ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เจ้าหญิงชวาลาทอดพระเนตรเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วสะท้อนพระทัย ด้วยรู้ชะตาตนต่อจากนี้ว่ายิ่งขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงมากเพียงใด ยิ่งต้องขับเคี่ยวชิงไหวชิงพริบ ระแวงหลัง ระวังคนรอบด้านเช่นนี้ไปตลอดพระชนม์ นับจากนี้จักมีโอกาสได้หลับเต็มพระเนตรอีกหรือไม่หนอ

“แล้วลูกน่ะ หากสงสัยติดใจสิ่งใด มิว่าเล็กน้อยเพียงใดขอให้บอกกัน จักได้หารือป้องกันได้”

สดับดังนั้น ชวาลาเกือบหลุดโอษฐ์เรื่องเจ้าหญิงทิพกฤตาออกไป หากก็ระงับไว้ได้ทัน ว่าหลังพิธีประกาศคู่อภิเษก เจ้าชายกัษษกรสารภาพกับพระนางเมื่ออยู่กันลำพัง

‘สามราตรีก่อน เจ้าหญิงทิพกฤตาปลอมตัวเป็นนางกำนัล ลอบเข้าตำหนักพี่’ พระองค์ถอนปัสสาสะ ลำบากพระทัยที่ต้องจาระไนเรื่องสตรี ‘รับสั่งว่าหากมิทำเช่นนี้ ก็จนใจจะได้พบพี่ตามลำพัง โดยปราศจากคนรู้เห็นได้’

ชวาลาเย็นวาบไปทั้งวรกาย หากยังข่มพระทัยฟังอย่างมีสติ

‘พระนางว่า…ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ต่อพี่มานานเหลือเกิน หากมิกล้าเผยความในพระทัยด้วยเป็นสตรี จึงทรงเก็บไว้ในอุระมาจนบัดนี้…พระนางขอให้พี่…เห็นใจ’ เจ้าอุปราชสบเนตรชวาลาแน่วนิ่ง

‘ทรงขอให้พี่เลือกพระนาง ด้วยเห็นแก่ความรักที่พระนางมีต่อพี่ แลด้วยอู่ทองนั้นสืบสายเก่าแก่ที่สุดในขัตติยราชทวารวดีทั้งหมด การเลือกพระนางจักส่งเสริมบารมีพี่ให้เพิ่มพูนขึ้นอีก แต่พี่มิอาจช่วยพระนางได้ในเรื่องนี้…เพราะพี่รักวาน้อย’

เจ้าชายกัษษกรทรงยืนกรานว่ามีพระชายาในพระทัยแล้ว เจ้าหญิงทิพกฤตาจึงถึงกับก้มลงกอดพระชงฆ์เจ้าอุปราช อ้อนวอนให้รับรักแลรับพระนางเป็นพระชายาเอกให้ได้

‘ที่พี่เล่าให้วาน้อยฟัง ก็ด้วยมิต้องการปิดบังเจ้า แลดีกว่าให้เจ้าไปได้ยินจากผู้อื่น เพราะยามเมื่อพระนางคุกเข่ากอดขาอ้อนวอน สวมกอดพี่ มีนางข้าหลวงจำนวนหนึ่งได้ยินเสียงผิดปกติ จึงถือวิสาสะเข้ามาพอดี พวกนางอาจนำเรื่องไปลือสะพัดกันผิดจนเสียหายได้’

พฤติการณ์ของเจ้าหญิงเชื้อสายอู่ทองนั้นออกน่าเวทนามากกว่าเป็นพิษเป็นภัย ชวาลาจึงดำริในพระทัยว่าไม่ควรแพร่งพรายให้อีกฝ่ายต้องอับอายเสียหน้า เพราะไม่แน่ว่าหากพระนางมฤติกาทรงทราบถ้อยความนี้ ก็อาจจักนำไปเยาะเย้ยถากถางเจ้านายอู่ทองให้อับอายได้ รังแต่จักสร้างรอยร้าวแห่งความเกลียดชังให้พอกพูนขึ้นโดยมิจำเป็น

ทว่าลึกลงในหทัยแล้ว ชวาลาก็ทรงยอมรับกับองค์เองว่า…อย่างไรรอยร้าวแห่งความเคียดแค้นชิงชังก็บังเกิดขึ้นแล้วอยู่ดี ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าพี่เขนของพระนางปฏิเสธตัดรอนน้ำพระทัยเจ้าหญิงทิพกฤตา แล้วยืนกรานจะเลือกชวาลาเป็นมเหสี

 

เขาปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมายที่มาเฝ้าแหนชมพระบารมีคู่อภิเษก ถูกกลืนไปกับเหล่านักบวชหลากวิถีที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการอำนวยพรในพระราชพิธีอันเป็นมิ่งมงคล เฝ้ามองผู้ที่ครั้งหนึ่งดำรงพระยศเพียงเจ้าชายพระองค์หนึ่งแห่งไชยา เปลี่ยนสถานะเป็นราชบุตรละโว้ แลบัดนี้กลายเป็นเจ้าอุปราชเมืองราม กับเจ้าหญิงโฉมงามเชื้อสายมลายูปรากฏองค์เคียงคู่กันอย่างยิ่งใหญ่ต่อทวยราษฎร์ทวารวดีทั้งปวงแล้วหัวใจก็แสบร้อนไปหมด ยิ่งได้เห็นสายพระเนตรที่ทั้งคู่มองสบกันเต็มเปี่ยมด้วยความสิเน่หาเอ่อล้น ก็ยิ่งรู้สึกราวถูกมีดกรีดแทงซ้ำจนเหวอะหวะ

วาน้อย…ชวาลา

พระนางช่างงดงามยิ่งนัก นัยนาสุกสว่างดั่งดวงดารา ยามแย้มสรวลเจิดจ้าดั่งแสงตะวันอบอุ่น ฉายส่องเข้ามากลางความมืดมนอนธการแห่งรัตตกรผู้หลบซ่อนในเงาราตรีมาทั้งชีวิต

หวนนึกถึงวันวานเมื่อครั้งเขาอายุได้สิบสี่ จากแผ่นดินไชยามาอยู่ละโว้ได้เกือบสองปี ยังคงถูกกดขี่ให้รับใช้เหล่าพราหมณ์โดยไร้ตัวตนเช่นเดิม ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด ไร้โอกาสหลบหนีไปเริ่มชีวิตใหม่ดังที่ตั้งใจ มิหนำซ้ำยังอดอยากยากแค้นมิได้กินอิ่มนอนหลับยิ่งกว่าเดิม ด้วยในราชสำนักละโว้มีนักพรตดาบสหลากหลายนิกายอยู่กันอย่างเสรี กษัตริย์จึงโปรดให้บำรุงพวกเขาเสมอกันด้วยข้าทาสจำนวนมาก อันขัดกับวิถีสมถะดั้งเดิมของนักบวช ลงท้ายมิพ้นข้ารับใช้ต้องแย่งกันกินกันใช้อย่างน่าสมเพช

เมื่อมีโอกาสปลีกวิเวกแม้เพียงเล็กน้อย เขามักใช้เวลาศึกษาตำราใกล้ท่าน้ำบนเกาะกลางบึงอันเงียบสงบ ด้วยยังคงเชื่อในการหาวิชาความรู้ แลด้วยบนเกาะเล็กเกาะน้อยทั้งหลายนั้นมักมีศาลเจ้า เทวาลัยซ่อนอยู่กระจัดกระจายแทรกปนกับอารามชาวพุทธ มักมีผู้นำอาหารคาวหวานชั้นดีมาถวายบูชาอย่างเหลือเฟือเสมอ เด็กหนุ่มจึงได้กินจนอิ่มหนำ มีเรี่ยวแรงเผชิญชีวิตในแต่ละวันได้

กระทั่งวันหนึ่ง…ได้พบเจ้าของโภชนาที่ทำให้เขาอิ่มท้องโดยบังเอิญ

เด็กหญิงตัวน้อย เจ้าของนัยน์ตาดุจดาริกา คลับคล้ายพระมารดาตารายิ่งนัก…แต่งองค์ทรงเครื่องเยี่ยงกษัตรีย์ มีรอยยิ้มประดับดวงหน้าอย่างผู้รื่นรมย์ยินดีกับชีวิตเป็นนิจ

‘พวกพี่ว่าพวกเขาจักชอบกระยาหารเหล่านี้หรือไม่’ นางหันไปถามเด็กสาวอีกสองนางที่ดูเหมือนเป็นพี่เลี้ยงรับใช้

‘กระยาหารอันใดกัน เรียกข้าวปลาอาหารก็พอแล้วสำหรับคนจรนะเพคะ’ นางหนึ่งแก้ ‘ก็ต้องชอบอยู่แล้วเพคะ เครื่องเคราชั้นดีเช่นนี้ องค์หญิงก็เหลือเกิน จักต้องลำบากลำบนด้วยเหตุใด’

องค์หญิงเช่นนั้นฤๅ

‘มีคนจรอดอยากมากมายเหลือเกินที่อาศัยอาหารจากเทวาลัยยังชีพ ข้าก็แค่ทำเผื่อเพิ่มเติมจากของถวายปกติ’ เด็กหญิงยิ้มแย้มภาคภูมิใจ ‘มิเพียงเท่านั้นหรอกหนาพี่ ยังมีข้ารับใช้ของพวกนักพรตดาบสอีกที่อดอยากแร้นแค้น ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาหลายคนก็หลบเร้นมาหาข้าวปลาที่นี่ แค่ได้ทำให้ประชาชนของข้าอิ่มท้องในแต่ละวันได้ ข้าก็พอใจยิ่งแล้วนาพี่’

ยิ้มหวานของนางทำให้หัวใจเด็กหนุ่มเต้นผิดจังหวะ น้ำใจใสซื่อในวาจาที่แอบได้ยินรินรดลงในหทัยแห้งแล้งดุจดินดาน…

ดวงใจของรัตตกร เป็นของนางผู้ทรงศักดิ์นางนี้นับแต่นั้น

ไม่นานเขาก็ได้คำตอบ…ราชนารีน้อยผู้นี้คือเจ้าหญิงชวาลา ราชธิดาคนโปรดของกษัตริย์ละโว้ สืบสายจากรักตมปุระ เป็นเครือญาติชาวศรีวิชัย…หญิงสูงศักดิ์ไกลสุดเอื้อม มิมีทางที่จักเหลือบแลมองชายต่ำศักดิ์ หรือมีหนทางลงมาบรรจบกันได้

เขาคงทำใจเจียมตนจนด้วยวาสนาได้ หากไม่เพราะผู้ที่ครองหทัยพระนางได้คือหนามยอกอกชิ้นใหญ่ ผู้ที่มีทุกสิ่งมิต่างกับเขาแม้แต่น้อย หากกลับโชคดีได้ครอบครองทุกอย่างเพียงเพราะออกมาดูโลกหลังเขาไม่กี่เสี้ยวเวลาเท่านั้น

พระเชษฐาแฝดของเขาทรงคิดคำนวณมาอย่างดีแล้วต่างหากจึ่งเลือกพระธิดาสุดสวาทแห่งราชัน เป็นบันไดไต่สู่บัลลังก์ทองละโว้ได้อย่างมั่นคงที่สุด หาใช่ด้วยรักล้นใจดังที่พร่ำเอ่ยต่อพระนางไม่

ชายหนุ่มจำกลืนเลือดลงในอก มองการอภิเษกที่ผ่านพ้นไปด้วยใจริษยารุ่มร้อน ต่อจากนี้พวกเขาจักครองรักและครองเมืองราม แลในกาลข้างหน้าก็จักขึ้นครองบัลลังก์ละโว้ร่วมกัน…หากมีวันนั้น

“ได้เห็นหน้าเอ็งสักทีนะไอ้มืด ตั้งแต่ฤๅษีรุธีล้มป่วย เอ็งก็แทบจะหายหน้าหายตาไปเลย” พราหมณ์รูปหนึ่งตั้งข้อสังเกต “น่าเสียดายแทนท่านรุธีที่มิได้เข้าร่วมพิธียิ่งใหญ่เช่นนี้ มีแต่คนตั้งตารอนักแล แต่คงต้องทำใจใช่หรือไม่ ท่านรุธีคงมิอาจกลับมาเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว ขั้วอำนาจนักบวชคงถึงคราวเปลี่ยนแปลง”

 



Don`t copy text!