มนตราราหุล บทที่ 2 : เมียพระราชทาน

มนตราราหุล บทที่ 2 : เมียพระราชทาน

โดย : ณรัญชน์

Loading

มนตราราหุล นวนิยายออนไลน์โดย ณรัญชน์ เรื่องราวของ ‘ราหุลเวทย์’ มนตราศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาโรคและอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทั้งยังชุบชีวิตคนตายได้และแม่หญิงวงตะวันคือคนเดียวที่รู้จักมนตรานี้ดีที่สุด เธอจะใช้มันแก้ไขเหตุร้ายในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาได้ไหมและเธอจะพบคำตอบเรื่องหัวใจของพ่อนาถหรือเปล่า อ่านสนุกๆ ได้ที่อ่านเอาทีเดียว

***************************

– 2 –

การเลื่อนยศของนาถเป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ขุนนางจริงดังคาด แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้ยินด้วยตนเอง แต่ออกญายมราชเจ้านายของเขามีพรรคพวกในวังหลวงมากมาย ข่าวคราวทั้งหลายจึงไม่พ้นหูตาของท่านไปได้

“พ่อนาถคงกังวลว่าเหล่าขุนนางจะพากันเป็นปรปักษ์กับเจ้าละสิ ทีแรกอาก็ห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” ออกญายมราชเกริ่น ถึงแม้โดยตำแหน่งแล้วท่านจะเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ออกญายมราชเป็นเกลอกับบิดาของนาถมาตั้งแต่เข้ารับราชการพร้อมกัน จึงเอ็นดูชายหนุ่มเหมือนเป็นลูกหลาน ยามอยู่กันลำพังสองคนท่านจะเรียกเขาด้วยชื่อจริงเสมอ

“ถึงพ่อนาถจะปราบโจรผู้ร้ายในพระนคร ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก แต่สถานการณ์ยามนี้กำลังพลทั้งนอกวังในวังมีความสำคัญเท่าเทียมกัน แม่อยู่หัวมีพระราชโองการเช่นนี้ เท่ากับสร้างศัตรูให้เจ้าแท้ๆ”

นาถรับฟังโดยไม่แสดงอารมณ์ “คนอื่นจะมองอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา กระผมไม่เอามาใส่ใจ เป็นห่วงก็แต่คุณแม่ ท่านมีคนรู้จักอยู่ในวังมากมาย ไหนจะชื่อเสียงของคุณพ่อและคุณปู่อีก จะมามัวหมองเพราะเรื่องของกระผมเสียเปล่าๆ”

ออกญายมราชมองลูกน้องคนโปรดด้วยสายตาพิกล ดวงตาทอแววเวทนาระคนขบขัน “เบาใจเถิดพ่อนาถ เรื่องราวไม่ได้ร้ายแรงอย่างนั้นดอก ตอนแรกก็มีคนคิดระแวงว่าเจ้าจะหันไปสวามิภักดิ์ขุนวรวงศาธิราช แต่พอตรองดูก็แจ้งแก่ใจว่าน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งเจ้าเสียมากกว่า และตัวการก็คงไม่พ้นพวกขุนวรวงศานั่นละ ตอนนี้มีแต่คนเห็นใจเจ้ากันทั้งวัง”

นาถยิ้มน้อยๆ สีหน้าผ่อนคลายขึ้น “นับเป็นความกรุณาที่พระเดชพระคุณท่านอื่นๆ มีใจเป็นธรรม ไม่คล้อยตามไปกับแผนการร้ายครั้งนี้”

“ใครมันคิดอย่างนั้นได้ก็บ้าเต็มทนแล้วหลานเอ๊ย” ทนไม่ไหวออกญายมราชก็หัวเราะก๊าก “เห็นชัดว่าตำแหน่งออกหลวงที่พระราชทานให้เป็นแค่ข้ออ้างที่จะเล่นงานเจ้าเท่านั้น หากเจ้าไปสวามิภักดิ์ขุนวรวงศาจริง ก็คงไม่พระราชทานแม่หญิงวงตะวันให้เป็นเมียของเจ้าดอก”

รอยยิ้มของนาถยังคงค้างอยู่บนใบหน้าคมสัน หากแต่ค่อยๆ เฝื่อนลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นยิ้มแหย ตัวเขาเองไม่เคยพบแม่หญิงวงตะวันมาก่อน ทว่ากิตติศัพท์ที่ได้ฟังมา ทำให้พอเข้าใจได้ว่าเหตุใดเพียงเอ่ยชื่อของหล่อน ทุกคนที่ตั้งแง่กับเขาถึงเลิกระแวงและยังหันมาเห็นใจกันโดยถ้วนหน้า แม่หญิงวงตะวันเป็นธิดาของออกญาพิชัยมนตรีกับคุณหญิงฉาย แต่คุณหญิงสิ้นบุญไปหลังจากคลอดลูกได้เพียงไม่กี่วัน ทารกน้อยจึงถูกส่งต่อไปอยู่ในการดูแลของคุณเนื่อง อนุภรรยาคนหนึ่งของออกญาพิชัยมนตรี ขณะนั้นออกขุนสุเรนทร์รักษ์ บิดาของออกญาพิชัยมนตรีเดินทางไปเยี่ยมเกลอเก่าที่หัวเมือง จึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น พอท่านกลับถึงเรือน รู้ว่าสะใภ้ใหญ่ที่เอ็นดูเสียชีวิตไปแล้ว ออกขุนสุเรนทร์รักษ์ก็รับตัวหลานสาวมาเลี้ยงเอง พร้อมกับจ้างแม่นมมาช่วยดูแลวงตะวัน ไม่ต้องดื่มนมจากคุณเนื่องเหมือนแต่ก่อน

วงตะวันจะเติบโตขึ้นมาอย่างไรไม่มีใครรู้แน่ แต่ชื่อของหล่อนเป็นที่กล่าวขวัญอยู่สองครั้ง ครั้งแรกเมื่อออกขุนสุเรนทร์รักษ์ผู้เป็นปู่เสียชีวิตลง ขณะนั้นแม่หนูเพิ่งอายุได้ 7 ขวบ หล่อนมาร่วมงานศพเงียบๆ ใบหน้าน้อยๆ ที่มีเค้าว่าจะเป็นสาวงามเมื่อเติบใหญ่ เศร้าสลดเสียจนแขกเหรื่อที่ได้เห็นพลอยใจหายไปด้วย

“แม่วงตะวันคงเสียใจมาก ขุนสุเรนทร์รักษ์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของหลานเสียด้วย ต่อไปจะทำอย่างไรล่ะนี่” ออกพระท่านหนึ่งส่ายหน้าด้วยความเวทนา ถึงจะไม่พูดออกมาแต่ก็รู้กันอยู่ในที ว่าธรรมดาคนเป็นแม่นั้นย่อมรักแต่ลูกของตัว ออกญาพิชัยมนตรีมีอนุภรรยาหลายคนพอจะดูแลวงตะวันได้ก็จริง แต่จะคาดหวังให้แม่เลี้ยงทะนุถนอมเอาใจใส่ลูกเลี้ยงเหมือนลูกในไส้นั้นไม่มีทาง ฝ่ายเจ้าคุณพ่อก็มีงานราชการเต็มมือ จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลลูกสาวกำพร้า หนทางความสุขของหนูน้อยจึงดูเลือนรางราวกับตกอยู่กลางหมอกหนากระนั้น

“นั่นสิ แม่วงตะวันนี่หน้าตาหน่วยก้านดีเสียด้วย เสียดายขาดแม่ ไม่รู้จะได้ใครช่วยอบรมกิริยามารยาท”

พอมีคนจุดประเด็น สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่วงตะวันเป็นตาเดียว ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยผู้เป็นศูนย์รวมแห่งความสนใจก็ผุดลุกขึ้น หล่อนทำท่ากวักมือเหมือนจะเรียกใครคนหนึ่ง พลางร้องว่า “คุณปู่เจ้าขา อย่าไป”

จากนั้นดวงหน้าน้อยๆ พลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึง หล่อนชี้นิ้วไปในความมืดนอกศาลา ตะเบ็งเสียงอย่างโกรธจัด ‘จงหยุดบัดเดี๋ยวนี้ อย่ามายุ่งกับคุณปู่ของฉัน’

ผู้ฟังทั้งหมดขนลุกซู่อย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งๆ ที่แต่ละท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาครึ่งค่อนชีวิต และเมื่อมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไป ทุกคนก็เห็น…

หมาวัดสองตัว กำลังนั่งลิ้นห้อยมองตอบกลับมา!

ผู้ใหญ่ทั้งกลุ่มตีหน้าปุเลี่ยนไปตามๆ กัน ต่างเหลือบมองกันและกันอย่างขัดเขิน เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณเนื่องถลันเข้าไปจับแขนลูกเลี้ยงของเธอ ลากออกไปนอกศาลาอย่างรวดเร็ว

“มากับน้าเดี๋ยวนี้เชียวแม่หนู เอะอะโวยวายขายหน้าเจ้าคุณพ่อหมดแล้ว”

หลังจากวันนั้นวงตะวันก็ไม่ได้ปรากฏตัวในงานศพคุณปู่ของเธออีกเลย แต่ความตื่นตระหนกที่เด็กน้อยสร้างไว้ยังคงไม่จางหาย แขกส่วนหนึ่งคิดว่าแม่หนูคงจะเห็นวิญญาณคุณปู่ผู้ล่วงลับ ตามประสาหลานสาวที่รับใช้ใกล้ชิด แต่ก็มีอีกหลายเสียงที่บอกว่า “เด็กคนนี้มันโง่เขลา พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว แม่เนื่องกับคนเรือนนั้นช่วยกันปิดบังมานมนาน เพิ่งจะความแตกก็วันนี้เอง”

ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องของวงตะวันจึงเงียบหายไปราวคลื่นกระทบฝั่ง จนกระทั่งอีกหลายปีต่อมา ในงานวิวาห์ของคุณประดับ บุตรีคนหนึ่งของออกญาพิชัยมนตรี วงตะวันในฐานะน้องเจ้าสาวก็มาร่วมพิธีด้วย เด็กสาวนั่งอยู่เพียงลำพังอยู่ในมุมที่ห่างไกลจากญาติพี่น้อง ทว่าใบหน้างามจับตา ผิวเนียนผ่องราวกับงาช้าง และผมสลวยดำขลับทิ้งตัวอยู่เหนือสไบสีดอกจำปาที่ใส่อยู่ ก็ทำให้เจ้าตัวเป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คน

ขณะนั้นพิธีซัดน้ำมนต์จบลงแล้ว เจ้าสาวและเพื่อนๆ จึงเข้าไปผลัดเสื้อผ้าชุดใหม่ในห้อง พี่น้องคนอื่นๆก็จับกลุ่มคุยกันทิ้งให้วงตะวันนั่งอยู่คนเดียว คุณหญิงแสง ภริยาออกญาเทพโยธินเขม้นมองเด็กสาวอยู่นานแล้ว แต่ยังไม่ใคร่แน่ใจนัก จึงหันไปถามพรรคพวกของเธอ

“นั่นแม่วงตะวันลูกแม่ฉายใช่ไหม ใครช่วยดูที”

“ใช่เจ้าค่ะ” ผู้ตอบคำถามคือคุณอุ่นเรือน ซึ่งสนิทสนมเป็นอันดีกับคุณเนื่อง แม่เลี้ยงของวงตะวัน “แต่อย่าไปทักนะเจ้าคะ ปล่อยให้นั่งคนเดียวนั่นละดีแล้ว”

คุณหญิงแสงขมวดคิ้ว “อ้าว! ได้อย่างไรกัน นั่นก็ลูกสาวพระยาพิชัยมนตรีคนหนึ่ง ทำไมแม่อุ่นเรือนต้องทำท่ารังเกียจรังงอนอย่างนั้นด้วย”

คุณอุ่นเรือนโบกไม้โบกมือวุ่น “วุ้ย! อิฉันน่ะไม่ได้รังเกียจดอกเจ้าค่ะ แต่แม่เนื่องเล่าว่าแม่หนูวงตะวันแกโง่เขลานัก ไปที่ไหนก็วุ่นวายที่นั่น คนในเรือนถึงต้องอยู่ห่างๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากพาออกมาเจอผู้คนดอก”

“ฉันไม่เชื่อ” คุณหญิงแสงค้านเสียงแข็ง “เด็กคนนี้ขุนสุเรนทร์รักษ์ท่านเลี้ยงมากับมือ แล้วใครๆ ก็รู้ว่าท่านขุนเฉลียวฉลาดแค่ไหน ฉันไม่เชื่อดอกว่าหลานสาวท่านจะโง่เขลาเบาปัญญาอย่างที่แม่อุ่นเรือนพูด”

คุณอุ่นเรือนทำหน้าให้รู้ว่าหล่อนเป็นคนวงใน ล่วงรู้ความลับที่คนในบ้านปิดบังไว้ “อย่าอึงไปนะเจ้าคะ แต่ที่อิฉันรู้มาคือเด็กคนนี้หัวทึบ สั่งสอนเท่าไรก็ไม่จำ ทำกับข้าวกับปลากินไม่ได้สักอย่างเดียว แม้แต่เลขสี่ก็นับไม่ถูก นับสี่ทีไรเป็นห้าทุกที อย่างนี้โง่ไหมล่ะเจ้าคะ”

คุณหญิงแสงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ข้างเธอก็พลอยนิ่งอึ้งไปด้วย คุณอุ่นเรือนจึงสาธยายต่อว่า “ยังมีอีกนะเจ้าคะ ครั้งหนึ่งแม่เนื่องเกิดหวังดี เห็นว่าแม่วงตะวันเริ่มโตเป็นสาวแล้ว เลยสั่งทำตุ้มหูทองมาให้คู่หนึ่ง แม่หนูแกใส่ได้แค่วันเดียว ปรากฏว่าแป้นตุ้มหูหายไปทั้งสองอัน หาเท่าไรก็ไม่พบ แล้วไปพบที่ใดรู้ไหมเจ้าคะ”

คนเล่าทำหน้าตาตื่นเต้นเสียจนคนฟังพลอยใจระทึกไปด้วย “ที่ใดหรือแม่” คุณหญิงคนหนึ่งถาม

“ก็ที่หูแม่วงตะวันน่ะสิเจ้าคะ” คุณอุ่นเรือนเฉลย “ล่วงไปเดือนหนึ่ง แม่วงตะวันเกิดเจ็บหูขึ้นมา ต้องตามหมอมาดู ถึงได้เจอว่ามีแป้นตุ้มหูฝังลึกเข้าไปถึงในเนื้อ คิดดูก็แล้วกัน แป้นตุ้มหูติดอยู่ในหูตัวเองตั้งเป็นนานสองนาน ยังไม่รู้ตัว เดชะบุญเนื้อไม่เน่าจนต้องตัดทิ้ง ไม่อย่างนั้นหูคงแหว่งไปแล้ว”

คุณหญิงแสงชักใจฝ่อ เหลียวมองเด็กสาวรุ่นกำดัดราวกับดอกไม้แรกแย้มที่นั่งห่างออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ยังมีอีกนะเจ้าคะ” คุณอุ่นเรือนหน้าตาเบิกบาน อารมณ์คันปากอยากนินทาพวยพุ่งยิ่งกว่าไอน้ำเดือด “คราวหนึ่งแม่วงตะวันริจะหัดเย็บหมอน พอเย็บเสร็จก็ให้ยายแม่นมเอาไปหนุนหัว คืนนั้นยายแม่นมร้องโวยวายขึ้นมาว่ามีตัวอะไรเข้ามากัดถึงในมุ้ง ต้องจุดไฟหากันอยู่ค่อนคืน พอฉีกหมอนออกดูถึงเห็นว่าแม่หนูแกลืมเข็มเย็บผ้าทิ้งไว้ตั้งเกือบสิบเล่ม ตั้งแต่นั้นมาเรือนออกญาพิชัยมนตรีไม่มีใครกล้าให้แม่วงตะวันเย็บผ้าให้อีกเลย”

ผู้ฟังทั้งกลุ่มทำหน้าสยดสยองไปตามๆ กัน คุณอุ่นเรือนจีบปากจีบคอเล่าต่อน้ำลายแตกฟอง

“ยังมีอีกนะเจ้าคะ มีอยู่วันหนึ่งแม่เนื่องอยากให้แม่วงตะวันหัดตำน้ำพริก เลยให้ไปเรียนกับแม่ครัว  พอดีมีผึ้งมาบินอยู่เหนือหัวนางแม่ครัว แล้วแม่หนูแกทำอย่างไรรู้ไหมเจ้าคะ” หล่อนเว้นจังหวะให้คนฟังได้ลุ้น “แกเอาน้ำพริกทั้งครกสาดโครมลงไปบนหัวแม่ครัวเจ้าค่ะ เท่านั้นละ ผึ้งแตกกระเจิง นางแม่ครัวเปื้อนน้ำพริกตั้งแต่หัวถึงเท้า เหม็นกลิ่นกะปิหึ่งไปหมด นี่ถ้าไม่ใช่ลูกเจ้านาย แม่วงตะวันคงไม่ได้โต ต้องตายคามือนางแม่ครัวไปแล้ว”

เห็นคนฟังพากันนิ่งอึ้งไปทั้งวง คุณอุ่นเรือนก็เปลี่ยนมาทำเสียงอ่อน หน้าตาเห็นใจผู้ที่เอ่ยถึง “แต่จะว่าแม่วงตะวันแกปัญญาอ่อนก็ไม่ได้ เพราะแกก็พูดจาปกติดี กิริยามารยาทก็ไม่ได้กระโดกกระเดก เพียงแต่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ป้ำๆ เป๋อๆ ลงเอยด้วยความวุ่นวายทุกทีไป เลยต้องสรุปว่าแกโง่น่ะเจ้าค่ะ แล้วไม่ใช่โง่ธรรมดานะเจ้าคะ แต่โง้…โง่” หล่อนลากเสียงยาวเหยียดแล้วตั้งท่าจะจาระไนต่อ

“ยังมีอีกนะเจ้าคะ…”

“พอแล้วแม่อุ่นเรือน”  คุณหญิงแสงขัดจังหวะ เธอเป็นผู้ใหญ่พอที่จะรู้ว่าคำนินทากาเลนั้นเชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะคำนินทาที่แม่เลี้ยงเอ่ยถึงลูกเลี้ยง “ฉันไม่เชื่อดอกที่พูดมา ใครมันจะโง่เขลาได้ถึงเพียงนั้น ฉันว่าแม่เนื่องคงเล่าให้แม่อุ่นเรือนฟังเกินจริงเสียมากกว่า”

“เชื่อเถิดเจ้าค่ะ อิฉันเองก็เคยเจอฤทธิ์แม่วงตะวันมากับตัว ครั้งหนึ่งอิฉันมาเยี่ยมแม่เนื่อง เห็นไฟกำลังไหม้โรงครัวอยู่พอดี ได้ความว่าแม่วงตะวันหัดทำปลาทอดขมิ้น แต่ไม่รู้เป็นปลาทอดตำรับนางวิสูตรเผาเรือนหรืออย่างไร ถึงได้ทำไฟลามไปติดหลังคาจาก ต้องช่วยกันดับไฟวุ่นไปทั้งเรือน”

“อย่างไรฉันก็ไม่เชื่อ” คุณหญิงแสงตัดบทเสียงเฉียบขาดบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยพอใจนัก “หล่อนเองก็อย่าเที่ยวพูดไป แม่วงตะวันเป็นสาวแล้วประเดี๋ยวจะเสียชื่อ” เธอหันไปสั่งบ่าว “ไปตามแม่วงตะวันมาหาข้า บอกว่าป้าเรียก”

ที่ใช้คำว่าป้าเพราะคุณหญิงแสงคุ้นเคยกับคุณหญิงฉาย มารดาของวงตะวันมาตั้งแต่สาวๆ ทว่าระหว่างที่อีกฝ่ายตั้งครรภ์ คุณหญิงแสงต้องติดตามออกญาเทพโยธินผู้เป็นสามีไปอยู่เมืองหน้าด่าน โดยไม่คาดฝันว่านั่นจะเป็นการลาจากมิตรรักของเธอชั่วนิรันดร์ คุณหญิงเพิ่งจะย้ายกลับมาอโยธยาเมื่อเร็วๆ นี้เอง เมื่อได้มาพบลูกสาวของเพื่อนเก่าที่วายปราณไปแล้ว เธอจึงเวทนาเป็นพิเศษ

ไม่นานนักสาวน้อยที่เธอเรียกพบก็มาถึง วงตะวันนั่งพับเพียบ กระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกท่านอย่างนอบน้อม จากนั้นก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา คุณหญิงแสงจึงทักขึ้นอย่างปรานี

“แม่วงตะวัน เงยหน้าให้ป้าดูหน้าหน่อยซิ”

ใบหน้าที่ก้มน้อยๆ อยู่นั้นเงยขึ้นมองผู้พูด สิ่งแรกที่กระทบสายตาคุณหญิงคือดวงตาเรียวใหญ่ดำขลับราวกับมณีนิล อะไรบางอย่างในแววตานั้นดูลึกลับคล้ายสระน้ำที่หยั่งไม่ถึงก้น แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นแจ่มกระจ่างดังท้องฟ้าในฤดูร้อน ต่ำลงมาเป็นจมูกโด่งเรียวเล็ก และริมฝีปากอิ่มแดงหยักโค้งน้อยๆ ที่มุมทั้งสองข้าง หล่อนคลี่รอยยิ้มใสบริสุทธิ์ให้คุณหญิง

“นี่ป้า คุณหญิงแสง ภริยาออกญาเทพโยธินนะลูก ป้าเป็นนางกำนัลตำหนักเดียวกับแม่ฉาย แม่ของหลาน แต่ป้าไปอยู่หัวเมืองเสียหลายปี แหม! หลานโตเป็นสาวแล้วสวยจริง” คุณหญิงแสงลูบผมหญิงสาว น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงสหายที่ด่วนจากไป “หลานมีเค้าแม่ฉายตอนสาวๆ นี่ถ้าแม่เขายังอยู่คงปลื้มใจที่ลูกสาวเติบโตสะสวยอย่างนี้”

เด็กสาวโสภาที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้งดงามเฉพาะดวงหน้า แม้แต่รูปร่างก็ระหงกลมกลึงราวกับปั้นโดยจิตรกรเอก คุณหญิงแสงยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตา นึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก ตัวเธอนั้นไม่ใช่คนถือตัวอยู่แล้วจึงไม่ลังเลที่จะจับมือวงตะวัน แล้วแนะนำบรรดาสหายของเธอให้รู้จัก พูดไปใจก็นึกตำหนิไปพลางว่าคนที่เรือนออกญาพิชัยมนตรีช่างปล่อยปละสาวน้อยคนนี้เสียจริง ดูหรือ เป็นสาวเป็นนางปล่อยให้นั่งอยู่ลำพัง แม้แต่จะให้บ่าวมาคอยกันท่าผู้ชายที่อาจจะมาเกาะแกะสักคน ก็ยังไม่มี

เสียงถามไถ่ความเป็นอยู่ของวงตะวันดังไม่ขาดสาย หล่อนก็ตอบคำถามอย่างนุ่มนวลไม่มีติดขัด คุยกันอยู่ครู่หนึ่งคุณหญิงแสงก็ชวนว่า “อยากไปเป็นนางกำนัลในวังไหมล่ะหลาน จะได้เรียนเรื่องงานฝีมือ ถ้าหลานอยากเป็นป้าจะพาไปฝากฝังกับคุณท้าวให้เอง”

“หลานไม่อยากไปดอกเจ้าค่ะ หลานไม่อยากทำครัว”

“อ้าว! แล้วกัน เป็นลูกผู้หญิงต้องรู้งานพวกนี้นะแม่วงตะวัน จะละเลยไม่ได้” คุณหญิงติง แล้วก็ได้รับคำตอบว่า

“หลานทำกับข้าวทีไรน้าเนื่องเททิ้งทุกที เจ้าคุณพ่อเคยฝืนกินเข้าไปครั้งหนึ่งถึงกับท้องเสีย หลานกลัวพวกข้าหลวงจะลงท้องกันหมดทั้งตำหนักเจ้าค่ะ”

คำเจรจาแสนซื่อนั้นทำเอาคุณหญิงแสงถึงกับยิ้มไม่ออก เธอหันไปมองพรรคพวกตาปริบๆ เริ่มสังหรณ์ใจไม่ใคร่ดี ต่างจากคุณอุ่นเรือนที่เบิกบานเสียยิ่งกว่าดอกไม้ได้น้ำ ดวงหน้ายิ้มละไมคล้ายจะบอกว่า ‘เห็นไหมล่ะ อิฉันว่าแล้ว’ จากนั้นก็เอ่ยลอยๆ เหมือนไม่ตั้งใจ

“เมื่อครู่เห็นเจ้าภาพเขาแจกบุหงารำไป กลิ่นหอมเชียว พวกป้ามากันหลายคนจะให้เจ้าภาพเอามาให้ทีละคนก็ยุ่งยาก ให้บ่าวมันไปรับมาพร้อมๆ กันเลยดีกว่า แม่วงตะวันช่วยนับทีเถิด พวกป้ามีกันทั้งหมดกี่คน”

สตรีบรรดาศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นเมื่อรวมคุณอุ่นเรือนด้วยก็มีจำนวนสี่คนพอดี คุณหญิงแสงกำชายสไบของเธอแน่น กลั้นใจรอฟังคำตอบ คนอื่นๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้องเช่นเดียวกัน วงตะวันกวาดตามองโดยรอบ นับจำนวนในใจก่อนตอบเสียงดังฟังชัดว่า

“ห้าคนเจ้าค่ะ”

ชายสไบร่วงผล็อยจากมืออ่อนระทวยของคุณหญิงแสง ขณะที่คุณอุ่นเรือนสาดรอยยิ้มของผู้ชนะไปรอบวง!



Don`t copy text!