เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 4 : การโกหกครั้งสำคัญ

เจาะเวลาหานายฮ้อย บทที่ 4 : การโกหกครั้งสำคัญ

โดย : นาคเหรา

Loading

เจาะเวลาหานายฮ้อย นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ อารมณ์ดีเรื่องล่าสุดจากปลายปากกาของ นาคเหรา นักเขียนรางวัลชนะเลิศจากโครงการช่องวันอ่านเอา เรื่องราวของพลอยจำปาที่ย้อนเวลากลับมาตามหานายฮ้อยคนเก่ง ผู้คุมฝูงควายจำนวนมหาศาลเดินทางไปสู่เมืองใหญ่ เมื่อเขาหายตัวไป เรื่องอลวนวุ่นวายจะเกิดขึ้น เธอจะทำให้สำเร็จไหม ไปลุ้นกันเลยตอนนี้

บุญสิงห์มองผีนางด้งกำลังกินข้าวเหนียวกับไข่ต้มอยู่ ในใจก็อดสงสัยไม่ได้ว่าผีอะไรถึงกินข้าวเป็นเหมือนคน ตอนแรกเขาเสนอไก่ขาเป๋ตัวหนึ่งให้ แต่ผีในร่างสาวน้อยจำปากลับปฏิเสธบอกว่าสงสาร มันขาเป๋ก็โชคร้ายพอแล้ว กินแต่ข้าวก็ได้

‘ผีตัวนี้มีหิริโอตตัปปะอีหลีวะ’

บุญสิงห์คิด ตอนแรกชายหนุ่มเอาข้าวกับแจ่วปลาร้ามาให้ แต่มันมีน้อยและแห้งจนจ้ำ (1) ไม่ติดข้าว พลอยจำปาเห็นอย่างนั้นก็เลยปฏิเสธ ก่อนจะกินข้าวเหนียวเปล่าโดยไม่สนใจแจ่วปลาร้าสมัยอยุธยาตอนปลายเลย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็เลยเอาไข่ต้มมาให้ แรกๆ บุญสิงห์รู้สึกกลัวจนจับหัวใจ พอมาเห็นผีกินไข่ต้มก็แอบเข้าข้างตนเองว่า ผีตัวนี้มันคงไม่ดุเท่าไรหรอก แต่เขานึกสงสารจำปาน้องสาวของเพ็งคนที่เขาแอบพึงใจไม่ได้ อยู่ๆ ก็มาโดนผีเข้าสิง โดนตามล่าเหมือนนักโทษโดยหมายจับ แถมยังซุ่มซ่ามวิ่งสะดุดรากต้นมะม่วงจนขาเจ็บ ยิ่งมาเห็นขาที่มีรอยช้ำ ก็อดคิดไม่ได้ว่าจำปาคงเจ็บน่าดู

บุญสิงห์เดินเข้าไปเอาหัวไพลมาบด แล้วถือถ้วยยามาให้ พลอยจำปาที่กินข้าวเพิ่งอิ่มเดินโขยกเขยกเอาก่องข้าวไปเก็บ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ เป็นเชิงขอบคุณมาให้ชายหนุ่ม ส่วนเขาได้แต่ปั้นหน้าเฉยๆ เพราะไม่รู้ผีตัวนี้จะมาไม้ไหน ดีไม่ดีสบตามากๆ ผีอาจจะเข้าสิงเขาต่อก็ได้

จนกระทั่งความมืดเริ่มปกคลุมบริเวณ เสียงตุ๊กแกร้องผสมกับเสียงกอไผ่แห้งเสียดสีกันดังออดแอดเพราะลมฤดูร้อน นั่นทำให้บรรยากาศวังเวงมากขึ้น พอพลอยจำปานั่งลงเขาก็เอายาทาแผลให้ เด็กสาวมองดูด้วยความสนใจ

‘อีตานี่ สงสัยชอบยายจำปาแน่ๆ

เธอคิดพลางมองบุญสิงห์ที่กำลังเอายาป้ายแผลให้

“อะไรเหรอที่ทาๆให้น่ะ หอมดีนะ” พลอยจำปาพูดเพราะในชีวิตคุ้นเคยแต่กับยาสมัยใหม่ พอมาเจอสมุนไพรที่บุญสิงห์ทาให้ กลิ่นของมันเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเธอ

“ว่านไพลน่ะแก้ช้ำ” เขาไม่พูดอะไรต่อ มือยังสั่นเทา พลอยจำปาดึงถ้วยยามาและบอกว่า

”เดี๋ยวหนูจะทาเอง” บุญสิงห์ได้ยินอย่างนั้นก็ปล่อยถ้วยยาให้ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามต่อไปว่า

“มาแต่ไส…คือมาเข้าสิงอีจำปามัน”

บุญสิงห์กลั้นใจถามพลางถอยห่าง เพราะถ้าหากผีมันโมโหมาลุกขึ้นมาบีบคอ เขายังมีเวลาวิ่งหนีทันแต่มาคิดอีกที ถ้าเผื่อทิ้งควายสิบสองตัว กลับมาควายอาจจะตายยกครอกแน่ๆ ยิ่งอีปลักควายท้องแก่ มันคงวิ่งลำบากแน่และอีกอย่างมันเสี่ยงมากที่เขาจะโดนพ่อเตะกระเด็นตกเรือน

เพราะธรรมดาๆ แค่ลูกไก่พลัดจากแม่มันและหายไปด้วยน้ำมือเด็กน้อยแถวนี้ เขายังโดนเอ็ดเสียจนแก้วหูชา และมันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องคุ้มครองสมบัติของครอบครัว บุญสิงห์นั่งพิงเสาเถียงนาแววตาตระหนก จนเขาสบตากับพลอยจำปาแววตาคู่นั้นเปลี่ยนไปเหมือนกับว่าเขาสบตากับใครก็ไม่รู้ เป็นผีแปลกหน้า หรือที่อะไรนำพามาให้เขาเจอ อาจจะเป็นเวรกรรมที่ติดค้างกันก็ได้

“ที่นี่ที่ไหน หนูจำได้ว่าครั้งสุดท้ายหนูนั่งอยู่ที่รถ แต่พอตื่นก็มีคนเรียกหนูว่าจำปาแถมยังถูกตีด้วย”

เธอพูดพลางถลกเสื้อผ้าฝ้ายสีเข้ม ก็เห็นแขนมีรอยหวายแดงจนบวมแต่ก็ดูท่าว่าเธอจะไม่ทุกข์ร้อนอะไร เด็กสาวถอนหายใจไล่ลมในอกพลางช้อนตามองเขาแล้วจึงพูดต่อ เพราะบุญสิงห์ได้แต่นั่งเงียบๆ ห่างจากเธอพอสมควร

“หนูก็แค่อยากกลับบ้าน หรือไม่ก็หนูพาไปหาเพื่อนหน่อยค่ะ เพื่อนๆ ของหนูเขาอยู่ไหน และที่นี่มันที่ไหนกันเนี่ย”

“ภูแสนคำ อยู่ค้อวัง เมืองยโสธร” บุญสิงห์พูดเสียงสั่นๆ

“แล้วมีรถโดยสารไปอุบลไหม เอ่อ…พอดีหนูเรียนที่นั่นค่ะ” เธอพูดอย่างมีความหวังแต่คนตรงหน้าทำสีหน้างงๆ ก่อนตอบว่า

“ยโสธรแต่ก่อนขึ้นกับเมืองอุบล แต่บ่มีอันที่มึง เอ้ย เจ้าเว้าดอก” บุญสิงห์เอ่ยออกมาเพราะรู้ตัวทัน อีกอย่างเขากลัวว่าถ้าพูดไม่เพราะผีมันจะหักคอเอา

“อ้าว แล้วเวลาจะไปอุบล ไปยังไงล่ะ” พลอยจำปาถามต่อ

“กะย่าง (2) ไป ขี่เกวียนไป บางเทื่อกะขี่ม้าไป รถใหญ่มีแล่นในตัวเมืองท่อนั่นแหละ” บุญสิงห์พูด พลอยจำปาทำหน้าตื่นๆ ภูแสนคำนี่มันอยู่ไหน ทำไมการคมนาคมมันไม่สะดวก สมัยนี้ตามต่างจังหวัดก็มีรถวิ่งแทบทุกหมู่บ้านแล้ว แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องหาทางกลับมหาวิทยาลัยให้ได้ ต้องรีบกลับไปทำรายงานของ อ.เอกภพแถมวิชาสถิติเบื้องต้นเธอต้องไปติวอีก

“พี่ช่วยบอกหน่อยสิ บขส.อยู่ที่ไหน ไปทางไหนเหรอหรือไม่ขอใช้โทรศัพท์ได้ไหมคะ”

“อีหยัง แนวมึงเว้ามาน่ะ กูบ่ฮู้ ฟ้าวออกไปเลย กูย้าน”

“งั้นมีมือถือไหม หรือไม่ก็มีคอมหรือเน็ตไหม หนูจะไลน์หาเพื่อน หนูโทรบอกให้เขามารับก็ได้นะ”

บุญสิงห์คิดในใจ ผีตัวนี้พูดไม่รู้เรื่องเลย พูดอะไรมาแต่ละคำแปลกๆ ทั้งนั้น แต่ถ้าจะไปอย่าบอกนะมันจะพาจำปาไปด้วย ถ้าไปจริงยายของเธอจะว่าอย่างไร เพราะนี่ก็เหลือแค่เพ็งกับจำปาเท่านั้น เพราะครูไสวก็ไปมีเมียใหม่ที่บ้านนาทรายไปแล้ว นานๆ ถึงจะมาเยี่ยมสองพี่น้องสักที ส่วนแม่ของเธอตายไปตั้งแต่จำปายังเล็กๆ เด็กสาวก็เลยถูกเลี้ยงมาอย่างลูกคนหนึ่งของยาย ถ้าผีตัวนี้พาจำปาไปจริง แม่เฒ่าลุนขาดใจตายแน่ๆ

“บ่ได้นะ สิพาจำปาไปนำบ่ได้”

“โถ นี่ตัวหนูนะ ทำไมจะพาไปไม่ได้ หนูไม่ใช่จำปาคนที่พี่รู้จักนะ พี่จะมาห้ามหนูทำไม รอให้เขากลับมาตีหรือมาจับถ่วงน้ำเหรอ พี่ไม่เป็นเหมือนหนูนี่ ตื่นขึ้นมาอะไรก็ไม่รู้ เหมือนไม่ใช่ตัวเอง แล้วยังมาถูกจับถูกตีอีก ถ้าเผื่อเขาตีหนูตาย พ่อกับแม่หนูจะอยู่ยังไง”

เธอหยุดพูดและหายใจถี่ๆ ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกไป บุญสิงห์วิ่งตามไปได้สักพักแต่มีคบไฟหลายสิบดวงลอยมาหน้าเถียงนาเขา ชาวบ้านประมาณสามสิบคนถือไต้มองมาที่ร่างเด็กสาว เธอหยุดและมองกลุ่มคนผู้มาใหม่

หมอฝั้นยืนยิ้มเย็นๆ พร้อมกับชาวบ้านบางส่วน ยังไม่ทันที่เธอจะได้วิ่งหนีหรือทำอะไร พลอยจำปาก็ถูกชายสองคนจับล็อกโดยไม่ทันที่จะตั้งตัว และถูกมัดด้วยเชือกจนแน่นดิ้นไม่หลุด เธอหันมามองบุญสิงห์สายตาเศร้าๆ เหมือนเจ้าของดวงตาคู่นั้นกำลังจะขอร้องให้เขาช่วยแต่เหมือนกับว่า หมดหนทางที่จะอธิบายอะไรทั้งนั้น และคงต้องยอมรับชะตากรรมที่คนแปลกหน้าหยิบยื่นให้ หมอผีจอมขมังเวทตะโกนสุดเสียงก่อนจะสาดน้ำอะไรก็ไม่รู้ใส่เธอจนตัวเปียกไปหมด

“มึงสิออกรึบ่ออก ล้อให้พวกกูแล่นอ้อมภู (3) อีผีบ้า หล่อแหล่กูนักนะมึง”

พูดไม่ทันจบก็กระหน่ำหวายลงร่างพลอยจำปา เสียงยายลุนกับเพ็งร้องไห้ปริ่มใจจะขาด แต่พลอยจำปาไม่มีน้ำตาแม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเธอรู้ว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้ ทำให้เธอรู้เจ็บน้อยลงไปเลย

“อย่าตีลูกผม หยุดก่อน” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น แต่พวกชาวบ้านคนอื่นช่วยกันจับเขาไว้

“มึงสิบอกบ่ ว่าไผส่งมึงมา มึงคือมาเข้าสิงอีจำปา บอกกูมา”

หมอฝั้นหอบแฮ่กๆ หลังจากออกแรงตีชุดใหญ่ มีรอยยิ้มเย็นๆ แทนคำตอบจากใบหน้าที่อ่อนแรงนั้น โอกาสนั้นผู้เฒ่าจอมขมังเวทหาได้หยุดไม่ เขากลับเงื้อหวายอีกครั้งกะจะกระหน่ำตีอีกรอบ บุญสิงห์มองร่างที่ถูกหวดอย่างร้อนใจ มีอะไรบางอย่างที่มีอิทธิพลเหนือความกลัว เขามองใบหน้าของเพ็งก็ได้แต่เจ็บปวดไปด้วย แน่ละถึงอย่างไรคนที่ถูกตีนั่นก็คือน้องสาวคนเดียวของเธอ ก่อนที่พลอยจำปาจะหมดสติภาพที่เธอเห็นคือผู้ชายขี้กลัวคนนี้วิ่งมากอดเธอไว้ พลางตะโกนเสียงดังว่า

“เซาตีได้แล้ว ที่เข้าสิงน่ะบ่แม่นผี สิตีให้จำปามันตายติ”

“อย่าบอกนะว่าผีตัวนี้มันเฮ็ดเสน่ห์ใส่มึง บักบุญสิงห์” เสียงชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนมา

“บ่ แม่นที่เข้าสิงอีจำปาบ่แม่นผีนางด้ง ผีโพง ผีปอบ แต่เป็น…”

เขาหยุดพูดเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก พลางสบตาที่อ่อนล้าของเธอ

“เป็นหยัง บอกมาเดี๋ยวนี้บ่จังสั้น กูสิฟาดแม่มันทั้งคนทั้งผีนี่ละ” หมอฝั้นตะโกน

“เป็น เป็น…” บุญสิงห์พูดไม่ออกเพราะจนปัญญาที่จะช่วย และหมอฝั้นกำลังจะเงื้อไม้ขึ้นจนสุดแขนเขาจึงพูดออกมาในที่สุด

“ตีบ่ได้นี่คือผีย่าดุง (4) เขาตะโกนสุดเสียง พวกชาวบ้านต่างก็พูดเสียงดังขรม “สิตีจำปาบ่ได้ ถ้าผีย่าดุงเคียดสิทุกข์หมดบ้าน เพิ่นบอกผมแล้ว”

“กูบ่เชื่อดอก มึงอย่ามาตั๋วกู ย่าดุงบ่มาเข้าคนสุ่มสี่สุ่มห้าดอก มึงหนีไกลๆ เลย บักบุญสิงห์”

“ย่าดุงบอกผมว่า อีกสามมื้อฝนสิตกคันบ่เชื่อก็ตามใจ ตีมันเลยอีจำปา ตีมันกะตายทิ่มซื่อๆ คันบ่เชื่อทุกข์ยาก อดอยากฝนบ่ตกมาไผสิรับผิดชอบ” บุญสิงห์พูดเสียงดัง

นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบ…และไม่รับรู้อะไรอีกเลย

 

เชิงอรรถ : 

(1) จ้ำ หมายถึง จิ้มลงไป

(2) เดิน

(3)  วิ่งรอบภูเขา

(4)  ในเรื่องคือผีคุ้มครองประจำหมู่บ้าน

 



Don`t copy text!