจะมาขอเปิดห้องริมทะเลสาบน่ะครับ”
“ป้าเป็นกำลังใจให้นะคะเรื่องคุณเฌออร เธอเป็นเด็กน่ารักมาก เดี๋ยวเธอก็หายดีค่ะ” เจ้าของโรงแรมหันมายิ้มต้อนรับชายหนุ่มที่ถือว่าเป็นทั้งแขกของโรงแรมและแขกบ้านแขกเมืองของตน “ป้าว่าจะให้นันดาไปเยี่ยมเธออยู่พรุ่งนี้ เตรียมขนมที่เธอชอบไว้ให้เพียบเลยค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ” อนลรับคำ แม้จะไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฌออรและคนที่นี่ แต่น้ำเสียงห่วงใยจากใจจริงนั้นก็แสดงถึงความเอื้ออาทรและก็คงรู้จักสนิทสนมกับเฌออรเป็นอย่างดี
“ห้องพักแต่ละห้องของเราจะมีแบบแปลนและการตกแต่งที่แตกต่างค่ะ ห้องริมทะเลสาบจะเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในโรงแรม ในห้องจะสองชั้นคือชั้นล่างและก็ชั้นลอย ปกติเราไม่ได้เปิดให้แขกทั่วไปพัก จะต้องเป็นคนที่เช่าพักระยะยาวเท่านั้น แต่นี่ก็พอดีเลยนะคะ หลังจากที่คุณเฌอเธอเช็กเอาต์ออกไปก็ยังไม่มีใครจองห้องนี้เข้ามา ห้องเลยยังว่างอยู่พอดี พอคุณภากรโทรมาบอกเมื่อเย็น ป้าก็รีบให้เด็กๆ ทำความสะอาดเตรียมพร้อมไว้ให้แล้ว คุณก็เข้าพักได้เลยนะคะ”
ป้าเมย์เล่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างที่เดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อจัดแจงเรื่องเอกสาร ท่วงท่าในการเดิน การยืน การพูดคุยนั้นช่างไม่เหมาะกับหน้าที่ที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้เลยสักนิด เธอบริการทุกอย่างด้วยความเต็มใจ หันกลับมาอีกทีพร้อมยื่นกุญแจห้องส่งให้ชายหนุ่มต่างแดนแขกคนล่าสุดของโรงแรม
“คุณเดินทางมาทั้งวัน ไปหาคุณเฌออรที่โรงพยาบาลมาอีก น่าจะเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็ขอให้พักผ่อนให้สบายนะคะ มีอะไรก็เดินลงมาเรียกป้าได้ตลอดเลย ห้องพักป้าอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์นี่แหละ เคาะได้ตลอดเวลาเลยนะคะ”
อนลยื่นมือออกไปรับกุญแจห้องพัก แต่เมื่อเห็นสิ่งที่รับมาไว้ในมือ ก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วและเอะใจจากที่มักไม่เคยจะติดใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
ลูกกุญแจห้องสีเงินลูกเล็ก มีพวงกุญแจเป็นตาข่ายดักฝันสีขาวห้อยระย้า
ตาข่ายดักฝัน…อีกแล้วหรือ
ทวนถามตัวเองในใจ พลางนึกสงสัยว่าบ้านเมืองนี้เขานิยมตาข่ายดักฝันกันหรืออย่างไรเลยทำให้มีห้อยอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ คิดว่าจะเก็บเป็นคำถามเอาไว้ถามภากรทีหลังสำหรับความแปลกที่เจอวันนี้
“ขอบคุณป้าเมย์สำหรับทุกอย่างเลยนะครับ งั้นผมกับคุณอนลคงไม่รบกวนป้าเมย์แล้วครับ ป้าจะได้กลับไปดูแลแขกต่อ”
ภากรรีบออกตัวลาเพราะเห็นว่าภายในห้องโถงยังมีแขกกลุ่มใหญ่อีกสี่ห้าคนนั่งอยู่ที่โซฟาริมห้อง
“อ๋อ ไม่ได้รบกวนอะไรหรอกค่ะ กลุ่มนั้นเขาไม่ใช่แขกของโรงแรม เขาแค่มารอพบนันดาค่ะ”
แม้ไม่รู้ว่านันดาเป็นใคร และก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร แต่แค่เหลือบตามองอนลก็ไม่นึกชอบใจเพราะสะดุดตาทันทีกับท่าทางของนักเลงวางก้าม และไม่ได้ปฏิบัติตัวสุภาพเท่าไรจากการนั่งที่ยกแข้งยกขาขึ้นมาพาดบนโต๊ะ คิดว่าท่าทางไร้มารยาทแบบนั้นช่างดูไม่เข้ากับสถานที่สวยงามแบบนี้สักนิด แต่ก็แค่คิดเพราะไม่ใช่คนที่เป็นคนใส่ใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าตัวเอง จึงกล่าวลาเจ้าของสถานที่ตามมารยาทก่อนเดินตามหลังภากรพร้อมลากกระเป๋าสัมภาระออกไป
สาเหตุของความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวของที่นี่คงเป็นเพราะว่ามันคือบ้านที่มีเพียงสองชั้นและมีห้องพักไม่น่าจะเกินสิบห้อง ยิ่งเดินเข้ามาด้านในก็ยิ่งเห็นว่าทุกรายละเอียดการตกแต่งของที่นี่ช่างเต็มไปด้วยความใส่ใจในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูปไม้บนผนังสีขาวที่จัดวางสลับกับแจกันกระเบื้องขนาดใหญ่ที่มูลค่าคงไม่ใช่น้อยๆ วางเรียงไปตามทางเดินที่กลางทางเดินปูด้วยพรมสีเลือดหมูเข้มตัดข้างด้วยลายดอกไม้แสนคลาสสิก ทุกก้าวมีกลิ่นไอความโดดเด่นของโรงแรมแบบบูทีก แต่กลับคงบรรยากาศอบอุ่นได้เหมือนอยู่บ้าน
ห้องพักของอนลเป็นห้องริมสุดทางเดิน ที่ ณ บานประตูไม้สลักลวดลายสวยงาม สิ่งแรกที่สังเกตเห็นและสะดุดใจที่สุดเพราะมันแตกต่างจากห้องอื่นที่เดินผ่านมา ก็คือที่หน้าห้องนี้มีตาข่ายดักฝันอันใหญ่สีเดียวกับที่พวงกุญแจห้อยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางประตู ที่ติดกับประตูห้องมีช่องบันไดขนาดเล็กกว้างไม่ถึงช่วงแขน ปลายสุดบันไดคือบานประตูไม้ที่แขวนป้ายระบุไว้ชัดเจนว่า ‘เฉพาะพนักงาน’ ซึ่งก็คงจะเป็นห้องสำหรับเก็บสิ่งของต่างๆ ของโรงแรมแห่งนี้
ชายหนุ่มต่างแดนไขกุญแจพร้อมบิดลูกบิดสีทองก่อนจะผลักประตูไม้เปิดออก เมื่อกดเปิดสวิตช์ไฟโบราณที่ข้างประตู แสงไฟสีส้มที่สว่างไปทั่วห้องก็สะกดสายตาของคนที่ไม่เคยประทับใจที่พักอื่นนอกจากโรงแรมห้าดาว และเขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเฌออรถึงชอบที่นี่
พรมสีครีมตัดกับผนังสีขาวด้วยขอบคิ้วไม้สีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นสีเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ในห้อง กลางห้องคือชุดโต๊ะไม้ที่ปูอย่างดีด้วยเบาะรองสีครีม เพิ่มความเบาด้วยหมอนอิงกำมะหยี่สีขาว เฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่อมาที่ทำให้ประหลาดใจที่สุดเพราะไม่เคยเห็นว่ามีในห้องพักของโรงแรมที่ไหน ก็คือตู้หนังสือตู้ใหญ่สูงติดเพดานที่กวาดตามองคร่าวๆ แล้วมันล้วนเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มสวยราคาแพงจัดเรียงกันสวยงาม หน้าชั้นหนังสือคือโต๊ะทำงานไม้ที่หันหน้าออกสู่ประตูกระจกใสยาวจรดเพดาน กั้นความเป็นส่วนตัวจากโลกภายนอกด้วยม่านบางตาสีขาวดูพลิ้วสวย วิวด้านนอกคือทะเลสาบสีดำที่สงบนิ่งอยู่ในเงาของราตรีกาล
ความช่างออกแบบที่ทำให้ห้องนี้ดูโดดเด่นคือการทำห้องในลักษณะของ duplex คือมีชั้นลอยที่สามารถมองเห็นจากชั้นล่างได้ ที่มุมห้องด้านหนึ่งมีบันไดวนสีขาววนทอดขึ้นไปถึงชั้นสองที่เป็นส่วนของเตียงไม้ดูแน่นหนา โคมไฟจากเครื่องจักรสารห้อยระย้าจากเพดานส่องสว่างที่หัวเตียง ช่างเข้ากับตาข่ายดักฝันสีน้ำตาลอันใหญ่มากบนผนังสีขาว ตัวเตียงหันหน้าออกสู่ระเบียง ที่เปิดออกไปเป็นชานนั่งเล่น สามารถชมวิวยามค่ำคืนของทะเลสาบได้รอบด้าน
บรรยากาศของมันไม่เหมือนห้องพักของโรงแรม ห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างใส่ใจทุกรายละเอียด เหมือนกับว่ามันคือห้องนอนห้องหนึ่งที่เจ้าของห้องเฝ้าจัด เฝ้าดูแลเพื่อจะได้ใช้ทุกนาทีด้วยความสุขใจในพื้นที่ของตน
คนที่นอนโรงแรมระดับห้าหรือหกดาวมาแล้วทั่วโลก ยังคิดว่าไม่มีที่พักไหนดูดีเหมือนที่นี่
“ถูกใจอยู่นะครับ”
“ไม่เลว…”
อนลทรุดตัวนั่งลงบนโซฟากลางห้อง คำพูดกลางๆ แต่สีหน้าพึงใจอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่ปกติแล้วหากได้ต้องไปเข้าพักโรงแรมที่ไม่ใช่เกรดห้าดาวหรือหกดาว ท่านประธานผู้นี้มักจะต้องหาเรื่องติติงถึงความไม่สมบูรณ์แบบได้สักเรื่อง
“น้องเฌอน่าจะชอบที่นี่จริงๆ สมแล้วกับที่แกเป็นบอดี้การ์ดของน้องเฌอมาตั้งแต่เด็ก รู้ใจกันดีทุกอย่าง รู้ไปหมดว่าน้องเฌอชอบอะไร ไม่ชอบอะไร” อนลเอ่ยชม คิดว่าเฌออรไว้ใจคนไม่ผิดจริงๆ เรื่องการแนะนำที่พักแห่งนี้ ภากรมักเป็นคนที่เลือกอะไรได้ถูกใจหญิงสาวเสมอ “เฮ้อ ก็แปลกดีนะ ทั้งที่พวกเราก็โตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแท้ๆ แต่ฉันนี่ดันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอสักอย่าง”
ภาระหน้าที่การงานทำให้ไม่ค่อยมีเวลาได้นึกถึงอดีต พอมีเวลามานึกย้อนภาพมันก็จางแสนจางแต่ก็ยังอบอุ่นอวลอยู่ในม่านหมอกแห่งความทรงจำ ในวันที่บนบ่ายังไม่ต้องแบกรับเรื่องงานหนักอึ้งเหมือนทุกวันนี้ ด้วยความที่โตมาเขาก็อยู่ในวงการธุรกิจ ครอบครัวของทั้งเขาและเฌออรต่างเป็นบริษัทไอทีชั้นนำของเมืองไทยที่อยู่ในฐานะคู่ค้ากันมาช้านาน เขา ภากร และเฌออร จึงได้รู้จักและมีโอกาสพบเจอกันตั้งแต่วัยเยาว์ และเรียกได้ว่าวิ่งเล่นเติบโตด้วยกันมา
ภากรสมัยเด็กก็ไม่แทบต่างอะไรจากสมัยนี้ บุคลิกใจเย็น ใจดี ช่างยิ้มแต่ไม่ค่อยช่างพูด ไม่เคยถือโทษโกรธใคร เพราะความเป็นมิตรมากกว่าจึงทำให้มักได้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงหรือบอดี้การ์ดให้กับเฌออร น้องเล็กในกลุ่มที่ทำอะไรไม่เคยทันพี่ชายทั้งสองและจะสรุปบทท้ายด้วยการร้องไห้งอแง แน่นอนว่าอนลไม่ใช่คนที่จะปลอบใครเก่ง อย่างมากก็แค่ยืนดูด้วยความสงสัยในเหตุผลที่ว่าทำไมน้องสาวถึงต้องขยันร้องไห้ถึงเพียงนี้ และก็ไม่เคยเข้าใจวิธีที่จะทำให้คนอื่นหยุดร้อง ดังนั้นเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนเดียวในกลุ่มจึงมักจะวิ่งหาพี่ภากรก่อนพี่อนลเสมอ
และด้วยวันเวลาที่ผ่านไป เมื่อเด็กเล็กเริ่มเติบโตไปตามทางเดินในชีวิตของตนเอง สายสัมพันธ์นั้นก็เริ่มมีตัวแปรอื่นๆ เข้ามาอย่างเช่นภาระหน้าที่ทางครอบครัว ความเหมาะสมทางด้านฐานะสังคม และที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนก็คือผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทันทีที่อนลกลับมาจากต่างประเทศ ก็ได้ทราบว่าครอบครัวของทั้งเขาและเฌออรได้ทำการพูดคุยเรื่องหมั้นหมายไว้เรียบร้อยแล้ว
ในสายตาของอนล เฌออรก็เป็นเด็กดีและก็คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก และก็ไม่ผิดสักนิดที่พวกผู้ใหญ่พูดถึงเรื่องความเหมาะสม และยังมีปัจจัยที่ไม่ได้กล่าวถึงแต่ก็มองเห็นมันลอยอยู่ตรงหน้ามากมายนั่นก็คือผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นหากมีการเกี่ยวดองกันระหว่างสองตระกูลใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี ดังนั้นเขาเองก็คิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธงานหมั้นครั้งนี้ เลยปล่อยให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายจัดการกันไปตามเรื่องตามราว เขาก็ทำเพียงแต่เออๆ ออๆ จนลืมที่จะคิดไปหลายๆ เรื่อง อย่างเช่นเรื่องนี้…
“ต้องทำยังไงฉันถึงจะเข้าใจน้องเฌอแบบแกบ้างนะ”
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าเขารู้จักเฌออรดีเพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่บัดนี้เขารู้แล้วว่าคนเราไม่ได้จะรู้จักกันดีจากระยะเวลาที่รู้จักกันมานาน ถ้าใครได้ยินคำถามแบบนี้ ก็คงจะนึกว่าชายหนุ่มคนนี้คงนึกตัดพ้อและต่อว่าตัวเองที่ไม่เคยสนใจในสิ่งที่ควรสนใจ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าในใจของผู้บริหารหนุ่มที่ตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมาเพราะจริงๆ เขาไม่ได้รู้สึกผิด แต่มันคือการค้นหาวิธีเคลียร์ทางเพื่อจะทำให้ชีวิตอนาคตแต่งงานไม่ยุ่งยากจนส่งผลต่อภาพลักษณ์หรือธุรกิจต่างหาก
“ผมก็แค่แนะนำในสิ่งที่ผมคิดว่าดีที่สุดให้คุณ และคุณเฌออรแค่นั่นเอง” ภากรกล่าวต่อหน้าเพื่อนสนิทที่มีพระคุณ ก่อนรอยยิ้มเศร้าแบบเย้ยหยันจะปรากฏ “ถ้าผมรู้ทุกอย่างจริงๆ ก็ดีสิครับ แต่นี่ดันรู้เรื่องอะไรที่ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่ควรจะรู้ก็กลับไม่รู้”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรื่องนั้นหมายถึงเรื่องอะไร เพราะมันก็ยังเป็นคำถามที่ติดใจชายหนุ่มทั้งคู่อยู่ในขณะนี้ ภาพของเฌออรที่กรีดร้องโวยวาย ร้องไห้ราวกับคนโศกเศร้าเสียใจเจียนแทบขาดใจนั้นยังติดตา อาการนั้นเกิดขึ้นแทบจะทันทีที่เธออ่านข้อความที่เขียนบันทึกไว้ด้วยน้ำมือตัวเอง
ข้อความที่ระบุถึง ‘เขา’
เรื่องนี้ยังแสนจะคลุมเครือ…เรื่องของชายปริศนาคนนั้น
“อยากรู้จริงๆ นะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร และเกิดเรื่องอะไรระหว่างทั้งสองคน”
ถ้าใครไม่ได้รู้จักความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ต่อหญิงสาวที่กำลังถูกพูดถึง ก็คงจะเกิดอาการงงและสับสนกันไปตามๆ กัน เพราะขณะนี้คนเป็นคู่หมั้นใช้สมองกอดอกวิเคราะห์ราวกับกำลังประมวลผลหาโจทย์สมการสักข้อหนึ่งที่แก้ไม่ตก ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรนอกจากงุนงงสงสัย ซึ่งตรงข้ามกับคนที่เป็นแค่พี่ชาย ที่ความเคียดแค้นนั้นสะสมครุกรุ่นอย่างโมโหซึ่งผิดนิสัยใจเย็นโดยสิ้นเชิง
“ผมก็อยากรู้ว่ามันเป็นใคร” ภากรกัดฟันแน่น “มันเลวมากที่ทำให้คุณเฌออรต้องเสียใจขนาดนั้น ถ้าผมเจอตัวมัน ผมจะต้องจับมันให้มาคุกเข่าขอโทษต่อหน้าคุณเฌออรให้ได้”
เพราะคนบนโซฟาอย่างอนลเป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดแบบยิบเฉพาะในเรื่องของงาน เขาสนใจเพียงแค่ความถูกต้องและสมบูรณ์แบบของตัวเลขและยอดขาย แต่เรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างเรื่องบางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนอยู่ในแววตาและน้ำเสียงโกรธแค้นของภากรตอนนี้ ชายหนุ่มไม่ได้รับรู้มันแม้แต่น้อย
“ทางเดียวที่จะรู้ได้ก็คือต้องรอให้อาการของน้องเฌอดีขึ้นก่อน”
คนเป็นคู่หมั้นดูใจเย็น ต่างจากคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กลิบลับ
“หมอบอกว่า อาการของคุณเฌอเป็นแค่การความจำเสื่อมชั่วขณะ คุณอนลไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่แน่ว่าเธออาจจะจำได้ในวันพรุ่งนี้ หรือมะรืนก็ได้” ไม่รู้ว่าคนพูดปลอบใจตัวเองหรือบอกเพื่อน เพราะดูท่าทางอนลก็ไม่ได้จะกังวลในจุดนี้มากเท่าไรนัก เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังคิดไม่ใช่เรื่องอาการของหญิงสาว แต่เป็น…
“ฉันคิดว่าเราอย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้คนที่เมืองไทยรู้เลยดีกว่านะ ลองให้หมอที่นี่เขารักษาสักระยะและก็รอเวลาให้ร่างกายของเฌออรดีขึ้นกว่านี้ ถ้ายังไม่ดีขึ้นเราค่อยย้ายตัวเธอกลับไทย แกว่าดีมั้ย ไม่แน่ว่าเธออาจจะจำทุกอย่างได้ก่อนกลับไทยก็ได้”
อนลกำลังคิดและวิเคราะห์เพื่อค้นหาวิธีการ เท่าที่ได้ปรึกษากับทางแพทย์ทางด้านร่างกายของเฌออรไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง ส่วนเรื่องความทรงจำก็ควรจะให้เวลามันได้ฟื้นตัวตามที่หมอบอก อีกหนึ่งเหตุผลประกอบคือเขาไม่อยากนึกภาพว่าถ้าคุณน้าอรวีและคุณลุงคชารับรู้เรื่องราวทั้งหมด ความสัมพันธ์ของเขากับเฌออรและสองครอบครัวจะเป็นเช่นไร
“ถ้าคุณอนลว่าอย่างนั้น ผมก็แล้วแต่ครับ”
อนลเชื่อใจในคำพูดนั้นเพราะรู้ว่าภากรเป็นคนที่ปิดปากได้สนิทที่สุดถ้าหากว่าได้รับปากใครไว้แล้ว ค่อยสบายใจขึ้นนิดหน่อยเมื่อแก้ไขปัญหาได้ทีละเปลาะ ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายอย่างเมื่อล้า สองตามองออกไปนอกหน้าต่างที่ดำมืด เห็นใกล้สุดก็แค่ชายน้ำที่มีไฟสนามเล็กๆ ส่องถึง เบื้องหลังผืนน้ำคือสายฟ้าที่สว่างแปลบปลาบสะท้อนให้เห็นเมฆหนาที่โอบอุ้มเม็ดฝนไว้เต็มอ้อมแขน
“เอ…ฝนมาจากไหนไม่รู้ เมื่อกี้ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะตก” ชายหนุ่มว่า “ท่าทางน่าจะตกหนัก ฟ้าแรงซะด้วย ได้ยินเสียงร้องมาแต่ไกลเลย”
ภากรมองตามออกไปที่นอกหน้าต่างเช่นกัน ซึ่งสายฟ้าฟาดและสายลมกระโชกก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม ผู้จัดการชาวไทยนิ่งไปพักก่อนจะมีประกายบางอย่างปรากฏเข้ามาในดวงตา
“คุณอนลครับ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่านะครับ” ผู้จัดการหนุ่มโพล่งเอ่ยลาขึ้นมา
“อ้าว รีบไปไหน นึกว่าจะอยู่คุยกันก่อนซะอีก” อนลร้องกับคำบอกลาที่ไม่ได้ตั้งตัว “ฉันกับแกไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยู่คุยกันก่อนสิ มีอะไรต้องรีบไปทำหรือไง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ภากรส่ายหัว “แค่วันนี้เห็นว่าคุณอนลพึ่งเดินทางมาก็น่าจะเหนื่อย ให้คุณอนลพักผ่อนก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับไปที่โรงพยาบาลนะครับ”
คำตอบนั้นตัดบท ไม่ได้เปิดโอกาสให้เพื่อนได้โน้มน้าวหรือชักจูงต่อ ยืนยันเจตนาจะไปด้วยการลุกขึ้นยืน อนลจึงได้พยักหน้าตามเรื่องเพราะยัง งงๆ อยู่กับท่าทางที่จู่ๆ ก็ดูรีบขึ้นมาของเพื่อน
“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้”
สายฝนเริ่มปรายโปรยลงมากระทบกระจกรถของวิศวกรหนุ่มที่ย้ายที่ทำงานของตนเองมาอยู่ในประเทศที่สอง และก็คุ้นเคยกับถนนหนทางหลักๆ ภายในเมืองย่างกุ้งแห่งนี้พอตัว ก็รู้อยู่ว่าเส้นทางที่ตนกำลังไปนั้นไม่ใช่เส้นทางกลับที่พักอย่างที่บอกเพื่อนไว้ แต่มันคือการวิ่งย้อนกลับมาทางเดิมที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ใช้เวลาอยู่สักพักในการฝ่ารถที่เริ่มติดเพราะฝนตกหนัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่เปลี่ยนใจ ฝ่าทั้งรถและฝนจนกลับเข้ามาถึงโรงพยาบาลที่เดิม
เขาลงจากรถและวิ่งฝ่าสายฝนที่กำลังกระหน่ำออกไป เมื่อเข้าสู่ตัวอาคารได้ก็ไม่ได้สนใจสภาพที่เปียกปอนของตัวเอง ก้าวฉับๆ อย่างรีบร้อนผิดนิสัยของภากรที่คนทั่วไปรู้จัก มุ่งหน้าตรงไปที่ลิฟต์และกดชั้นที่ต้องการ
ทางเดินหน้าห้องพักผู้ป่วยเงียบสนิทด้วยเวลาที่ล่วงเลย จนถึงห้องที่ต้องการ เขาแทบจะกระชากประตูห้องออก ก้าวพรวดเข้ามาในห้องพักคนไข้ เป็นจังหวะเดียวกับที่เบื้องหน้าหน้าต่างบานยาวมีสายฟ้าเส้นใหญ่ฟาดผ่าลงมายังท้องฟ้าเหนือเมืองย่างกุ้ง
สิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่สภาพอากาศ แต่มันคือคนบนเตียงที่ตอนนี้นอนคุดคู้เอาผ้าห่มคลุมหัวคลุมตัว หันหน้าหนีออกจากหน้าต่าง เอามือปิดหูทั้งสองข้าง เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้าที่จะมีคนเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างคงกำลังหลับปี๋ แต่เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีเพื่อนมนุษย์ ตาคู่หวานนั้นจึงรีบลืมขึ้นเหมือนคนที่เห็นความหวัง และมันก็สบกับตาคมคู่ตื่นของอีกคนพอดี
ชายหนุ่มไม่รอแม้แต่อีกวินาทีเดียว ขายาวก้าวไปกระชากม่านทุกบานให้ปิดลง เปิดไฟทุกดวงจนสว่างไสว ก่อนจะวกกลับมาหาคนที่เตียง
“คุณเฌออร คุณโอเคนะครับ”
มือใหญ่กร้านตามประสาหนุ่มวิศวะสัมผัสเบาๆ ที่ไหล่บาง ก้มลงไปมองดวงหน้าซีดที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาเหมือนเด็กน้อยที่ไร้ที่พึ่ง
“ไม่ต้องกลัวนะครับ”
ดวงหน้านั้นคือเฌออรคนที่เขารู้จัก แต่ใจหายเล็กน้อยที่แววตามันดูแปลกไป ไม่เหมือนทุกครั้งที่เธอจะเข้ามาเกาะแขนเขาไว้แน่นตั้งแต่เด็กๆ นั่นจึงทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่หญิงสาวเกลียดและกลัวที่สุดคือเสียงคำรามของฟ้าร้องในคืนวันฝนตกเช่นนี้
“คุณ…”
ดวงหน้าซีดจากการที่เพิ่งจะดีขึ้นจากอาการปวดร้าว ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองที่จู่ๆ หัวใจมันก็รู้สึกหวิวๆ เต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อซึม ใจสั่น ตอนที่มองเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มด้านนอก และก็ยิ่งแย่ลงเมื่อได้ยินเสียงคำรามแสดงอำนาจจากนภาเบื้องบน เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ผู้ชายคนนี้กลับเดินเข้ามาหาและเหมือนเขาจะรู้จักตัวเธอดีกว่าตัวเองเสียอีก
“พี่ภากร…” เสียงอ่อนลงเปลี่ยนสรรพนามเรียกโดยไม่รู้ตัวเมื่อมันสัมผัสสิ่งดีๆ อย่างรอยยิ้มนุ่มและดวงตาอันแสนอ่อนโยนที่พยายามปลอบโยนตน โดยที่ไม่ได้สนใจสภาพอันเปียกปอนของตัวเอง “วิ่งตากฝนมาหรือคะ”
“อ๋อ คือ…ใช่…คือพอดีพี่ลืมของน่ะ ต้องใช้ด่วน เลยวกกลับมาเอา” ภากรยืดตัวขึ้น ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงเพราะมันไม่ได้ตรงกับเจตนาแต่แรกเลยสักนิด “แล้วนี่มิสขิ่นไปไหน”
เฌออรมองเม็ดฝนที่ยังเกาะพราวอยู่ตามหน้าชายหนุ่ม ยังคิดไม่ออกว่าของอะไรที่ทำให้เขาต้องรีบร้อนวิ่งตากฝนมาจนเปียกปอนแบบนี้
“ฉันให้เธอไปทานข้าวข้างนอกน่ะค่ะ”
“สงสัยคงจะติดฝนอยู่ข้างนอกแน่เลย” ชายหนุ่มยังเฉไฉมองไปที่อื่น ไม่กล้าสบตาหวานนั่น “อืม…แย่หน่อยนะ ฝนตกแบบนี้”
หน้าซีดเซียวนั้นเป็นคำตอบได้ดีว่ามันไม่ได้แย่หน่อย แต่เป็นแย่มากด้วย
“นั่นสิคะ” เฌออรบ่นอุบอิบ ท่าทางยังคล้ายกับสับสน “ฉันรู้สึกไม่ดีเลย เวลาได้ยินเสียงฟ้าร้องแบบนั้น”
ภากรมองร่างเล็กที่ยิ่งเมื่อตกอยู่ในภาวะความกลัวมันก็ยิ่งห่อไหล่บางลงจนตัวเหลือนิดเดียว เกิดการสะท้อนใจที่สุดที่ได้เห็นคนตรงหน้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้ รู้สึกเหมือนโดนบีบที่หัวใจจนมันปวดหน่วงๆ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่น่าสงสารที่สุดคือเฌออรไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“งั้นลองใส่อันนี้มั้ย”
ในมืออันเปียกชุ่มของชายหนุ่ม คือกล่องหูฟังแบบไร้สายยี่ห้อแพงชนิดเก็บเสียงได้ดีเยี่ยม ซึ่งเฌออรก็รับมันมาแบบงงๆ นั่นยิ่งทำให้ภากรตอบคำถามกับสายตานั้นไม่ถูก และก่อนที่บรรยากาศจะอ้ำอึ้งและอึดอัดไปมากกว่านี้ เขาก็จัดการเปิดกล่อง ดึงหูฟังบลูทูธขนาดเล็กออกมาและสวมมันให้กับหญิงสาว เชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับโทรศัพท์ และกดเปิดเพลง
ท่วงทำนองแว่วหวานเริ่มขับกล่อม ไม่มีเสียงฟ้าร้องคำรามหรือเสียงลมฝนเกรียวกราวราวอีกต่อไปแล้ว ที่อบอวลอยู่รอบตัวคือท่วงทำนองเพลงฟังเบาสบาย ที่เพียงแค่เสียงดนตรีขึ้นมา เฌออรก็รู้ว่านี่คือเพลงที่เธอชอบ มือเริ่มหายสั่นเกร็ง หัวใจเต้นช้าลง รอยยิ้มหวานนั้นยิ้มตอบชายหนุ่ม แค่นั้นมันก็ทำให้หัวใจเขาแทบจะพองฟู เพราะมันคือรอยยิ้มที่เหมือนรอยยิ้มของเฌออรคนเดิมไม่มีผิด
รอยยิ้มที่ชายหนุ่มแอบเฝ้ามองมาเงียบๆ ตลอดตั้งแต่วัยเยาว์ และไม่เคยจะเรียกร้องอยากได้มาครอบครอง เพราะรู้ว่าแค่คิดก็ไม่มีสิทธิ์แม้แต่คิดด้วยซ้ำ